48
อาทิตย์ดับ
1 คืนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์ก่อการร้ายขององค์กรวิลเลิน ในหน้าข่าวเต็มไปด้วยหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักข่าวทุกสำนักพยายามเสิร์ข่าวร้อนเท่าที่ตัวเองจะหามาได้ทั้งจริงเท็จ ส่วนคนรับก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยฟังในระดับเรียลไทม์ตลอดคืน แม่ว่าจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ สิ่งแรกที่ผู้คนสนใจก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพและเกี่ยวพันถึงชีวิตของตนเองที่สุด
เพราะอยู่ดีๆ ความตายที่เคยห่างไกลก็ขยับมาใกล้แค่เพียงเอื้อม
‘…ท่านคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่ใจแล้วรึยังคะว่าสามารถควบคุมได้ 100% ตอนนี้ประชาชนมากมายเริ่มหวาดกลัวและมีข่าวลือปล่อยมาว่าตัวยาจะถูกนำไปทดลองต่อ ไม่ทราบว่าจริง…’
หน้าจอถูกเลื่อนไปอีกช่อง
‘…เป็นข่าวดีที่ทางฮีโร่ทำงานกันอย่างเต็มที่จนสามารถยับยั้งการปล่อยตัวยาได้สำเร็จ แต่ทางสำนักข่าวทราบมาว่ามีผู้เสียชีวิตจากการเข้าร่วมทำภารกิจนี้เพียงหนึ่งท่าน เป็นคนในสังกัดสำนักงานจัดเก็บอัต-‘
ติ๊ด
หน้าจอทีวีถูกปิดลงอย่างกะทันหันในตอนที่ภาพของคนตายที่ว่ากำลังจะถูกยกขึ้นบนหน้าจอ รวมทั้งชีวประวัติย่อๆ เหมือนเคยยามที่มีผู้สละชีวิตเพื่อช่วยสังคม เขาเห็นมันจนชินตาทุกครั้งที่มีฮีโร่ตายไปจากการทำภารกิจ อาจมีคนรู้สึกขอบคุณอยู่บ้างไม่มากก็น้อยต่อคนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่สำหรับคนที่ใกล้ชิด…มันเหมือนกับว่าภาพนั้นเป็นเรื่องโกหกจนไม่อาจทนมองได้
.
.
.
.
.
.
“เฮ้ บาคุโก บาคุโก! บาคุโก!!” เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ใช้เวลาไปครู่ใหญ่กว่าจะทำให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมองคนพูดได้ และเมื่อหันกลับไปเขาก็ได้พบกับใบหน้าของอดีตเพื่อนร่วมชั้นสองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา
“นายนี่มันเรียกยากจริงๆ เลยน้า” คามินาริเอ่ยขึ้น เขามองดูเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่ดูเหนื่อยใจเบาๆ
“แกมีอะไร”
“โธ่ อย่าทำเย็นชากับเพื่อนแบบนั้นสิจ้ะ วันนี้พวกฉันนัดกันว่าจะไปดื่มก็เลยจะมาชวนนาย”
“ไม่ไป”
“หา?”
“ทำไมล่ะ บาคุโก” คิริชิมะที่ตรงเข้ามากอดคอถามอย่างกังวล
คิริชิมะพอรู้อยู่บ้างว่าเพื่อนตัวเองกำลังรู้สึกไม่ดี เนื่องมาจากเหตุผลที่เขาคิดเองว่าคงเป็นเรื่องของมิโดริยะ ที่ทำให้เพื่อนของเขาฟอร์มตกไปในช่วงนี้ เขาเลยคิดจะพาอีกฝ่ายไปปลดปล่อยสักหน่อย
“หรือนายยังคิดเรื่องมิโดริยะอยู่อะ โอ้ย! จะรีบไปไหนน่ะ? อยู่ฟังกันก่อนสิ!” คามินาริยังพูดไม่ทันจบดี คนฟังก็เป็นฝ่ายสะบัดแขนที่คิริชิมะจับอยู่แล้วหันกลับไปทางเดิมที่มุ่งหน้าว่าจะไป
“อะไรเนี่ย นึกว่าผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วจะดีขึ้นบ้างซะอีก” คามินาริเอ่ยขึ้นอย่างเศร้า ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ในดวงตาก็มีรอยของการรู้สึกผิดอยู่
“คงต้องใช้เวลานั่นแหละเพื่อน เดี๋ยวก็คงจะผ่านไปได้เอง”
“ผ่านขั้นไหนล่ะ นี่มันยังดูเหมือนไม่ผ่านขั้นแรกเลยด้วยซ้ำ”
“หือ ขั้นแรก?” คิริชิมะเอียงคอคล้ายหมางง
“ก็ยอมรับความจริงไงล่ะ”
คามินาริมองตามแผ่นหลังร่างของเพื่อนตัวเองที่กำลังมุ่งหน้าเดินไป…ทางที่นำทางไปสู่สำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์
.
.
.
ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอแสงสีส้มในฤดูร้อนที่สดใส สองขาพาฮีโร่นอกเวลาเดินไปข้างหน้าท่ามกลางแสงแดดของฤดูกาลที่มืดช้า เขาตรงเข้าไปที่สำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ในชั้น 29 เหมือนเป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่มาที่นี่ เขาเดินตรงเข้าไปในทางแคบๆ ที่มีตั้งเอกสารวางอยู่บ้างประปราย ด้านข้างมีห้องกระจกที่มีฟ้ากั้นให้เป็นส่วนตัว ในนั้นเต็มไปด้วยคนขอบตาดคล้ำเหมือนอดนอนอย่างทุกคราว พอเดินไปจนสุดทางก็จะมีประตูสีน้ำตาล และเมื่อเปิดเข้าไป…
แกรก
เขาก็จะพบกับเจ้าของร่างที่นั่งทำงานอยู่หน้าโต๊ะทางฝั่งซ้าย…
…ไม่มี…
พอเลี้ยวไปทางซ้ายมือ…ก็ไม่มีป้ายชื่อติดไว้เสียแล้ว มันเป็นโต๊ะว่างๆ ที่ไม่มีเอกสาร ไม่มีขนม ไม่มีโกโก้ ไม่มีเศษผ้ากองไว้เหมือนเก่าอีกแล้ว
หายไป…
เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเอกสารในมือที่กำลังหยิบออกมา และในตอนนั้นเองก็จำได้ว่า…เจ้าของโต๊ะนี้ตายไปแล้ว
“…..”
มือที่กำเอกสารไว้ค่อยๆ กำแน่นขึ้นจนมันยับยู่ยี่ ร่างสูงตระหง่านที่ต่อสู้ฆ่าฟันพวกวายร้ายมามากมายค่อยๆ ทรุดลงไปกับเข่าทั้งสองข้าง มือจับไปยังขอบโต๊ะก่อนจะจรดหน้าผากลงกับขอบโต๊ะไม้นั้นอย่างสิ้นหวังเมื่อความจริงที่ปฏิเสธมาตลอดเข้ามาย้ำถึงตรงหน้า ความจริงที่เขายังไม่ได้ยอมรับมันจนถึงป่านนี้
แกร็ก
เสียงฝีเท้าเล็กๆ เดินมาทางด้านหลังหลายคู่โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว พวกตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อสังเกตเห็นคนไม่รู้จักที่กำลังย่อตัวเอาหน้าผากพิงกับขอบโต๊ะอยู่ แต่เมื่อมีคนใจกล้ากล้าที่จะเดินไปดู คนอื่นๆ ก็เดินตามมา จนไปหยุดอยู่ด้านข้าง จ้องอยู่ครู่หนึ่งชายที่ถูกจ้องก็รู้ตัวว่าตนไม่น่าจะอยู่คนเดียว และพอเงยหน้าขึ้นก็พบกับเด็กๆ ในห้องบำบัดอัตลักษณ์ทั้ง 3 คนที่ยืนมองตนอยู่อย่างหวาดกลัว
“ฮะ เฮ้ คุณเป็นใครน่ะครับ” โทโมกิเอ่ยถามขึ้นอย่างหวาดกลัว อยู่ข้างหลังไล
แต่บาคุโกก็ยังไม่พร้อมจะตอบ เขามองพวกเด็กๆ นิ่งๆ แล้วก็อดคิดถึงคนที่เคยดูแลเจ้าพวกนี้ไม่ได้
“ฉันมาหาเด…อิซึกุ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำเรียกนั้นไม่อาจใช้โดยไม่คิดอะไรได้อีก
“เห~ เสียงนายคุ้นๆ นะ อ๊ะ เหมือนกับ…”
พลั่ก!
เสียงประตูเปิดขึ้นกะทันหัน แล้วเด็กทั้งสามก็หันไปมองเด็กม.ต้นเพียงคนเดียวในสำนักงาน
“อ๊ะ เคียวคุง!!” พอเห็นเด็กชายเดินเข้ามาเจ้าพวกตัวเล็กก็รีบหาที่หลบราวกับกลัวจะถูกอีกฝ่ายจับกิน แต่คนมากลับล็อกประตูเสร็จสรรพ พร้อมทั้งยืนบังอยู่หน้าประตู ทำให้พวกลูกปูหนีลอดไปไหนไม่ได้อีก
“หนีไม่ได้แล้วครับ ออกมากันก่อนผมจะฟ้อง อ๊ะ…” เด็กชายเห็นแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตา “…บาคุชินจิ?”
.
.
หลังจากจับพวกปูใส่ห้องเด็กเล็กจนหมด อิชิคาวะ เคียวก็ออกมาต้อนรับบาคุโกแทนคนในสำนักงานที่ยุ่งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากภารกิจก่อนหน้านี้มีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการนำอัตลักษณ์ไปใช้พอสมควร ทำให้ห้องบำบัดมีคนเพิ่มเข้ามา ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการทดลองก็มีมากจนด็อกเตอร์ที่เคยตะลอนไปทั่วถูกรั้งตัวเอาไว้ในโรงพยาบาล สำนักงานคนน้อยมากจนต้องขอให้คนเก่าๆ กลับมาช่วย หรือคนที่เริ่มดูแลตัวเองได้บ้างอย่างเคียวก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาคอยเป็นหัวโจก (?) ดูแลพวกลูกปูให้อยู่ในกระด้งกันอย่างเรียบร้อย
“น้ำชาครับ รอซักครู่นะเดี๋ยวอีกสักพักมิสโรสก็มาแล้วล่ะ” เด็กชายอิชิคาวะยกน้ำชาเข้ามาให้บาคุโกที่กำลังนั่งรอในห้องด้วยท่าทางคล้ายเหม่อลอย แทบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องของอิซึกุ
เด็กชายรู้จากปากของเด็กๆ ว่าบาคุชินจิมาที่นี่เป็นครั้งแรกตอนก่อนช่วงที่เขาจะถูกช่วยไว้ไม่นาน จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้จักอิซึกุพร้อมๆ กับตนเองที่ถูกช่วยไว้ในครั้งนั้น ความรู้สึกของการสูญเสียอิซึกุไป เมื่อเทียบกันแล้ว บาคุชินจิก็คงจะคล้ายๆ กับตัวเองละมั้ง เด็กชายคิดว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่คงจะจัดการได้ดีกว่าเด็กอย่างเขาที่ร้องไห้ออกไปเป็นไหนๆ
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ในความจริงบาคุโกกำลังรู้สึกต่อต้านกับความจริงที่ได้รับอยู่จึงได้นั่งนิ่งงันได้ถึงเพียงนั้น หรืออาจจะพูดว่ากำลังรู้สึกช็อกเมื่อเห็นภาพความจริงที่ไร้อิซึกุอยู่ตรงหน้า
“อ่า…ผะ…ผมพอเข้าใจนะครับ อ๊ะ ไม่สิ คงไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าก็รู้ว่าคุณกำลังรู้สึกสูญเสียอะไรบางอย่างไปอยู่ ตอนนั้นผมก็เป็นเหมือนกัน โชคดีจังนะครับที่พวกเด็กๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในตอนนี้น่ะ”
“….”
บาคุโกนั่งนิ่งเช่นเดิมทำให้เด็กชายยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่
บาคุชินจิที่ไม่โหวกเหวกนี่มันไม่ชินจริงๆ
เด็กชายนั่งตบตีกับตัวเองอย่างปวดหัวว่าจะทำอะไรต่อ แต่พอคิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่เสียใจก็คงจะอยากอยู่คนเดียวในที่ๆ ปลอดภัย พอคิดได้เช่นนั้นเด็กชายก็ตัดสินใจว่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็มีคำพูดดังขึ้นมาก่อน
“เจ้าเด็กนั่น…ยังไม่รู้งั้นเหรอ”
“ครับ?” เคียวหันไปถาม เด็กเหรอ คนไหนล่ะ
“เด็กที่มองเห็นอนาคตคนนั้น เจ้านั่นยังไม่รู้เรื่อง…งั้นเหรอ” คำพูดแผ่วเบาอย่างผิดวิสัยค่อยๆ อธิบายออกไปเท่าที่จำได้
เด็กชายอิชิคาวะใช้เวลาคิดทบทวนดูอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กที่มีอัตลักษณ์แบบนั้นคือใคร
“อ๊ะ! ไลคุงสินะที่ว่าเห็นอนาคต แต่ไม่ได้แค่เห็นหรอกนะ ต้องเรียกว่าเชื่อมต่อต่างหาก ทั้งมองเห็นทั้งอดีตและอนาคตรวมถึงเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันอีกด้วย แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องนี้หรอกครับ ถึงจะมีอัตลักษณ์เแบบนั้นแต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในช่วงเรียนรู้น่ะ ถึงจะกำลังพัฒนาเพื่อดูว่าทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ยังมีขอบเขต เพราะงั้นถ้าไม่รู้จากข่าวกับคนใกล้ตัว ด้วยอัตลักษณ์ก็ยากจะรู้ได้อยู่แล้วล่ะ”
เคียวพูดอย่างบ่นๆ ที่ห้องบำบัดก็มีการช่วยฝึกใช้อัตลักษณ์ที่ดูอันตรายอยู่ แต่ไม่ได้เอามาใช้กันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ตลอด โดยเฉพาะอัตลักษณ์ที่มีผลทางกายและสภาพจิตใจกับคนใช้
เคียวหันมามองคนที่นั่งอยู่ตรงที่เดิมโดยไม่พูดไม่จาอะไร ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ จนต้องขอตัวออกมาก่อน เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายผ่านเรื่องราวร้ายๆ แบบนี้ไปได้ในทันที
.
.
.
คัตสึกิกำลังเดินออกมาจากสำนักงานเพื่อกลับบ้าน ตรงหน้าของเขาคือทางเช่นเดิมที่เคลื่อนผ่านอย่างเชื่องช้าไม่เหมือนเก่า ราวกับว่าโลกของเขาเดินช้ากว่าความเป็นจริง และเขาถูกทิ้งอยู่ในทะเลทรายอันอ้างว้างและขาดแคลนอะไรบางอย่าง ในสัปดาห์แรกสภาพของเมืองปกคลุมไปด้วยความอึมครึมเช่นนั้น แต่เขารู้ดีว่าอีกไม่นานมันจะกลับมาเป็นเช่นเดิม ผู้คนจะเริ่มลืมเลือนชื่อของคนที่สละชีวิตเพื่อช่วยพวกเขาไว้ และกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
แต่คัตสึกิไม่สามารถปล่อยวางได้ เขาเดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งอันเป็นที่ตั้งของบ้านของใครบางคน เขาเดินไปด้วยใจที่คิดว่าบนที่ไหนสักแห่งจะมีเจ้านั่นอยู่ เขาไปถึงที่นั่นก่อนจะพบว่าห้องนั้นถูกล็อกกุญแจไว้ พอเปิดออกได้ก็เหลือไว้แต่ความว่างเปล่า เป็นความว่างเปล่าแรกที่ทำให้เขาทรมานเหมือนมีมือมาบีบคั้นหัวใจ
แต่บาคุโกก็ยังคงเดินต่อไป วันแล้ววันเล่า เฝ้าตามหาคนที่ไม่มีอยู่บนโลก เหมือนว่าเจ้าของร่างนั้นยังไม่อาจจะรับได้กับความจริงที่ต้องเข้าใจว่าไม่มีใครคนนั้นอยู่บนโลกนี้แล้ว
เขาไปที่โรงพยาบาลแรกที่ได้เจอกัน ในตึกที่พื้นเปรอะไปด้วยสียามนี้ถูกทาทับร่องรอยเก่าจนหมดสิ้น
ที่ร้านขายข่าวไม่ว่าจะเมาเละเทะแค่ไหนก็มีเพียงคำว่า ‘ฉันบอกแล้วว่าอย่าถลำลึกลงไปมากกว่านี้’ เป็นคำตอบ
ที่ร้านเนื้อย่าง ที่ร้านขนมปัง ที่ร้านขายกาแฟ ที่ห้างสรรพสินค้าโซนร้านอาหาร ไม่ว่าจะพยายามตามหาเท่าไหร่ บาคุโกคัตสึกิก็ไม่อาจก้าวข้ามกำแพงของความจริงเพื่อหาสิ่งที่ยืนยันว่าเจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ได้
ยิ่งพยายามตามหา ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงมดกระจ้อยร่อยที่หลงคิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง แต่บนโลกนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ต่อให้เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่อย่างออลไมท์ก็ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ นั่นก็คือการพาคนที่ตายแล้วกลับมา
.
.
.
‘โอ้โห นี่เป็นอัตลักษณ์ที่สุดยอดไปเลยนะจ้ะ’
น่าแค้นใจดีนะที่คนอย่างนายมีอัตลักษณ์ที่สุดยอด ในขณะที่ผมกลับเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า
เดกุ?
‘แกมันก็แค่ไอ้คนไร้อัตลักษณ์ ยังจะสะเออะมาเป็นเพื่อนกับพวกกูได้อีกเหรอ!’
‘เป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและเหมาะสำหรับเป็นฮีโร่เลยล่ะจ้ะ คัตสึกิคุง…’
‘ขอโทษ! ฉันขอโทษ!’
เดกุ…
‘…แต่ทำไม…คัตสึกิคุงถึงไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้ล่ะจ้ะ’
‘ช่วยฉันด้วย…คัต…จัง’
“เดกุ!!!”
ฟึ่บ!
ร่างที่นอนอยู่บนเตียงถลันตัวขึ้นมานั่ง ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะมองเห็นความมืดรอบกายและรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในบ้าน เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว แต่ที่เห็นเมื่อครู่ทุกอย่างก็เป็นแค่ฝันร้าย
…แต่ทำไม…คัตสึกิคุงถึงไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้ล่ะจ้ะ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมใบหน้าเมื่อคำนั้นยังคงอยู่ในหัว น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ไม่นานรุ่งสางก็มาเยือน เขาไม่อยากจะกลับไปนอนอีกจึงลุกออกจากเตียงมาทำกิจวัตรยามเช้า แต่เหมือนตอนเช้าจะเงียบเกินไปเขาถึงได้เหม่อลอย คิดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาอีก
ในอนาคตที่ฉันเห็นไม่มีอิซึกุ…งั้นเหรอ ถ้าหากว่าตอนนั้นฉัน…
เกร้ง!
บาคุโกวางตะเกียบลงอย่างรุนแรง เพราะไม่ว่าจะคิดไปมากเท่าใดมันก็ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แม้จะรู้ว่าตนเองจะทำทุกอย่าง จะยอมทำทุกอย่างเพื่อ… แต่ว่าไม่ว่าจะคิดเท่าใดเขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้ ตรงหน้าของเขามีกำแพงระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตายขวางกั้นอยู่ ต่อให้บนโลกนี้มีอัตลักษณ์ที่ช่วยให้คนฟื้นกลับมาได้ มันก็ยังผิดศีลธรรมและกฏของโลกใบนี้
บาคุโกกำลังจะจับตะเกียบอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องชะงัก
อัตลักษณ์ที่ทำให้คนตายฟื้นกลับมาได้…
‘…ไลคุงสินะที่ว่าเห็นอนาคต แต่ไม่ได้แค่เห็นหรอกนะ…’
‘…ต้องเรียกว่าเชื่อมต่อต่างหาก ทั้งมองเห็นทั้งอดีตและอนาคตรวมถึงเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันอีกด้วย…’
ในวินาทีนั้น บรรยากาศรอบตัวของเขาก็เย็นลงจนดูน่ากลัว…
.
.
.
เสียงฝีเท้าดังย่ำไปยังสำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ ชายหนุ่มเดินผ่านห้องกระจกฟ่าเข้ามาด้านใน โดยที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขากำลังคิดทำเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรมในอนาคต ด้วยชุดฮีโร่นั้นทำให้พวกเขาไม่ทันไหวตัวเลยสักนิด
ชายหนุ่มเดินมาจนสุดประตูด้านใน ที่ตรงนั้นมีทางแยกซ้ายขวา ที่ทางซ้ายนำพาไปยังห้องอื่นๆ ของสำนักงาน ส่วนทางขวาก็พาไปยังบันไดชั้น 30 เขาตัดสินใจเดินไปทางซ้ายอย่างไม่ลังเล โดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีคนกำลังเปิดประตูด้านหน้าเขาออกมา และพอดีกับที่ดวงตาแหลมคมนั้นมองเห็นสีหน้าที่ดูผิดจากวันก่อนอย่างสิ้นเชิง
“บาคุ….ชินจิ?”
ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดกำลังจะทักเรียก แต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นเธอและทำท่าเลี้ยวไปยังส่วนด้านในของสำนักงานที่ไม่ได้มีไว้รับรองแขก เธอขมวดคิ้วเป็นปม ใบหน้านั่นไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกขนลุก มันเหมือนกันกับ…
เธอชะงัก รู้สึกว่าสัญชาตญาณบอกว่าเธอไม่ควรปล่อยให้เขาเดินไปทางนั้น อย่างน้อยนั่นก็ไม่ใช่ทางที่คนทั่วไปควรจะเดินผ่าน
ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องบำบัดที่ในวันนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปจากที่เดิมอีกแล้ว เขามองมันด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น ราวกับว่านั่นนคือสิ่งเดียวที่เขาจะหวังพึ่งพาได้ ชายหนุ่มก้มลงกำลังจะจับกลอนประตู
“ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรอกนะ แต่ถ้าไม่นัดไว้ก็เข้าไปในห้องนั้นไม่ได้หรอก”
บาคุโกหันกลับมาตามเสียง แล้วก็เห็นสีหน้านิ่งเรียบของหญิงสาวเจ้าของโต๊ะตรงกันข้ามกับเจ้านั่นกำลังเดินเข้ามา แน่นอนว่าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น..ก็ต้องมีคนร่วมรับผิดชอบกับเขาอยู่ดี
กับการทำให้เจ้านั่นตาย
“รู้รึไงว่าฉันจะทำอะไร”
“รู้ว่านายรู้สึกยังไงก็พอแล้ว”
“….”
“….”
เธอเงยหน้ามองใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนจากเมื่อวันก่อนราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ
“หน้าเธอไม่เหมือนวันก่อน…อย่างสินเชิง วันก่อนนายเสียใจจนไม่หือไม่อือ แต่วันนี้นายกลับดูมุ่งมั่นผิดวิสัยไปหน่อย”
“ฉันน่ะเหรอเสียใจ”
“อิซึกุตายไปแล้ว”
ราวกับตัวเองตอกลิ่มลงไปในใจอีกฝ่าย หญิงสาวรู้สึกผิดกับคำที่เอ่ย แต่ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน คนๆ นี้ก็อาจจะใช้ทางเส้นนี้กระทำเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ขึ้นมาอีก
“พูดง่ายดีนี่ พวกแกจะไปรู้อะไรว่าเจ้านั่นผ่านอะไรมาบ้าง!” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ มือที่จับลูกบิดประตูอยู่แทบอยากจะกระชากคอเสื้อของคนตรงหน้าขึ้นมา แต่แค่จะทำให้มันไม่สั่นก็ยากเกินไปแล้ว
หญิงสาวเงยหน้ามองพร้อมเอ่ยถ้อยคำเย็นชาออกไป “เพราะแบบนั้นถึงควรให้เขาได้พักในสถานที่สงบสุขแล้วไม่ใช่เหรอ”
“อย่างแกก็พูดได้สิวะ!” บาคุโกตะคอกด้วยโทสะที่เดือดดาล
พักงั้นเหรอ ถ้าชีวิตเจ้านั่นจะได้พักก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว แล้วที่มันพยายามมีชีวิตมาตลอดนี่ล่ะ ที่พยายามมาตลอดน่ะ มันคืออะไร
ในช่วงเวลาที่คนพูดกำลังโกรธอย่างไม่ลืมหูลืมตา ที่ห้องด้านในก็มีประตูเปิดออกมา พร้อมกับปรากฏร่างของผู้หญิงผมสีเขียวยาวสยาย หญิงวัยกลางคนหน้าตาคุ้นเคยมองมาที่ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยเสียงเรียกชื่อที่ไม่ได้ยินมานานแล้วนั้นเบาๆ
“คัตสึกิคุง?”
เป็นมิโดริยะ อิงโกะที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นพร้อมกับด็อกเตอร์ A