[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 48

 

 

48

อาทิตย์ดับ

 

 

1 คืนผ่านไปหลังจากเหตุการณ์ก่อการร้ายขององค์กรวิลเลิน ในหน้าข่าวเต็มไปด้วยหัวข้อต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ สำนักข่าวทุกสำนักพยายามเสิร์ข่าวร้อนเท่าที่ตัวเองจะหามาได้ทั้งจริงเท็จ ส่วนคนรับก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยฟังในระดับเรียลไทม์ตลอดคืน แม่ว่าจะล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่ สิ่งแรกที่ผู้คนสนใจก็คือเรื่องนี้ เรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพและเกี่ยวพันถึงชีวิตของตนเองที่สุด

 

เพราะอยู่ดีๆ ความตายที่เคยห่างไกลก็ขยับมาใกล้แค่เพียงเอื้อม

 

‘…ท่านคะ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแน่ใจแล้วรึยังคะว่าสามารถควบคุมได้ 100% ตอนนี้ประชาชนมากมายเริ่มหวาดกลัวและมีข่าวลือปล่อยมาว่าตัวยาจะถูกนำไปทดลองต่อ ไม่ทราบว่าจริง…’

 

หน้าจอถูกเลื่อนไปอีกช่อง

 

‘…เป็นข่าวดีที่ทางฮีโร่ทำงานกันอย่างเต็มที่จนสามารถยับยั้งการปล่อยตัวยาได้สำเร็จ แต่ทางสำนักข่าวทราบมาว่ามีผู้เสียชีวิตจากการเข้าร่วมทำภารกิจนี้เพียงหนึ่งท่าน เป็นคนในสังกัดสำนักงานจัดเก็บอัต-‘

 

ติ๊ด

 

หน้าจอทีวีถูกปิดลงอย่างกะทันหันในตอนที่ภาพของคนตายที่ว่ากำลังจะถูกยกขึ้นบนหน้าจอ รวมทั้งชีวประวัติย่อๆ เหมือนเคยยามที่มีผู้สละชีวิตเพื่อช่วยสังคม เขาเห็นมันจนชินตาทุกครั้งที่มีฮีโร่ตายไปจากการทำภารกิจ อาจมีคนรู้สึกขอบคุณอยู่บ้างไม่มากก็น้อยต่อคนที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่สำหรับคนที่ใกล้ชิด…มันเหมือนกับว่าภาพนั้นเป็นเรื่องโกหกจนไม่อาจทนมองได้

.

.

.

.

.

.

“เฮ้ บาคุโก บาคุโก! บาคุโก!!” เสียงเรียกดังมาจากทางด้านหลัง ใช้เวลาไปครู่ใหญ่กว่าจะทำให้เจ้าของชื่อหันกลับไปมองคนพูดได้ และเมื่อหันกลับไปเขาก็ได้พบกับใบหน้าของอดีตเพื่อนร่วมชั้นสองคนที่กำลังเดินเข้ามาหา

 

“นายนี่มันเรียกยากจริงๆ เลยน้า” คามินาริเอ่ยขึ้น เขามองดูเพื่อนตัวเองด้วยสีหน้ายิ้มๆ ที่ดูเหนื่อยใจเบาๆ

 

“แกมีอะไร”

 

“โธ่ อย่าทำเย็นชากับเพื่อนแบบนั้นสิจ้ะ วันนี้พวกฉันนัดกันว่าจะไปดื่มก็เลยจะมาชวนนาย”

 

“ไม่ไป”

 

“หา?”

 

“ทำไมล่ะ บาคุโก” คิริชิมะที่ตรงเข้ามากอดคอถามอย่างกังวล

 

คิริชิมะพอรู้อยู่บ้างว่าเพื่อนตัวเองกำลังรู้สึกไม่ดี เนื่องมาจากเหตุผลที่เขาคิดเองว่าคงเป็นเรื่องของมิโดริยะ ที่ทำให้เพื่อนของเขาฟอร์มตกไปในช่วงนี้ เขาเลยคิดจะพาอีกฝ่ายไปปลดปล่อยสักหน่อย

 

“หรือนายยังคิดเรื่องมิโดริยะอยู่อะ โอ้ย! จะรีบไปไหนน่ะ? อยู่ฟังกันก่อนสิ!” คามินาริยังพูดไม่ทันจบดี คนฟังก็เป็นฝ่ายสะบัดแขนที่คิริชิมะจับอยู่แล้วหันกลับไปทางเดิมที่มุ่งหน้าว่าจะไป

 

“อะไรเนี่ย นึกว่าผ่านไปเกือบสัปดาห์แล้วจะดีขึ้นบ้างซะอีก” คามินาริเอ่ยขึ้นอย่างเศร้า ถึงปากจะพูดอย่างนั้นแต่ในดวงตาก็มีรอยของการรู้สึกผิดอยู่

 

“คงต้องใช้เวลานั่นแหละเพื่อน เดี๋ยวก็คงจะผ่านไปได้เอง”

 

“ผ่านขั้นไหนล่ะ นี่มันยังดูเหมือนไม่ผ่านขั้นแรกเลยด้วยซ้ำ”

 

“หือ ขั้นแรก?” คิริชิมะเอียงคอคล้ายหมางง

 

“ก็ยอมรับความจริงไงล่ะ”

 

คามินาริมองตามแผ่นหลังร่างของเพื่อนตัวเองที่กำลังมุ่งหน้าเดินไป…ทางที่นำทางไปสู่สำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์

.

.

.

ใต้แสงอาทิตย์ยามเย็นที่ทอแสงสีส้มในฤดูร้อนที่สดใส สองขาพาฮีโร่นอกเวลาเดินไปข้างหน้าท่ามกลางแสงแดดของฤดูกาลที่มืดช้า เขาตรงเข้าไปที่สำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ในชั้น 29 เหมือนเป็นเรื่องปกติทุกครั้งที่มาที่นี่ เขาเดินตรงเข้าไปในทางแคบๆ ที่มีตั้งเอกสารวางอยู่บ้างประปราย ด้านข้างมีห้องกระจกที่มีฟ้ากั้นให้เป็นส่วนตัว ในนั้นเต็มไปด้วยคนขอบตาดคล้ำเหมือนอดนอนอย่างทุกคราว พอเดินไปจนสุดทางก็จะมีประตูสีน้ำตาล และเมื่อเปิดเข้าไป…

 

แกรก

 

เขาก็จะพบกับเจ้าของร่างที่นั่งทำงานอยู่หน้าโต๊ะทางฝั่งซ้าย…

 

 

…ไม่มี…

 

 

พอเลี้ยวไปทางซ้ายมือ…ก็ไม่มีป้ายชื่อติดไว้เสียแล้ว มันเป็นโต๊ะว่างๆ ที่ไม่มีเอกสาร ไม่มีขนม ไม่มีโกโก้ ไม่มีเศษผ้ากองไว้เหมือนเก่าอีกแล้ว

 

หายไป…

 

เขายืนอยู่ตรงนั้นพร้อมเอกสารในมือที่กำลังหยิบออกมา และในตอนนั้นเองก็จำได้ว่า…เจ้าของโต๊ะนี้ตายไปแล้ว

 

“…..”

 

มือที่กำเอกสารไว้ค่อยๆ กำแน่นขึ้นจนมันยับยู่ยี่ ร่างสูงตระหง่านที่ต่อสู้ฆ่าฟันพวกวายร้ายมามากมายค่อยๆ ทรุดลงไปกับเข่าทั้งสองข้าง มือจับไปยังขอบโต๊ะก่อนจะจรดหน้าผากลงกับขอบโต๊ะไม้นั้นอย่างสิ้นหวังเมื่อความจริงที่ปฏิเสธมาตลอดเข้ามาย้ำถึงตรงหน้า ความจริงที่เขายังไม่ได้ยอมรับมันจนถึงป่านนี้

 

แกร็ก

 

เสียงฝีเท้าเล็กๆ เดินมาทางด้านหลังหลายคู่โดยที่ชายหนุ่มไม่รู้ตัว พวกตัวเล็กสะดุ้งโหยงเมื่อสังเกตเห็นคนไม่รู้จักที่กำลังย่อตัวเอาหน้าผากพิงกับขอบโต๊ะอยู่ แต่เมื่อมีคนใจกล้ากล้าที่จะเดินไปดู คนอื่นๆ ก็เดินตามมา จนไปหยุดอยู่ด้านข้าง จ้องอยู่ครู่หนึ่งชายที่ถูกจ้องก็รู้ตัวว่าตนไม่น่าจะอยู่คนเดียว และพอเงยหน้าขึ้นก็พบกับเด็กๆ ในห้องบำบัดอัตลักษณ์ทั้ง 3 คนที่ยืนมองตนอยู่อย่างหวาดกลัว

 

“ฮะ เฮ้ คุณเป็นใครน่ะครับ” โทโมกิเอ่ยถามขึ้นอย่างหวาดกลัว อยู่ข้างหลังไล

 

แต่บาคุโกก็ยังไม่พร้อมจะตอบ เขามองพวกเด็กๆ นิ่งๆ แล้วก็อดคิดถึงคนที่เคยดูแลเจ้าพวกนี้ไม่ได้

 

“ฉันมาหาเด…อิซึกุ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่คำเรียกนั้นไม่อาจใช้โดยไม่คิดอะไรได้อีก

 

“เห~ เสียงนายคุ้นๆ นะ อ๊ะ เหมือนกับ…”

 

พลั่ก!

 

เสียงประตูเปิดขึ้นกะทันหัน แล้วเด็กทั้งสามก็หันไปมองเด็กม.ต้นเพียงคนเดียวในสำนักงาน

 

“อ๊ะ เคียวคุง!!” พอเห็นเด็กชายเดินเข้ามาเจ้าพวกตัวเล็กก็รีบหาที่หลบราวกับกลัวจะถูกอีกฝ่ายจับกิน แต่คนมากลับล็อกประตูเสร็จสรรพ พร้อมทั้งยืนบังอยู่หน้าประตู ทำให้พวกลูกปูหนีลอดไปไหนไม่ได้อีก

 

“หนีไม่ได้แล้วครับ ออกมากันก่อนผมจะฟ้อง อ๊ะ…” เด็กชายเห็นแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตา “…บาคุชินจิ?”

.

.

หลังจากจับพวกปูใส่ห้องเด็กเล็กจนหมด อิชิคาวะ เคียวก็ออกมาต้อนรับบาคุโกแทนคนในสำนักงานที่ยุ่งกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากภารกิจก่อนหน้านี้มีผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการนำอัตลักษณ์ไปใช้พอสมควร ทำให้ห้องบำบัดมีคนเพิ่มเข้ามา ส่วนคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการทดลองก็มีมากจนด็อกเตอร์ที่เคยตะลอนไปทั่วถูกรั้งตัวเอาไว้ในโรงพยาบาล สำนักงานคนน้อยมากจนต้องขอให้คนเก่าๆ กลับมาช่วย หรือคนที่เริ่มดูแลตัวเองได้บ้างอย่างเคียวก็ยังอดไม่ได้ที่จะต้องเข้ามาคอยเป็นหัวโจก (?) ดูแลพวกลูกปูให้อยู่ในกระด้งกันอย่างเรียบร้อย

 

“น้ำชาครับ รอซักครู่นะเดี๋ยวอีกสักพักมิสโรสก็มาแล้วล่ะ” เด็กชายอิชิคาวะยกน้ำชาเข้ามาให้บาคุโกที่กำลังนั่งรอในห้องด้วยท่าทางคล้ายเหม่อลอย แทบไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกี่ยวกับเรื่องของอิซึกุ

 

เด็กชายรู้จากปากของเด็กๆ ว่าบาคุชินจิมาที่นี่เป็นครั้งแรกตอนก่อนช่วงที่เขาจะถูกช่วยไว้ไม่นาน จึงเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้จักอิซึกุพร้อมๆ กับตนเองที่ถูกช่วยไว้ในครั้งนั้น ความรู้สึกของการสูญเสียอิซึกุไป เมื่อเทียบกันแล้ว บาคุชินจิก็คงจะคล้ายๆ กับตัวเองละมั้ง เด็กชายคิดว่าถ้าเป็นผู้ใหญ่คงจะจัดการได้ดีกว่าเด็กอย่างเขาที่ร้องไห้ออกไปเป็นไหนๆ

แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ในความจริงบาคุโกกำลังรู้สึกต่อต้านกับความจริงที่ได้รับอยู่จึงได้นั่งนิ่งงันได้ถึงเพียงนั้น หรืออาจจะพูดว่ากำลังรู้สึกช็อกเมื่อเห็นภาพความจริงที่ไร้อิซึกุอยู่ตรงหน้า

 

“อ่า…ผะ…ผมพอเข้าใจนะครับ อ๊ะ ไม่สิ คงไม่เข้าใจหรอก แต่ว่าก็รู้ว่าคุณกำลังรู้สึกสูญเสียอะไรบางอย่างไปอยู่ ตอนนั้นผมก็เป็นเหมือนกัน โชคดีจังนะครับที่พวกเด็กๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรในตอนนี้น่ะ”

 

“….”

 

บาคุโกนั่งนิ่งเช่นเดิมทำให้เด็กชายยิ่งกระอักกระอ่วนเข้าไปใหญ่

 

บาคุชินจิที่ไม่โหวกเหวกนี่มันไม่ชินจริงๆ

 

เด็กชายนั่งตบตีกับตัวเองอย่างปวดหัวว่าจะทำอะไรต่อ แต่พอคิดว่าถ้าเป็นตัวเองที่เสียใจก็คงจะอยากอยู่คนเดียวในที่ๆ ปลอดภัย พอคิดได้เช่นนั้นเด็กชายก็ตัดสินใจว่าจะเดินออกจากห้อง แต่ก็มีคำพูดดังขึ้นมาก่อน

 

“เจ้าเด็กนั่น…ยังไม่รู้งั้นเหรอ”

 

“ครับ?” เคียวหันไปถาม เด็กเหรอ คนไหนล่ะ

 

“เด็กที่มองเห็นอนาคตคนนั้น เจ้านั่นยังไม่รู้เรื่อง…งั้นเหรอ” คำพูดแผ่วเบาอย่างผิดวิสัยค่อยๆ อธิบายออกไปเท่าที่จำได้

 

เด็กชายอิชิคาวะใช้เวลาคิดทบทวนดูอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเด็กที่มีอัตลักษณ์แบบนั้นคือใคร

 

“อ๊ะ! ไลคุงสินะที่ว่าเห็นอนาคต แต่ไม่ได้แค่เห็นหรอกนะ ต้องเรียกว่าเชื่อมต่อต่างหาก ทั้งมองเห็นทั้งอดีตและอนาคตรวมถึงเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันอีกด้วย แต่เด็กคนนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องนี้หรอกครับ ถึงจะมีอัตลักษณ์เแบบนั้นแต่ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในช่วงเรียนรู้น่ะ ถึงจะกำลังพัฒนาเพื่อดูว่าทำอะไรได้บ้าง แต่ก็ยังมีขอบเขต เพราะงั้นถ้าไม่รู้จากข่าวกับคนใกล้ตัว ด้วยอัตลักษณ์ก็ยากจะรู้ได้อยู่แล้วล่ะ”

 

เคียวพูดอย่างบ่นๆ ที่ห้องบำบัดก็มีการช่วยฝึกใช้อัตลักษณ์ที่ดูอันตรายอยู่ แต่ไม่ได้เอามาใช้กันสุ่มสี่สุ่มห้าได้ตลอด โดยเฉพาะอัตลักษณ์ที่มีผลทางกายและสภาพจิตใจกับคนใช้

 

เคียวหันมามองคนที่นั่งอยู่ตรงที่เดิมโดยไม่พูดไม่จาอะไร ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ จนต้องขอตัวออกมาก่อน เพราะเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงให้อีกฝ่ายผ่านเรื่องราวร้ายๆ แบบนี้ไปได้ในทันที

.

.

.

คัตสึกิกำลังเดินออกมาจากสำนักงานเพื่อกลับบ้าน ตรงหน้าของเขาคือทางเช่นเดิมที่เคลื่อนผ่านอย่างเชื่องช้าไม่เหมือนเก่า ราวกับว่าโลกของเขาเดินช้ากว่าความเป็นจริง และเขาถูกทิ้งอยู่ในทะเลทรายอันอ้างว้างและขาดแคลนอะไรบางอย่าง ในสัปดาห์แรกสภาพของเมืองปกคลุมไปด้วยความอึมครึมเช่นนั้น แต่เขารู้ดีว่าอีกไม่นานมันจะกลับมาเป็นเช่นเดิม ผู้คนจะเริ่มลืมเลือนชื่อของคนที่สละชีวิตเพื่อช่วยพวกเขาไว้ และกลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

 

แต่คัตสึกิไม่สามารถปล่อยวางได้ เขาเดินเลี้ยวไปอีกทางหนึ่งอันเป็นที่ตั้งของบ้านของใครบางคน เขาเดินไปด้วยใจที่คิดว่าบนที่ไหนสักแห่งจะมีเจ้านั่นอยู่ เขาไปถึงที่นั่นก่อนจะพบว่าห้องนั้นถูกล็อกกุญแจไว้ พอเปิดออกได้ก็เหลือไว้แต่ความว่างเปล่า เป็นความว่างเปล่าแรกที่ทำให้เขาทรมานเหมือนมีมือมาบีบคั้นหัวใจ

แต่บาคุโกก็ยังคงเดินต่อไป วันแล้ววันเล่า เฝ้าตามหาคนที่ไม่มีอยู่บนโลก เหมือนว่าเจ้าของร่างนั้นยังไม่อาจจะรับได้กับความจริงที่ต้องเข้าใจว่าไม่มีใครคนนั้นอยู่บนโลกนี้แล้ว

เขาไปที่โรงพยาบาลแรกที่ได้เจอกัน ในตึกที่พื้นเปรอะไปด้วยสียามนี้ถูกทาทับร่องรอยเก่าจนหมดสิ้น

ที่ร้านขายข่าวไม่ว่าจะเมาเละเทะแค่ไหนก็มีเพียงคำว่า ‘ฉันบอกแล้วว่าอย่าถลำลึกลงไปมากกว่านี้’ เป็นคำตอบ

ที่ร้านเนื้อย่าง ที่ร้านขนมปัง ที่ร้านขายกาแฟ ที่ห้างสรรพสินค้าโซนร้านอาหาร ไม่ว่าจะพยายามตามหาเท่าไหร่ บาคุโกคัตสึกิก็ไม่อาจก้าวข้ามกำแพงของความจริงเพื่อหาสิ่งที่ยืนยันว่าเจ้านั่นยังมีชีวิตอยู่ได้

 

ยิ่งพยายามตามหา ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นเพียงมดกระจ้อยร่อยที่หลงคิดว่าตัวเองทำได้ทุกอย่าง แต่บนโลกนี้ยังมีอีกหลายอย่างที่ต่อให้เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่อย่างออลไมท์ก็ไม่อาจจะทำสำเร็จได้ นั่นก็คือการพาคนที่ตายแล้วกลับมา

.

.

.

‘โอ้โห นี่เป็นอัตลักษณ์ที่สุดยอดไปเลยนะจ้ะ’

 

น่าแค้นใจดีนะที่คนอย่างนายมีอัตลักษณ์ที่สุดยอด ในขณะที่ผมกลับเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า

เดกุ?

 

‘แกมันก็แค่ไอ้คนไร้อัตลักษณ์ ยังจะสะเออะมาเป็นเพื่อนกับพวกกูได้อีกเหรอ!’

 

‘เป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นและเหมาะสำหรับเป็นฮีโร่เลยล่ะจ้ะ คัตสึกิคุง…’

 

‘ขอโทษ! ฉันขอโทษ!’

 

เดกุ…

 

‘…แต่ทำไม…คัตสึกิคุงถึงไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้ล่ะจ้ะ’

 

‘ช่วยฉันด้วย…คัต…จัง’

 

“เดกุ!!!”

 

ฟึ่บ!

 

ร่างที่นอนอยู่บนเตียงถลันตัวขึ้นมานั่ง ดวงตาสีแดงเบิกกว้างด้วยความตกใจ ก่อนจะมองเห็นความมืดรอบกายและรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในบ้าน เหตุการณ์ทุกอย่างผ่านไปหมดแล้ว แต่ที่เห็นเมื่อครู่ทุกอย่างก็เป็นแค่ฝันร้าย

 

…แต่ทำไม…คัตสึกิคุงถึงไม่สามารถปกป้องเขาไว้ได้ล่ะจ้ะ

 

ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมใบหน้าเมื่อคำนั้นยังคงอยู่ในหัว น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่ไม่นานรุ่งสางก็มาเยือน เขาไม่อยากจะกลับไปนอนอีกจึงลุกออกจากเตียงมาทำกิจวัตรยามเช้า แต่เหมือนตอนเช้าจะเงียบเกินไปเขาถึงได้เหม่อลอย คิดอะไรบ้าๆ ขึ้นมาอีก

 

ในอนาคตที่ฉันเห็นไม่มีอิซึกุ…งั้นเหรอ ถ้าหากว่าตอนนั้นฉัน…

 

เกร้ง!

 

บาคุโกวางตะเกียบลงอย่างรุนแรง เพราะไม่ว่าจะคิดไปมากเท่าใดมันก็ไม่มีทางย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ แม้จะรู้ว่าตนเองจะทำทุกอย่าง จะยอมทำทุกอย่างเพื่อ… แต่ว่าไม่ว่าจะคิดเท่าใดเขาก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้ ตรงหน้าของเขามีกำแพงระหว่างโลกคนเป็นและโลกคนตายขวางกั้นอยู่ ต่อให้บนโลกนี้มีอัตลักษณ์ที่ช่วยให้คนฟื้นกลับมาได้ มันก็ยังผิดศีลธรรมและกฏของโลกใบนี้

 

บาคุโกกำลังจะจับตะเกียบอีกครั้ง แต่เขาก็ต้องชะงัก

 

อัตลักษณ์ที่ทำให้คนตายฟื้นกลับมาได้…

 

‘…ไลคุงสินะที่ว่าเห็นอนาคต แต่ไม่ได้แค่เห็นหรอกนะ…’

 

‘…ต้องเรียกว่าเชื่อมต่อต่างหาก ทั้งมองเห็นทั้งอดีตและอนาคตรวมถึงเข้าไปเปลี่ยนแปลงมันอีกด้วย…’

 

ในวินาทีนั้น บรรยากาศรอบตัวของเขาก็เย็นลงจนดูน่ากลัว…

.

.

.

เสียงฝีเท้าดังย่ำไปยังสำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ ชายหนุ่มเดินผ่านห้องกระจกฟ่าเข้ามาด้านใน โดยที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขากำลังคิดทำเรื่องเลวร้ายผิดศีลธรรมในอนาคต ด้วยชุดฮีโร่นั้นทำให้พวกเขาไม่ทันไหวตัวเลยสักนิด

 

ชายหนุ่มเดินมาจนสุดประตูด้านใน ที่ตรงนั้นมีทางแยกซ้ายขวา ที่ทางซ้ายนำพาไปยังห้องอื่นๆ ของสำนักงาน ส่วนทางขวาก็พาไปยังบันไดชั้น 30 เขาตัดสินใจเดินไปทางซ้ายอย่างไม่ลังเล โดยที่ไม่ได้สังเกตว่ามีคนกำลังเปิดประตูด้านหน้าเขาออกมา และพอดีกับที่ดวงตาแหลมคมนั้นมองเห็นสีหน้าที่ดูผิดจากวันก่อนอย่างสิ้นเชิง

 

“บาคุ….ชินจิ?”

 

ริมฝีปากอิ่มสีแดงสดกำลังจะทักเรียก แต่อีกฝ่ายกลับมองไม่เห็นเธอและทำท่าเลี้ยวไปยังส่วนด้านในของสำนักงานที่ไม่ได้มีไว้รับรองแขก เธอขมวดคิ้วเป็นปม ใบหน้านั่นไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ให้ความรู้สึกขนลุก มันเหมือนกันกับ…

 

เธอชะงัก รู้สึกว่าสัญชาตญาณบอกว่าเธอไม่ควรปล่อยให้เขาเดินไปทางนั้น อย่างน้อยนั่นก็ไม่ใช่ทางที่คนทั่วไปควรจะเดินผ่าน

 

ร่างสูงเดินไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องบำบัดที่ในวันนี้ก็ถูกเปลี่ยนไปจากที่เดิมอีกแล้ว เขามองมันด้วยดวงตาที่มุ่งมั่น ราวกับว่านั่นนคือสิ่งเดียวที่เขาจะหวังพึ่งพาได้ ชายหนุ่มก้มลงกำลังจะจับกลอนประตู

 

“ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรหรอกนะ แต่ถ้าไม่นัดไว้ก็เข้าไปในห้องนั้นไม่ได้หรอก”

 

บาคุโกหันกลับมาตามเสียง แล้วก็เห็นสีหน้านิ่งเรียบของหญิงสาวเจ้าของโต๊ะตรงกันข้ามกับเจ้านั่นกำลังเดินเข้ามา แน่นอนว่าเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้น..ก็ต้องมีคนร่วมรับผิดชอบกับเขาอยู่ดี

 

กับการทำให้เจ้านั่นตาย

 

“รู้รึไงว่าฉันจะทำอะไร”

 

“รู้ว่านายรู้สึกยังไงก็พอแล้ว”

 

“….”

 

“….”

 

เธอเงยหน้ามองใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนจากเมื่อวันก่อนราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ

 

“หน้าเธอไม่เหมือนวันก่อน…อย่างสินเชิง วันก่อนนายเสียใจจนไม่หือไม่อือ แต่วันนี้นายกลับดูมุ่งมั่นผิดวิสัยไปหน่อย”

 

“ฉันน่ะเหรอเสียใจ”

 

“อิซึกุตายไปแล้ว”

 

ราวกับตัวเองตอกลิ่มลงไปในใจอีกฝ่าย หญิงสาวรู้สึกผิดกับคำที่เอ่ย แต่ถ้าไม่พูดให้ชัดเจน คนๆ นี้ก็อาจจะใช้ทางเส้นนี้กระทำเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้ขึ้นมาอีก

 

“พูดง่ายดีนี่ พวกแกจะไปรู้อะไรว่าเจ้านั่นผ่านอะไรมาบ้าง!” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาอย่างสั่นเครือ มือที่จับลูกบิดประตูอยู่แทบอยากจะกระชากคอเสื้อของคนตรงหน้าขึ้นมา แต่แค่จะทำให้มันไม่สั่นก็ยากเกินไปแล้ว

หญิงสาวเงยหน้ามองพร้อมเอ่ยถ้อยคำเย็นชาออกไป “เพราะแบบนั้นถึงควรให้เขาได้พักในสถานที่สงบสุขแล้วไม่ใช่เหรอ”

 

“อย่างแกก็พูดได้สิวะ!” บาคุโกตะคอกด้วยโทสะที่เดือดดาล

 

พักงั้นเหรอ ถ้าชีวิตเจ้านั่นจะได้พักก็ต่อเมื่อตายไปแล้ว แล้วที่มันพยายามมีชีวิตมาตลอดนี่ล่ะ ที่พยายามมาตลอดน่ะ มันคืออะไร

 

ในช่วงเวลาที่คนพูดกำลังโกรธอย่างไม่ลืมหูลืมตา ที่ห้องด้านในก็มีประตูเปิดออกมา พร้อมกับปรากฏร่างของผู้หญิงผมสีเขียวยาวสยาย หญิงวัยกลางคนหน้าตาคุ้นเคยมองมาที่ชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยเสียงเรียกชื่อที่ไม่ได้ยินมานานแล้วนั้นเบาๆ

 

“คัตสึกิคุง?”

 

เป็นมิโดริยะ อิงโกะที่ยืนอยู่หน้าห้องนั้นพร้อมกับด็อกเตอร์ A

 

 


// เป็นตอนที่เขียนนานมากค่ะ เขียนๆ หยุดๆ ตั้งแต่ 3 วันก่อน เพราะว่าเนื้อหาที่ไม่รู้จะตัดตอนตรงไหนดี เลยต้องวางให้ดีว่าตอนนี้จะเขียนอะไร ตอนนี้ก็เลยเขียนเกินแต่ก็กะว่าจะเอาตอนหน้ามาลงในเร็วๆ นี้ค่ะ 

 

ตอนนี้เป็นตอนตามหามิโดริยะ อิซึกุค่ะ (ฮา) เราอยากให้เห็นด้านที่ไม่ยอมรับกับเรื่องเสียใจที่เกิดขึ้นของคัตสึกิ ซึ่งเป็นสเตจแรกของความเสียใจของคนเรา กับสเตจต่อไปที่อยู่ในช่วงท้ายตอน นั่นก็คือการต่อรองค่ะ มาดูกันว่าคัตจังจะสามารถก้าวไปที่สเตจสุดท้ายได้ไหม ขอฝากด้วยนะคะ

 

มีคนงง [EP44 : เรื่องราวในอนาคต] เราไปอ่านมาก็งงค่ะ เธอเขียนอะไรอ้อมไปอ้อมมาน่ะริน (555) ก็เลยไปรีไรท์มาค่ะ คนที่งง/ไม่งงก็ย้อนไปอ่านกันได้นะคะ มีสตอรี่ที่เราเพิ่มเข้าไปด้วย ถ้าอ่านแล้วอาจจะหวีดกว่าเดิมก็ได้ 5555 

 

ขอให้มีความสุขกับการอ่านค่ะ เราก็จะมีความสุขกับการเขียนนะ UwU 

[Fic MHA] Our Distance [KatsuDeku]

Title: Distance

Pairing: Bakugou Katsuki x Midoriya Izuku

Rate: PG-13

Note: เป็นฟิคที่แต่งลง AllDeku Weekly หัวข้อ ‘หวนกลับ’ ค่ะ แต่จริงๆ ก็แต่งไว้ตั้งแต่หัวข้อ ‘เสื้อเชิ้ต’ แล้ว แต่ตอนนั้นคอมฯ เราพัง เลยส่งไม่ทัน พอเจอหัวข้อนี้แล้วคิดว่าน่าจะเข้ากันก็เลยเอามาลงค่ะ หวังว่าจะอ่านอย่างมีความสุขนะคะ


 

 

มิโดริยะ อิซึกุผู้ไร้อัตลักษณ์ไม่คิดว่าจะได้เจอเพื่อนตัวเองอีกครั้ง…ในสถานการณ์แบบนี้

 

ดวงตาสีเขียวมองไปยังชายหนุ่มว่าที่ฮีโร่จากห้อง 1-A ที่เพิ่งจะเปิดประตูเข้ามาในห้องทดลองของสาขาสนับสนุน ดวงตาสีแดงที่ดูหงุดหงิดนั้นคงมาจากการไม่ได้พบคนที่ต้องการอย่างอ.พาวเวอร์โหลดเดอร์ ส่วนหางคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันจนป็นปมนั้นคงมาจากการเดินฝ่าภูเขา ‘เบบี๋’ ของคุณฮัตสึเมะเข้ามาเพื่อหาใครสักคน แล้วดันเจอเข้ากับเขา…คนไร้อัตลักษณ์ที่ไม่มีชื่ออยู่ในห้องเรียนสาขาฮีโร่โรงเรียนยูเอย์

 

ชื่อของเขาตกไปอยู่ในสาขาทั่วไป แต่เพราะการได้เห็นสิ่งประดิษฐ์ที่สุดยอดในงานกีฬาสีของยูเอปี 1 ทำให้เขามีโอกาสเรียนรู้เรื่องอุปกรณ์ต่างๆ จนได้เจอกับคุณฮัตสึเมะและระหกระเหินจากสาขาธรรมดามาที่สาขาสนับสนุนตามคำแนะนำของอ.พาวเวอร์โหลดเดอร์

 

ในตอนที่มิโดริยะ อิซึกุได้พูดคุยไปจนถึงวิเคราะห์หลักการทำงานของอุปกรณ์สนับสนุนของฮีโร่กับทั้ง 2 คน เขาก็ได้ค้นพบบางอย่าง…บางอย่างที่เขาทำได้

 

การผลิตอุปกรณ์สนับสนุนให้กับฮีโร่

 

เป็นเวลากว่า 2 ปีที่อิซึกุขลุกตัวอยู่ในห้องนี้ ที่หลังกองภูเขา ‘เบบี๋’ ของคุณฮัตสึเมะ เขาอยู่ที่นี่มานาน…แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบกับคัตจังอีกครั้ง

 

อาจจะเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ทำให้พวกเราอยู่หอที่อยู่คนละทาง

 

หรืออาจจะเป็นเพราะด้านหน้าประตูบานนี้ถูกปิดบังไว้ด้วยข้าวของมากมาย

 

หรือบางทีอาจจะเพราะเขาไม่ค่อยออกไปกินข้าวที่โรงอาหารสักเท่าไหร่

 

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมา…พวกเราเลยไม่เคยพบกันจนกระทั่งป่านนี้…

 

แลในการพบกันครังแรกนี้ดูเหมือนเขาจะอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่

 

ร่างเล็กอยู่ในชุดจัมป์สูทตัวเก่งที่ค่อนข้างเลอะเทอะจากคราบฝุ่น ซิปด้านหน้าถูกรูดลงจนเผยให้เห็นเสื้อยืดสีขาวตัวเก่งที่ผ่านสมรภูมิงานช่างกับเขามาจนมีร่องรอยคราบน้ำมันและสีปรากฏอยู่หลายจุด ส่วนสภาพใบหน้าตอนนี้ ต่อให้ไม่ส่องกระจกก็รู้ว่าดูไม่ได้สักเท่าไหร่

 

เจ้าของห้องรีบวางไขควงก่อนจะปาดคราบสกปรกสองข้างแก้มออกแล้วลุกขึ้นมาจากพื้นที่วางกองไปด้วยเศษเหล็กเล็กๆ แต่แสนสำคัญ เขายืนขึ้นแล้วหันไปมองผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด

 

“คัตจัง…มะ…มีอะไรให้ช่วยงั้นเหรอ”

 

ผ่านมา 2 ปีแล้วที่ไม่ได้เจอกัน การรับมือกับคนตรงหน้าก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับเขาเสมอ

 

“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

“เอ่อ…นี่เป็นส่วนห้องทดลองของผมเอง เป็นส่วนที่แบ่งออกมาจากของคุณฮัตสึเมะ” ประโยคหลังเสียงพูดเบาลงเพราะเขาดันบังเอิญสบเข้ากันนัยน์ตาคู่นั้นที่มองไปรอบห้อง

 

หวา นี่ห้องเขามันดูแย่มั้ยนะ

 

“ห้องของแก…?”

 

“ใช่”

 

 

“ฉันนึกว่าแกถอดใจไปแล้วซะอีกนะ เดกุ”

 

น้ำเสียงเรียกชื่อที่ไม่ได้ฟังมากว่า 2 ปี ชื่อนั้นบั่นทอนความมั่นใจของเขาไปได้ไม่น้อย

 

แต่จะท้อใจไม่ได้ ที่เขามาอยู่ที่นี่ก็เพราะรู้ว่ามีบางอย่างที่ตัวเองทำได้ไม่ใช่เหรอ!

 

“อ.พาวเวอร์โหลดเดอร์ไม่อยู่หรอก คัตจัง เอ่อ…มีอะไรให้ผมช่วยมั้ยล่ะ”

 

“แกเนี่ยนะจะช่วยฉันได้”

 

“ก็ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้…ไม่ใช่รึไง…” อิซึกุรู้สึกเหมือนยิ่งพูดความมั่นใจของเขาก็ยิ่งหด เสียงที่พูดก็ยิ่งเบาลงตาม

 

“ห๊ะ? พูดงึมงำอะไรของแก”

 

“ผ ผม คือ…” อิซึกุสูดหายใจเข้าลึกๆ รวบรวมความกล้าที่มีถามอีกฝ่ายออกไปจนได้ “…ผมจะถามว่าคัตจังจะให้ผมช่วยอะไรมั้ยน่ะ”

 

“ไม่จำเป็น ฉันไม่ได้รีบอะไรขนาดนั้น”

 

แล้วก็ถูกปฏิเสธมาตามคาด อิซึกุคิดไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่เขาไม่คิดคือการที่อีกฝ่ายจะยังยืนอยู่ในห้องและมองมาหาเขาคล้ายกำลังรออะไรอยู่

 

มีอะไรแปลกไปงั้นเหรอ?

 

อิซึกุไม่รู้ว่าจะบอกให้อีกฝ่ายออกไปดีมั้ยหรือไม่บอกดี แต่ถ้ามีคัตจังหรือใครมามองตอนเขาทำงานแล้วมันก็คงยากจะสงบใจทำงานต่อไปได้อยู่เหมือนกัน

 

แต่สุดท้ายเจ้าของห้องก็ทนไม่ไหวและเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาก่อน

 

“เอ่อ…มีอะไรงั้นเหรอ?”

 

พอทักไปแบบนั้นดวงตาสีแดงคู่นั้นจึงมองกลับมาที่ต้นเสียงราวกับเพิ่งรู้สึกตัว

 

“อะไรของแก”

 

“อ๊ะ ก็…”

 

ไหงเขาถึงถูกถามกลับซะงั้น

 

“มีอะไรจะพูดก็พูด อ้ำๆ อึ้งๆ แล้วจะรู้มั้ย”

 

แล้วยังถูกเค้นถามอีก

 

แล้วแบบนี้ใครมันจะกล้าถามว่าอีกฝ่ายมีอะไรให้ช่วยมั้ย

 

อิซึกุอ้ำอึ้งอยู่นานก่อนจะเอ่ยออกไปอีกหน

 

“ก็…ฉันสงสัยว่าคัตจังมีอะไรให้ฉันช่วยมั้ย”

 

“ก็บอกไปแล้วไงว่าไม่มี”

 

แล้วทำไมคัตจังไม่ออกไปจากห้องผมสักทีล่ะครับ!?

 

“เอ่อ แต่ว่าฉัน…มีงานต้องทำน่ะนะ…”

 

คำพูดดบอกเล่ามาพร้อมกับดวงตาที่เสมองไปทางอื่น จริงๆ แล้วห้องนี้ไม่ได้กว้างนักเลย มันออกจะคล้ายห้องเก็บของที่เต็มไปด้วยเศษเหล็กเสียอีก แล้วด้วยเหตุนั้นพื้นที่ที่พอให้คนเข้ามาได้ก็มีจำกัด ทำให้พื้นที่ปฏิบัติการก็น้อยตามกัน

 

พอเห็นท่าทางแบบนั้นคัตสึกิก็เข้าใจในทันที แต่เขาก็มายืนอยู่นานแถมยังถามคำถามโง่ๆ แบบนั้นใส่เจ้าของห้องอีก จากที่คิดจะไปเฉยๆ เจ้าตัวก็เปลี่ยนใจกะทันหัน

 

บางทีเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าเดกุจะทำอะไรได้บ้างหลังผ่านมา 2 ปี

 

“นั่นอุปกรณ์ของไอ้ครึ่งๆ?”

 

คำถามที่ไม่คิดว่าจะถูกถามดังขึ้นกลางบทสนทนา พาคนที่ไม่ได้ตั้งตัวให้หันไปมองตามดวงตาสีแดงคู่นั้น ก่อนจะเห็นอุปกรณ์ที่วางอยู่อีกมุมหนึ่ง เป็นมุมที่ดูห่างจากมุมซ่อมอุปกรณ์ไม่มาก (เพราะพื้นที่จริงก็ไม่ได้มากนัก) แต่ก็ดูมีระเบียบในระดับหนึ่ง ตรงนั้นก็คือชั้นวางของที่เขาทำเสร็จแล้วนั่นเอง

 

“อืม ใช่ เหลือให้อ.พาวเวอร์โหลดเดอร์ช่วยตรวจดูอีกนิดว่าผ่านมั้ย แล้ว…”

 

“งั้นแกก็ดูไอ้นี่ให้ฉันได้สินะ”

 

“ห๊ะ?”

 

คำพูดของอีกฝ่ายทำให้คนฟังชะงักก่อนจะมองกลับไปยังคนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

ไหนว่าไม่เชื่อใจฝีมือเขา…แล้วไหงอยู่ดีๆ ก็…

 

“แกจะทำมั้ย” อีกฝ่ายว่าพลางยื่นสายคาดเอวมาตรงหน้า

 

ยังไม่ทันจะได้คิดอีกฝ่ายก็ถามออกมาแบบนั้น

 

แล้วจะให้เขาตอบปฏิเสธได้ยังไงล่ะ

 

“ทำ ฉันทำ เอ่อ แล้วคัตจังอยากจะให้ปรับตรงไหนล่ะ”

 

“ทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมก่อนที่ยัยสี่ตาจะซ่อมมัน”

 

อิซึกุนิ่งคิดก่อนจะเดาออกว่าคุณฮัตสึเมะคงดัดแปลงบางอย่างเกินความต้องการเพิ่มเข้าไปอีกแล้วแหงๆ

 

เจ้าของห้องทดลองรับเข็มขัดที่ห้อยกะเปาะคล้ายระเบิดที่ใช้สำหรับกักเก็บไนโตรกลีเซอรีนอีกที ดวงตาสีเขียวมองมันอย่างไม่คิดว่าวันนึงจะได้สัมผัส โดยที่ระหว่างนั้นก็ฟังคำอธิบายของเจ้าของไปด้วยว่าต้องการให้ทำอะไร

 

“ยัยบ้านั่น ตอนแรกฉันแค่จะให้ทำที่แขวนกะเปาะให้แข็งแรงขึ้น แต่ตอนส่งกลับมาสายรัดดันสั้นลงซะงั้น…เดี๋ยวนี้แผนกสนับสนุนทำชุ่ยขึ้นรึไง”

 

อิซึกุรับฟังคำบอกเล่าพร้อมคำประชดอย่างไม่คิดจะใส่ใจ ที่เขาสนใจมีแค่อุปกรณ์ในมือเท่านั้น อุปกรณ์ที่ดูคล้ายปกติถ้าไม่สังเกตดูตรงที่ช่อมกะเปาะไนโตรกลีเซอรีนกับเข็มขัดให้ดีๆ ก็จะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง ส่วนขนาดความยาวสายรัด พอดูดีๆ แล้วก็แทบไม่รู้เลยว่าจะมีปัญหา

 

แต่ถ้าเจ้าของใส่ไม่ได้ก็แปลว่าควรแก้ใหม่

 

เพียงแต่…

 

“ต้องวัดใหม่ครับ”

 

“งั้นก็รีบทำซะ”

 

อิซึกุพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหยิบสายรัดมาจากมุมหนึ่งของชั้นวางของแต่พอเดินกลับมาหาคนที่ยืนรอวัดขนาดตัวแล้วเขากลับชะงักไปวูบหนึ่ง

 

นี่เขา…กำลังจะต้องเข้าไปในอ้อมแขนนั้นงั้นเหรอ

 

ภาพในอดีตสมัยที่ถูกทิ้งไว้ให้ตามหลังและออกห่างด้วยพลังระเบิดทำให้รู้สึกหวั่นๆ

 

ความนิ่งของคนที่ถือสายวัดทำให้คนที่ยืนรอเริ่มหงุดหงิด

 

“เป็นอะไรของแก ฉันไม่ได้มีเวลาว่างทั้งวันนะไอ้เวรเนิร์ด!”

 

“อ๊ะ ระ…รู้แล้ว!” เขาตอบกลับก่อนจะก้มลงมองดูหน่วยวัดของสายวัดตัวในมือ ตัวเลขจากสิบกว่าๆ ค่อยๆ ร่นมาเหลือ 1 คล้ายกับกำลังพาเขาออกจากโซนการเตรียมใจของตัวเอง อิซึกุจับสายวัดเดินตรงไปข้างหน้าของอีกฝ่าย ใบหน้าก้มลงไม่กล้ามองขึ้นไปหาอีกฝ่าย ความกลัวกระแสบางราวกับสายลมที่มาโอบอยู่ด้านหลัง จนกระทั่งอีกฝ่ายค่อยๆ อ้าแขนออกเป็นการยอมรับ

 

“ขอ…ขออนุญาตนะครับ”

 

คำเอ่ยดังขึ้นก่อนเจ้าของใบหน้าแต้มกระจะอ้อมมือไปยังด้านหลังเอวของคนตรงหน้า ระยะห่างที่ห่างกันเพียงน้อยนิดทำให้ใบหน้านั้นขยับเข้าไปใกล้เรื่อยๆ เพราะจับปลายสายวัดอีกด้านของตัวเองไว้ไม่ได้ จนไม่ทันได้ตั้งตัวแก้มนั้นก็แตะลงบนแผ่นอกของอีกฝ่าย

 

“อ๊ะ ขอโทษครับ หวา ระ รอยน้ำมัน!”

 

บนเสื้อขาวของชุดนักเรียนยูเอย์ปรากฏรอยคราบน้ำมันขึ้นจางๆ พาให้สติคนมองเตลิดเป็นการใหญ่ ด้วยตัวเองเป็นต้นตอของรอยที่ว่า

 

“เดี๋ยวนะ ผ้าๆ ทิชชูๆ”

 

เพราะตกใจว่าได้ทำให้อีกฝ่ายเลอะเทอะเข้าเสียแล้ว แถมยังเป็นจุดที่เห็นชัดอีก คนมองจึงกลายร่างเป็นหนูติดจั่นวิ่งไปทั่วห้องพร้อมความกลัวที่กำลังผุดขขึ้น

 

เดกุแก๊! ทำแค่นี้ก็ไม่ได้ แกนี่มันสมควรตาย !

 

เพราะไม่รู้ว่าตลอด 2 ปีอีกฝ่ายผ่านเรื่องอะไรมาบ้างภาพจำของเดกุที่มีต่อคัตสึกิจึงหยุดอยู่ที่สมัยม.ต้น ความตกใจและความกลัวทำให้เขาวิ่งไปทั่วห้อง แขนขาที่วางตัวไม่ถูกทำให้มันไปปัดนู่น เตะนี่ จนเกิดเสียงโพล้งเพล้งดังไปทั่วเหมือนหนูที่กำลังวิ่งหนีลงท่อหลังเจ้าของบ้านเปิดไฟเข้ามาในครัว และก็เพราะความกลัวนั้นเช่นกันที่ทำให้คนมองไม่มีสติหาผ้ากับกระดาษทิชชู่เจอเสียที

 

“เดกุ!”

 

“อึ๋ย!” คนที่เดินไปเดินมาชะงัก ก่อนจะหันไปทางต้นเสียงแล้วขานรับอย่างใจดีสู้เสือ “ครับ คือว่า…ขอโทษครับ”

 

ภาพอิซึกุที่ทำหน้าสำนึกผิดคล้ายอีกนิดดวงตานั้นจะมีน้ำปริ่มออกมาทำให้คนมองไม่เข้าใจเลยสักนิดว่ามันจะตกใจอะไรขนาดนั้น

 

“กับเรื่องแค่นี้แกยังเป็นแบบนี้แล้วจะทำงานที่ให้ไปได้เรอะ”

 

คนฟังก้มหน้าลง คำพูดนั้นทำให้คนฟังรอรับคำด่า แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงใดตอบมาอีกจนทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่ต้องเงยขึ้นมามอง ตอนนั้นเองที่อีกฝ่ายเดินมาหยุดอยู่ในระยะใกล้จนมองเห็นหัวรองเท้า ภาพนั้นทำให้อิซึกุเริ่มตื่นกลัวขึ้นอีกจนหัวใจแทบจะเด้งออกมาจากปาก

 

ตาย ตายแน่ ตายแน่แล้ว ไปทำให้คัตจังโกรธเข้าแล้ว

 

ตึก ตึก ตึก

 

ความกลัวทำให้คนยืนยกมือขึ้นเป็นเชิงตั้งการ์ด แต่การ์ดของเขามันก็คงจะอ่อนแอเพราะความกลัว ถึงได้หุบเข้าหาตัวมากกว่าจะตั้งขึ้นมาอย่างที่มันควรจะเป็น

 

“แกนี่มัน…”

 

ตึก

 

เสียงฝีเท้าหยุดลงทำให้เจ้าของดวงตาสีเขียวหลับตาปี๋รอรับการกระทำรุนแรงจากอีกฝ่ายอย่างเต็มรูปแบบ

 

มือยกขึ้นมาเหมือนกอดตัวเองไว้มากกว่าตั้งการ์ด ฟันกัดเข้าหากันรอรับความเจ็บปวด ไหล่ห่อลำตัวที่เล็กอยู่แล้วให้เล็กลงกว่าเก่า ทั้งหมดนั่นก็เพื่อรอรับแรงอารมณ์จากอีกฝ่าย แต่รออยู่นานสัมผัสที่ได้รับกลับไม่ใช่ความรุนแรงอย่างที่คาด

 

…แต่เป็นความรู้สึกอุ่นๆ ที่ลูบอยู่ตรงข้างแก้มซะอย่างนั้น…

 

ดวงตาสีเขียวเปิดขึ้นช้าๆ ทีละข้างพลางมองดูนิ้วมือที่กำลังปาดคราบน้ำมันออกจากแก้มของเขาอย่างไม่เข้าใจ

 

“แกนี่มันไม่ได้เรื่อง”

 

น้ำเสียงที่ดูไม่มีแววโกรธเคืองดังขึ้นจากเจ้าของมือ พอได้ยินแบบนั้นดวงตาสีเขียวก็กะพริบปริบๆ ก่อนจะค่อยๆ เงยขึ้นมองคนที่เอามือของตัวเองมาเช็ดคราบน้ำมันที่ติดอยู่บนหน้าของเขาอย่างไม่นึกรังเกียจ

 

“แกนี่มันก็เป็นเดกุอยู่วันยังค่ำสินะ”

 

“คัตจัง…”

 

อิซึกุปล่อยให้มือนั้นลูบไปบนแก้มต่ออย่างไม่กล้าห้าม สัมผัสที่แตะลงมานั้นจะว่ารุนแรงมั้ยก็ไม่ แต่ก็ไม่ได้อ่อนโยนมาก เพียงแต่มันเป็นสัมผัสที่จับไม่ได้ถึงกระแสคุกคามอย่างที่คิด อิซึกุไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมอยู่ดีๆ คัตจังถึงทำแบบนี้ ความไม่รู้นั้นทำให้หัวใจสูบฉีดแรงขึ้นและใบหน้านั้นก็ขึ้นสีเรื่อเล็กๆ อย่างไม่รู้ตัว

 

ดวงตาสีแดงมองใบหน้าที่หายมอมแมมไปบ้างอย่างพอใจ ทั้งที่มีรอยกระแต้มใบหน้านั้นให้ดูไม่เรียบเนียนอยู่ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดจนอยากลบรอยคราบน้ำมันออกอยู่ดี

 

“แล้วเมื่อไหร่แกจะมาทำงานให้ฉันต่อได้สักที”

 

“อ่ะ…งานเหรอ…” เพราะความกลัวเมื่อครู่ทำให้อิซึกุตกใจจนลืมไปซะสนิทว่าทำอะไรอยู่ก่อนหน้านั้น พอถูกทักเขาจึงคิดขึ้นมาได้อีกหน

 

“อย่าบอกนะว่าแค่นี้แกก็ลืมแล้ว”

 

“ปละ เปล่านะ…” เขาโกหก ดวงตาคู่โตสีเขียวเสมองไปทางอื่นแต่ดันปะทะเข้ากับดวงตาสีแดงคู่นั้นจนถูกจับได้คาหนังคาเขา

 

“หึ…” คนฟังพ่นลมหายใจออกมาคล้ายไม่เชื่อ แต่สุดท้ายก็ปล่อยมือออกแล้วกางแขนให้วัดตัวแต่โดยดี

 

อิซึกุที่เพิ่งจะผ่านสถานการณ์ไม่ปกติมาพยายามทำใจให้สงบ สองขาเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายในระยะประชิดอีกหน ความรู้สึกอุ่นๆ ของผิวเนื้อแทรกผ่านยามที่อ้อมแขนรัดอยู่รอบร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการฝึกฝน อิซึกุพยายามจับสายรัดให้ได้เป็นครั้งที่สอง ครั้งนี้เขาพยายามจะไม่ให้ตัวของตัวเองไปทำเสื้อผ้าอีกฝ่ายเลอะอีก แต่เหมือนมันจะทุลักทุเลในสายตาอีกฝ่ายมากเกินไป เจ้าของร่างนั้นจึงเป็นฝ่ายขยับเข้ามาชิดแทน

 

ร่างเล็กอยู่ในท่าโอบกอดอีกฝ่ายมากกว่าเดิมเข้าไปใหญ่ ดวงตาสีเขียวมองขึ้นไปอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยินยอมให้ตัวติดกับเขาถึงขนาดนี้ แต่ทันทีที่เหลือบตาไปมองใบหน้าด้านบน ดวงตาทั้งคู่ก็สบกันในระยะประชิด ใบหน้าที่อยู่สูงกว่าเพียงแค่ไม่กี่เซนก้มลงมองมา พาเอาใบหน้าใกล้กันมากกว่าเก่า ภาพของอีกฝ่ายสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา เช่นเดียวกับดวงตาของเขาที่สะท้อนภาพอีกฝ่าย ทั้งที่คิดว่ามันจะดุดันมากกว่านี้แท้ๆ แต่ในดวงตาคู่นั้น…กลับดูเหมือนกับจมลงไปในบางอย่าง…เช่นเดียวกันกับเขา

 

ช่วงเวลานั้นคนทั้งคู่ต่างก็จมลงไปในดวงตาของกันและกันอย่างยากจะถอดถอน จนกระทั่งเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู

 

“เอาล่ะ เบบี๋ของฉันวันนี้เราจะเล่นอะไรกันดีน้า!”

 

เฮือก!

 

อิซึกุรีบถอยออกห่างจากคนตรงหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงของหญิงสาวนักประดิษฐ์ที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

 

ตอนนั้นเองที่อิซึกุรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นถี่เหมือนกับไปวิ่งมาสักสามสิบรอบ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงไม่สามารถมองหน้าอีกฝ่ายได้อีก

 

ไม่ใช่เพราะความกลัวอย่างครั้งก่อน เพราะได้รู้แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ได้น่ากลัวดังเก่า แต่เป็นอะไร? อะไรกันที่ทำให้เขาไม่กล้าสู้หน้าอีกฝ่ายได้ถึงขนาดนี้

 

“ฉะ…ฉัน…”

 

อิซึกุไม่รู้จะพูดอะไร เรื่องวัดตัวแก้ขนาดเข็มขัดถูกลืมไปเสียสนิท เหลือเพียงความรู้สึกแปลกๆ ที่กระเพื่อมไหวในอก

 

“หมดเวลาพักจนได้” เสียงบ่นดังมาที่อีกด้าน พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็จำได้อีกหนว่าตัวเองทำ

อะไรค้างไว้

 

“เอ่ คัตจังฉันขอโทษ ถ้ายังไงเดี๋ยวจะแก้ให้แน่ๆ จะให้คุณฮัตสึเมะ…”

 

“ไม่ต้อง”

 

“เอ๊ะ… เอ่อ…ขอโทษ” อิซึกุรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที เป็นถึงฝ่ายสนับสนุนแท้ๆ แต่วัดตัวนานจนหมดเวลาพัก ถ้าจะถูกอีกฝ่ายโกรธเขาก็ไม่สงสัยแล้ว

 

“ฝากไว้ที่แกนั่นแหละ เดี๋ยวฉันจะมาใหม่”

 

“ขอโทษด้…เอ๊ะ มาใหม่?” คนฟังตกใจจนต้องเงยหน้ามองสีหน้าคนพูดเพื่อยืนยันว่าไม่ได้ฟังผิด แต่อีกฝ่ายกลับหันหลังให้เขาไปแล้ว

 

“ทำไม…แกมีปัญหาอะไรรึไง”

 

“เปล่า ไม่มี ฉันแค่…อ่า…ไม่มีอะไร”

 

สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าถามว่าคัตจังไม่โกรธเหรอที่เสียเวลาช่วงพักไปโดยไม่ได้อะไรเลย

 

แต่อีกฝ่ายก็เดินออกไปโดยที่ไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น ไม่ได้กล่าวโทษหรือพูดจาให้เสียน้ำใจอย่างที่คิดว่าจะทำ

 

คัตจังเดินออกจากห้องไปทั้งอย่างนั้น ทิ้งอุปกรณ์ของตัวเองไว้กับคำกล่าวที่ว่าจะมาใหม่ให้จิตใจอิซึกุสับสน

 

 

‘นี่เขายังต้องวัดตัวอีกเป็นรอบที่สามงั้นเหรอ’

 

 

แค่คิดเสียงในใจก็ดังโครมครามกว่าตอนรื้อห้องเป็นเท่าตัว

 

แต่ว่า…ถ้าเป็นคัตจังในตอนนี้ อาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแล้วก็ได้

 

 

 

END

 


 

 

 

 

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 47

Warning: Major Character Death (มีเนื้อหาตัวละครหลักตาย)


 

47

1%

 

 

 

ถ้าหากเทียบกับคนทั้งโลก แล้วต้องเสียสละคนเพียงหยิบมือ สิ่งที่จะได้ก็คือความคุ้มค่า…จริงหรือ?

 

 

 

เวลา 17.30 น.

เวลาเดียวกัน เหล่าฮีโร่ผู้เกิดมาเป็นความหวังของมนุษยชาติก็กำลังทำการเคลียร์ฐานการส่งออกยาและจับกุมคนในฐานย่อยได้ทีละฐาน แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์กำลังบังเกิดในใจคนทุกภาคส่วน แต่ภายในฐาน C ที่เพิ่งเคลียร์เรียบร้อยกลับมีความมืดมนบังเกิดในใจคนผู้หนึ่ง

 

‘ที่ฐานหลักระเบิดแล้วครับ! เรารอไม่ได้แล้ว ต้องเข้าไปเดี๋ยวนี้!!’

 

สิ้นเสียงนั้นเหมือนว่าโลกทั้งใบของบาคุโก คัตสึกิเงียบสงัด ร่างกายหยุดชะงัก ในอกอึดอัดราวบีบรัดด้วยความต้องการที่ไม่อาจกระทำได้ เพราะถูกยั้งไว้ด้วยหน้าที่…ด้วยสมองที่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร แต่ในใจกลับไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้นได้

 

เฮ้ แกจะรอดเหมือนทุกครั้งใช่มั้ย

 

เขาหยุดชะงักไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และเวลาที่เขาชะงักไป ก็สร้างช่องโหว่ให้ศัตรูจนคิริชิมะที่ทำงานด้วยกันต้องโดนลูกหลง

 

‘บาคุชินจิ!’

 

กว่าจะรู้ตัวก็ทำให้ศัตรูหนีไปได้

 

แต่ที่ควรจะรู้สึกผิด กลับไม่รู้สึกอะไรเลย…

 

แต่เมื่อได้ยินชื่อฮีโร่นั้นแล้ว เขาก็ไม่สามารถละเลยได้อีก มีแต่ต้องรีบทำให้สำเร็จเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ เขาจะได้กลับไปเพื่อบอกความรู้สึกกับเจ้านั่นอีกครั้ง

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น ภายในฐาน C ก็ได้ให้กำเนิดเทพแห่งการทำลายล้างขึ้น ทุกอย่างพังราบเป็นหน้ากองภายในไม่กี่นาที คนที่หลบหนีต่างขวัญผวา บ้างจนมุมเข้าต่อสู้แต่ก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ บ้างร้องขอชีวิตอย่างน่าสมเพช ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยได้ในไม่นาน

แต่เมื่อส่งมอบวิลเลินให้กับตำรวจแล้ว คนที่ยอมทำตามแผนมาตลอดก็เริ่มจะอยู่ไม่สุก อีกฝ่ายตั้งท่าจะไปที่ฐานหลัก ทำให้คิริชิมะที่เห็นต้องหยุดอีกฝ่ายไว้

 

“บาคุชินจิ นายจะทำอะไรน่ะ!” คิริชิมะที่เห็นอีกฝ่ายกำลังจะเดินไปรีบรั้งอีกฝ่ายไว้อย่างตกใจ

 

“…”

 

คนที่ถูกไต่ถามไม่ตอบอะไร บาคุโกยังพยายามจะเดินออกไปจากฐานแห่งนี้อีกครั้ง ทำให้คิริชิมะที่ถูกสั่งให้คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวเริ่มร้อนใจ เขาพอรู้มาบ้างว่าอีกฝ่ายเคยถูกวิลเลินจับไปไว้ที่ฐานใหญ่ และก็ได้ยินข่าวจากมินะและฮากาคุเระว่าเพื่อนของตนไปทะเลาะกับหัวหน้าแผนกวิเคราะห์ฯ เรื่องภารกิจครั้งนี้ ตนเองจึงตั้งใจคอยดูพฤติกรรมอีกฝ่ายมาตลอดตั้งแต่เริ่มจนจบ ซึ่งตอนแรกก็ดูไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งอีกฝ่ายเริ่มเหม่อและเดินหน้าอาละวาดไม่ยั้ง เขาถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป แต่มันก็เป็นผลดีกับฝ่ายฮีโร่ แต่ตอนนี้เรื่องราวกำลังจะกลับตาลปัตร

 

ทางนั้นมันที่ฐานหลัก…

 

รึว่า…!

 

“นายจะไปไม่ได้นะเพื่อน!”

 

“ถอยออกไป” เสียงเย็นชาเอ่ยช้าๆ ทีละคำ

 

“ฉันรู้ว่านายรู้สึกผิด แต่ตอนนี้ทางนั้นยังไม่ส่งข้อความอะไรมาเลย ถ้าไปตอนนี้แล้วแผนที่วางไว้เกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ พวกมิโดริยะ…”

 

เพราะมีแต่วิธีนี้เท่านั้นที่จะรั้งอีกฝ่ายได้ คิริชิมะจึงเอ่ยออกไปแบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าเพื่อนของตนกำลังรู้สึกย่ำแย่กับเรื่องนี้อยู่ แล้วก็ได้ผลเมื่ออีกฝ่ายหันมายอมฟังเขาบ้าง

 

เป็นอย่างที่มินะบอกเลยแฮะ พอเป็นเรื่องของคุณมิโดริยะแล้วบาคุโกก็…

 

“แล้วแกจะให้ฉันอยู่ที่นี่เฉยๆ รึไงวะ” คนพูดเค้นเสียงออกมาอย่างยากเย็น

 

“นะ…นั่นสินะ งั้น…เอ้อ! เราไปช่วยฐานอื่นกันมั้ยล่ะ หลังจากส่งมอบยาพวกนั้นหมดแล้ว”

 

“…”

 

อีกฝ่ายไม่พูดอะไร แต่มันก็มากเกินพอแล้วสำหรับ ‘คำตกลง’

 

คัตสึกิหลับตาลง เขาฟังเสียงต่อสู้คลอเสียงรายงานที่ดังมาเป็นระยะ ในขณะที่ตนเองก็คอยคุ้มกันอยู่ที่ฐานของตน

 

ทั้งที่คิดว่าตนมีพลังมากและจะทำอะไรก็ได้ แต่ในยามนี้ที่รู้ว่าไม่สามารถใช้มันเพื่อช่วยใครได้แล้วถึงได้เข้าใจว่า…ความรู้สึกอยากให้ใครสักคนมีชีวิตอยู่ต่อเป็นอย่างไร

 

อีกด้านหนึ่งของฮีโร่ที่ทำให้เขาต้องสอบซ่อม

 

…การช่วยเหลือคน…

 

.

.

.

 

 

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ ฮีโร่ต่างก็ได้รับเสียงชื่นชม ข่าวที่ถูกปิดไว้ก็ถูกตีแผ่อย่างช่วยไม่ได้ ยิ่งเรื่องราวที่ทำยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ เสียงชื่นชมก็ยิ่งดังตามไปด้วย แต่เสียงเหล่านั้นกลับดังไม่พอจะทะลุผ่านโสตประสาทของบาคุชินจิ

 

ทันทีที่วิลเลินจากทุกฐานและตัวยาถูกส่งมอบให้กับตำรวจ เขาก็ฝ่าวงล้อมนักข่าวออกมายังฐานใหญ่ที่ถูกล้อมด้วยฮีโร่ ตำรวจ และฝ่ายพยาบาล

 

ไฟอันร้อนระอุอย่างบ้าคลั่งดับลงแล้ว แต่ไฟในใจของบาคุโกยังไม่มอดดับ เขามองหาคนๆ หนึ่งไปทั่วบริเวณอย่างร้อนรน ทั้งด้านในฐานและนอกฐานกว่าหลายรอบ แต่คนที่อยากพบกลับไม่อยู่ตรงนั้น เขารู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเส้นด้ายบางๆ โดยคาดหวังไม่ให้มันขาดก่อนจะไปถึงฝั่ง โดยที่อีกฝั่งนั้นมีความต้องการของตัวเองวางอยู่ ทั้งที่อยู่แค่เอื้อม แต่กลับไกลห่างจนเหมอนจะไปไม่ถึงสักที ทั้งที่มันยู่ตรงนั้น ทั้งที่มันมีค่าขนาดนั้น ทั้งอย่างนั้นเขากลับเพิ่งรู้สึกถึงมันเอาป่านนี้

 

“เฮ้ย ไอ้ครึ่งครึ่ง เดกุอยู่ไหนวะ” เขาถามคนที่กำลังให้หมอดูแผลให้ที่เตนท์ปฐมพยาบาลเบื้องต้น เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อีกฝ่ายยอมคุยกับคนตรงหน้าดีๆ แต่ทั้งอย่างนั้นคนที่ถูกทักกลับไม่ได้มีท่าทีดีใจเลย

 

คนที่ถูกเรียกชื่อเมื่อได้ยินเสียงก็หันหน้ามาช้าๆ เจ้าของอัตลักษณ์ไฟน้ำแข็งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา

 

“ไม่รู้เหมือนกัน”

 

สิ้นเสียงนั้นบาคุโกก็อยากจะกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาต่อยปากให้หนำใจ ทั้งที่สภาพเขาเป็นเช่นนี้ แต่เหมือนเจ้านี่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรสักอย่าง

 

“หมายความว่าไงวะ แกรับหน้าที่ตรงนี้ไม่ใช่รึไง” บาคุโกพูดด้วยเสียงเย็นเยียบแบบที่อีกฝ่ายแทบจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนี้มาก่อน

 

โทโดโรกิละสายตาจากอีกฝ่าย เขาเข้าใจว่าคนตรงหน้ากำลังรู้สึกอย่างไร แต่ที่เขาพูดออกไปก็เป็นความจริง ชายหนุ่มเจ้าของอัตลักษณ์ไฟน้ำแข็งก้มหน้าลง เขายกมือขึ้นมามองดู มันคือมือข้างขวาที่ให้กำเนิดน้ำแข็งมหาศาลที่เพียงพอจะดับไฟในอาคารใต้ดินนั้นได้ด้วยซ้ำ แต่ว่า…

 

“ขอโทษนะ บาคุโก…”

 

“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตอบสิวะ!” คนใจร้อนที่ทนกับท่าทางสำนึกผิดและน้ำเสียงสิ้นหวังไม่ไหวกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายขึ้นมา

 

โครม!

 

“กรี๊ด!”

 

บาคุโกกระชากคอเสื้อของคนพูดขึ้นมาอย่างไม่สนใจพยาบาลที่กำลังทำแผลให้อีกฝ่ายอยู่

 

“เอาแต่พิรี้พิไรอยู่ได้ มันเกิดอะไรขึ้นก็พูดมาสิวะ!!?”

 

มือหยาบกำคอเสื้อของอีกฝ่ายแน่นขึ้นจนแทบหายใจไม่ออก จนไม่รู้ตัวควันไฟจากอัตลักษณ์ระเบิดก็ทำให้ชุดของอีกฝ่ายค่อยๆ ไหม้ โทโดโรกิพยายามจะดันตัวออก แต่ตัวเขาเองก็ไม่ไหว ตอนนี้เขาเองก็แทบจะไม่มีแรงแล้ว

 

“บาคุโก นายทำอะไรน่ะ!”

 

เสียงใสดังขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนฮากาคุเระจะเข้ามาดึงมือของอีกฝ่ายออก ทันทีที่รู้สึกถึงใครอีกคน บาคุโกก็หันไปมอง แม้จะไม่เห็นก็รู้ว่าเธอคือคนที่เข้าไปในสำนักงานใหญ่ด้วย พอเห็นแบบนั้นเขาก็ผละจากโทโดโรกิที่ไม่สามารถตอบคำถามได้มาที่เธอซึ่งน่าจะแฝงตัวเข้าไปกับเดกุ

 

“เดกุไปไหน”

 

“เอ๋ ใครอ่ะ”

 

“มิโดริยะ อิซึกุ! ฉันถามว่ามันอยู่ไหน ที่นี่หรือโรงพยาบาล!”

 

ฮากาคุเระเข้าใจชื่อที่อีกฝ่ายบอกขึ้นมา เธอเงียบเสียงไปครู่ โดยที่ใครก็ไม่รู้ว่าร่างกายโปรงแสงนั้นทำหน้าอย่างไร รออยู่ครู่หนึ่งเสียงเล็กก็ตอบกลับมา

 

“อยู่ข้างในนั้นแหละ” เธอพูดพลางชี้ไปที่ตึกร้างที่มีสำนักงานใต้ดินอยู่ บาคุโกที่ไม่อยากจะเสียเวลาอีกจึงรีบวิ่งเข้าไปโดยไม่ฟังที่ฮากาคุเระจะพูดเสริม “บาคุโก เดี๋ยวก่อน…!”

 

.

.

.

 

บาคุโกเข้ามายังอาคารด้านล่างตามความทรงจำของเขา ที่นี่แม้จะมีห้องด้านในแตกต่างกันแต่เมื่อถูกไฟแล้วก็ดูไม่ได้ซับซ้อนเหมือนดังเก่า เขาเดินลงมาทีละชั้น กวาดตามองคนมากมายที่ยังเดินไปมาตามหน้าที่ ทั้งนักดับเพลิง ตำรวจ และหน่วยแพทย์ แต่ไม่ว่าจะเดินอยู่ในนั้นนานเท่าไหร่เขาก็ไม่พบอิซึกุเสียที จนในที่สุดเขาก็มาหยุดอยู่ที่ห้องซึ่งตัวเองถูกขัง ที่นี่มีคนมากมายกำลังทำหน้าที่ย้ายศพที่ดำเป็นตอตะโกออกมาจากห้องข้างๆ จนดูวุ่นวายไปหมด เขาหวังว่าบางทีเดกุอาจมาจุ้นจ้านอยู่ที่นี่ แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นร่างของเจ้านั่นยืนอยู่

 

“บาคุชินจิ มาทำอะไรที่นี่น่ะ” นายตำรวจนายหนึ่งหันมาถาม แม้จะถามด้วยดีแต่ในดวงตาคู่นั้นก็ติดจะรำคาญนิดหน่อย เพราะตรงนี้มีศพเยอะมากที่ต้องขนไปชันสูตร และทางเดินก็แคบอยู่แล้ว การมีคนเข้ามาเพิ่มโดยไม่ได้ช่วยงานทำให้เขาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

 

“มิโดริยะ อิซึกุ แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ เจ้านั่นอยู่ที่นี่รึเปล่า”

 

“แผนกวิเคราะห์…” ชายคนนั้นนิ่งไปนานพอสมควร ก่อนตอบ “…น่าจะอยู่ในนั้นแหละ” เขาพยักเพยิดไปทางประตูห้อง แต่ยังไม่ยอมเปิดทางให้อีกฝ่ายเดินไป

 

“แต่นายอยากเห็นเขาในตอนนี้แน่เหรอ”

 

คำถามนั้นหยุดบาคุโกไว้ได้ชะงัด

 

‘…เขาในตอนนี้…’

 

บาคุโกชะงักกับคำพูดเช่นนั้น เขาเคยได้ยินมันมาก่อนยามที่ญาติมารับศพที่ไม่สมบูรณ์ของคนรู้จัก เพราะแบบนั้นจึงไม่อาจจะคงสติอยู่ได้

 

มันเหมือนด้ายที่จับไว้มีแววว่าจะขาด…

 

แต่เขาก็ยังจะเดินเข้าไป ให้เห็นด้วยตาตัวเอง

 

“เฮ้ เดี๋ยวก่อน” อีกฝ่ายพยายาจะกันตัวของผู้มาเยือนไว้ แต่ก็ไม่อาจจะทำได้สำเร็จ

 

ที่หน้าห้องนั้น ในที่สุดบาคุโกก็เห็นว่ามีอะไรรอคอยเข้าอยู่ ในนี้นอกจากเจ้าพนักงานที่กำลังขนชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ที่ไหม้เป็นตอตะโกอย่างผิดรูปร่างแล้ว…ก็ไม่มีสิ่งอื่นอีก

 

เชือกเส้นบางกำลังขาด แต่เขาก็จะจับมันไว้ไม่ปล่อย

 

ซากบางอย่างที่ไหม้เป็นตอตะโก มันดูไม่ออกด้วยซ้ำว่าครั้งหนึ่งเคยเป็นมนุษย์ ส่วนรอบข้างนั้นก็ไม่มีสัญญาณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ชายหนุ่มรู้สึกอยากจะอาเจียนและหันหน้าหนี แต่เขาก็ยังเดินเข้าไปจนสุดเพื่อหาตัวคนคนหนึ่ง แต่ยิ่งเดินเข้าไป จิตใจก็ยิ่งถูกบีบรัด เชือกที่จับไว้กำลังค่อยๆ ขาด ห้วงหนึ่งที่ต้องกลั้นลมหายใจอย่างหวาดหวั่นกับสิ่งที่จะได้เห็น และเมื่อเดินมาจนสุดทางแล้วถึงได้พบว่า…

 

คัตจัง!

 

ไม่มีเดกุอีกต่อไปแล้ว

 

เขาหันหน้าไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องอย่างช้าๆ ชายคนนั้นกำลังยกบุหรี่ขึ้นจุดสูบ ควันสีขาวพ่นออกมา แม้ไม่เอ่ยคำใดแต่ก็เหมือนดวงใจถูกฉีกกระชากเป็นเสี่ยงๆ

 

“แกโกหกสินะ”

 

อีกฝ่ายส่ายหน้า รู้ว่าตัวเองกำลังถูกมองด้วยสายตาอาฆาต แต่เพราะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังที่เจ้าของชื่อมิโดริยะเคยช่วยฮีโร่คนนี้ไว้ก็เลยไม่อยากจะพูดจารุนแรง เขาเพียงแค่ยกมือห้ามคนที่กำลังจะเข้ามาขนศพก่อนจะพ่นควันบุหรี่ออกมาแล้วเอ่ย

 

“ไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร”

 

“……”

 

“รอให้ผลชันสูตรออกก่อนก็ได้”

 

 

ชีวิตฉันก็เป็นแบบนี้แหละคัตจัง เป็นแบบนี้มาตลอด  

 

 

ปึ่ก!

 

เข่าสองข้างทิ้งลงกับพื้นห้องที่ไหม้เกรียม ไม่ทันรู้ตัวก็สูญเสียไป คล้ายกับเป็นแค่ความฝัน พอตื่นมาก็แหลกสลาย แต่กลิ่นไหม้นั้นยังคงอยู่

 

ยืนยันว่า…นี่คือโลกของความเป็นจริง

 

 

ในบางครั้ง…โอกาสที่ผ่านเลยไปแล้วก็ไม่หวนกลับมาอีก…

 

…ตลอดกาล…

 

.

.

.

 

1 สัปดาห์ต่อมา…

 

หลังจากการตามหาเดกุที่ไม่มีวันได้พบกันอีก ผลชันสูตรก็ออกมาว่าในกองเถ้าถ่านนั้นมีร่างของมิโดริยะ อิซึกุรวมอยู่ เขาถูกยย่องจากผู้คนถึงการเสียสละเพื่อเข้าช่วยเหลือคนที่ถูกจับไปทดลอง และฝั่งฮีโร่ที่ได้ข้อมูลเชิงลึกจากเขา

 

ในตอนนั้นเองที่บาคุโกรู้ว่า…ในชีวิตนี้ อิซึกุมองเห็นตัวเองมีค่าแบบไหน…

 

แต่เขากลับไม่เคยสนใจมันเลย ทั้งๆ ที่เขาควรจะรู้ตั้งแต่แรก…ว่าคนแบบนั้นจะยอมทำทุกอย่าง…เพื่อสร้าง 1% ที่ทำให้ทุกคนรอด เช่นเขาเองที่ถูก 1% ที่ว่านั้นช่วยเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า

 

นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คำว่าคุณค่าไม่อาจวัดได้…บนโลกซึ่งทุกคนไม่เท่าเทียมกัน

 

 

1 เดือนก่อนวันเกิดปีที่ 26 ของมิโดริยะ อิซึกุ…

 

‘ถ้าอยากเป็นฮีโร่ขนาดนั้นละก็ แกก็เชื่อมั่นว่าเกิดชาติหน้าจะมีอัตลักษณ์ แล้วทิ้งดิ่งลงมาจากดาดฟ้าซะสิ’

 

…ในวันนั้นถ้อยคำนั้นได้กลับคืนสู่เจ้าของอีกครั้ง…ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสอย่างเท่าเทียมกัน

 

 

 


 

//ยังไม่จบค่ะ |หลบหลังเสา|

 

[Fic MHA] Someday [KatsuDeku]

Title: Someday

Pairing: Bakugou Katsuki x Midoriya Izuku

Rate: PG-13

Note: มีคนเคยบอกว่า เวลาขอโทษ จะมีฝ่ายที่ขอ(โทษ) และฝ่ายที่ให้ (อภัย)

ฟิคนี้รีเควสโดยคุณเน็ทค่ะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับคัตจังที่มาซื้อของที่ร้านข้าวกล่องที่น้องเดทำงานอยู่ ซึ่งคัตก็รู้สึกผิดกับเรื่องในอดีต เราเลยคิดว่าถ้ามีประเด็นนี้ก็น่าสนใจดี ส่วนจะได้ขอโทษกันมั้ย ก็ฝากไปติดตามกันจนสุดทางด้วยนะคะ

ด้วยรักและคำขอบคุณค่ะ

Picture by Quang Anh Ha Nguyen from pexels Edit on Canva.com


 

 

Someday P.2

 

 

บนโลกใบนี้มีสิ่งที่คล้ายเวทมนตร์เฉพาะตัวอยู่

สิ่งนั้นถูกเรียกว่า ‘อัตลักษณ์’

 

แต่ในนิยายแฟนตาซีก็ต้องมีคนธรรมดา

หากเปรียบเป็นโลกใบนี้ที่ผมอยู่ มันก็คงเหมือนกับ ‘คนไร้อัตลักษณ์’ อย่างผม

 

แต่ก็เคยได้ยินเหมือนกันว่าบางอย่างหากใส่ใจลงไปเพียงพอ มันก็จะมีอานุภาพพอๆ กับเวทมนตร์ในนิยาย หนึ่งในนั้นก็คือ ‘อาหาร’

 

เพราะแบบนั้น ผมจึงเลือกที่จะทำงานยังร้านขายข้าวกล่องแห่งนี้

 

ซึ่งที่จริงหากดูผิวเผินเหตุที่ผมเลือกทำงานที่นี่อีกอย่าง ก็อาจเป็นเพราะมันอยู่ใกล้กับที่พักและบ้านของตน รวมถึงมันก็เป็นงานที่เหมาะกับคนไร้อัตลักษณ์เช่นผมแล้ว ก็ไม่ใช่แค่อาชีพฮีโร่นี่นาที่ต้องใช้อัตลักษณ์น่ะ…แม้แต่การทำอาหารก็ยังมีข้อได้เปรียบกับคนที่มีอัตลักษณ์ที่เหมาะสม

แต่สุดท้าย สิ่งที่จะวัดคุณค่าของอาหารก็ไม่เกี่ยวกับอัตลักษณ์อยู่แล้ว และที่สำคัญคือการอยู่ในครัวนั้นไม่จำเป็นต้องพบปะคนกิน ซึ่งมันก็ลดความประหม่าไปได้ไม่น้อย

 

“แบบนั้นก็แย่น่ะสิ”

 

แต่ดูเหมือนสถานการณ์ของทางร้านจะไม่อำนวย เขาจึงต้องย้ายมาเป็นพนักงานขายอาหารไปก่อนจนกว่าจะหาคนมาแทนได้

 

“อ่ะ คือว่า…ถ้ายังไงต้องขอโทษด้วยนะครับ”

 

อิซึคุเอ่ยคำขอโทษให้กับลูกค้าที่หลายวันนี้มาตามซื้อข้าวหน้าหมูทอดซอสสูตรพิเศษที่หมดเร็วกว่าปกติมาเกือบ 1 สัปดาห์แล้ว ดูท่าพนักงานคนนี้คงจะนอยด์ไม่น้อย ส่วนชายหนุ่มก็ไม่รู้จะพยายามควบคุมใบหน้ายังไงให้ไม่ยิ้มออกมาได้

 

ก็ข้าวหน้าหมูทอดนั่นเป็นส่วนที่เขาคอยดูแลนี่นา ถึงจะไม่มาก แต่ได้เห็นว่ามีคนชอบมัน ความรู้สึกพองฟูบางอย่างก็โอบล้อมจนยากจะระงับ

 

พอชายร่างใหญ่คนนั้นเดินออกไปพร้อมข้าวหน้าเนื้อ เขาถึงกล้าที่จะระบายยิ้มออกมาในที่สุด และไม่รู้ว่าเหม่อหรืออย่างไร มิโดริยะ อิซึคุจึงมองไม่เห็นดวงตาสีแดงที่มองเขาอยู่จากนอกร้าน…ดวงตาของคนคุ้นเคยที่จากกันไปนานหลายปี

 

เป็นเวลากว่า 3 วันแล้วที่ฮีโร่บาคุชินจิผู้ทำงานอยู่ในเขตนี้พบสิ่งที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน นั่นก็คือเพื่อนสมัยเด็กของเขาที่ไม่ได้เจอกันมา 7 ปี

 

ทั้งที่ไม่ได้ใส่ใจแต่กลับจำได้ถึงเรื่องที่เคยทำกับอีกฝ่ายไว้ได้

การกลั่นแกล้งที่รุนแรงขึ้นตลอด 10 ปี…

 

ความรู้สึกผิดซึมผ่านเข้าหัวใจเมื่อมองย้อนไปในอดีต หากย้อนไปเมื่อ 7 ปีก่อนก็อาจตอบได้ว่าตนไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อเติบโตขึ้น ผ่านความขัดแย้งในตัวตนที่เติบโตกับอดี เขาก็ได้พบว่าในนั้น…ภายในใจมีความรู้สึกที่ยากจะยอมรับนั้นอยู่

เขาอาจจะลืมไปถ้าหากไม่ได้มาเจอกับเจ้านั่นที่นี่ แต่เมื่อได้พบแล้วก็ยากจะปฏิเสธว่าไม่รู้สึกอะไร มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะปล่อยผ่าน ยิ่งพบวิลเลินมากมายที่ถูกสังคมกดทับจนทำให้ผันตัวมาเป็นวิลเลิน บาคุโก คัตสึกิก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่เกือบจะผลักให้เจ้านั่นไปสู่ทางแบบนั้น

 

กลายเป้นตะกอนตกค้างอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้…

 

…แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว…

 

บาคุโกมองลอดผ่านกระจกร้านของร้านขายข้าวกล่องเข้าไป เขาเห็นหน้าตาหลากหลายที่ไม่ใช่แค่วามตื่นตระหนก แต่ยังมีรอยยิ้มแบบที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้วก็ให้รู้สึกกระอักกระอ่วน

 

หากเข้าไปตอนนี้ บรรยากาศพวกนั้นคงมลายหายไป

 

เขาหยุดยืนนิ่ง สุดท้ายก็ยกนาฬิกาขึ้นมามอง ตอนนี้ยังเป็นตอนสาย ซึ่งเขาจะเข้างานอีกทีก็ช่วงบ่าย ถ้าหาก…

 

ถ้าหาก…

 

“ชิ ไร้สาระ”

 

ไม่ล่ะ เรื่องมันนานมาแล้ว

 

 

 

1 สัปดาห์ต่อมา

 

“ขอโทษนะจ้ะ แต่ดูเหมือนจะยังหาคนไม่ได้เลยล่ะ มิโดริยะคุง” หญิงชรารูปร่างเหมือนคนปกติแต่มีหูด้านบนคล้ายแมวกับหางงอๆ เดินมาบอกด้วยท่าทางลำบากใจ ก่อนจะเริ่มพูดถึงแนวคิดในระยะยาวว่าอาจจะให้คนอื่นมาทำหน้าที่สลับกันไป แล้วให้เขาได้กลับเข้าครัวบ้าง

 

เขาที่ทำงานมาได้ไม่กี่ปีนั้นไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร และคิดว่าดีแล้วที่เธอไม่คิดจะปลดเขาออกมาทำงานหน้าร้านแทน ด้วยเหตุนั้นเขาจึงได้สลับสับเปลี่ยนไปทำอาหารในครัวบ้าง และเฝ้าหน้าร้านบ้าง สลับไปทุกเดือนตามนโยบายของเถ้าแก่เนี้ย

 

จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป วันหนึ่งที่ทำงานอยู่หน้าร้านก็มีคนหยิบข้าวแกงกะหรี่เผ็ดจัดมาที่เคาท์เตอร์คิดเงิน

 

ต้องเป็นคนที่พวกรุ่นพี่บอกว่าเป็นฮีโร่ที่ชอบอาหารร้านเราแน่ๆ

 

อิซึกุรีบเงยหน้าอย่างกระตือรือร้นก่อนจะยิ้มค้างอย่างตกใจเมื่อได้เจอกับคนที่ไม่คาดคิดไว้

 

“…”

“…”

 

ต่างฝ่ายต่างนิ่งไป

 

ดวงตาสีแดงคู่นั้น…ไม่ว่าจะกี่ปีก็ไม่มีทางลืม

 

คัตจัง…

 

‘เดกุไงล่ะ ที่แปลว่าทำอะไรไม่ได้สักอย่าง หลังจากนี้ฉันจะเรียกแกว่าเดกุ’

‘ฮ่ะๆ เป็นแค่เดกุแท้ๆ แต่อยากจะเป็นฮีโร่ ต้องให้บอกกี่ครั้งหา! ว่าแกน่ะไม่มีทางเป็นฮีโร่ได้’

‘อ้อ ก็มีอีกทางนึงนี่นะ ไอ้นั่นไงล่ะ ใช้วันชันไดรฟ์แล้วไปเกิดใหม่น่ะ!’

 

แค่คิดถ้อยคำสุดท้ายในช่วงเวลาท้ายสุดที่เราได้เจอกัน…ความรู้สึกกังวลก็ผุดขึ้น รู้สึกอยากจะถอยตัวออกไปอีกสักนิด เพิ่มช่องว่างระหว่างกันไปอีกสักหน่อย เหมือนกับเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย แต่จะต้องขยับหนีทำไมกันล่ะ…ก็ตอนนี้อีกฝ่ายเป็นถึงฮีโร่แล้วนี่

ฮีโร่ กับ พลเมือง เรื่องน่ากังวลพวกนั้น…คงจะไม่เกิดขึ้นเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือพลเมืองคนหนึ่ง

พอวางใจได้ในระดับหนึ่ง อิซึคุก็มองอีกฝ่ายได้มากขึ้น จนสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูไม่ได้มีท่าทีคุกคามดังครั้งสมัยเด็กอยู่

 

หรือว่า…จะจำเรื่องตอนนั้นไม่ได้กันนะ

 

“อะแฮ่ม!”

 

เฮือก!

 

อิซึคุสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกระแอมมาจากชายที่ต่อแถวอยู่หลังจากคัตจัง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเหม่อนานเกินไปหน่อยแล้ว มือทั้งสองข้างจึงลุกลี้ลุกลนจับของคิดเงินใส่ถุง พยายามให้เป็นปกติ แต่ก็ยังไม่กล้าจะสบตาอีกฝ่ายนานๆ อยู่ดี เขาทำทุกอย่างเสร็จก่อนจะก้มหัวขอบคุณแล้วแถวก็ร่นขึ้นมา

 

ตึกๆ ตึกๆ

 

รู้สึกถึงเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ แบบที่ไม่รู้ว่าตกใจ กลัว หรือตื่นเต้นที่ได้เห็นฮีโร่

 

แต่…คัตจังอาจจะไม่มาที่นี่อีกแล้วก็ได้ถ้าเห็นว่าเขาทำงานอยู่ในนี้

 

อิซึคุไม่รู้เลยว่ามีคนมาเฝ้าดูเขาอยู่ทุกครั้งที่ผ่านหน้าร้าน จนกระทั่งรวบรวมความกล้ามาเผชิญหน้ากับเขาได้ในวันนี้ และชายคนนั้นก็ยังยืนนิ่งอยู่ข้างร้านในมุมที่เขามองไม่เห็นเพียงลำพังหลังออกจากร้านแล้ว

 

ลืมงั้นเหรอ…ไม่เลย เจ้านั่นไม่เคยลืม

และเขาเอง…ถ้าหากลืมได้…ก็คงจะไม่มาซื้อของที่นี่อยู่แบบนี้

 

บ้าชะมัด

 

แต่ท่าทางพวกนั้นมันอะไรกัน การหลบหน้าเหมือนกับหวาดกลัวเสียเต็มประดา ก่อนจะเปลี่ยนเป็นแววตาสงสัย และท่าทางรีบร้อนเช่นนั้น… บางทีที่เขาสงสัยอาจจะเพราะรู้อยู่แล้วแต่ไม่อาจยอมรับว่าเพราะอะไรเจ้านั่นจึงเป้นเช่นนั้น

 

บาคุโก คัตสึกิรู้สึกเหมือนมีหินหนักๆ มาถ่วงอยู่ในใจเมื่อเห็นใบหน้ายิ้มที่มลายหายไปเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเช่นนั้น

 

บางครั้งบาคุโกก็ไปซื้อของที่ร้านนั้น แน่นอนว่าเดกุยังแสดงท่าทีเช่นเดิม แม้จะพยายามคิดว่าจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เมื่อหยุดชะงักแล้วเริ่มคิด อีกไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็พบว่าตัวเองซื้อของเสร็จเสียแล้ว

จนกระทั่งวันหนึ่งที่เกิดเหตุการณ์ปะทะกับวิลเลิน ร้านค้าที่อยู่ในแถบนั้นเสียหายจากแรงกระแทกและแรงระเบิดไปพอสมควร

 

ร้านของเดกุก็เป็นหนึ่งในร้านที่ประสบเหตุ

 

พวกตำรวจพากันเข้ามาดูร้านที่ร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐทีละร้าน เป็นเรื่องน่าแปลกที่ครั้งนี้ฮีโร่นักระเบิดอย่างบาคุชินจิก็มากับเขาด้วย และดูจะใส่ใจกับร้านค้าที่ถูกตัวเองทำลายไป…มากกว่าปกติ

 

“ตรงนี้คงต้องใช้เวลาอีกสักพักหนึ่ง” ถ้อยคำกำกวมของเจ้าหน้าที่เอ่ยต่อเถ้าแก่เนี้ยตัวเล็ก ถ้อยคำเหล่านั้นดูเหมือนรัฐจะรับผิดชอบดี แต่ระยะเวลาที่จะซ่อมร้านจนแล้วเสร็จกลับกำกวมจนดูออกว่าหากรอให้ทางการช่วยเยียวยาแล้ว คงจะต้องรอไปอีกนาน แต่หญิงชราก็ทำได้เพียงยอมรับ เพราะร้านค้าแถวนี้ที่ประสบเหตุก็ไม่ได้มีเพียงร้านเธอร้านเดียวเสียเมื่อไหร่

 

“ว่ายังไงบ้างครับคุณมิเอะ” เดกุที่รออยู่ตรงเคาท์เตอร์คอยคำสั่งว่าจะเอายังไงต่อกับร้านนี้ดีอย่างใจจดใจจ่อ เขาพยายามกดเสียงให้เบาที่สุด และหลบไปยืนในมุมหนึ่งของร้านที่ห่างไกลจากสายตาคน…ซึ่งรวมไปถึงในสายตาของฮีโร่บาคุชินจิด้วย

แต่บาคุโกก็รู้ว่าอีกฝ่ายลอบมองเขาอยู่ในบางครั้งที่สายตามาบรรจบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ดวงตาสีเขียวมรกตคู่นั้นก็หันหนีแทบจะในทันที ไม่รู้ว่ามันบังเอิญหรือแค่กลบเกลื่อนกันแน่ แต่บาคุโกก็รู้สึกแปลกๆ ไม่น้อย

 

‘ผมก็จะเป็นฮีโร่เหมือนออลไมท์’

 

เจ้านั่นเคยพูดไว้สินะ…

พอคิดว่าคนที่ได้เดินทางนี้อย่างเขา และเจ้านั่นที่ต้องหันกลับแล้วมาเจอกันในลักษณะนี้แทน มันก็น่ากระอักกระอ่วนจนทนไม่ไหว

 

“คงจะอีกนานล่ะนะ”

อิซึคุรับฟังคำของหญิงชราก่อนจะพยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นผมจะไปบอกคนอื่นๆ ให้เตรียมเก็บของนะครับ”

“อืม ขอโทษด้วยนะ แต่ว่าคงต้องขอให้เธอหยุดกันสักพักนึงแล้ว”

“ไม่เป็นไรครับ”

 

หลังจากอิซึกุเดินไปหลังร้านด้วยท่าทางเคร่งเครียด คัตสึกิที่แอบอ่านปากอีกฝ่ายก็รู้ว่าสถานการณ์ของร้านนี้ย่ำแย่กว่าที่คิด เผลอๆ อาจจะต้องปิดกิจการชั่วคราวนานกว่าร้านอื่น ความไม่พอใจผุดขึ้นมาในใจ มันขุ่นข้องจนทนไม่ไหว ยิ่งเห้นสีหน้าของเดกุเขาก็รู้สึกแย่

 

มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือไง

 

เขาคงไม่มีทางรู้คำตอบของคำถามนั้น จนกระทั่งได้ใช้ชื่อเสียงของตนและเงินที่ได้มาช่วยชดเชยให้แต่ละร้านในครั้งนั้น ทำให้การซ่อมแซมเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คิด ร้านค้าแถวนั้นจึงกลับมาเปิดกิจการได้ใหม่ภายในเวลา 2 สัปดาห์ แน่นอนว่าเขาได้รับเสียงชื่นชมจากพวกปากสว่างที่เอาไปพูด ซึ่งมันไม่น่าสนใจเลยสักนิด

 

ดวงตาสีแดงมองเข้าไปในร้านขายข้าวกล่องที่กลับมาเปิดได้ใหม่ ใบหน้าที่เขาได้เห็นทางหน้าร้านวันนั้นกลับมาอีกครั้ง มันดูสว่างไสว…แค่เพียงเพราะเรื่องแค่นี้

 

รอยยิ้มเจิดจ้าจนน่ารำคาญลูกตาปรากฏบนใบหน้าของเดกุ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีกว่าสีหน้าเมื่อครึ่งเดือนก่อนไม่น้อย บาคุโกยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ทำไมถึงได้สบายใจเช่นนั้น โดยไม่ทันรู้ตัวดวงตาสีเขียวก็มองสบมา

 

เพราะเป็นช่วงที่ไม่ค่อยมีคน บวกกับกระจกใหม่ที่ยังไม่มีโปสเตอร์ใดมาแปะ ทำให้อิซึคุเห็นว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงข้ามร้าน พอเห็นแบบนั้นก็จำข่าวลือที่ว่าฮีโร่บาคุชินจิช่วยร้านค้าที่ประสบความเสียหายไว้ด้วยการขอให้รัฐให้ความสนใจกับปัญหานี้อย่างจริงจัง พอเห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนั้น ในฐานะคนที่ถูกช่วยไว้ก็รู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง

 

คนอย่างเขาจะทำอะไรได้บ้างนะ

 

อิซึกุหันไปอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขากลับไม่เห็นฮีโร่คนดังกล่าวเสียแล้ว…

 

อีกด้านคัตสึกิรีบเดินออกมาด้วยความตกใจ มันคงจะแปลกไม่น้อยหากให้เจ้านั่นเห็นว่าเขามาตามดู เขาคิดว่าคงจะไม่ไปที่นั่นอีกในช่วงนี้เพื่อไม่ต้องเจอกับท่าทางนอบน้อมขอบคุณจากคนแถวนั้นอีก

 

แต่วันรุ่งขึ้นเขากลับพบเดกุที่ถูกส่งมาที่สำนักงานฮีโร่เขาถึงที่ พอดีกับที่เขากำลังจะเปิดสำนักงานพอดี ทั้งที่คิดว่าจะหนีหน้าไปสักพักให้ลืมเรื่องนั้น ก็กลับได้เจอกันอีก

 

“เอ่อ…คือว่า…” อีกฝ่ายท่าทางลนลานขัดเขินซึ่งเขาก็พอจะเห็นบ่อยๆ เวลาที่อยู่ในคราบฮีโร่ แต่ดูเหมือนมันจะมากกว่าคนปกติ และไม่ใช่แค่ในเชิงปลาบปลื้มอะไรแบบนั้น

 

ประหม่า

 

ท่าทางเหมือนลูกนกนั้นทำให้คิดถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ ถ้าให้ดูแล้วก็แทบไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทั้งๆ ที่เวลาอื่นไม่เป็นแบบนี้แล้วแท้ๆ

 

“คะ..คือว่า…ผมมาจากร้านขายข้าวกล่องมิเอะ…ที่คุณช่วยไว้ครับ” เสียงตอนท้ายเริ่มเบาลงอย่างคนขาดความมั่นใจ

 

คัตสึกิไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะไม่ใช่ร้านนี้ร้านแรกที่ส่งของมาขอบคุณเขา เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดว่าอะไรด้วยซ้ำ แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจถึงได้เต้นแรงและสนใจคำพูดที่อีกฝ่ายจะเอ่ยมากกว่าปกติ

 

อิซึกุลุกลี้ลุกลน จริงๆ แค่ใช้เวลาหายใจก็นานไปพักหนึ่งแล้ว แต่เพราะไม่อยากทำให้เจ้าของร้านขายหน้าก็ผลักให้เขาต้องเอ่ยมันออกไป โดยพยายามสลัดความกลัวในอดีตไว้

 

กลิ่นไหม้ที่หัวไหล่ ตามตัว ถึงจะเคยมีแต่นั่นก็คือสมัยที่คนตรงหน้าคือคัตจัง

แต่ตรงหน้าเขาตอนนี้คือฮีโร่บาคุชินจิ เป็นฮีโร่ที่ช่วยพลเมืองเช่นเขา ไม่ว่าจะชอบหน้าพลเมืองคนนั้นหรือไม่ก็ตาม…อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางทำรุนแรงใส่

แล้วอีกอย่าง…ตอนนี้ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะจำเขาได้หรือไม่ด้วย ถ้าไม่ไปสะกิดต่อมโกรธเข้าทุกอย่างก็น่าจะราบรื่น …อิซึคุปลอบตัวเอง

 

อิซึคุสงบใจลงและเอ่ยตามข้อความที่เตรียมมา

บาคุโกเองก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปในทันที

 

“ทางร้านของเราขอขอบคุณในความกรุณาที่มอบให้มาตลอด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความเสียหายให้กับร้านของเราอย่างมาก และหากไม่ได้รับการช่วยเหลือในครั้งนี้ทุกอย่างก็คงจะเลวร้ายขึ้นไปอีก…” อิซึกุพูดไปตามสคริปโดยไม่รู้ว่าท่าทางที่แสดงนั้นต่างจากตอนแรกมากเพียงใด จนกระทั่งเอ่ยจบและก้มตัวให้อีกฝ่าย เมื่อเงยหน้าขึ้นและยื่นของให้ไป บาคุโกก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่

 

ไม่เหมือนหลายวันก่อนที่พยายามหลบหน้า แค่เพียงเพราะเขาช่วยร้านไว้แค่นั้นก็เปลี่ยนได้แล้ว?

 

“นี่คืออะไร” เขาชี้ไปที่กล่องข้าวที่ถูกแยกมาจากกล่องขนมอีกกล่อง ดูเหมือนจะมีทั้งของขอบคุณทั่วไปและของที่ขายในร้าน

“อะ อันนี้ เอ๊ย ทางนี้เป็นขนมจากร้านชื่อดังที่…” อิซึกุที่ถูกถามอย่างกะทันหันคล้ายนักเรียนที่พอหมดสคริปแล้วถูกอาจารย์ถามก็ไปไม่ถูก บาคุโกที่เห็นท่าทางเปลี่ยนไปอีกหนของอีกฝ่ายก็ให้เลิกคิ้ว “…ส่วนทางนี้เป็นข้าวกล่องจากร้านของเรา เป็นแกงกะหรี่เผ็ดและข้าวหมูทอดสูตรพิเศษกับเมนูอื่นๆ ที่คิดว่าน่าจะ..น่าจะตรงกับความชอบของคุณฮีโร่…”

 

“คุณฮีโร่?”

 

“ครับ? เอ่อ…ครับ” อิซึคุใจแป้ว ใบหน้าซับสีเลือดอ่อนๆ ไม่รู้ว่าได้ทำเรื่องขายหน้าไปรึเปล่า เขาคิดไปไกลจนอยากจะวิ่งกลับไปมุดหน้าอยู่ในครัวแล้วไม่ออกมาอีกให้รู้แล้วรู้รอด แต่จนสุดท้ายเขาก็ไม่อยากมีปัญหาจนทำให้ร้านเดือดร้อน อิซึคุทบทวนคำที่ตนเองและอีกฝ่ายพูดก่อนจะค่อยๆ เดาออกว่าปัญหาน่าจะมาจากคำเรียกนั้นของเขา “เอ่อ…หมายถึงฮีโร่บาคุชินจิและทุกท่านในสำนักงาน”

 

ฮีโร่บาคุชินจิ

ไม่ใช่คัตจังแล้วสินะ

 

อิซึคุเกร็งไหล่ เขารู้สึกถึงบรรยากาศแปลกๆ แต่ก็ไม่กล้ามองตาอีกฝ่ายเสียแล้ว ความที่ไม่เคยชินกับการเผชิญหน้ากับผู้คนทำให้รู้สึกอยากวิ่งหนีไปซะเดี๋ยวนั้น แต่จะปล่อยให้ตัวเองทำเรื่องขายหน้าแบบนั้นก็ไม่ได้

 

เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหาทางเปลี่ยนเรื่อง

 

“คือทางเราเห็นว่าคุณฮีโร่สนใจอาหารดังกล่าวก็เลย…คิดว่า…คิดว่าน่าจะเป็นการดีที่ส่งข้าวกล่องดังกล่าวมาด้วย แต่ถ้า…ถ้าไม่ถูกปากก็ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ”

 

อิซึกุก้มหน้าลงไป การไม่มองหน้าหรือสบตากลายเป็นความเคยชินของเขาไปเสียแล้ว จนไม่รู้ว่าดวงตานั้นคือหน้าต่างของหัวใจ หากเขาได้มองลงไปในดวงตาสีแดงคู่นั้น บางทีอาจจะรู้ว่า…มันไม่ใช่อย่างที่คิด

 

คัตสึกิพอเห็นแบบนั้นก็นิ่งไปอยู่นาน นิ่งจนอิซึคุเองก็หวั่นใจว่าเขาจะได้กลับออกไปหรือไม่ มันนานไม่กี่นาทีแต่เหมือนผ่านไปหลายชั่วโมง จนกระทั่งอีกฝ่ายตอบรับคำแล้วรับของจากเขาไป

 

อิซึคุลอบถอนหายใจในใจ เขาก้มหัวอย่างรวดเร็วและกะว่าจะรีบออกไปให้เร็วยิ่งกว่า แต่ก็ถูกคนที่ไม่น่าจะสนใจอะไรเขาอีกคนนั้นทักไว้

 

“เดี๋ยว”

 

!

 

อิซึกุชะงักงันเหมือนสัตว์เล็กที่ถูกสัตว์ใหญ่คำรามใส่ เขารู้สึกถึงลางไม่ดีขึ้นมาแต่ก็ยังหันหน้ากลับไป คิ้วทั้งสองข้างขมวดเล็กๆ โดยไม่รู้ตัว แต่คนมองกลับเห็นถึงความกังวลในใจได้อย่างชัดเจน

 

“ไม่-” คัตสึกิอยากจะเอ่ยออกไปว่าไม่ต้องกลัว แต่ถ้อยคำเหล่านั้นก็ติดอยู่ในปากอย่างยากจะเอ่ย เช่นเดียวกับคำขอโทษที่เขาเฝ้าทิ้งมันไปเพราะไม่มีความกล้าที่จะเอ่ยมัน

 

“มีอะไรเหรอครับ” อิซึกุเอ่ยออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา

 

คัตสึกิไม่รู้เหมือนกันว่าจะรั้งอีกฝ่ายไว้ทำไม เพราะงั้นเรื่องที่พอจะคิดออกจึงมีน้อยนิด

 

“แก…เอ่อ นาย…จำฉันได้ใช่มั้ย” แล้วไม่รู้ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องนี้ที่นึกขึ้นมาได้พอดิบพอดี

 

“…” เดกุชะงัก เขาอ้าปากจะเอ่ยประโยคอะไรออกมา แต่ก็ไม่ได้เปล่งเสียงออกไป ริมฝีปากเปิดขึ้นและปิดลงเหมือนจะพูด แต่ก็ไม่พูด ใช้เวลาอยู่นานเจ้านั่นถึงจะตอบกลับมาว่า “ครับ” พลางพยักหน้าน้อยๆ

 

คัตสึกิที่รอฟังอย่างใจจดใจจ่อรู้สึกว่าหัวใจตัวเองพองตัวและฟีบลงภายในเวลาเพียงชั่ว 1 คำ เขาคาดคิดว่าจะได้ยินอะไรมากกว่านั้นสักหน่อยเพื่อต่อบทสนทนาให้ยาวออกไป แต่เขาคงหวังมากไป

 

หรือไม่เขาก็ประสาทกลับ ที่หวังว่าจะได้เดกุคนเดิมกลับมา คนที่ดวงตายังคงมีประกายบางอย่างเหมือนยามที่มองเห็นความหวัง

ไม่สิ เขาก็เคยเห็นมันแล้วหลายครั้งที่อีกฝ่ายยืนอยู่หน้าร้าน แต่ว่า…ก็แค่มันไม่ได้ปรากฏให้เขาอีกแล้วเท่านั้น

 

บาคุโกรู้สึกกระอักกระอ่วน หากพูดขอโทษกับเรื่องในอดีตออกไปให้จบๆ จะเป็นอย่างไร หรือหากปล่อยไปแล้วเลิกคิดเล่า เขาเหมือนยืนอยู่ตรงกลางระหว่างแนวคิด รู้สึกว่าควรจะพูดในคราวนี้ไปซะ เขาไม่ชอบการถูกเรียกว่าคุณฮีโร่นั่นละก็… สู้พูดออกไปให้จบๆ ยังดีซะกว่า

 

“ฉัน…”

 

“…”

 

อิซึคุเองก็รอคอยเช่นกัน เขากำผ้ากันเปื้อนแน่นอย่างนึกหวั่น ทำให้คนพูดก็กลัวเช่นกันว่าหากพูดไปแล้วจะเป็นอย่างไร มันจะดีขึ้นมั้ย เดกุจะเลิกกลัวเวลาเจอหน้าเขาหรือเปล่า หรือจะหลบหน้ายิ่งกว่าเก่า ได้ข่าวว่าเจ้านั่นทำงานในครัวก่อนหน้านี้ หลังจากนี้หากหาคนได้ จะยังกลับมายืนหน้าร้านเหมือนเดิมไหม

 

จากการสังเกตมาโดยตลอด ไม่ต้องถามก็รู้เลยว่าเจ้านั่นคงจะไม่กลับออกมาอีก คนที่ถูกทำลายความมั่นใจลงไป แม้จะแข็งแกร่งแต่ก็คงจะไม่ชินกับการทำงานที่เผชิญหน้าคนมากมาย ถ้าถึงตอนนั้น…มันคงสายไป…อีกครั้ง

 

แม้จะไม่รู้ว่าอะไรที่สายแต่เขาก็ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ เขาต้องพูดอะไรสักอย่าง แต่จะทำยังไงล่ะ จะเริ่มต้นจากอะไร อะไรที่เขาพอจะทำได้บ้าง

 

“เอ่อ…ข้าวกล่อง ขอบใจ”

 

“มะ…ไม่เป็นไรครับ”

 

ถ้าเป็นแบบนี้จะได้มั้ยนะ

 

“ถ้าเผ็ดอีกหน่อย อาหารที่แกทำน่ะ…ก็อร่อยดี”

 

“…” อิซึคุนิ่งไป เขากระพริบตาปริบๆ อย่างไม่อยากจะเชื่อ และเหมือนว่าจะลืมไปแล้วว่าตัวเองกำลังกลัวอีกฝ่าย ท่าทางหวาดกลัวที่มีจึงลดลงไป ใบหน้าเก็บรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ก่อนจะยิ้มออกมาและก้มหัวลง

 

“ขอบคุณครับ คัตจัง”

 

มันเป็นวันที่สดใสจนแทบจะตาพร่า

 

ถึงแม้ว่าคำขอโทษนั้นจะยังไม่ได้เอ่ยออกไปก็ตาม แต่สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่งมันจะต้องได้มอบให้กับคนๆ นี้อย่างแน่นอน

 

ช่วยรออีกหน่อยได้มั้ย

 

Someday…

 

 

END

 


 

 

แถม

 

วันต่อมา บาคุโกก็มาที่ร้านนี้อีกครั้งในช่วงเย็นที่ไม่ค่อยมีคน เขาเลือกซื้ออะไรสักอย่างที่พอดูดีไป แล้วกำลังจะเดินมาที่เคาท์เตอร์หน้าร้านเพื่อเจอท่าทางเกร็งๆ ของพนักงานคนเดิม

 

มันเป็นเช่นนี้วนๆ ไปกว่าสัปดาห์ มีบ้างที่เขาไม่ได้มาที่ร้านทำให้ไม่มีโอกาสได้คุยกัน และเพราะแบบนั้นเขาจึงจำต้องรอไปอีก 1 เดือนเพื่อให้ได้เจอคนที่ต้องการ ระหว่างนั้นบาคุโกก็ค่อยๆ ทำความรู้จักกับเดกุคนปัจจุบันใหม่อีกหน และหากถามว่าทำไมถึงไม่เข้าไปคุยในช่วงเวลาอื่น นั่นก็เพราะเจ้านี่ดูจะเก็บตัวกว่าปกติ ทำให้บาคุโกก็ไม่กล้าเข้าไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า

 

“ทั้งหมด 980 เยนครับ” ท่าทางเกร็งๆ กับเสียงพูดที่ดังผิดปกติหายไปทีละนิด  ทำให้รู้สึกประหม่าน้อยลง ซึ่งก็ดีขึ้นเรื่อยๆ

 

แต่ระหว่างที่กำลังต่อแถวอยู่นั้นก็มีคนเมาเดินเข้ามา กลุ่มดังกล่าวเสียงดังโหวกเหวกและเหมือนจะมีเรื่องกันมา บาคุโกที่อยู่ในชุดลำลองนอกเวลางานตั้งท่าจะเข้าชาร์จก่อนที่เจ้าเดกุขี้กลัวจะโดนลูกหลง

 

แต่ดูเหมือนเขาจะช้าไปเมื่อเจ้านั่นเดินเข้าไปและจัดการล็อกตัวคนเมาทั้งสองได้จนอยู่หมัด ดูเหมือนแรงแขนที่มากกว่าที่จินตนาการไว้จะทำเอาคนในร้านทึ่งไปทีเดียว เช่นเดียวกับบาคุโกที่ตกตะลึงกับท่าทางสู้คนของอีกฝ่าย

 

“คุณเมามากแล้วนะครับ ถ้าจะทีเรื่องกันผมคงต้องขอเรียกตำรวจ” เจ้าสัตว์เล็กที่เพิ่งสั่นกลัวเขาไปเมื่อไม่กี่วันก่อนเอ่ยเสียงแข็ง

 

“อะไรวะ! ปล่อยนะโว้ย!”

 

“ไอ้งั่ง! มาตัวต่อตัวดิวะ”

 

ชายทั้งสองเริ่มสะบัด แน่นอนว่าถึงแรงเดกุจะมี แต่เขาก็ไม่อยากจะมาสู้ต่อหน้าลูกค้าในตอนนี้ พอเหลือบไปก็เห็นบาคุโกเข้าพอดี เขาจึงส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่เพียงแค่อ้าปาก ก็กลับกลัวว่าอีกฝ่ายจะว่าอะไรมั้ย เพราะเมื่อสังเกตดูก็เหมือนอีกฝ่ายจะอยู่ในชุดลำลอง

 

“รุ่นพี่-” เขาตะโกนเข้าไปในร้าน

 

“ใครรุ่นพี่แกวะ” แต่คนเมากลับเสียงดังกว่าเสียนี่ แถมยังไม่พอใจจนฟาดงวงฟาดงาจนขาจะมาโดนเขาถ้าหากไม่มีคนมาหยุดไว้ซะก่อน

 

“แกนี่มันเหลือเกินจริงๆ เดกุ”

 

“อ๊ะ”

 

บาคุโกจับแขนคนเมาก่อนจะหิ้วออกไปจากร้าน ไม่รู้ว่าไปส่งถึงไหน พอกลับมาอีกครั้งก็เป็นเวลาเกือบปิดร้านพอดี พอกลับเข้ามากล่องข้าวที่เขาเล็งไว้ก็หมดแล้ว แต่เดกุกลับหยิบออกมากล่องนึงก่อนจะยื่นให้

 

“ขอบคุณนะครับคุณฮีโร่”

 

“ชิ มีปากก็เรียกสิวะ”

 

“ขอโทษนะ ผมคิดว่าคุณอยู่นอกเวลาก็เลย…”

 

“ฮีโร่ก็ต้องช่วยคนไม่ใช่หรือไง แล้วก็เลิกเรียกฉันว่าคุณฮีโร่ได้แล้ว”

 

“เอ๊ะ แต่ว่า…”

 

“ฉันไม่ชอบ เรียกเหมือนเดิมไม่ได้หรือไงวะ”

 

“อ่า…อ๋อ เพราะว่าอยู่นอกเวลางานสินะครับ ขอโทษด้วยนะ”

 

“แล้วก็ไม่ต้องสุภาพเหมือนฉันเป็นลูกค้าแกตลอดเวลาด้วย”

 

“แต่ว่า…”

 

คัตสึกินิ่งไปเหมือนรู้ตัวว่าเอ่ยบางอย่างเอาแต่ใจไป แต่เขาก็สุดทนกับการพูดแบบนั้นแล้ว

 

“ฉันก็แค่ฉัน…แค่นั้น ไม่ใช่คุณฮีโร่อะไรนั่นที่แกชอบ”

 

ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างอย่างตกใจกับท่าทางที่ไม่คิดว่าจะได้เห็นจากคนตรงหน้า เขาไม่คิดว่าคัตจังที่ได้เจอกันอีกครั้งจะพูดแบบนี้เลยสักนิด

 

“แต่ว่าคุณก็ช่วยผมไว้ จะไม่เรียกแบบนั้นก็ได้ครับ แต่ว่าช่วยรับนี่ได้มั้ยครับ ถือว่าเป็นของขอบคุณจากผม”

 

คัตสึกิมองดูข้าวหน้าหมูทอดซอสเผ็ดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

 

“ถึงจะเป็นแค่อาหารหนึ่งมื้อ แต่ก็ช่วยให้มีแรงผ่านวันแย่ๆ ไปได้ ถึงจะ…ไม่ใช่ฮีโร่ แต่ผมก็อยากจะมอบพลังในแบบนี้ให้กับคนอื่น เมนูนี้เป็นเมนูใหม่ที่ลองทำดูจากคำที่…คัตจังเคยบอกไว้ ไม่รู้ว่าจะดีมั้ย”

 

พอได้ฟังประโยคนั้นบาคุโกก็เหมือนจะเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายมาทำงานอยู่ที่นี่มากขึ้น มันก็จริงที่ไม่ใช่แค่ฮีโร่อย่างเดียวที่ทำให้คนมีความสุขได้

 

เขารับมันมาก่อนจะกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว “ขอบคุณ”

 

คัตสึกิกำลังจะเดินออกไป โดยที่อิซึคุไม่มีโอกาสจะเอ่ยบางอย่างออกไป

 

‘ฉันก็แค่ฉัน…แค่นั้น ไม่ใช่คุณฮีโร่อะไรนั่นที่แกชอบ’

 

ไม่ใช่คุณฮีโร่ที่ชอบ…

…มันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียวหรอกนะ คัตจัง

 

แต่อิซึคุก็ได้แต่เก็บมันไว้ในใจ เอาไว้สักวันหนึ่งที่เขาเองจะมีความกล้าพอ สามารถพูดคุยกับอีกฝ่ายได้อย่างไม่กลัวเกรงแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น…ค่อยมาว่ากันอีกทีละกัน

 

 

หลังจากนั้นคัตสึกิ หรือ ฮีโร่บาคุชินจิก็มาเป็นลูกค้าขาประจำของร้านนี้ วันคืนที่ยุ่งยากของเขาก็เหมือนว่าจะได้รับการปลอบประโลมเล็กๆ ผ่านข้าวกล่องที่ปรับเปลี่ยนไปตามคำแนะนำของตนทีละเล็กละน้อย…เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนที่เป็นผู้ให้และผู้รับนั้นเอง

 

 

 


 

 

 

 

 

 

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 46

 

 

46

คุ้มค่า

 

 

ถ้าหากเทียบกับคนทั้งโลก แล้วต้องเสียสละคนเพียงหยิบมือ สิ่งที่จะได้ก็คือความคุ้มค่า

 

การพยายามปกป้องผู้อื่น สำหรับอิซึกุ…นั่นคือภาพของฮีโร่ที่เขามองเห็น มันคงจะต่างจากของคนอื่นไปบ้าง แต่เขาก็ยังเชื่อเช่นนั้น แม้แต่ในตอนนี้

 

ภาพของคนที่ช่วยคนอื่นด้วยรอยยิ้มของออลไมท์คือจุดเริ่มต้นให้เขาอยากเป็นฮีโร่ แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นฮีโร่ไม่ได้แล้ว แต่ถ้ายังสามารถช่วยใครได้…นั่นก็คงเรียกว่าหนทางของฮีโร่ได้เช่นกัน

 

แต่เขาก็ได้แต่เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ เพราะมันน่าอายที่จะบอกว่าอยากเป็นฮีโร่อีกครั้ง หรือคิดว่าตัวเองกำลังเป็นฮีโร่อยู่ เขาไม่ได้อยากจะเป็นจุดเด่นและถูกแกล้งอีก แต่ก็พยายามทำ ‘งาน’ ที่ตัวเองเชื่อเช่นเดิม

 

เพราะงั้นในตอนที่ถูกยอมรับให้มาทำหน้าที่นี้มันจึงทำให้เขาฮึกเหิมไม่น้อย แม้จะต้องหลอกคัตจังหรือพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกตนเองด้วยท่าทางห่างเหินเขาก็ยินดี และไม่ได้คิดเป็นจริงเป็นจังด้วย เพราะแต่ไหนแต่ไรมาพวกเขาก็ยากจะญาติดีกันอยู่แล้ว

 

แม้จะมีความรู้สึกดีอยู่เล็กๆ ในบางครั้งที่ได้รับความอ่อนโยนจากอีกฝ่าย แต่เขาก็คิดว่ามันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้หรอก

 

เพราะงั้นจึงไม่เคยหวาดกลัวมากเท่าตอนที่ต้องเห็นอีกฝ่ายกำลังทรมานด้วยน้ำมือตนเอง

ไม่ได้คิดด้วยว่าจะตามาจนถูกจับอย่างง่ายดายแบบนี้

 

เพราะงั้นจึงรู้สึกเหมือนมีสายใยบางอย่างพันรัดหัวใจเอาไว้ จะสลัดตอนนี้ก็สายไปแล้ว แต่เมื่อต้องอยู่ต่อหน้าความเป็นความตายของคนทั้งประเทศ เขาก็ทำได้เพียงวางมันไว้เบื้องหลังอย่างห่วงหน้าพะวงหลังก็เท่านั้น

 

แปลกดี เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

ก่อนหน้านี้คิดว่าจะตายก็ไม่เป็นไร แต่พอตอนนี้กลับเหมือนมีบางอย่างมารั้งไว้และย้ำตัวเองว่าจะตายตอนนี้ไม่ได้

.

.

.

เวลา 14. 30 น.

ก่อนการระเบิดขององค์กรวิจัยหลัก 3 ชั่วโมง

 

“ทำไปถึงไหนแล้ว”

“น่าจะสำเร็จแล้ว แต่ต้องหาคนมาทดลองอีกสักหลายเคสว่าตัวยารักษาสมบูรณ์พอรึยัง”

“หืม…อีกไม่นานแล้วสินะ”

“ครับ”

 

เขาเอ่ยกับหัวหน้าองค์กรสาวที่ตอนนี้อยู่ในชุดสีขาวสะอาด เธอก้มมองน้ำยาสำหรับรักษาโรคที่กำลังจะถูกเสนอหลังจากคนทั้งเมืองเริ่มป่วย ดวงตานั้นยังไม่ได้ละจากยาในมือด้วยซ้ำเธอก็กล่าวขึ้น

 

“ช่วงนี้เธอดูอารมณ์ไม่มั่นคงนะ”

“หรอครับ” อิซึกุตกใจเล็กน้อย แต่ก็เป็นเรื่องปกติเขาจึงไม่ได้บังคับตัวเองมาก

 

การไม่สะทกสะท้านมากกว่าที่จะทำให้เขาดูผิดปกติ

 

“อืม แต่ก็เหมือนจะไปในทางที่ดี” เธอว่า

“ก็แน่อยู่แล้วครับ ผมเพิ่งจะสลัดโซ่สุดท้ายออกจากคอได้สำเร็จ แถมยังรักษาชีวิตที่หมิ่นเหม่ไว้ได้อีก”

“หึ พูดจาร้ายกาจไม่สมกับเป็นเธอเลย”

 

อิซึกุอยากจะตอบเธอไปว่าเขากลายเป็นคนร้ายกาจไปตั้งแต่ฆ่าเพื่อนตัวเองไปแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะยกเรื่องนี้มาพูดอีก ถ้าเธอไม่เริ่มพูดขึ้นมา

 

“แต่ก็ดีแล้ว”

 

หญิงวัยกลางคนพูดก่อนจะวางของในมือลง เธอถอดถุงมือที่ใส่ก่อนจะเอื้อมมือมาแตะไหล่ของเขา อิซึกุรู้สึกเหมือนถูกพาย้อนไปอยู่ในวันวานที่เธอยังดูแลเขาอยู่ในห้องบำบัดอัตลักษณ์ และเมื่อเงยหน้าสบกับใบหน้าอ่อนโยนที่ดูสงบลงของเธอเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เกือบลืมไปแล้ว

 

“เป็นไรนะ อิซึกุ ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม แต่เธอก็เติบโตขึ้นมาอย่างดี เข้มแข็งและกล้าหาญ และหลังจากนี้เธอก็จะกลายเป็นฮีโร่ของทุกคน”

 

เธอยิ้มบางๆ เหมือนวันวาน

 

“เธออาจจะไม่รู้ แต่เธอเป็นความภูมิใจของฉัน”

 

ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงค่อยๆ ไหลลงมา อาจจะเพราะเป็นเธอที่คอยพร่ำสอนเขาเสมอ ทั้งในเรื่องการเอาตัวรอดในสังคมปัจจุบัน การกินอยู่ การเรียน หรือแม้แต่ในการทำงาน

 

‘บอกมานะ! พวกนั้นแกล้งเธออีกแล้วใช่มั้ย ต้องใช่แน่ๆ รอฉันอยู่ที่นี่เลยนะ!’

 

‘กินข้าวด้วยนะยะ! เข้าใจมั้ย อย่าเอาแต่ทำงาน!’

 

‘ถ้าไม่รู้จะกลับบ้านยังไงก็มาที่สำนักงานนะ อายุ 13 แล้วอะไรกัน เธอยังเป็นเด็กในสายตาฉันเสมอน่ะแหละ’

 

‘จะร้องก็ร้อง แต่ก็ต้องกินนะเข้าใจมั้ย’

 

‘ทำไมจะต้องปกป้องฉัน ฉันต่างหากที่อยากปกป้องพวกเธอน่ะ อย่ามาดูถูกกันหน่อยเลย มีอะไรที่ด็อกเตอร์เอาไม่อยู่บ้าง มีอะไรก็พูดมา เราจะช่วยเอง’

 

พอคิดๆ ไปแล้วเธอก็เหมือนพี่สาวคนนึงที่ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ หากเขาได้รู้จักเธอตอนอายุ 13 ตอนนี้อีกไม่กี่เดือนที่จะอายุ 26 เขาก็จะรู้จักเธอเท่ากับครึ่งชีวิตของตนเอง แม้ตอนนี้เธอจะกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมไปแล้วคนหนึ่ง แต่ในความทรงจำนั้นก็ยังมีเสียงที่อ่อนโยนนี้อยู่

 

“อ้าว หน้าตาดูไม่ได้แล้วนะรู้มั้ย” หญิงสาวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า “เธอก็เหมือนเดิมเลยนะเนี่ย”

“หอโฮ้ดฮับ” อิซึกุว่าพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบความรู้สึก

“เฮ้อ เอาไว้จบงานนี้เมื่อไหร่ฉันจะพาไปเลี้ยงคัตสึด้งเจ้าอร่อยเป็นการตอบแทนและของขวัญวันเกิดเธอนะ”

“มะ ไม่ต้องก็ได้ครับ”

“เธอเคยปฏิเสธฉันได้เหรอไง”

“ผมหมายถึง…ที่อายะซังเคยทำให้กินอร่อยกว่าน่ะครับ ไม่ต้องเสียเงินซื้อก็ได้”

 

เธอชะงักไป พอมองหน้าแดงๆ ของอีกฝ่ายก็ให้ยิ้มออกมาแล้วตบไปบนไหล่นั้นเบาๆ อย่างเขินๆ ไม่ได้

 

“แหม่ อันนั้นมันแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องอร่อยน่ะ! ได้ๆ หลังจบงานนี้ฉันจะทำให้เธอกินเอง!”

 

จากฝ่ามือที่ตบไหล่เขาเบาๆ ก็แรงขึ้นเรื่อยๆ ตามความเขิน มันแรงขึ้นจนอิซึกุต้องห้ามเธอไว้ก่อนแขนเขาจะแดงไปทั้งต้นแขน หลังจบการสนทนานั้นพวกเขาก็คุยเรื่องสัพเพเหระนิดหน่อย ในใจเขารู้สึกเหมือนค่อยๆ กลับไปสู่ความเคยชินอีกครั้ง และในตอนที่เธอกำลังจะออกจากห้องนั้นเองเธอก็ถามบางอย่างที่ไม่คาดคิดขึ้นมา

 

“แต่เธอจะอยู่ถึงตอนที่ฉันทำคัตสึด้งให้เธอกินอีกครั้งไหมนะ”

อิซึกุชะงัก พอเห็นเธอไม่พูดอะไรเขาก็ต้องถาม “หมายความว่ายังไงหรอครับ”

 

อยู่ดีๆ ความคิดแง่ลบก็ผุดขึ้นมา อิซึกุพยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้ตัวเองรู้สึกหวาดกลัวและระแวดระวังเธอ

 

ทั้งที่ทำให้คุ้นชินกันได้แล้วนี่นา…ทำไมถึง…

 

“ไม่มีอะไรหรอก ฉันก็แค่กังวลไปเองน่ะ”

 

ความคลุมเครือทำให้อิซึกุรู้สึกไม่สบายใจเข้าไปอีกจนแทบจะระงับไม่ไหว

 

“ไม่ต้องกังวลหรอก เธอเองก็ทำหน้าที่ไปเถอะ เพราะถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด…ก็ไม่ต้องกลัวอยู่แล้วนี่เนอะ”

 

ไม่รู้ทำไมเขาถึงรู้สึกหนาววาบไปทั้งสันหลังขึ้นมา

 

ในตอนนั้นเองที่เสียงฝีเท้าวิ่งตรงเข้ามาในห้อง ทำให้คนทั้งสองรีบหันไปมองอย่างระแวดระวัง แต่พอเห็นร่างเล็กของเด็กสาว ทั้งคู่ก็ผ่อนลมหายใจออกมา

 

การเป็นวิลเลินนี่ต้องระแวดระวังยิ่งกว่าฮีโร่อีกนะ อิซึกุเผลอคิด

 

“อ๊ะ อายะอยู่กับ…พี่ชายคนนั้น”

 

อิซึกุรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เจอเด็กหญิงที่ปล่อยคัตจังเมื่อคราวก่อน แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันแปลกๆ ที่ตรงไหน

 

“พี่ชายแปลกๆ อะไรกันมายุ ต้องเรียกว่าคุณมิโดริยะนะ”

“มิโดริยะหรอ”

“’ คุณ’ ด้วย”

“มิโดริยะนี่เอง”

 

อิซึกุแอบขำในใจเมื่อเห็นว่าเธอเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเองพอตัวเลย แต่ก็ไม่แปลกเลยเพราะก็กล้าหาญชาญชัยถึงขนาดไปปล่อยคัตจังออกมานี่นะ

 

“แล้วมานี่ได้ยังไงหืม?”

“อ๊ะ โคคุงบอกว่าถึงเวลาตรวจสอบระบบแล้วล่ะ แต่อายะยังไม่มาเลยก็เลยให้มาตาม”

“อ้อ ลืมไปเลย”

 

ทดสอบระบบก็คือการตรวจสอบความมั่นคงของฐานลับ ทั้งของฐานใหญ่และฐานย่อยว่ามีอะไรผิดปกติไหม รวมถึงการตรวจดูชิปที่ฝังอยู่ในร่างคนในองค์กรด้วยว่ามีใครเล่นตุกติกเอามันออกหรือไม่ ซึ่งจะกระทำในทุกๆ วันตามเวลาเดิม

 

อายะหันมาหาอิซึกุ

 

“ฉันคงต้องไปก่อนนะ ยังไงก็…ดูแลให้ดีล่ะ”

 

“ครับ”

 

อิซึกุเห็นแววลังเลในตาของเธอ แต่เขาก็ยังคิดว่าเป็นผลจากการคุยกันเมื่อครู่ ไม่ได้คิดว่ามันจะนำพาไปสู่เรื่องเลวร้ายหลังจากนี้

 

เธอเดินออกไปแล้วชายหนุ่มก็ยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา เหลือเวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่งก่อนจะเริ่มปฏิบัติการ หลังจากนี้ก็รอให้อายะทดสอบระบบซึ่งใช้เวลานานประมาณ 1-2 ชั่วโมงให้แล้วเสร็จ เขาก็จะเริ่มจัดการเรื่องของเขาบ้าง อิซึกุพยายามสงบใจอยู่ตัวคนเดียวเงียบๆ พลางทบทวนแผนที่ได้รับมาอยู่คนเดียว

 

ระหว่างปฏิบัติหน้าที่ของฮีโร่อีก 30 นาทีหลังจากทดสอบระบบ เขาต้องรบกวนสัญญาณขอความช่วยเหลือจากองค์กรย่อยและเบี่ยงเบนความสนใจของอายะให้ได้

 

แต่ก่อนหน้านั้นเขามีอีกอย่างที่จะต้องทำ…

.

.

.

ที่ห้องควบคุมชั้นล่างสุดขององค์กร

 

“อายะๆ อันนี้คืออะไร”

 

เสียงเจื้อยแจ้วทักมายามที่เธอกำลังทดสอบระบบ เป็นมายุนั่นเองที่เข้ามาโดยไม่ได้ขอ คนเขียนระบบที่ทำหน้าที่ดูแลห้องทำหน้าตาเลิ่กลั่กเมื่อเห็นเด็กหญิง แต่เธอก็ยกมือห้ามชายคนนั้นก่อนจะเป็นฝ่ายอุ้มเด็กหญิงขึ้นมาบนตักเพื่อให้เห็นภาพแผงวงจรทั้งหมด

 

เด็กหญิงดวงตาสีน้ำเงินเบิกตากว้างกับภาพที่เห็น ตรงหน้าสูงไปจนเกือบเงยมองไม่ถึงคือหน้าจอฉายภาพภายในอาคาร มันดูคล้ายภาพวงจรปิดธรรมดา แต่พอกดปุ่มอะไรบางอย่างภาพตัวคนก็กลายเป็นภาพสีขาวดำที่มีสีฟ้าบ้าง แดงบ้าง บอกถึงอุณหภูมิในร่างกาย และพอสลับอีกครั้งโดยป้อนรหัสอะไรบางอย่างก็จะแสดงภาพคนคนนั้นพร้อมกับเครื่องหมายบางอย่างตามลำคอ ข้อมือ ข้อขา หรือบั้นเอว

 

ภาพตรงหน้ากลายเป็นภาพของมิโดริยะที่มีจุดสัญลักษณ์อยู่ตามข้อมือและข้อขาทั้งสอง รวมถึงที่คอของเขาด้วย

 

“นั่นคืออะไรหรอคะ” เธอถามอย่างสุภาพเพราะความอยากรู้

 

“มันก็คือสัญลักษณ์ของคนในองค์กรเราไงล่ะจ้ะ มายุก็มีนะ อยู่ตรงนี้” เธอจี้ที่สร้อยคอของเด็กหญิง

 

“สร้อยฮีโร่!”

 

“ใช่แล้ว เป็นสัญลักษณ์ของฮีโร่ที่เชื่อมั่นในองค์กรยังไงล่ะ” อายะตอบ

 

“แต่ทำไมของพี่ชายคนนั้นถึงมีตั้งหาอันเลยล่ะ”

 

“ฮะๆ เพราะเขาเป็นคนสำคัญยังไงล่ะจ๊ะ”

 

“มายุอยากมีหลายๆ อันบ้าง ให้มิโดริยะแบ่งมาให้มายุบ้างสิ” เด็กน้อยเห็นเป็นเรื่องสนุก แต่ผู้ดูแลกลับเหงื่อตก เมื่อเห็นว่าภาพสัญลักษณ์ชิประเบิดของคนตรงหน้ายังไม่เลื่อนหายไปซักทีอย่างมีนัยยะสำคัญ

 

หรือวันนี้จะได้เห็นภาพนั้นอีกแล้ว

 

“ได้สิ เดี๋ยวฉันจะไปขอจากอิซึกุให้น้า แต่ว่ามายุต้องตอบก่อน”

 

“ได้ค่ะ ตอบอะไรก็ได้”

 

“ดีมาก งั้นลองบอกมาซิว่าไปสนิทกับคุณมิโดริยะตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“อ๋อ เรื่องนั้นก็นะ มายุเห็นตรงที่ทิ้งขยะ แบบว่าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปดูแต่ว่า…” เด็กหญิงขยับเข้ามาซุบซิบบางอย่าง อายะเองพอฟังก็หน้าแข็งค้าง “…จริงๆ แล้วต้องเป็นคนใจดีแน่ๆ!”

 

“…”

 

“อายะ?”

 

“…”

 

“นี่! โธ่ ไหนว่าจะเอาสัญลักษณ์ของฮีโร่มาให้มายุหลังจากบอกแล้วไงล่ะ อายะ!!”

 

เฮือก

 

หญิงสาวได้สติ

 

“ได้ๆ ได้สิ ถ้ามายุพูดความจริงละก็นะ”

 

“จริง มายุเห็นกับตา ตอนนั้นแอบไป… เอ๊ย เดินไปเจอพอดีก็เลย”

 

“หึ ดีๆ …งั้นเดี๋ยวฉันจะไปเอาสัญลักษณ์ของฮีโร่นั้นออกมาให้มายุเอง”

 

อิซึกุเฝ้ารอ…เฝ้ารอ… จนผ่านไปแล้ว 2 ชั่วโมง เมื่อเห็นว่าอายะออกมาจากห้องแล้วเขาก็ขึ้นไปยังห้องเก็บตัวผู้ทดลอง ภายในนี้มีคนที่ถูกลักพาตัวมาและซื้อมาเพื่อทดลองยาในขั้นสุดท้าย แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ได้ถูกใช้จริงด้วยความช่วยเหลือจากอัตลักษณ์ภาพลวงตาของฮีโร่คนหนึ่ง ในบรรดานี้มีคนอยู่ทุกช่วงอายุ และถูกขังไว้ด้วยระเบิดที่ฝังอยู่ในตัว ที่เมื่อโดนเซนเซอร์ระเบิดก็จะทำงาน

 

แต่ทางสำนักงานก็ได้ค้นหาอัตลักษณ์ที่จะทำให้ระเบิดเหล่านั้นเสื่อมลงจนไม่มีผลได้สำเร็จ และเป็นเขากับฮีโร่ที่แฝงตัวเข้ามาอย่างอินวิซิเบิลเกิร์ลที่ทำหน้าที่ทำลายระเบิดพวกนั้นจากในร่างเพื่อให้คนเหล่านี้หนีออกไปได้ โดยระหว่างที่ลงมาแต่ละชั้น เขาก็ติดตั้งเครื่องรบกวนสัญญาณไปด้วย เพื่อปิดกั้นการขอความช่วยเหลือจากสำนักงานย่อย ทุกอย่างแข่งกับเวลา เพราะจำนวนคนที่ติดอยู่ในห้องขังมีมากกว่าที่คิด แทบจะทั้งชั้นเลยก็ว่าได้

 

อิซึกุมาถึงห้องสุดท้าย ในที่สุดเขาก็จะทำมันได้สำเร็จ แต่เมื่อเขากำลังจะดึงร่างที่อยู่ในตู้กระจกออกมานั้นเอง

 

ตู้ม!

 

เสียงระเบิดดังกระหึ่มมาจากตู้ในสุด ส่งสัญญาณมาจนถึงตู้นอก อิซึกุตกใจปล่อยกล่องกระจกขังคนในมือลง แล้วเขาก็เห็นร่างนั้นดิ้นทุรนทุราย พอเห็นแค่นั้นเขาก็รู้ว่าเจ้าของตู้นี้ก็กำลังจะตายเช่นกัน ใบหน้าบิดเบี้ยวพยายามร้องขอให้ช่วย แต่อุปกรณ์ในมือของเขากระเด็นหลุดไปด้วยแรงระเบิดที่ติดต่อกันเรียบร้อย

 

“หาไอ้นี่อยู่เหรอ อิซึกุ”

 

เสียงนั้นทำให้รู้สึกเสียวสันหลังวาบ เมื่อหันกลับไปเขาก็พบกับคันจิ อายะ

 

อิซึกุดวงตาเบิกค้าง ไม่รู้แล้วว่าจะทำเช่นไร

 

พลาด…พลาดแล้ว

 

ตู้ม!

 

แต่พอหันไปเห็นร่างที่ทุรนทุรายเขาก็ไม่สามารถหยุดได้

 

“อายะซัง อย่าทำแบบนี้เลย ผม…ผมขอร้องล่ะ”

 

“ฉันไม่เคยอยากทำอย่างนี้เลยถ้าเธอทำกับฉันก่อนนะ” เธอส่งมันไปให้ใครสักคน ในมือนั้นคล้ายคมมีดที่เขารู้ว่ามันจะตัดทุกอย่างออกจากกันได้

 

“อย่า อายะซัง อย่าาาาา!!!” เข้าพยายามจะวิ่งเข้าไปแต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่ออุปกรณ์ที่ได้รับมาเพียงอันเดียวถูกตัดฉึบลงต่อหน้าต่อตา

 

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

 

เสียงระเบิดดังขึ้นไล่เลี่ยกัน และทันทีที่หันไป…

 

ตู้ม!

 

เสียงระเบิดตู้นั้นที่เขาดึงออกมาก็ดังขึ้น ร่างเนื้อกับเศษกระจกแตกกระจายไปทั่วบริเวณ ดวงตาสีเขียวชะงักค้างและหน้าซีด เศษเลือดกระเด็นมาโดนตัวเขา แต่มันก็ยังคงระเบิดต่อไป อิซึกุไม่อาจยอมได้ เขาไม่อาจยอมได้!

 

ร่างในชุดเสื้อกั๊กสีดำสละคราบความเป็นวิลเลินแล้วเดินเข้าไปดึงตู้แต่ละใบออกมา พยายามใช้กลอนไข ไขกุญแจเปิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อาจจะเอาชิปในร่างของคนพวกนั้นออกมาอยู่ดี

 

“กรี๊ดดดด!”

“อ๊ากกกกก ฉันยังไม่อยากตาย!”

 

คนพวกนั้นพยายามร้องและหาทางออกจากที่นี่โดยไม่ฟังที่อิซึกุจะพูด บางคนก็ออกไปได้ แต่นั่นก็เพราะอายะตั้งใจให้ออกไปมากกว่า ส่วนบางคนที่หนีไม่ไหวก็มีที่ตายอยู่ที่นี่ ทำให้ห้องขังแห่งนี้โกลาหลและลุกเป็นไฟไปทุกๆ ส่วน

 

“อ๊ากกกกก!”

 

เสียงร้องตะโกนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกปิดไว้ด้วยตู้กระจกบัดนี้ดังลั่นสั่นประสาทไปทั่วห้องราวกับฝันร้าย อิซึกุหันมามองอายะอย่างเคียดแค้น

 

“นี่หรือใจจริงของเธอ”

“คุณมัน…” อิซึกุไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดกับเธอ

 

หญิงสาวยิ้มเมื่อเห็นความรู้สึกที่เขามี…อยากให้กลับใจงั้นเหรอ

 

“มันสายไปแล้วอิซึกุ”

 

ตู้ม!

ระเบิดดังมาจากที่ไกลๆ ติดต่อกัน

 

“เป็นห่วงตัวเองไปเถอะ อีกไม่นานฮีโร่ที่เข้ามาก็จะถูกกำจัดไปพร้อมกับอาคารนี่แล้ว และคนที่จะระเบิดเป็นรายต่อไปก็คือเธอ”

“…!”

อิซึกุตกใจยิ่งขึ้น เขาเพิ่งรู้เองว่าความตายอยู่ใกล้กันแค่นี้

 

“ลาก่อนนะ…”

 

เธอชะงักไปวูบหนึ่ง เหมือนไม่อาจจะเอ่ยมันออกมาได้หมด แต่สุดท้ายประตูนั้นก็ปิดลง…

 

หลังจากนั้น…

 

ตู้ม!

 

…เสียงระเบิดครั้งใหญ่ก็ดังไปทั่วองค์กร

.

.

.

17.30 น.

เกิดการระเบิดใหญ่ ณ องค์กรวิจัยหลัก

 


 

//ตอนนี้อยากตั้งชื่อว่า อ่อนไหวจนใจด้านชา แต่ก็รู้สึกว่าไม่น่าจะเข้าประเด็น

ช่วงนี้เราว่างในระดับนึงแล้วค่ะ ปิดเทอมแล้ว จบแล้วด้วย (เย่!) คิดว่าคงมีเวลาปั่นรัวๆ แล้วค่ะ

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ 🙂