Title : The Little Match Boy
Set : Stardust in Dark Night
Pair : Sawamura Daichi x Sugawara Koushi
Author : Akesaka Mitsugi
Note : ตอนนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งในหนังสือที่จะลงในงาน Hatsunetsu HQ!! Only ค่ะ สามารถติดตามรายละเอียดและการอัพเดตหรือการสั่งจองได้ที่ Twitter : @raryuryn นะคะ ในเรื่องนี้จะเป็นเซ็ตนิทาน มีทั้งหมด 4 เรื่อง 2 เซ็ต จาก 2 นักเขียนค่ะ โดยตัวอย่างของทั้ง 4 เรื่องจะทยอยลงในช่วงนี้ค่ะ
ตะวันใกล้ตกดิน
ซาวามูระ ไดจิรูดม่านผ้าลายตะวันออกกลางเปิดออก ห้องนั่งเล่นอาบด้วยสีสนธยา ใต้ชั้นฝุ่นไม่หนาไม่บางคือความทรงจำอบอุ่นที่จากไปนาน
ที่ปลายสายตาคือผ้าแขวนประดับผนังฝีมือพ่อ เศษผ้าที่เพียรเก็บสะสมเป็นเวลานานเย็บปะรวมกัน สร้างเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ วิษุวัทและอายัน…พ่อสร้างมันขึ้นจากแนวคิดนั้น
ถ้าเป็นช่วงนี้ คงเหมาะกับภาพล่างสุดที่ผู้คนพากันเฉลิมฉลองให้กับดวงไฟที่เริ่มตื่นจากการหลับใหล ช่วงเวลาที่กลางคืนยาวนานที่สุดก่อนจะถึงวันที่กลางวันค่อยๆ นานขึ้น การกลับมาของดวงอาทิตย์ในช่วงสิ้นปี
ห้าปีเข้าไปแล้วที่ไม่ได้กลับมาบ้านหลังนี้ จุดเริ่มต้นของธุรกิจที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับเขา ขอบเขตการค้าที่ขยายข้ามทะเลกว้างใหญ่เริ่มขึ้นภายในบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ชานอดีตเมืองเกษตรกรรมซึ่งบัดนี้กลายเป็นฐานอุตสาหกรรมของยุคใหม่
ถึงจะอยู่คุมโรงงานไป ผ้าล็อตใหม่ก็คงยังไม่ถึงเวลาส่งออก ทั้งแผนการตีตลาดตะวันตกแข่งกับประเทศใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังต้องรอจังหวะที่เหมาะสม แล้วยังเรื่องเรือสินค้าขาประจำที่ได้เพื่อนสมัยเด็กของตัวเองรั้งตำแหน่งกัปตันก็ยังไม่มีวี่แววกลับเข้าฝั่ง ไดจิจึงใช้โอกาสวันหยุดยาวสิ้นปีกลับมาพักที่บ้านเกิดเสียเลย
“ขอโทษที่ให้รอนะครับ!” เสียงดังฟังชัดติดจะโหวกเหวกจากหน้าประตูคงจะไม่พ้นเจ้าหนุ่มทานากะกับนิชิโนยะ และเสียงกระแอมปรามเบาๆ ที่ตามมาคงเป็นของเอ็นโนะชิตะไม่ผิดแน่
“เข้ามาเลย” ไดจิร้องบอก
เด็กหนุ่มสามคนช่วยขนสัมภาระของเขาเข้ามา ต่างคนก็เติบโตสูงใหญ่ขึ้นจากครั้งล่าสุดที่เห็นมากทีเดียว เจ้าทานากะสูงเลยเขาไปแล้วด้วยซ้ำ ทั้งสามดูแข็งแรงมีเนื้อมีหนังผิดกับเด็กอดอยากสามคนที่จำได้ลิบลับ
“คุณไดจิ ยินดีต้อนรับกลับมานะครับ!” นิชิโนยะดูจะไม่ปิดบังความดีใจเลย รู้สึกอย่างไรก็แสดงออกมาตรงๆ สมแล้วที่เป็นเจ้าตัว
“ขอบใจนะ ทั้งสามคนเลย”
ไดจิกำลังจะส่งค่าตอบแทนให้ แต่เหล่าเด็กหนุ่มปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง
“แค่ยกกระเป๋าให้เป็นการตอบแทนที่เล็กน้อยมากครับสำหรับเรื่องที่คุณไดจิช่วยเอาไว้” เป็นเอ็นโนะชิตะที่กล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ชายวัยสามสิบต้นๆ มองส่งเด็กทั้งสามที่ลาไปพร้อมอาทิตย์อัสดง แม้จะยังหนุ่มแน่นแต่เขาก็ติดนิสัยชอบระลึกความหลังเป็นคนแก่ไปเสียแล้ว
เขาพบสามคนนั้นถูกจับได้ว่าร่วมขบวนการขนสินค้าข้ามแดนหนีภาษี ทั้งสามกำพร้าไร้ผู้ปกครองจึงถูกชักจูงให้ทำผิดได้ง่าย ซ้ำเมื่อถูกจับได้ก็โดนทิ้งให้รับชะตากรรม ไดจิช่วยเด็กๆ ไว้และสอนให้หาเลี้ยงชีพด้วยงานอันควรตามกำลังในตอนนั้นจะทำได้ เมื่อได้เห็นว่าเวลาผ่านไปทั้งสามมีชีวิตที่ดีขึ้นก็อดชื่นใจไม่ได้
ไดจิอยากพักผ่อนเต็มที เขาวางแผนว่าจะจัดของพรุ่งนี้ แต่ถ้าอยากจะนอนก็คงต้องกัดฟันทำความสะอาดที่หลับที่นอนสักหน่อย อย่างน้อยก็อย่านอนจมกองฝุ่นหาเรื่องให้ได้ถ่อไปหาหมออีก แค่ปัญหาการหายใจจากฝุ่นผ้าก็ทำความลำบากให้ชีวิตเขามากพอแล้ว
ฟ้ามืดเร็ว อุณหภูมิก็ลดลงเร็วพอกัน
เขาตรงไปที่เตาผิงคู่บ้านมาตั้งแต่สมัยคุณปู่ ไม่มีฝุ่นจับ ฟืนก็มีอยู่แล้วเพราะทานากะหามาไว้ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก็สัญญาว่าจะมาช่วยทำความสะอาดอีก เด็กพวกนี้ทำให้มากเกินไปจริงๆ
ปัญหาคือไม่มีต้นไฟ
ไม้ขีดเก่าจุดไม่ติดแล้ว ช่วงเวลานี้จะไปหาจากที่ไหน บ้านของเขาแยกออกมาจากหมู่บ้านเสียด้วย ทีแรกคิดจะไปต่อไฟมาจากเตาผิงใหญ่ที่จัตุรัสกลางเมือง แต่คิดไปคิดมาไปหามาไว้ให้พร้อมก็คงจะดีเพราะเขาตั้งใจจะอยู่ที่นี่ไปอีกหลายวัน
ช่วงเวลานี้คงต้องไปที่ตรอกเสียแล้วสิ
ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะคว้าเสื้อโค้ท
แม้โรงงานจะปิดช่วงสิ้นปี แต่ก็ทิ้งควันไว้ในบรรยายกาศ ความเปลี่ยนแปลงนี้แหละที่ไดจิไม่ชอบใจเอาเสียเลย จำได้ว่าเคยเดินผ่านป่าเข้าไปกลางเมือง ตอนนี้กลับต้องฝ่าดงมลพิษขมุกขมัวเข้าไปแทน
แสงไฟสว่างเป็นกระจุกรวมกันตามหมู่บ้าน ทุ่งนาลดน้อยลงเพราะชาวนากลายเป็นแรงงาน สภาพบ้านเรือนดูดีขึ้นก็จริงแต่เขารู้สึกว่าเมืองนี้กำลังจะตายเพราะการพัฒนา
ที่จัตุรัสกลางเมืองเป็นลานกว้าง เตาผิงขนาดใหญ่มีไฟลุกโชติช่วงแผ่ความอบอุ่นให้กับนักเดินทางที่มาพักอยู่ที่นี่ เป็นอันรู้กันว่าหากเดือดร้อน อดอยาก หรือหาที่ซุกหัวนอนไม่ได้ ความช่วยเหลือจะมาหาที่เตาไฟกลางเมืองเสมอ จึงมักเห็นกลุ่มชุมนุมเล็กๆ ของนักเดินทางมานอนผิงไฟไม่ก็คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การเดินทางกันที่นี่ บางครั้งก็จะมีชาวบ้านเอาอาหารและน้ำมาให้ เป็นพื้นที่ที่ทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งที่อาจได้เห็นหน้ากันเพียงครั้งเดียวในชีวิต วิถีปฏิบัตินี้สืบทอดกันรุ่นสู่รุ่นมาตั้งแต่สมัยที่คนยังเชื่อในเทพเจ้าอย่างแรงกล้า ข้ามผ่านยุคศาสนารุ่งเรืองมาได้โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
ไดจิถูกปลูกฝังให้เข้าใจพื้นที่เตาไฟกลางนี้ตั้งแต่เด็ก แต่เขามีความคิดนอกเหนือจากนั้น
เขาอยากให้ทุกพื้นที่ คนเราช่วยเหลือกันแม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้อย่างที่นี่
การค้าขายหาผลประโยชน์เข้าตัวเองก็เรื่องหนึ่ง น้ำใจเป็นอีกเรื่อง
เมื่อยืนอยู่กลางจัตุรัสจะสามารถมองเห็นเมืองรอบด้านแผ่ตัวออกไปตามแนวถนนแต่ละเส้น มีเสาไฟจุดให้เห็น เปลวไฟสาดแสงสงบนิ่งด้วยเชื้อเพลิงจากน้ำมันวาฬ อาคารรอบด้านเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่ช่วยให้ระบุพิกัดจุดหมายได้คือความมืด
ตรอกเก่าไม่มีเสาไฟตั้งอยู่ บ่งบอกชีวิตในความมืดของคนที่นี่
ไดจิมองภาพภายในตรอกแล้วรู้สึกปวดกระเพาะขึ้นมา ตั้งแต่เมื่อก่อนที่พ่อพามาหาซื้อของราคาถูกที่นี่แล้วที่เขาไม่ชอบสภาพของมันเอาเสียเลย ตลอดทางของตรอกกว้างพอให้เกวียนสวนกับคนเดินได้คือร้านค้าจัดพอตามมีตามเกิด ขยะของเสียเก็บกวาดพอเป็นพิธี ชายหนุ่มดีใจขึ้นมานิดหนึ่งที่ไม่มีร้านขายของสด
คนที่นั่งประจำแต่ละร้านล้วนเป็นเด็ก ทั้งเด็กหญิงเด็กชาย ต่างก็ยังอายุน้อยเกินกว่าจะทำงานในโรงงาน ผู้ประกอบการไม่ยินดีจะยัดเงินผู้ตรวจแรงงานมากพอให้จ้างเด็กซึ่งอาจทำผลผลิตให้ตัวเองได้ไม่เต็มที่กัน เด็กๆ จึงมาหาเงินยาไส้กันที่นี่ ไดจิทำอะไรไม่ได้เพราะการค้าไม่ถือเป็นงานผิดกฎหมาย เด็กบางคนครอบครัวก็สนับสนุนไม่ก็บังคับให้มาทำด้วยซ้ำ
เขาเดินไปเรื่อยๆ ตามตรอกที่ทอดตัวยาว ตากวาดมองหาร้านไม้ขีด ในความทรงจำของเขา เด็กขายไม้ขีดไฟเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ตอนนี้คงเติบโตเป็นเด็กสาวแล้วกระมัง ถ้าหากเธอยังไม่ถูกจับแต่งงานกับใครไปก็คงจะยืนอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก
พื้นที่เล็กๆ ห่างจากร้านค้าอื่นไปเล็กน้อย เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีแม้โต๊ะตั้งวางของ มีเพียงตะกร้าหวายสานใบเก่าถือไว้ในสองมือ กางเกงปลายขาดเห็นหน้าแข้งสั่นเพราะอากาศหนาว ใบหน้าอ่อนเยาว์ซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมสีมอ
ไดจิตรงเข้าไปหา เมื่อเด็กคนนั้นเงยหน้าขึ้น เขาดูออกว่าเป็นเด็กผู้ชาย แต่หน้าตาซื่อปนแววรั้นเล็กๆ นั้นน่าเอ็นดูราวกับเด็กผู้หญิง ปอยผมสีเทาร่วงลงมาปกหน้าผากเปื้อนฝุ่น สองแก้มแดงซ่านเพราะความเย็น
“ไม้ขีดไหมครับ” น้ำเสียงเล็กเปล่งจากปากพร้อมไอสีขาว สองแขนผอมแห้งยื่นตะกร้ามาตรงหน้าเขา
ในใจของชายหนุ่มตอนนั้นยอมแพ้ไปแล้ว ไดจิทั้งสงสารและเอ็นดูเด็กคนนี้เข้าเต็มเปา
ดวงตากลมโตสีน้ำตาเงยมองเขา ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่าว่ามันกำลังวิงวอน ไม้ขีดไปคงไม่ใช่ของที่คนจะหาซื้อกันบ่อยๆ ทั้งที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้จะอยู่ที่เมืองนี้นานนักแต่เขาก็หยิบมาสองกล่อง
แค่เห็นเด็กชายตาเป็นประกาย หัวใจก็โลดอยู่ในอก
“ขอบคุณมากครับ” ไดจิจ้องมองริมฝีปากเล็กๆ แย้มยิ้มละไมไม่วางตา ในนาทีนั้นเขาอยากให้มันติดตรึงอยู่บนใบหน้าน่ารักนั้นตลอดไป และแล้วก็มองเห็นบางอย่าง
เพราะมีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์จึงไม่ทันเห็นแต่แรก ที่มุมปากของเด็กชายมีรอยช้ำสีม่วง ที่พวงแก้มข้างซ้ายก็มีรอยนิ้วมือขึ้นสีแดงจางๆ รอยเปื้อนที่หน้าผากแท้จริงแล้วก็เป็นแผลช้ำ
“นี่…หนูไปโดนอะไรมา?!”
เด็กชายรู้ตัวว่าไดจิกำลังมองแผลตามตัวของตัวเองอยู่จึงรีบดึงผ้าคลุมลงต่ำกว่าเดิมหวังจะปิดบังใบหน้า แต่นั่นยิ่งเป็นการเผยให้เห็นแผลที่ข้อมือ เป็นรอยรัดไม่ผิดแน่
“ตรงข้อมือนี่ก็ด้วย” ชายหนุ่มย่อตัวลงนั่ง เอื้อมมือไปหาข้อมือเล็กที่มีรอยถูกมัดอย่างรุนแรง แต่เด็กชายกลับรีบถอยออกห่าง ก้มศีรษะส่ายหน้ารัว
“ไม่…ไม่มีอะไรครับ” มือยังดึงผ้าคลุมลงต่ำอีก “ไม่มีอะไรจริงๆ”
ท่ามกลางภาพอันน่าใจหายที่ปรากฏต่อสายตาอยู่นั้น หิมะแรกได้ตกลงบนไหล่แคบที่ห่อเข้าหากัน
To be continue…