ท่ามกลางกลิ่นยาฆ่าเชื้อและความวุ่นวายของรีคัฟเวอรี่เกิร์ลที่มาพร้อมกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตา เธอกวาดสายตามองไปที่กลุ่มเด็กทั้งหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วให้คนที่ดูสภาพสมบูรณ์ที่สุดพาทุกคนไปที่เตียงในห้องพยาบาลที่ดูคับแคบลงถนัดตาเมื่อคนทั้งหมดเข้ามาในห้อง เธอจึงเริ่มดูอาการของแต่ละคนไปเรื่อย ในขณะที่เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้น
“สองคนนั้นไม่เป็นอะไรมาก พวกเขามีบาดแผลและสลบไปตอนที่ผมไปถึง แต่…” เสียงนั้นหยุดลงและหันไปทางเตียงอีกด้านที่ร่างของคนสองคนเต็มไปด้วยบาดแผลที่แค่ประเมินจากสายตาก็บอกได้เลยว่าอาการน่าจะสาหัสพอดู
“อืม…” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลมองไปที่ทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและเริ่มทำการรักษาในเวลาไม่ช้า
ม่านของทั้งสองเตียงถูกรูดปิดทันที นอกจากเสียงกระทบของอุปกรณ์การรักษาที่ดังอยู่หลังม่านภายในห้องนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีเสียงพูดใดๆ จากคนที่อยู่ในห้องเขาเพียงแต่นั่งเงียบๆ รอให้รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลทำการรักษาทั้งสองคนจนเสร็จ เธอจึงเดินไปดูเตียงอีกด้านที่มีร่างที่สลบไปของเพื่อนอีกสองคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ไม่เท่าอีกสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อรักษาและตรวจดูอาการของทั้งสองคนเรียบร้อยเธอก็หันมาคุยกับเขาอีกครั้ง
“เธอ…โทโคยามิคุง เป็นเด็กนักเรียนห้อง 1-A สินะ” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเริ่มเปิดประโยคด้วยความใจเย็นผิดกับสถานการณ์ที่ดูน่าตกใจเมื่อครู่ที่เด็กหนุ่มพยุงเพื่อนๆ ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องพยาบาลด้วยสภาพที่เดาได้ไม่ยากว่าคงถูกวายร้ายเล่นงานมาอย่างแน่นอน
“ครับ พวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ”
“อืม…” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลนิ่งไปสักพักก่อนจะทำลายความเงียบขึ้นมา “แย่มากเลยล่ะ”
ซึ่งคำตอบนี้ก็ไม่ต่างจากที่โทโคยามิคิดเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้อยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดแต่ก็พอจะเดาออกว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะมาแล้ว และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิดสักเท่าไหร่
“พอจะเล่ารายละเอียดได้มั้ย” เสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเรียกสติของโทโคยามิที่ยังติดอยู่กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปเธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ในระหว่างที่ฉันทำแผลให้เธอน่ะ”
จบประโยคของเธอเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กๆ ที่แขนทั้งสองข้าง เมื่อก้มมองดูแล้วก็พบกับรอยบวมแดง เขาปล่อยให้รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลทำแผลให้เขาในนขณะที่ตัวเองก็นั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง
“ความจริงผมก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดหรอกครับ แค่ตอนที่กำลังจะเดินกลับบ้าน…ผ่านตรอกมืดๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ เลยเข้าไปดูแล้วก็เจอกับทั้งสี่คนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ พวกเขาค่อยๆ สลบไปหลังจากที่ผมไปถึง” โทโคยามิค่อยๆ เรียบเรียงความคิดของตัวเองอีกครั้ง
“มีแค่พวกเขาหรอ แล้วมีใครอีกมั้ยที่อยู่ในบริเวณนั้น”
“ไม่ครับ ไม่มีใครเลยแม้แต่เด็กนักเรียน” เสียงของโทโคยามิเงียบลงไปพักหนึ่งราวกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เขาจะพูดเสียงการเคลื่อนไหวก็ดังมาจากเตียงหนึ่งในห้อง เจ้าของร่างหันมามองทางคนที่กำลังสนทนากันอยู่ก่อนจะเริ่มปรับตัวและรับรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด เขามองไปรอบตัวซ้ายขวาก่อนจะยันตัวขึ้นอย่างตกใจเมื่อหันไปเห็นร่างที่นอนอยู่เตียงข้างๆ กัน รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาอีกครั้งเพื่อตรวจดูอาการ
“เธอรู้สึกยังไงบ้าง” เธอถาม
“ผะ…ผมไม่เป็นอะไรครับ” เจ้าของผมสีอำพันที่มีรอยรูปสายฟ้าสีดำหันมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเริ่มตั้งคำถามอีกครั้ง “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้ว…” เขามองไปที่เดกุก่อนจะเงียบเสียงลง
ความตกใจของคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องปกติ รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลตั้งใจจะให้โทโคยามิค่อยอธิบายทีหลังแต่เธอก็ดันสังเกตเห็นสายตาที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวเล็กๆ เมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าหันไปมองเพื่อนที่นอนพักฟื้นอยู่ข้างเตียง เธอจึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้
“เด็กคนนี้เป็นคนพาเธอมาหาฉัน พอจะบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอก่อนหน้าที่เขาจะไปเจอเธอในตรอกนั่น” เสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเงียบลงพร้อมกับสีหน้าของคามินาริที่ยังค้างอยู่ในตกใจน้อยๆ และสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ หม่นลงและปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเต็มไปด้วยความลังเลใจและความเครียดอยู่ในนั้น
“ผม…ผมก็ไม่แน่ใจ ผมเดินผ่านตรอกนั้น แล้วจู่…” ทั้งห้องเงียบลง “ผมก็เห็นมิโดริยะที่กำลังสู้กับอิดะแล้วก็อุราระกะ”
สิ้นสุดคำพูด ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง แต่เป็นอีกครั้งที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ทั้งห้องดูนิ่งเงียบไปกับคำพูดของคามินาริพร้อมกับความรู้สึกตึงเครียดที่โรยตัวลงมา พวกเขานึกถึงคนอีกสองคนที่บาดเจ็บสาหัสและกำลังสลบอยู่ในขณะนี้ พวกเขาคือเพื่อนสนิทของมิโดริยะและเช่นกันอีกเตียงนึงของผู้ได้รับบาดเจ็บนั่นก็คือร่างของมิโดริยะ อิซุกุที่ร่างกายบาดเจ็บจากแผลฟกช้ำตามแขนทั้งสองข้างที่ถ้าดูดีๆ แล้ว
มันเกิดจากการใช้อัตลักษณ์ของเขาเอง…
ร่างของทั้งสามคนยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นเดิม ในขณะเดียวกันเสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลก็ดังขึ้นกลางวงสนทนาอีกครั้ง
“แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากที่เธอไปถึง”
“…ผมก็…ไม่ทันตั้งตัวแล้วก็ถูกชกเข้าอย่างจัง ตอนนั้นมันเร็วมากแต่ผมก็พอจะได้ยินคำที่อิดะตะโกนให้หนีไป แต่มันก็ไม่ทันแล้ว”
“เธอสลบไปหลังจากนั้นใช่มั้ย”
“เปล่าครับ ผมพยายามจะหยุดพวกเขาแล้วก็เลยใช้ไฟฟ้าจนหมด แล้วก็น่าจะโดนเล่นงานด้วยเลยสลบไป” คามินาริพูดพร้อมกับทำสีหน้าปลงกับตัวเองเล็กๆ
“ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยหรอ ฉันหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเธอน่ะ”
“ไม่มั่นใจเท่าไหร่…แต่ก็คิดว่าไม่มีใครอื่น”
“นายจะบอกว่ามิโดริยะทำร้ายสองคนนั้นจนบาดเจ็บสาหัสงั้นหรอ” คราวนี้เป็นโทโคยามิที่แทรกขึ้นมา
“แล้วนาย…ก็โดนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” คามินาริมองไปที่บาดแผลของโทโคยามิอย่างจะให้บาดแผลนั้นเป็นเครื่องยืนยันเรื่องที่เขาเล่า
“…” โทโคยามิเงียบไป ความเงียบของเขาเป็นเหมือนคำตอบทุกอย่าง
“ฉันคงจะต้องขอตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง พวกเธอทั้งสองคนกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ ส่วนทางนี้ฉันจะจัดการเอง”
คำพูดของครูห้องพยาบาลเป็นเหมือนคำบอกลาสำหรับพวกเขา ทั้งคู่เดินออกจากห้องพยาบาลไป ทิ้งความเงียบที่อึมครึมของห้องพยาบาลตอนเย็นไว้ข้างหลัง ในขณะที่รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเริ่มติดต่อกับใครบางคน
“ฉันคงต้องขอให้เธอรับผิดชอบหน่อยละนะ”
ก่อนหน้านั้นไม่นาน ออลไมท์ในร่างที่ร่อแร่ก็กำลังเดินเตร่อยู่ในเมือง เขากำลังจะไปหาลูกศิษย์ทั้งในและนอกชั้นเรียนของเขาอย่างมิโดริยะ แต่ไม่ทันไรเขาก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายเมื่อพวกวายร้ายเข้ามาจู่โจมคนในเมืองยามเย็นที่คนจำนวนมากแสนอ่อนล้านี้ และเขาก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปจัดการกับพวกวายร้ายเหล่านั้นจนรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มาถึงบ้านของมิโดริยะในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง
“ป่านนี้จะกินข้าวกันอยู่รึเปล่านะ…ไม่สิ นี่ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของครูเหมือนกันนะ” เขาตัดสินใจกดกริ่งหน้าบ้านและเตรียมบทสนทนาว่าเขามาทำอะไรที่บ้านมิโดริยะไว้ และมิโดริยะเป็นอย่างไรบ้างวันนี้ และไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงต้อนรับของผู้หญิงคนเดียวในบ้าน
“อิซุกุวันนี้ลูกกลับบ้านช้านะ…เอ๊ะ…ออลไมท์!” เธอตกใจเมื่อพบว่าคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่คาดหวังไว้และด้วยความตกใจเธอเผลอปิดประตูใส่เขาอย่างเสียมารยาท
“เอ่อ…”
ประตูเปิดออกอีกครั้ง “ขะ…ขอโทษค่ะ ที่ฉันเสียมารยาท คือว่า…เอ่อ…อิซุกุยังไม่กลับมาหรอกค่ะ…คงจะอีกสัก…สักพัก คุณ…มีอะไรรึเปล่าคะ” เสียงของเธอดูลนลานและพยายามปรับให้กลับมาเหมือนปกติ
“อ่อ…วันนี้เขาสบายดีสินะครับ”
“ค่ะ วันนี้เขาเร่งรีบออกไปมากเลยล่ะค่ะ” ความจริงแล้วที่เร่งรีบนั้นก็เป็นเพราะลูกเธอดูท่าจะสายแล้วด้วย
“…”
“เอ่อ…เข้ามารอในบ้านก่อนมั้ยคะ” เสียงเชื้อเชิญของเธอทำให้ออลไมท์หลุดจากภวังค์ความคิด เขาตอบปฏิเสธเธอไปอย่างสุภาพด้วยข้ออ้างที่ว่าต้องไปทำหน้าที่ต่อ
เมื่อเดินห่างออกมาจากบ้านมิโดริยะ ออลไมท์ก็สังเกตเห็นบาคุโกที่กำลังเดินกลับบ้านอยู่ไม่ไกลเนื่องจากบ้านของพวกเขาอยู่ละแวกเดียวกัน บาคุโกมองเขาอยู่สักพักก่อนเจ้าตัวจะหันไปเมื่อเขาเดินเข้าไปทักทาย
“ว่าไง หนุ่มน้อยบาคุโก เธอเพิ่งกลับบ้านเหรอ” ออลไมท์ทักออกไป เป็นคำทักทายที่สิ้นคิดพอดู
“ชิ นั่นมันก็…” ยังไม่ทันที่บาคุโกจะพูดจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นข้างๆ กันนั้นเอง ออลไมท์ยกมือเป็นเชิงขอเวลานอกสักพักเขากดรับโทรศัพท์ของคนที่นานๆ ทีจะโทรมาสักครั้งอย่างงุนงง
“ฮัลโหล”
[…]
“ครับ…”
บทสนทนาระหว่างออลไมท์กับปลายสายนั้นไม่ใช่สิ่งที่บาคุโกสนใจนัก เขากำลังจะเดินจากไปอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของออลไมท์ดังขึ้นอย่างตกใจ และที่น่าตกใจกว่าคือคำพูดของตัวออลไมท์เอง
“มิโดริยะน่ะเหรอ…เกิดอะไรขึ้นกับเขา…”
[…]
“ได้…ได้…ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้…”
สายถูกตัดลงพร้อมๆ กันนั้นที่ออลไมท์กำลังจะพุ่งตัววิ่งออกไปบาคุโกก็รั้งเขาไว้เสียก่อน
“คุณจะไปไหน”
“หือ…?” ออลไมท์หันมาสนใจบาคุโกอีกครั้งก่อนจะตอบแบบรีบเร่ง “ฉันต้องไปที่โรงเรียนน่ะ…เรื่องด่วน…นิดหน่อย”
“วายร้ายบุกยูเอย์อีกแล้วใช่มั้ย” เขาพูดด้วยสีหน้าน่ากลัวที่เหมือนกับว่าถ้าออลไมท์ตอบว่าใช่เขาก็จะบุกไปซัดเจ้าพวกนั้นถึงที่ แต่ออลไมท์กลับปฏิเสธ
“ไม่ ไม่มีอะไร แค่…” ออลไมท์เหลือบไปทางที่เขาเดินจากมา “บาคุโกคุง เธอช่วยบอกแม่ของมิโดริยะคุงหน่อยนะว่าเขาจะกลับช้านิดหน่อย”
“เดกุ…มันเป็นอะไร” คราวนี้บาคุโกเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ความสงสัยที่ชวนหงุดหงิดและรบกวนเขาตลอดวันนั่นแสดงออกบนสีหน้าอย่างเด่นชัด
“ไว้ฉันจะอธิบายกับเธอทีหลังนะ ฝากด้วยล่ะ!”
หลังจากนั้นออลไมท์ก็กระโดดตัวผ่านตัวเมืองไปอย่างรวดเร็วจนเขาตามไม่ทัน บาคุโกยืนมองไปทางที่ออลไมท์กระโดดผ่านไป และแม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่เขาก็ยังทำตามที่ออลไมท์ขอไว้ก่อนจากไป
To be continue…
//ขอโทษนะคะถ้าจัดหน้า/เว้นบรรทัดแล้วมันแปลกๆ พอดีว่าย้ายมาจากที่ลงในเด็กดีน่ะค่ะ สามารถติดตามทางเด็กดีได้เช่นกันนะคะ ทางนั้นเราลงจนจบแล้วเลยอยากย้ายมาลงในนี้ด้วยน่ะค่ะ