[Fic HQ!!] The Little Match Boy [DaiSuga] #SDN

Title : The Little Match Boy

Set : Stardust in Dark Night

Pair : Sawamura Daichi x Sugawara Koushi

Author : Akesaka Mitsugi

Note : ตอนนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่จะลงในงาน Hatsunetsu HQ!! Only ค่ะ สามารถติดตามรายละเอียดและการอัพเดตหรือการสั่งจองได้ที่ Twitter : @raryuryn นะคะ ในเรื่องนี้จะเป็นเซ็ตนิทาน มีทั้งหมด 4 เรื่อง 2 เซ็ต จาก 2 นักเขียนค่ะ โดยตัวอย่างของทั้ง 4 เรื่องจะทยอยลงในช่วงนี้ค่ะ


 

 

ตะวันใกล้ตกดิน

ซาวามูระ ไดจิรูดม่านผ้าลายตะวันออกกลางเปิดออก ห้องนั่งเล่นอาบด้วยสีสนธยา ใต้ชั้นฝุ่นไม่หนาไม่บางคือความทรงจำอบอุ่นที่จากไปนาน

ที่ปลายสายตาคือผ้าแขวนประดับผนังฝีมือพ่อ เศษผ้าที่เพียรเก็บสะสมเป็นเวลานานเย็บปะรวมกัน สร้างเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ วิษุวัทและอายัน…พ่อสร้างมันขึ้นจากแนวคิดนั้น

ถ้าเป็นช่วงนี้ คงเหมาะกับภาพล่างสุดที่ผู้คนพากันเฉลิมฉลองให้กับดวงไฟที่เริ่มตื่นจากการหลับใหล ช่วงเวลาที่กลางคืนยาวนานที่สุดก่อนจะถึงวันที่กลางวันค่อยๆ นานขึ้น การกลับมาของดวงอาทิตย์ในช่วงสิ้นปี

ห้าปีเข้าไปแล้วที่ไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้ จุดเริ่มต้นของธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเขา ขอบเขตการค้าที่ขยายข้ามทะเลกว้างใหญ่เริ่มขึ้นภายในบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ชานอดีตเมืองเกษตรกรรมซึ่งบัดนี้กลายเป็นฐานอุตสาหกรรมของยุคใหม่

ถึงจะอยู่คุมโรงงานไป ผ้าล็อตใหม่ก็คงยังไม่ถึงเวลาส่งออก ทั้งแผนการตีตลาดตะวันตกแข่งกับประเทศใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แล้วยังเรื่องเรือสินค้าขาประจำที่ได้เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองรั้งตำแหน่งกัปตันก็ยังไม่มีวี่แววกลับเข้าฝั่ง ไดจิจึงใช้โอกาสวันหยุดยาวสิ้นปีกลับมาพักที่บ้านเกิดเสียเลย

“ขอโทษที่ให้รอนะครับ!” เสียงดังฟังชัดติดจะโหวกเหวกจากหน้าประตูคงจะไม่พ้นเจ้าหนุ่มทานากะกับนิชิโนยะ และเสียงกระแอมปรามเบาๆ ที่ตามมาคงเป็นของเอ็นโนะชิตะไม่ผิดแน่

“เข้ามาเลย” ไดจิร้องบอก

เด็กหนุ่มสามคนช่วยขนสัมภาระของเขาเข้ามา ต่างคนก็เติบโตสูงใหญ่ขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เห็นมากทีเดียว เจ้าทานากะสูงเลยเขาไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้งสามดูแข็งแรงมีเนื้อมีหนังผิดกับเด็กอดอยากสามคนที่จำได้ลิบลับ

“คุณไดจิ ยินดีต้อนรับกลับมานะครับ!” นิชิโนยะดูจะไม่ปิดบังความดีใจเลย รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาตรงๆ สมแล้วที่เป็นเจ้าตัว

“ขอบใจนะ ทั้งสามคนเลย”

ไดจิกำลังจะส่งค่าตอบแทนให้ แต่เหล่าเด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง

“แค่ยกกระเป๋าให้เป็นการตอบแทนที่เล็กน้อยมากครับสำหรับเรื่องที่คุณไดจิช่วยเอาไว้” เป็นเอ็นโนะชิตะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม

ชายวัยสามสิบต้นๆ มองส่งเด็กทั้งสามที่ลาไปพร้อมอาทิตย์อัสดง แม้จะยังหนุ่มแน่นแต่เขาก็ติดนิสัยชอบระลึกความหลังเป็นคนแก่ไปเสียแล้ว

เขาพบสามคนนั้นถูกจับได้ว่าร่วมขบวนการขนสินค้าข้ามแดนหนีภาษี ทั้งสามกำพร้าไร้ผู้ปกครองจึงถูกชักจูงให้ทำผิดได้ง่าย ซ้ำเมื่อถูกจับได้ก็โดนทิ้งให้รับชะตากรรม ไดจิช่วยเด็กๆ ไว้และสอนให้หาเลี้ยงชีพด้วยงานอันควรตามกำลังในตอนนั้นจะทำได้ เมื่อได้เห็นว่าเวลาผ่านไปทั้งสามมีชีวิตที่ดีขึ้นก็อดชื่นใจไม่ได้

ไดจิอยากพักผ่อนเต็มที เขาวางแผนว่าจะจัดของพรุ่งนี้ แต่ถ้าอยากจะนอนก็คงต้องกัดฟันทำความสะอาดที่หลับที่นอนสักหน่อย อย่างน้อยก็อย่านอนจมกองฝุ่นหาเรื่องให้ได้ถ่อไปหาหมออีก แค่ปัญหาการหายใจจากฝุ่นผ้าก็ทำความลำบากให้ชีวิตเขามากพอแล้ว

ฟ้ามืดเร็ว อุณหภูมิก็ลดลงเร็วพอกัน

เขาตรงไปที่เตาผิงคู่บ้านมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ไม่มีฝุ่นจับ ฟืนก็มีอยู่แล้วเพราะทานากะหามาไว้ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็สัญญาว่าจะมาช่วยทำความสะอาดอีก เด็กพวกนี้ทำให้มากเกินไปจริงๆ

ปัญหาคือไม่มีต้นไฟ

ไม้ขีดเก่าจุดไม่ติดแล้ว ช่วงเวลานี้จะไปหาจากที่ไหน บ้านของเขาแยกออกมาจากหมู่บ้านเสียด้วย ทีแรกคิดจะไปต่อไฟมาจากเตาผิงใหญ่ที่จัตุรัสกลางเมือง แต่คิดไปคิดมาไปหามาไว้ให้พร้อมก็คงจะดีเพราะเขาตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปอีกหลายวัน

ช่วงเวลานี้คงต้องไปที่ตรอกเสียแล้วสิ

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะคว้าเสื้อโค้ท

 

แม้โรงงานจะปิดช่วงสิ้นปี แต่ก็ทิ้งควันไว้ในบรรยายกาศ ความเปลี่ยนแปลงนี้แหละที่ไดจิไม่ชอบใจเอาเสียเลย จำได้ว่าเคยเดินผ่านป่าเข้าไปกลางเมือง ตอนนี้กลับต้องฝ่าดงมลพิษขมุกขมัวเข้าไปแทน

แสงไฟสว่างเป็นกระจุกรวมกันตามหมู่บ้าน ทุ่งนาลดน้อยลงเพราะชาวนากลายเป็นแรงงาน สภาพบ้านเรือนดูดีขึ้นก็จริงแต่เขารู้สึกว่าเมืองนี้กำลังจะตายเพราะการพัฒนา

ที่จัตุรัสกลางเมืองเป็นลานกว้าง เตาผิงขนาดใหญ่มีไฟลุกโชติช่วงแผ่ความอบอุ่นให้กับนักเดินทางที่มาพักอยู่ที่นี่ เป็นอันรู้กันว่าหากเดือดร้อน อดอยาก หรือหาที่ซุกหัวนอนไม่ได้ ความช่วยเหลือจะมาหาที่เตาไฟกลางเมืองเสมอ จึงมักเห็นกลุ่มชุมนุมเล็กๆ ของนักเดินทางมานอนผิงไฟไม่ก็คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกันที่นี่ บางครั้งก็จะมีชาวบ้านเอาอาหารและน้ำมาให้ เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งที่อาจได้เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวในชีวิต วิถีปฏิบัตินี้สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่สมัยที่คนยังเชื่อในเทพเจ้าอย่างแรงกล้า ข้ามผ่านยุคศาสนารุ่งเรืองมาได้โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย

ไดจิถูกปลูกฝังให้เข้าใจพื้นที่เตาไฟกลางนี้ตั้งแต่เด็ก แต่เขามีความคิดนอกเหนือจากนั้น

เขาอยากให้ทุกพื้นที่ คนเราช่วยเหลือกันแม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างที่นี่

การค้าขายหาผลประโยชน์เข้าตัวเองก็เรื่องหนึ่ง น้ำใจเป็นอีกเรื่อง

เมื่อยืนอยู่กลางจัตุรัสจะสามารถมองเห็นเมืองรอบด้านแผ่ตัวออกไปตามแนวถนนแต่ละเส้น มีเสาไฟจุดให้เห็น เปลวไฟสาดแสงสงบนิ่งด้วยเชื้อเพลิงจากน้ำมันวาฬ อาคารรอบด้านเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ช่วยให้ระบุพิกัดจุดหมายได้คือความมืด

ตรอกเก่าไม่มีเสาไฟตั้งอยู่ บ่งบอกชีวิตในความมืดของคนที่นี่

ไดจิมองภาพภายในตรอกแล้วรู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อก่อนที่พ่อพามาหาซื้อของราคาถูกที่นี่แล้วที่เขาไม่ชอบสภาพของมันเอาเสียเลย ตลอดทางของตรอกกว้างพอให้เกวียนสวนกับคนเดินได้คือร้านค้าจัดพอตามมีตามเกิด ขยะของเสียเก็บกวาดพอเป็นพิธี ชายหนุ่มดีใจขึ้นมานิดหนึ่งที่ไม่มีร้านขายของสด

คนที่นั่งประจำแต่ละร้านล้วนเป็นเด็ก ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย ต่างก็ยังอายุน้อยเกินกว่าจะทำงานในโรงงาน ผู้ประกอบการไม่ยินดีจะยัดเงินผู้ตรวจแรงงานมากพอให้จ้างเด็กซึ่งอาจทำผลผลิตให้ตัวเองได้ไม่เต็มที่กัน เด็กๆ จึงมาหาเงินยาไส้กันที่นี่ ไดจิทำอะไรไม่ได้เพราะการค้าไม่ถือเป็นงานผิดกฎหมาย เด็กบางคนครอบครัวก็สนับสนุนไม่ก็บังคับให้มาทำด้วยซ้ำ

เขาเดินไปเรื่อยๆ ตามตรอกที่ทอดตัวยาว ตากวาดมองหาร้านไม้ขีด ในความทรงจำของเขา เด็กขายไม้ขีดไฟเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ตอนนี้คงเติบโตเป็นเด็กสาวแล้วกระมัง ถ้าหากเธอยังไม่ถูกจับแต่งงานกับใครไปก็คงจะยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก

พื้นที่เล็กๆ ห่างจากร้านค้าอื่นไปเล็กน้อย เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้โต๊ะตั้งวางของ มีเพียงตะกร้าหวายสานใบเก่าถือไว้ในสองมือ กางเกงปลายขาดเห็นหน้าแข้งสั่นเพราะอากาศหนาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีมอ

ไดจิตรงเข้าไปหา เมื่อเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้น เขาดูออกว่าเป็นเด็กผู้ชาย แต่หน้าตาซื่อปนแววรั้นเล็กๆ นั้นน่าเอ็นดูราวกับเด็กผู้หญิง ปอยผมสีเทาร่วงลงมาปกหน้าผากเปื้อนฝุ่น สองแก้มแดงซ่านเพราะความเย็น

“ไม้ขีดไหมครับ” น้ำเสียงเล็กเปล่งจากปากพร้อมไอสีขาว สองแขนผอมแห้งยื่นตะกร้ามาตรงหน้าเขา

ในใจของชายหนุ่มตอนนั้นยอมแพ้ไปแล้ว ไดจิทั้งสงสารและเอ็นดูเด็กคนนี้เข้าเต็มเปา

ดวงตากลมโตสีน้ำตาเงยมองเขา ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ามันกำลังวิงวอน ไม้ขีดไปคงไม่ใช่ของที่คนจะหาซื้อกันบ่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้จะอยู่ที่เมืองนี้นานนักแต่เขาก็หยิบมาสองกล่อง

แค่เห็นเด็กชายตาเป็นประกาย หัวใจก็โลดอยู่ในอก

“ขอบคุณมากครับ” ไดจิจ้องมองริมฝีปากเล็กๆ แย้มยิ้มละไมไม่วางตา ในนาทีนั้นเขาอยากให้มันติดตรึงอยู่บนใบหน้าน่ารักนั้นตลอดไป และแล้วก็มองเห็นบางอย่าง

เพราะมีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์จึงไม่ทันเห็นแต่แรก ที่มุมปากของเด็กชายมีรอยช้ำสีม่วง ที่พวงแก้มข้างซ้ายก็มีรอยนิ้วมือขึ้นสีแดงจางๆ รอยเปื้อนที่หน้าผากแท้จริงแล้วก็เป็นแผลช้ำ

“นี่…หนูไปโดนอะไรมา?!”

เด็กชายรู้ตัวว่าไดจิกำลังมองแผลตามตัวของตัวเองอยู่จึงรีบดึงผ้าคลุมลงต่ำกว่าเดิมหวังจะปิดบังใบหน้า แต่นั่นยิ่งเป็นการเผยให้เห็นแผลที่ข้อมือ เป็นรอยรัดไม่ผิดแน่

“ตรงข้อมือนี่ก็ด้วย” ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่ง เอื้อมมือไปหาข้อมือเล็กที่มีรอยถูกมัดอย่างรุนแรง แต่เด็กชายกลับรีบถอยออกห่าง ก้มศีรษะส่ายหน้ารัว

“ไม่…ไม่มีอะไรครับ” มือยังดึงผ้าคลุมลงต่ำอีก “ไม่มีอะไรจริงๆ”

ท่ามกลางภาพอันน่าใจหายที่ปรากฏต่อสายตาอยู่นั้น หิมะแรกได้ตกลงบนไหล่แคบที่ห่อเข้าหากัน

 

 

To be continue…

[Fic HQ!!] Falling in Red [KageHina] #RSD

 

Title : Falling in Red

Set : Raincloud on Sunny Day

Pairing : Kageyama Tobio x Hinata Shouyou

Author : Ryuusei

Note : ตอนนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่จะลงในงาน Hatsunetsu HQ!! Only ค่ะ สามารถติดตามรายละเอียดและการอัพเดตหรือการสั่งจองได้ที่ Twitter : @raryuryn นะคะ ในเรื่องนี้จะเป็นเซ็ตนิทาน มีทั้งหมด 4 เรื่อง 2 เซ็ต จาก 2 นักเขียนค่ะ โดยตัวอย่างของทั้ง 4 เรื่องจะทยอยลงในช่วงนี้ค่ะ


 

 

 

ลึกเข้าไปในป่าใหญ่ สีเขียวสดปกคลุมไปทั่วบริเวณให้ความชุ่มชื้นในยามเช้าตัดกับแสงอาทิตย์ในฤดูร้อน หากแต่ท่ามกลางเสียงแมลงและกิ่งไม้ที่ไหวไปมานั้นกลับมีเสียงฝีเท้าดังเป็นจังหวะใกล้เข้ามายังพื้นที่สีเขียวแห่งนี้

ตึก ตึก

“แฮ่ก แฮ่ก…”

เสียงฝีเท้าอันแผ่วเบาดังไปพร้อมกับเสียงหัวใจที่ตื่นตระหนกของผู้ที่กำลังมาเยือน ร่างในผ้าคลุมสีหมองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วผ่านชายป่า การเคลื่อนไหวสะเปะสะปะหลบหลีกไปตามต้นไม้ใหญ่ต้นแล้วต้นเล่า จนฝีเท้านั้นหลุดลงเมื่อได้ยินเสียงที่ดังกว่าของคนนับร้อย

“เร็วเข้า! เราต้องหามันให้พบ! เพื่อลูกหลานของเรา!!!”

“เฮ!!!”

เสียงของคนนับร้อยดังก้องสะท้อนในป่า พาให้สิ่งมีชีวิตนับร้อยพากันหลบหลีกหาที่หลบภัย ไม่ต่างจากร่างภายใต้ผ้าคลุมที่สองมือกำแน่นไปที่ผ้าคลุมราวกับกลัวว่าถ้าเผลอคลายมือแม้เพียงนิดเดียวทุกอย่างจะพังทลาย

เขาต้องไปจากที่นี่

นั่นคือสิ่งที่ร่างนั้นคิด เมื่อเสียงฝีเท้าของผู้คนดังห่างออกไปร่างที่หลบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ใหญ่ก็กระชับผ้าคลุมให้ลงมาจนเกือบมิดก่อนจะคลำทางไปตามป่าที่ตนคุ้นเคย มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตรงกันข้ามกับฝูงชน ไปยังตัวเมือง ที่สุดท้ายที่เขาควรไป…

แกร็ก

ประตูไม้บานเล็กค่อยๆ แง้มเปิดออกอย่างระมัดระวัง ดวงตาสีสดภายใต้ผ้าคลุมกวาดตามองไปรอบสถานที่ที่เรียกว่าร้านอาหารอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าไร้ซึ่งผู้คน ร่างนั้นก็ก้าวเข้ามายืนในร้านเต็มความสูง เสียงฝีเท้าที่เก็บเงียบมาตลอด ดังอย่างเปิดเผยจงใจอีกครั้ง

“หือ ยินดีต้อนรั…” เพราะได้ยินเสียงแปลกๆ ในร้าน เจ้าของผมสีบลอนด์จึงชะโงกหน้าออกมาจากในครัวแต่ไม่ทันจะได้พูดจบประโยคเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนที่ตอนนี้เลิกชายผ้าคลุมออกแล้ว “โชโย!”

“อืม ฉันเอง” ดวงตากวาดมองไปทั่วร้าน ในขณะที่อิซึมิเองก็จัดการล็อกประตูปิดม่านทุกทางที่คนภายในจะมองเข้ามาในร้านก่อนจะดึงตัวผู้มาเยือนเข้ามายืนหลบหลังโต๊ะเคาท์เตอร์

“นายมาที่นี่ได้ยังไง ไม่รู้หรอว่า…”

“ฉันรู้ แล้วโคจิล่ะ”

“…”

“เขาก็ไปกับชาวบ้านด้วยหรอ” ดวงตาสีพระอาทิตย์มองนิ่ง

“…อืม” เสียงของเพื่อนสนิทเบาบางลงก่อนจะเสริมขึ้นอีก “แต่เราจำเป็น โชโย เราจำเป็นจริงๆ ฉันเชื่อว่าโคจิจะไม่ทำลายนาย…และ…และน้องสาวนายล่ะ?” ดวงตาของเพื่อนสนิทกวาดมองไปรอบบ้านเพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาคิดจะไม่ใช่เรื่องจริง

“ฉันส่งเธอไปบ้านยายแล้ว” สิ้นเสียงความผ่อนคลายก็ปรากฎบนใบหน้าผู้ฟัง

“แล้วนายจะเอาไงต่อ ทุกคนที่นี่…เชื่อว่านายเป็นพ่อมด”

“แต่ฉันไม่ใช่พ่อมด! น้องสาว…ครอบครัวฉันก็ไม่ได้เป็น!”

“ฉันรู้ๆ แต่…แต่ถ้านายยังยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่อีกละก็…พวกเขาต้องทำเรื่องเลวร้ายกว่านี้แน่”

“แต่ฉันไม่ได้ทำ นายเชื่อฉันใช่มั้ย” ดวงตาสีส้มมองมาอย่างต้องการการยืนยัน

“เชื่อสิ ทั้งฉันและโคจิเชื่อนายนะเพื่อน แต่ตอนนี้…”

ปังๆ!

เฮือก

เสียงเคาะประตูดังขึ้นจากหน้าร้านพาให้คนในบ้านถึงกับสะดุ้งโหยงทั้งคู่มองไปที่ประตูร้านเป็นตาเดียวกัน โดยที่ไม่ต้องคิดอะไรร่างของอิซึมิก็ดันหลังเพื่อนของตัวเองไปทางหลังร้านก่อนจะส่งห่อของบางอย่างให้พร้อมคำพูดสุดท้าย

“ไปซะ นายมาทางนี้ใช่มั้ย ถัดไปอีกสองถนนมีกองคาราวานพวกเขาพักอยู่แถวนั้นคิดว่าวันนี้น่าจะออกเดินทาง”

“อิซึมิ…”

“นายต้องไปโชโย ไปก่อนที่พวกเขาจะปิดหมู่บ้านนี้” แววตาร้อนลนผลักดันให้ผู้มาเยือนถอยร่นในที่สุดก็ออกไปในทางที่ตนเคยมาอีกครั้ง

ปังๆๆ!!

“มาแล้วๆ”

[…]

“ไม่มีหรอก ห๊ะ ก็เจ้ากองคาราวานนั่นซื้อไปหมดแล้วนี่”

[…]

“เออ ได้ ถ้ามีเมื่อไหร่ฉันจะรีบบอกนายคนแรกเลยบ็อบ”

เสียงบทสนทนาไกลห่างออกไปตามฝีเท้าของร่างที่กลับมาสวมผ้าคลุมเหมือนเดิม เขาลัดเลาะไปทางตรอกด้านหลังร้านรวงที่มืดมิด จิตใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อบางทีก็มีบางบ้านที่เปิดประตูค้างเอาไว้ เสียงพูดคุยในนั้นจึงดังมาเป็นระยะ

“เขาว่าเด็กนั่นทำให้เกิดโรคระบาด…”

[…]

“ไม่อยากจะเชื่อ…”

[…]

และสรรพเสียงก็ค่อยๆ เงียบหายเมื่อเขามาอยู่ตรงทางเชื่อมออกไปยังอีกถนนหนึ่ง ร่างเล็กกระชับผ้าคลุมมากยิ่งขึ้น ดวงตาสีพระอาทิตย์กวาดมองไปรอบถนนก่อนจะพบว่าบนถนนทางขวามือของเขามีเกวียนสินค้าเทียบท่าอยู่

แต่มันก็ไม่ง่ายเลย

“แฮ่ก มันหนีไปแล้ว!”

เสียงฝีเท้าดังมาอย่างไม่ได้ตั้งตัวจากหัวมุมถนนทางซ้าย ชายร่างสูงท่าทงปราดเปรียววิ่งไปเรื่อยพร้อมกับคำประกาศที่ชวนขนหัวลุกของเขา

“มันหนีไปแล้ว แฮ่ก พ่อมดหายตัวไปแล้ว!!”

สิ้นเสียงประกาศ   ชาวบ้านก็ต่างเปิดประตูหน้าต่างออกมาจากบ้าน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ปนเสียงร่ำไห้แห่งความหวดกลัวดังคลอไปตามถนน บางคนก็ออกมาเพื่อฟังเรื่องเล่าของชายคนนั้นให้ชัดอีกที นั่นทำให้ชายคนนั้นตกอยู่ท่ามกลางวงล้อม ทุกสายตาพุ่งไปยังจุดเดียวกัน และนั่นเปิดโอกาสให้ร่างที่หลบซ่อนอยู่ไม่ไกลเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วด้วยสัญชาตญาณการเอาตัวรอดขึ้นหลังรถท้าเทียมเกวียนไป

เสียงจ้อกแจ้กจอแจในถนนดังจนเรียกผู้คนให้สนใจมากขึ้นเว้นเสียก็แต่เจ้าของเกวียนที่เดินออกมาจากที่พักที่เช่าอยู่อย่างเร่งรีบก่อนจะเอ่ยบอกคนของตนด้วยเสียงที่กระตือรือร้น

“เร็วเข้า! สายแล้ว สายแล้ว! เราต้องรีบไปให้ถึงก่อนพรุ่งนี้เช้านะ!”

ราวกับอยู่กันคนละโลก กองคาราวานไม่มีแม้แต่ท่าทางที่จะหยุดสนใจกับเรื่องเล่าของชายผู้มาใหม่ รถม้าเทียมเกวียนเริ่มออกเคลื่อนตัวไปตามทางของมัน ทิ้งไว้แต่ความวุ่นวายอลหม่านเมื่อผู้คนที่ได้เข้าไปในป่ากลับมาอีกครั้งพร้อมกับความล้มเหลว

“เราต้องจับมันให้ได้!”

“ฆ่ามัน!”

แน่นอนว่าคนที่กำลังแอบอยู่ในเกวียนอย่างฮินาตะเองก็ได้ยินทุกคำพูดที่ดังก้องราวกับคำประกาศนั้นเช่นกัน เขารู้แม้กระทั่งว่ามันจะแย่แค่ไหนหากเขาหนีมาตอนนี้โดยไม่ได้บอกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่แน่นอนว่ามันคงแย่กว่าถ้าเขายังยืนกรานที่จะอยู่พิสูจน์ตัวเองตอนนี้

เสียงผู้คนเบาบางลงแล้วเหลือเพียงเสียงเกวียนที่เคลื่อนไปตามถนน ฮินาตะมองสำรวจรอบตัว แม้ว่าจะมืดมากแต่เขาก็พอจะสังเกตได้อยู่ว่าในนี้มีพวกหญ้าแห้งที่น่าจะเป็นสมุนไพรไม่ก็ชาเก็บไว้อย่างดี

เฮ้อ

เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นไม่ทันไรร่างในเกวียนก็ต้องกลับมาเกร็งตัวอีกครั้งเมื่อเสียงของเข้มดังแทรกขึ้นมาพร้อมกับที่เกวียนเองหยุดตัวลง เสียงเจรจาเหมือนจะดังขึ้นจากทางหน้าเกวียนแต่ฮินาตะก็ไม่ค่อยจะได้ยินมันเท่าไหร่ จนกระทั่งเสียงนั่นดังขึ้นและมาหยุดลงตรงข้างเกวียนที่เขานั่งอยู่

“…จำเป็นต้องรีบไปขนาดนั้นเลยหรือ”

“สินค้าของเราเป็นของบอบบางน่ะ ต้องรีบไปส่งไม่งั้นจะราคาตก”

“ในนี้มีอะไร”

“ชาอบแห้ง”

“หือ?”

“…”

“ขอตรวจสอบดูได้มั้ย”

“แน่นอน…” หัวใจของฮินาตะหล่นวูบเมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว เขาไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรหากคนของรัฐเจอเขาตอนนี้ แต่เสียงต่อมาก็ช่วยชีวิตเขาไว้ “…ถ้าหากเรามีเวลาและสภาพอากาศตอนนี้ไม่ชื้นไปนัก ท่านเคาท์ของเราก็ยินดี”

“…”

“…”

“เชิญ”

ไม่นานหลังจากสิ้นเสียงของทหารและผู้คุมกองคาราวาน เกวียนก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านประตูเมืองออกไปอีกครั้ง ร่างที่นั่งหดตัวอยู่ในเกวียนถอนหายใจอย่างโล่งออกอีกครั้ง ดวงตาสีสดที่ตอนนี้ปิดทับด้วยความมืดในเกวียนมองออกไปยังเมืองที่เขาจากมาพร้อมกับกระแสความคิดที่เหลืออยู่

แล้วฉันจะกลับมา…

 

 

To be continue…

[Fic HQ!!] How High is the Lighthouse? [KuroAki] #RSD

Title : How High is the Lighthouse?

Set : Raincloud on Sunny Day

Pairing : Kuroo Tetsurou x Tsukishima Akiteru

Author : Ryuusei

Note : ตอนนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่จะลงในงาน Hatsunetsu HQ!! Only ค่ะ สามารถติดตามรายละเอียดและการอัพเดตหรือการสั่งจองได้ที่ Twitter : @raryuryn นะคะ ในเรื่องนี้จะเป็นเซ็ตนิทาน มีทั้งหมด 4 เรื่อง 2 เซ็ต จาก 2 นักเขียนค่ะ โดยตัวอย่างของทั้ง 4 เรื่องจะทยอยลงในช่วงนี้ค่ะ


 

ท้องทะเลแสนกว้างสุดสายตาคือแนวบรรจบของนภาและมหาสมุทร เหนือขึ้นไปคือกลุ่มเมฆที่ลอยล่องไปตามทิศทางลม เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ในเช้าวันนี้ที่อากาศแสนสดชื่นแจ่มใส เจ้าของร่างในชุดนอนทอดสายตาไปตามท้องทะเลที่พรมไปด้วยเกลียวคลื่น สึกิชิมะ อากิเทรุจำไม่ได้ว่าเขานั่งอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว แต่ที่แน่ๆ ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้าเขาก็รู้สึกว่างและขี้เกียจเหลือเกินจนไม่อยากแม้แต่จะลุกไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า

พรึ่บ

ไม่ทันตั้งตัวร่างสีขาวของนกนางนวลก็บินโฉบหน้าต่างไปอย่างรวดเร็วพาเอาคนที่นั่งมองวิวทิวทัศน์ของทะเลอยู่ถึงกับสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์

‘วันนี้ก็สงบเช่นเคยสินะ’

หลังจากสำรวจดูทุกอย่างแล้วร่างในชุดนอนก็ผละออกจากบานหน้าต่างและตัดสินใจลงไปอาบน้ำที่ด้านล่าง สองเท้าสลับเดินไปตามบันไดที่คดเคี้ยวของประภาคารสูงที่เขาทำหน้าที่เป็นนายประภาคารอยู่พลางในหัวก็คิดถึงภาพอาหารเช้าที่น้องชายที่น่ารักของเขาจะเอามาให้ในทุกวัน ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ค่อยพูดคุยกับเขานักจากเรื่องเมื่อคราวก่อน แต่เคย์ก็ยังเป็นเคย์ล่ะนะ

พอคิดถึงเรื่องเมื่อคราวก่อนร่างในชุดนอนก็ค่อยๆ ปรากฎริ้วของความหม่นหมองบนใบหน้าแต่เพียงชั่วครู่เท่านั้นเมื่อลงมาถึงชั้นล่างเขาก็พบกับตะกร้าใบเล็กวางอยู่บนโต๊ะในห้องตอนนั้นเองที่ความอบอุ่นปรากฎขึ้นบนดวงหน้า

เขาเดินไปที่โต๊ะรับแขกที่บางทีก็ถูกใช้เป็นโต๊ะรับประทานอาหารก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกระดาษใบเล็กที่ถูกตะกร้าทับไว้ไม่ให้ปลิว ‘อาหารเช้า แม่ให้เอามาให้’ อ่านจบกระดาษแผ่นนั้นก็ถูกเก็บใส่สมุดโน้ตสีน้ำตาลวางไว้อย่างดี แล้วอากิเทรุก็เดินยิ้มอย่างมีความสุขเข้าห้องน้ำไปโดยไม่ได้สังเกตถึงคลื่นลมที่โบกพัดอยู่ด้านนอก

 

เช้านี้เป็นเช้าที่สดใส จริงหรือ?

 

ประตูห้องน้ำเปิดออกอีกครั้ง ร่างผมบลอนด์ในชุดลำลองสีน้ำตาลเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยรอยยิ้มเมื่อคิดถึงมื้อเช้าของวัน แต่ฉับพลันทั้งร่างก็ชะงักกึก ดวงตาเบิกโพลงราวกับเห็นผีเมื่อมองเห็นสิ่งแปลกปลอมที่กำลังนั่งอยู่ตรงเก้าอี้รับแขก

“โอยะ?”

ไม่ต่างจากเขาที่ตกใจ เมื่อเจ้า ‘สิ่งแปลกปลอม’ มองมาที่เขาอย่างต้องการสำรวจด้วยการมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า หลังจากนั้นก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาเสียจนคนที่มองอยู่อย่างเขาได้แต่ยืนนิ่งงัน แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ถึงความตื่นตระหนกที่แล่นอยู่ในหัวของเขาเลย เจ้านั่นยังคงมองนิ่งราวกับจะเล่นจ้องตากัน ดวงตาสองคู่สบกันเนิ่นนาน หนึ่งตกตะลึง หนึ่งสนใจ สถานการณ์เงียบสงบราวท้องทะเลก่อนจะเกิดสึนามิ

“เจ้า…” แม้ว่ายากจะเอื้อนเอ่ยกับสิ่งที่เห็น แต่อากิเทรุก็รู้ว่าเขาควรจะทำหน้าที่ของตัวเอง และเขาควรจะเอ่ยอะไรออกไปสักอย่าง

แต่อะไรล่ะ เจ้านี่เป็นใคร มาได้ยังไงเขายังไม่รู้เลย!

ที่รู้คือเจ้าคนทรงผมแปลกประหลาดนี่ต้องไม่ได้มาดีเป็นแน่ อากิเทรุกวาดตาสำรวจร่างตรงหน้าที่ตอนนี้ใส่เสื้อสีดำผ่าหน้าที่เผยให้เห็นอกกว้าง ชุดท่าทางทะมัดทะแมงพันทบด้วยผ้าสีแดงตรงเอว และพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปืนพกพาที่เหน็บอยู่ที่เอว ลมหายใจของคนมองสะดุดกึกไปชั่วครู่

หรือว่า…เจ้านี่จะเป็น…โจรสลัด!!!

ไม่ทันได้คิดอะไรต่อสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นว่ามือของอีกฝ่ายกำลังถือสมุดโน้ตสีน้ำตาลอยู่ในมือ สมุดนั่นเป็นสมุดบันทึกของเขาเอง เขาจำได้ดี แต่ว่ามันจะไปอยู่กับเจ้าโจรนั่นได้ยังไง

รึว่ามันจะเข้ามาขโมยของ

“โอ้ะ แซนด์วิชนี่น่ากินดีนะพี่ชาย”

ไวกว่าความคิดอากิเทรุก็รีบตรงดิ่งเข้าไปหยิบตะกร้าและสมุดบันทึกออกมาจากมืออีกฝ่ายอย่างไม่กลัวเกรงว่าเจ้าโจรสลัดนั่นจะเอื้อมมือไปหยิบปืนขึ้นมาเป่าหัวเขาไหม ส่วนร่างสูงเองก็ดูชะงักไปชั่วครู่กับความเร็วของอีกฝ่าย และการกอดตะกร้าไว้ราวกับว่ามันเป็นของสำคัญยิ่ง ทำเอาคนมองไม่รู้จะกลั้นขำยังไงดีกับภาพชายหนุ่มที่กอดตะกร้าไว้ราวกับสาวน้อย

“ห้ามแตะต้องของๆ ฉันนะ เจ้าโจรชั่ว!”

“ห๊ะ?” ใบหน้าของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘เจ้าโจรชั่ว’ นิ่งค้างไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมา

“แก…” และนั่นยิ่งทำให้คนมองพาลตกใจไปกับการกระทำไม่มีปี่ขลุ่ยของคนตรงหน้า แต่ทั้งอย่างนั้นเขาก็ยังคงไม่หวั่นเกรงแม้ว่าลึกๆ จะมีความกลัวซุกซ่อนอยู่ก็ตาม

“โถ่ พี่ชาย ฉันขอโทษละกันนะที่ไปแตะต้องของรักของหวงน่ะ แต่…” ไม่ทันพูดจบประโยคเสียงของอีกฝ่ายก็สวนขึ้นมา

“งั้นก็ออกไปซะ เจ้าโจรขโมยของ” เสียงที่พยายามควบคุมให้นิ่งของอากิเทรุดังขึ้นขัด ใบหน้าที่จริงจังจ้องอีกฝ่ายกลับจนคนเป็นโจรเริ่มรู้สึกหวั่นเกรง

“คือ…ฉันไม่ใช่โจรหรอกนะ นี่ดูสิ ฉันเหมือนโจรหรอ” คนที่ถูกเรียกว่าโจรยื่นมือออกไปข้างลำตัวเป็นสัญลักษณ์ให้อีกฝ่ายเชื่อมั่นถึงความจริงใจของตัวเอง

และแน่นอนว่าอากิเทรุก็เชื่อมั่นมากๆ

“เห็นมั้ยล่ะ ฉันออกจะดูเป็นคนดีนะ” พูดพลางโปรยยิ้มจริงใจให้อีกฝ่าย ที่เขามั่นใจว่าอีกฝ่ายจะต้อง…

“ออกไปจากที่นี่และออกไปจากหมู่บ้านฉันด้วย ที่นี่ไม่ต้อนรับโจรสลัด!”

“ฮะ ห๊ะ? เฮ้! นี่ไม่เชื่อฉันเลยหรอ” ใบหน้าเหรอหราปรากฎเด่นชัดเมื่ออีกฝ่ายเริ่มควานหาอะไรบางอย่าง และบางอย่างนั่นก็มีท่าทางเหมือนปืน

ไม่ใช่ละ นั่นมันปืนเลยนี่!

“เฮ้ พี่ชาย เราคุยกันได้นะ…”

“ไม่จำเป็น แค่ดูก็รู้ว่าโจรสลัดชัดๆ” ว่าจบปืนนั่นก็ถูกยกขึ้นมา ปากกระบอกปืนจ่อไปยังใบหน้าของผู้บุกรุก

“เอ่อ คือ…ใจเย็นๆ ก่อนนะ” ร่างสูงเองพอเห็นความไม่ลดละของอีกฝ่ายก็ชักจะเริ่มใจคอไม่ดี สองเท้าค่อยๆ ถอยออกห่างไปทางประตูอย่างเชื่องช้า

ถึงจะไม่รู้ว่าเขาไม่น่าเชื่อถือตรงไหน แต่เห็นท่าจะต้องถอยก่อนละมั้ง

“จะออกไม่ออก” เสียงแข็งดังขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายตามมาด้วยมือสองข้างที่กระชับปืนแน่น ย่างก้าวที่อากิเทรุเดินเข้าใกล้ อีกฝ่ายก็ต้องถอยออกมาทีละก้าวเช่นกัน

“ถะ…ถอยก่อน…ก็ได้ครับ” พูดจบร่างสูงก็ถอยออกไปจนถึงนอกประตู เช่นเดียวกับที่คนไล่ต้อนเดินออกมาถึงหน้าประตู

“แต่ว่า…”

ปัง!

เสียงปิดประตูดังขัดจังหวะการพูดของอีกฝ่าย ตามมาด้วยเสียงลงกลอนอย่างเลือดเย็น ถือเป็นการสั่งลา พอเห็นว่าข้างนอกเงียบไปแล้วปืนในมือคนถือก็ถูกปล่อยลงข้างตัว แผ่นหลังพิงประตูบ้านพลางถอนหายใจกับเรื่องไม่คาดฝันเมื่อครู่

‘เฮ้อ นี่เขาไล่มันไปได้แล้วสินะ’

แต่ทั้งอย่างนั้น เจ้าโจรสลัดก็ยังไม่เลิกราและโผล่หน้าออกมาทางข้างประตูที่เป็นกระจกใส พร้อมกับเอ่ยเสียงยั่วทั้งรอยยิ้ม “แล้วผมจะมาหาใหม่ละกันนะ”

อากิเทรุหันไปถลึงตามองไปที่กระจกอย่างจะกินเลือดกินเนื้อคนด้านนอก มือหวังจะหยิบปืนมาขู่ แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อร่างสีดำหายไปรวดเร็วราวกับแมว

 

 

To be continue….

 

 

 

[Fic HQ!!] Gretel and the Beast [KyouYaha] #SDN

Title : Gretel and the Beast

Set : Stardust in Dark Night

Pairing : Kyoutani Kentarou x Yahaba Shigeru

Author : Akesaka Mitsugi

Note : ตอนนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่จะลงในงาน Hatsunetsu HQ!! Only ค่ะ สามารถติดตามรายละเอียดและการอัพเดตหรือการสั่งจองได้ที่ Twitter : @raryuryn นะคะ ในเรื่องนี้จะเป็นเซ็ตนิทาน มีทั้งหมด 4 เรื่อง 2 เซ็ต จาก 2 นักเขียนค่ะ โดยตัวอย่างของทั้ง 4 เรื่องจะทยอยลงในช่วงนี้ค่ะ

——————————————————————————————————————-

…ศีรษะปกผมขาวเข้าเตาอบ

ความโชคร้ายต้องจบในวันนี้

ผลักหญิงแก่ปิดฝาเตาไม่รอรี…

ชิเงรุพึมพำเนื้อร้องท่อนหนึ่งของเพลงใหม่ที่ตนแต่งเตรียมไว้ขับกล่อมผู้เป็นนายยามเข้าสู่นิทรา ใบหน้างดงามไม่ปกปิดความเบื่อหน่าย ซบศีรษะลงบนตักที่ปกคลุมด้วยกางเกงผ้าชั้นดี

…ให้อัคคีผลาญสิ้นซึ่งวิญญาณ์…

แม้ฝ่ามืออันคุ้นเคยจะลูบเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนอย่างอ่อนโยน แต่ชิเงรุรู้ดีว่าที่โออิคาวะทำก็เพียงเพื่อดับรำคาญเท่านั้น เป็นการปลอบสัตว์เลี้ยงให้นิ่งเพื่อที่ตัวเองจะได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่กำลังสนใจอยู่ได้

น่าสนใจอะไรนักหนา ตัวเองก็ดูการฝึกมาแล้วไม่ใช่รึไง

ได้แต่บ่นกระปอดกระแปดในใจ

“คุณโออิคาวะ…” แล้วส่งเสียงอ้อนอย่างทุกครั้ง

ผู้เป็นนายก้มลงมายิ้มให้ รอยยิ้มที่ต่อให้รู้ตัวจริงของเขาก็ยังหลงใหลราวกับต้องมนตรา

ก็สมแล้วล่ะนะ ในเมื่อพ่อมดโออิคาวะ โทรุสามารถร่ายมนตร์ดึงดูดเหล่าเศรษฐีผู้ดีจากทั้งนอกเมืองในเมืองให้มาติดกับการแสดงของคณะละครสัตว์ของตัวเอง จนอัฒจันทร์รอบลานมหรสพชั้นใต้ดินซึ่งซุกซ่อนอยู่ใต้คฤหาสน์โอ่อ่ากลางป่าไม่เคยมีที่นั่งว่างให้เห็น นับประสาอะไรกับการสะกดเด็กคนหนึ่งให้ตกอยู่ใต้อำนาจของเขา

หรือต้องบอกว่าเป็น ‘นกตัวหนึ่ง’ กันแน่นะ

………………………..

สัตว์ร้ายคลานสี่ขาเข้ามาดมกลิ่นเนื้อในมือของเขา ดวงตาที่เป็นประกายเมื่อเห็นอาหารชวนให้สงสัยว่ามันไว้ใจคนแปลกหน้าง่ายขนาดนี้ได้อย่างไร เจ้าสัตว์อ้าปากเห็นเขี้ยวคมกริบที่เคยฝังลงในเนื้อแขนของเขาเมื่อคราวก่อน แล้วงับเนื้อเข้าไปเต็มปากเต็มคำ สวาปามอาหารเข้าไปจนหมด แล้วเลียเลือดที่ติดมือของเด็กหนุ่มไม่ให้เหลือแม้แต่หยดเดียว

ชิเงรุทำได้เพียงยืนสั่นอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าชักมือกลับเพราะกลัวจะโดนกัดอีกรอบ มันยังคงเลียฝ่ามือของเขา ลามไปยังหลังมือที่เลือดไหลไปถึง

ตอนที่น้ำตาใกล้จะไหลออกมาแล้วนั่นเอง จมูกของเจ้าสัตว์ก็ดมฟุดฟิด ได้กลิ่นที่มันสนใจ มันขยับใกล้เข้ามา ปลายจมูกของมันดุนแขนของเขาไล่จากข้อมือขึ้นมา ชิเงรุหลับตาแน่นไม่กล้ามอง อยากจะวิ่งหนีก็ทำไม่ได้เพราะขาแข็งไปหมดแล้ว ช่วงเวลาที่ไม่กล้าหายใจความรู้สึกที่ต้นแขนก็ส่งมาถึง

ดวงตากลมโตที่บัดนี้มีน้ำตาคลอค่อยๆ ลืมขึ้น ภาพที่เห็นนั้นชวนประหลาดใจ แขนของเขายังอยู่ดี แต่เจ้าสัตว์ร้ายกำลังแกะผ้าพันแผลของเขาด้วยมือของมัน

ทั้งที่โดนเลี้ยงให้เป็นแบบนี้ แต่มันยังคงจำวิธีการใช้มืออย่างมนุษย์ได้

มันดึงผ้าพันแผลออก เผยให้เห็นรอยเขี้ยวที่ยังไม่ปิดสนิทดี ชิเงรุใจไม่กล้าพอจะหยดน้ำตาเทียนแม่มดลงบนแผลของตัวเองจึงได้พันผ้าเอาไว้ ซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อแขนยาวที่สวมใส่ประจำ แม้แต่ตอนอาบน้ำก็ยังไม่กล้ามอง เขาจึงเพิ่งได้เห็นแผลชัดๆ ครั้งแรกนับตั้งแต่โดนกัด

แล้วเด็กหนุ่มก็ลืมหายใจอีกครั้งเมื่อเจ้าสัตว์ร้ายจับแขนของเขาเอาไว้แน่นแบบที่ต่อให้ยังมีสติดึงแขนกลับก็คงทำไม่ได้ แล้วเลียแผลที่มันทำไว้กับเขา ลิ้นสากและชื้นกวาดเลือดไปจนหมด

ชิเงรุทรุดลงนั่งทันทีที่มันปล่อยเขา ภาพรอบตัวสั่นไปมาซ้อนทับกับภาพของสัตว์ร้ายที่ถอยกลับไปนั่งมองเขาจากมุมของมัน ราวกับว่าเขาลืมวิธีพูดไปแล้วในนาทีนั้น

“น…นาย…” ในที่สุดก็หาเสียงของตัวเองเจอ “ยังเป็น…คนอยู่เหรอ…?”

To be Continue….