[Fic MHA] Nebbia 2 [KatsuDeku]

 

 

ท่ามกลางกลิ่นยาฆ่าเชื้อและความวุ่นวายของรีคัฟเวอรี่เกิร์ลที่มาพร้อมกับนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตา เธอกวาดสายตามองไปที่กลุ่มเด็กทั้งหมดอย่างรวดเร็วก่อนจะตัดสินใจอย่างรวดเร็วให้คนที่ดูสภาพสมบูรณ์ที่สุดพาทุกคนไปที่เตียงในห้องพยาบาลที่ดูคับแคบลงถนัดตาเมื่อคนทั้งหมดเข้ามาในห้อง เธอจึงเริ่มดูอาการของแต่ละคนไปเรื่อย ในขณะที่เสียงของผู้มาเยือนดังขึ้น

 

                “สองคนนั้นไม่เป็นอะไรมาก พวกเขามีบาดแผลและสลบไปตอนที่ผมไปถึง แต่…” เสียงนั้นหยุดลงและหันไปทางเตียงอีกด้านที่ร่างของคนสองคนเต็มไปด้วยบาดแผลที่แค่ประเมินจากสายตาก็บอกได้เลยว่าอาการน่าจะสาหัสพอดู

 

                “อืม…” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลมองไปที่ทั้งสองคนอย่างรวดเร็วและเริ่มทำการรักษาในเวลาไม่ช้า

 

                ม่านของทั้งสองเตียงถูกรูดปิดทันที นอกจากเสียงกระทบของอุปกรณ์การรักษาที่ดังอยู่หลังม่านภายในห้องนั้นก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน ไม่มีเสียงพูดใดๆ จากคนที่อยู่ในห้องเขาเพียงแต่นั่งเงียบๆ รอให้รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลทำการรักษาทั้งสองคนจนเสร็จ เธอจึงเดินไปดูเตียงอีกด้านที่มีร่างที่สลบไปของเพื่อนอีกสองคนที่มีบาดแผลฉกรรจ์ไม่เท่าอีกสองคนก่อนหน้านี้ เมื่อรักษาและตรวจดูอาการของทั้งสองคนเรียบร้อยเธอก็หันมาคุยกับเขาอีกครั้ง

 

                “เธอ…โทโคยามิคุง เป็นเด็กนักเรียนห้อง 1-A สินะ” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเริ่มเปิดประโยคด้วยความใจเย็นผิดกับสถานการณ์ที่ดูน่าตกใจเมื่อครู่ที่เด็กหนุ่มพยุงเพื่อนๆ ทั้งสี่คนเข้ามาในห้องพยาบาลด้วยสภาพที่เดาได้ไม่ยากว่าคงถูกวายร้ายเล่นงานมาอย่างแน่นอน

 

                “ครับ พวกเขาเป็นยังไงบ้างครับ”

 

                “อืม…” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลนิ่งไปสักพักก่อนจะทำลายความเงียบขึ้นมา “แย่มากเลยล่ะ”

 

                ซึ่งคำตอบนี้ก็ไม่ต่างจากที่โทโคยามิคิดเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้อยู่ในสถานการณ์ทั้งหมดแต่ก็พอจะเดาออกว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นก่อนหน้าที่เขาจะมาแล้ว และเหตุการณ์นั้นก็เป็นเหตุการณ์ที่เขาไม่คาดคิดสักเท่าไหร่

 

                “พอจะเล่ารายละเอียดได้มั้ย” เสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเรียกสติของโทโคยามิที่ยังติดอยู่กับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะตอบกลับไปเธอก็พูดขึ้นอีกครั้ง “ในระหว่างที่ฉันทำแผลให้เธอน่ะ”

 

                จบประโยคของเธอเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดเล็กๆ ที่แขนทั้งสองข้าง เมื่อก้มมองดูแล้วก็พบกับรอยบวมแดง เขาปล่อยให้รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลทำแผลให้เขาในนขณะที่ตัวเองก็นั่งนึกถึงเหตุการณ์ที่เจอก่อนหน้านี้ไม่ถึงชั่วโมง

 

 

                “ความจริงผมก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดหรอกครับ แค่ตอนที่กำลังจะเดินกลับบ้าน…ผ่านตรอกมืดๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนนัก อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ เลยเข้าไปดูแล้วก็เจอกับทั้งสี่คนที่กำลังบาดเจ็บอยู่ พวกเขาค่อยๆ สลบไปหลังจากที่ผมไปถึง” โทโคยามิค่อยๆ เรียบเรียงความคิดของตัวเองอีกครั้ง

 

                “มีแค่พวกเขาหรอ แล้วมีใครอีกมั้ยที่อยู่ในบริเวณนั้น”

 

                “ไม่ครับ ไม่มีใครเลยแม้แต่เด็กนักเรียน” เสียงของโทโคยามิเงียบลงไปพักหนึ่งราวกับกำลังชั่งใจอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เขาจะพูดเสียงการเคลื่อนไหวก็ดังมาจากเตียงหนึ่งในห้อง เจ้าของร่างหันมามองทางคนที่กำลังสนทนากันอยู่ก่อนจะเริ่มปรับตัวและรับรู้ว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ใด เขามองไปรอบตัวซ้ายขวาก่อนจะยันตัวขึ้นอย่างตกใจเมื่อหันไปเห็นร่างที่นอนอยู่เตียงข้างๆ กัน รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเดินเข้าไปใกล้ๆ เขาอีกครั้งเพื่อตรวจดูอาการ

 

                “เธอรู้สึกยังไงบ้าง” เธอถาม

 

                “ผะ…ผมไม่เป็นอะไรครับ” เจ้าของผมสีอำพันที่มีรอยรูปสายฟ้าสีดำหันมองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเริ่มตั้งคำถามอีกครั้ง “ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไง แล้ว…” เขามองไปที่เดกุก่อนจะเงียบเสียงลง

 

                ความตกใจของคนที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องปกติ รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลตั้งใจจะให้โทโคยามิค่อยอธิบายทีหลังแต่เธอก็ดันสังเกตเห็นสายตาที่บ่งบอกถึงความหวาดกลัวเล็กๆ เมื่อเด็กหนุ่มตรงหน้าหันไปมองเพื่อนที่นอนพักฟื้นอยู่ข้างเตียง เธอจึงไม่สามารถปล่อยผ่านเรื่องราวเหล่านี้ไปได้

 

                “เด็กคนนี้เป็นคนพาเธอมาหาฉัน พอจะบอกได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอก่อนหน้าที่เขาจะไปเจอเธอในตรอกนั่น” เสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเงียบลงพร้อมกับสีหน้าของคามินาริที่ยังค้างอยู่ในตกใจน้อยๆ และสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ หม่นลงและปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันเต็มไปด้วยความลังเลใจและความเครียดอยู่ในนั้น

 

                  “ผม…ผมก็ไม่แน่ใจ ผมเดินผ่านตรอกนั้น แล้วจู่…” ทั้งห้องเงียบลง “ผมก็เห็นมิโดริยะที่กำลังสู้กับอิดะแล้วก็อุราระกะ”

 

                สิ้นสุดคำพูด ทั้งห้องเงียบลงอีกครั้ง แต่เป็นอีกครั้งที่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ ครั้งนี้ทั้งห้องดูนิ่งเงียบไปกับคำพูดของคามินาริพร้อมกับความรู้สึกตึงเครียดที่โรยตัวลงมา พวกเขานึกถึงคนอีกสองคนที่บาดเจ็บสาหัสและกำลังสลบอยู่ในขณะนี้ พวกเขาคือเพื่อนสนิทของมิโดริยะและเช่นกันอีกเตียงนึงของผู้ได้รับบาดเจ็บนั่นก็คือร่างของมิโดริยะ อิซุกุที่ร่างกายบาดเจ็บจากแผลฟกช้ำตามแขนทั้งสองข้างที่ถ้าดูดีๆ แล้ว

มันเกิดจากการใช้อัตลักษณ์ของเขาเอง…

 

 

                ร่างของทั้งสามคนยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงเช่นเดิม ในขณะเดียวกันเสียงของรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลก็ดังขึ้นกลางวงสนทนาอีกครั้ง

 

                “แล้วเกิดอะไรขึ้นอีกหลังจากที่เธอไปถึง”

 

                “…ผมก็…ไม่ทันตั้งตัวแล้วก็ถูกชกเข้าอย่างจัง ตอนนั้นมันเร็วมากแต่ผมก็พอจะได้ยินคำที่อิดะตะโกนให้หนีไป แต่มันก็ไม่ทันแล้ว”

 

                “เธอสลบไปหลังจากนั้นใช่มั้ย”

 

                “เปล่าครับ ผมพยายามจะหยุดพวกเขาแล้วก็เลยใช้ไฟฟ้าจนหมด แล้วก็น่าจะโดนเล่นงานด้วยเลยสลบไป” คามินาริพูดพร้อมกับทำสีหน้าปลงกับตัวเองเล็กๆ

 

                “ไม่มีใครอยู่ตรงนั้นเลยหรอ ฉันหมายถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พวกเธอน่ะ”

 

                “ไม่มั่นใจเท่าไหร่…แต่ก็คิดว่าไม่มีใครอื่น”

 

                “นายจะบอกว่ามิโดริยะทำร้ายสองคนนั้นจนบาดเจ็บสาหัสงั้นหรอ” คราวนี้เป็นโทโคยามิที่แทรกขึ้นมา

 

                “แล้วนาย…ก็โดนเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” คามินาริมองไปที่บาดแผลของโทโคยามิอย่างจะให้บาดแผลนั้นเป็นเครื่องยืนยันเรื่องที่เขาเล่า

 

                “…” โทโคยามิเงียบไป ความเงียบของเขาเป็นเหมือนคำตอบทุกอย่าง

 

                “ฉันคงจะต้องขอตรวจสอบเรื่องนี้อีกครั้ง พวกเธอทั้งสองคนกลับไปพักผ่อนที่บ้านได้ ส่วนทางนี้ฉันจะจัดการเอง”

 

                คำพูดของครูห้องพยาบาลเป็นเหมือนคำบอกลาสำหรับพวกเขา ทั้งคู่เดินออกจากห้องพยาบาลไป ทิ้งความเงียบที่อึมครึมของห้องพยาบาลตอนเย็นไว้ข้างหลัง ในขณะที่รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเริ่มติดต่อกับใครบางคน

 

                “ฉันคงต้องขอให้เธอรับผิดชอบหน่อยละนะ”

 

 

                ก่อนหน้านั้นไม่นาน ออลไมท์ในร่างที่ร่อแร่ก็กำลังเดินเตร่อยู่ในเมือง เขากำลังจะไปหาลูกศิษย์ทั้งในและนอกชั้นเรียนของเขาอย่างมิโดริยะ แต่ไม่ทันไรเขาก็ต้องเปลี่ยนเป้าหมายเมื่อพวกวายร้ายเข้ามาจู่โจมคนในเมืองยามเย็นที่คนจำนวนมากแสนอ่อนล้านี้ และเขาก็จำเป็นที่จะต้องเข้าไปจัดการกับพวกวายร้ายเหล่านั้นจนรู้สึกตัวอีกทีเขาก็มาถึงบ้านของมิโดริยะในอีก 2 ชั่วโมงให้หลัง

 

                “ป่านนี้จะกินข้าวกันอยู่รึเปล่านะ…ไม่สิ นี่ก็เป็นหนึ่งในหน้าที่ของครูเหมือนกันนะ” เขาตัดสินใจกดกริ่งหน้าบ้านและเตรียมบทสนทนาว่าเขามาทำอะไรที่บ้านมิโดริยะไว้ และมิโดริยะเป็นอย่างไรบ้างวันนี้ และไม่นานประตูบ้านก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงต้อนรับของผู้หญิงคนเดียวในบ้าน

 

                “อิซุกุวันนี้ลูกกลับบ้านช้านะ…เอ๊ะ…ออลไมท์!” เธอตกใจเมื่อพบว่าคนที่มายืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนที่คาดหวังไว้และด้วยความตกใจเธอเผลอปิดประตูใส่เขาอย่างเสียมารยาท

 

                “เอ่อ…”

 

                ประตูเปิดออกอีกครั้ง “ขะ…ขอโทษค่ะ ที่ฉันเสียมารยาท คือว่า…เอ่อ…อิซุกุยังไม่กลับมาหรอกค่ะ…คงจะอีกสัก…สักพัก คุณ…มีอะไรรึเปล่าคะ” เสียงของเธอดูลนลานและพยายามปรับให้กลับมาเหมือนปกติ

 

                “อ่อ…วันนี้เขาสบายดีสินะครับ”

 

                “ค่ะ วันนี้เขาเร่งรีบออกไปมากเลยล่ะค่ะ” ความจริงแล้วที่เร่งรีบนั้นก็เป็นเพราะลูกเธอดูท่าจะสายแล้วด้วย

 

                “…”

 

                “เอ่อ…เข้ามารอในบ้านก่อนมั้ยคะ” เสียงเชื้อเชิญของเธอทำให้ออลไมท์หลุดจากภวังค์ความคิด เขาตอบปฏิเสธเธอไปอย่างสุภาพด้วยข้ออ้างที่ว่าต้องไปทำหน้าที่ต่อ

 

                เมื่อเดินห่างออกมาจากบ้านมิโดริยะ ออลไมท์ก็สังเกตเห็นบาคุโกที่กำลังเดินกลับบ้านอยู่ไม่ไกลเนื่องจากบ้านของพวกเขาอยู่ละแวกเดียวกัน บาคุโกมองเขาอยู่สักพักก่อนเจ้าตัวจะหันไปเมื่อเขาเดินเข้าไปทักทาย

 

                “ว่าไง หนุ่มน้อยบาคุโก เธอเพิ่งกลับบ้านเหรอ” ออลไมท์ทักออกไป เป็นคำทักทายที่สิ้นคิดพอดู

 

                “ชิ นั่นมันก็…” ยังไม่ทันที่บาคุโกจะพูดจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นข้างๆ กันนั้นเอง ออลไมท์ยกมือเป็นเชิงขอเวลานอกสักพักเขากดรับโทรศัพท์ของคนที่นานๆ ทีจะโทรมาสักครั้งอย่างงุนงง

 

                “ฮัลโหล”

 

                […]

 

                “ครับ…”

 

                บทสนทนาระหว่างออลไมท์กับปลายสายนั้นไม่ใช่สิ่งที่บาคุโกสนใจนัก เขากำลังจะเดินจากไปอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเสียงของออลไมท์ดังขึ้นอย่างตกใจ และที่น่าตกใจกว่าคือคำพูดของตัวออลไมท์เอง

 

                “มิโดริยะน่ะเหรอ…เกิดอะไรขึ้นกับเขา…”

 

                […]

 

                “ได้…ได้…ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้…”

 

                 สายถูกตัดลงพร้อมๆ กันนั้นที่ออลไมท์กำลังจะพุ่งตัววิ่งออกไปบาคุโกก็รั้งเขาไว้เสียก่อน

 

                “คุณจะไปไหน”

 

                “หือ…?” ออลไมท์หันมาสนใจบาคุโกอีกครั้งก่อนจะตอบแบบรีบเร่ง “ฉันต้องไปที่โรงเรียนน่ะ…เรื่องด่วน…นิดหน่อย”

 

                “วายร้ายบุกยูเอย์อีกแล้วใช่มั้ย” เขาพูดด้วยสีหน้าน่ากลัวที่เหมือนกับว่าถ้าออลไมท์ตอบว่าใช่เขาก็จะบุกไปซัดเจ้าพวกนั้นถึงที่ แต่ออลไมท์กลับปฏิเสธ

 

                “ไม่ ไม่มีอะไร แค่…” ออลไมท์เหลือบไปทางที่เขาเดินจากมา “บาคุโกคุง เธอช่วยบอกแม่ของมิโดริยะคุงหน่อยนะว่าเขาจะกลับช้านิดหน่อย”

 

                “เดกุ…มันเป็นอะไร” คราวนี้บาคุโกเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง ความสงสัยที่ชวนหงุดหงิดและรบกวนเขาตลอดวันนั่นแสดงออกบนสีหน้าอย่างเด่นชัด

 

                “ไว้ฉันจะอธิบายกับเธอทีหลังนะ ฝากด้วยล่ะ!”

 

               หลังจากนั้นออลไมท์ก็กระโดดตัวผ่านตัวเมืองไปอย่างรวดเร็วจนเขาตามไม่ทัน บาคุโกยืนมองไปทางที่ออลไมท์กระโดดผ่านไป และแม้จะไม่เต็มใจเท่าไหร่เขาก็ยังทำตามที่ออลไมท์ขอไว้ก่อนจากไป

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…


 

//ขอโทษนะคะถ้าจัดหน้า/เว้นบรรทัดแล้วมันแปลกๆ พอดีว่าย้ายมาจากที่ลงในเด็กดีน่ะค่ะ สามารถติดตามทางเด็กดีได้เช่นกันนะคะ ทางนั้นเราลงจนจบแล้วเลยอยากย้ายมาลงในนี้ด้วยน่ะค่ะ

[Fic MHA] Nebbia 1 [Katsudeku]

 

 

 

ผ่านไปเกือบหนึ่งสัปดาห์หลังจากการบุกเข้าโจมตีของกลุ่มวิลเลินที่เกิดขึ้นภายในโรงเรียนมัธยมปลายสาขาฮีโร่ UA ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นข่าวที่โด่งดังพอสมควรเพราะเกิดขึ้นภายในโรงเรียนที่เต็มไปด้วยการป้องกันที่มีประสิทธิภาพและบุคลากรที่ยอดเยี่ยมรวมถึง…ออลไมท์

 

                ฮีโร่อับดับ 1 และสัญลักษณ์แห่งสันติภาพ ออลไมท์ ปัจจุบันควบตำแหน่งคุณครูในโรงเรียนยูเอย์ สถานที่ที่เหล่าเด็กผู้มีความฝันจะเป็นฮีโร่ผู้ปกป้องผู้อื่นใฝ่ฝันจะเข้าเรียน ณ ที่แห่งนี้ รวมถึงตัวเด็กหนุ่มที่ไร้อัตลักษณ์อย่างมิโดริยะ อิซุกุ แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตเมื่อเขาได้พบออลไมท์และได้รับเลือกให้เป็นผู้สืบทอดของพลังที่มีชื่อว่า One for All พลังที่ส่งผ่านต่อกันมาเรื่อยๆ จนมาถึงเขานั่นเอง

 

                “แฮ่กๆ …”

 

                เสียงหอบหายใจของเจ้าของชื่อเล่นเดกุกำลังวิ่งอย่างเร่งรีบหลังจากลงจากรถโดยสารประจำทาง เช้าวันจันทร์ที่แสนเร่งรีบวนมาอีกครั้ง เขาวิ่งไปตามถนน ลัดเลาะผ่านซอยเพื่อไปยังโรงเรียนแต่ในจังหวะที่กำลังจะเลี้ยวนั้นเขาก็สังเกตเห็นร่างของชายคนหนึ่งที่กองอยู่บนพื้น เขาหยุดวิ่งอย่างกะทันหันแล้วก้มลงพยุงร่างของชายคนนั้นขึ้นมา ร่างนั้นร้องเสียงโอดโอยเล็กๆ แล้วลุกขึ้นตามแรงพยุง

 

                “เอ่อ…คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ”

 

                ชายคนนั้นกำลังก้มตัวลงปัดฝุ่นที่ตัวอย่างลวกๆ ก่อนจะหันใบหน้าที่ถูกบดบังด้วยแว่นตาทรงกลมมัวๆ มาทางเจ้าของคำถามอย่างเงอะงะ เสื้อคลุมสีดำตัวยาวมีฮู้ดของเขาปกคลุมใบหน้าไว้จนแทบมองไม่เห็น เขายืนนิ่งอยู่สักพักจนเดกุเองเริ่มกลัวว่าเขาจะเป็นลมไปอีกรอบ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไรออกไปอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาเสียก่อน

 

                “มะ…ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมแค่หน้ามืดนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ”  เจ้าของแว่นตามัวๆ ตอบกลับมาอย่างตะกุกตะกัก

 

                “เอ่อ…ถ้าไม่เป็นการรบกวน ให้ผมพาไปส่งไหมครับ”

 

                “เอ๋ แต่คุณเป็นเด็กนักเรียนยูเอย์ไม่ใช่หรอ ป่านนี้ไม่เข้าคาบเรียนแล้วเหรอครับ”

 

                ทันทีที่ชายคนนั้นพูดจบเดกุก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูและแน่นอนว่าเขาเหงื่อตกอย่างไม่ทราบสาเหตุก่อนจะตอบชายคนนั้นกลับไป

 

                “คือ…ยังเหลือเวลาอีกสักพัก เอ่อ…คุณพอจะเดินไหวรึเปล่าครับ” เดกุตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจนเมื่อชายคนนั้นดูท่าจะล้มลงไปอีกแต่เขาก็ยังพยุงตัวไว้ได้จากการพิงผนังซอยเล็กๆ นั้นและนั่นทำให้ตัวของคนพยุงเสียหลักและเอียงมาทับคนที่ตัวเองพยุงอยู่อย่างไม่ตั้งใจ

 

                “อ๊ะ ขะ…ขอโทษครับ”

 

                ด้วยความตกใจเดกุพยายามจะดึงรั้งร่างของชายคนนั้นขึ้นมาจากผนังอีกครั้ง แต่เขาก็พบว่ามันทำได้ยากยิ่งกว่าครั้งแรกมาก จนไม่ทันรู้สึกตัวเขาก็พบว่าเป็นตัวเขาเองที่ถูกอ้อมแขนกว้างรั้งไว้จนทั้งร่างซบลงไปกับตัวคนๆ นั้น เขาตกใจและหันไปมองหน้าชายคนนั้นอย่างเป็นห่วงแต่ก็พบกับใบหน้าเปื้อนยิ้มและดวงตาที่ทำให้เขาเผลอผลักตัวออกจากอีกฝ่ายอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่วงแขนนั้นก็ไม่ปล่อยให้ตัวเขาหลุดออกไปง่ายๆ อีกฝ่ายยังคงกอดเขาไว้แน่นขึ้นจนเขาอึดอัด ก่อนจะได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

 

                “คุณนี่…ใจดีจังนะครับ”

 

                เสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนจะสัมผัสได้ถึงคมเขี้ยวที่ฝังลงบนคอ ร่างที่เคยดิ้นอยู่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้หยุดขยับลงและสติของเดกุก็ค่อยๆ ดับวูบไป

 

                “อา…เด็กดี”

 

 

 

 

 

                ณ โรงเรียนมัธยมปลาย UA

                เวลาเย็น

 

                เสียงพูดคุยยามเย็นหลังเลิกเรียนของนักเรียนดังขึ้นทั่วบริเวณระเบียงทางเดินของโรงเรียน ซึ่งถือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงอิสรภาพของเหล่านักเรียน เด็กเป็นกลุ่มๆ จับกลุ่มกันคุยกันเรื่องจะไปเที่ยวกันต่อแต่ก็มีเด็กบางกลุ่มที่ยังคงทำหน้าเครียดและดูเหมือนว่าพวกเขาจะทำหน้าอย่างนั้นมาตลอดทั้งวัน

 

                “ฉันไม่สบายใจเลย สังหรณ์ใจแปลกๆ ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นแน่” เสียงเด็กสาวพูดขึ้น ข้างๆ กันนั้นคือเด็กหนุ่มใส่แว่นท่าทางภูมิฐานที่ทำหน้าเคร่งซะยิ่งกว่าเธอเสียอีก

 

                “ความจริงผมก็ไม่คิดว่ามิโดริยะคุงจะปล่อยให้เวลาในการเล่าเรียนสูญเปล่าอย่างนี้ แต่บางทีเขาอาจจะไม่สบายหรือไม่ก็มีภาระทางบ้านที่ไม่อาจจะบอกเราได้ เพราะฉะนั้นผมคิดว่าเราควรรอดูต่อในวันพรุ่งนี้ก่อนเถอะ” ท่าทางการพูดที่จริงจังนั้นเกือบทำให้สาวน้อยอุราระกะคล้อยตามแต่เธอก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี

 

                “แต่ว่า…ฉันสังหรณ์ใจไม่ดีจริงๆ นะ กลัวว่าจะเหมือนกับเหตุการณ์ก่อน…”

 

                “ว่าไงหนุ่มน้อยอิดะคุงกับสาวน้อยอุราระกะพวกเธอยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ!”

 

                ไม่ทันที่สาวน้อยอุราระกะ โอชาโกะจะพูดจบ เสียงคุณครูคนใหม่และสัญลักษณ์แห่งสันติภาพอย่างออลไมท์ก็ดังขึ้นจากทางระเบียงทางเดินด้านหลังที่พวกเขายืนอยู่ ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนแล้วทั้งสองคนจึงรู้สึกแปลกใจที่เจอออลไมท์ที่มาด้อมๆ มองๆ อยู่แถวหน้าห้องเรียนของตน แต่ก่อนที่จะถามว่าทำไมออลไมท์ถึงมาอยู่ที่นี่อุราระกะก็เปลี่ยนหัวข้อคำถามเป็นสิ่งที่เธออยากรู้ก่อนหน้านี้แทน

 

                “คือพวกเรากำลังรู้สึกแปลกๆ กับการที่เดกุคุงขาดเรียนวันนี้น่ะค่ะ ทั้งที่วันนี้มีการสอบด้วยแท้ๆ”

 

                “หืม?” ประโยคเมื่อครู่เรียกความสนใจจากออลไมท์ได้มากทีเดียว

 

                “แต่พวกเราคิดว่าเขาอาจจะไม่สบายหรือมีปัญหาที่ทำให้ไม่สามารถมาได้เลยจะลองดูวันพรุ่งนี้ก่อนครับ” เสียงของอิดะอธิบายต่อ ท่ามกลางความนิ่งเงียบออลไมท์ก็พูดขึ้น

 

                “อืม งั้นสินะ ฉันคิดว่าพวกเธอไม่ต้องเป็นห่วงหนุ่มน้อยมิโดริยะกันเกินไปหรอก พวกเธอควรจะกลับไปพักผ่อนได้แล้วละนะ” เขามองไปทางอุราระกะ “แต่เพื่อความสบายใจ ฉันจะลองสอบถามทางบ้านมิโดริยะให้เธอเอง!”

 

                จบประโยคของออลไมท์ก็ตามมาด้วยเสียงขอบคุณด้วยความดีใจของอุราระกะและอิดะก่อนที่ทั้งคู่จะเดินจากไป ส่วนออลไมท์ก็แยกย้ายกลับไปที่ห้องพักของเขาทางเดิมที่เขาเพิ่งเดินมา ซึ่งทุกการกระทำนั้นอยู่ภายใต้การรับรู้ของบาคุโก คัตสึกิที่กำลังทำหน้าหงุดหงิดอยู่ในห้อง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

                และแล้วเมื่อวันรุ่งขึ้นมาเยือนประชาชนทุกคนก็ต้องตื่นตระหนกกันอีกครั้งกับพาดหัวข่าว

              ‘อีกแล้ว! เด็กนักเรียนโรงเรียนมัธยมปลาย UA ถูกทำร้าย บาดเจ็บ 3 สาหัส 2!!!’

 

 


 

 

After all…Goodbye peaceful day

[Fic MHA] Nebbia [KatsuDeku] Prologue

 

Prologue

 

 

ภายในห้องที่มืดสนิท มีเพียงเงาร่างที่ถูกแสงจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นแหล่งแสงเดียวในห้องนั้นสะท้อนใส่ ร่างที่ผอมบางนั้นนั่งดูภาพรายการย้อนหลังที่แสดงอยู่บนเว็บไซต์ข่าวแห่งหนึ่ง เสียงของผู้ประกาศข่าวที่ดังออกมานั้นกำลังเล่าถึงเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ พาดหัวข่าวบนหน้าเว็บไซต์เขียนว่า ‘อุกอาจ! วิลเลินบุกกลางสถาบันฮีโร่ชื่อดัง UA’ โดยภาพที่ปรากฏมีเพียงภาพการจับกุมเหล่าวายร้ายที่ร่วมกันกระทำผิดในครั้งนี้ พร้อมการสัมภาษณ์ฮีโร่อันดับ 1 ผู้ช่วยเหลือเหล่าเด็กๆ และต่อกรกับเหล่าวายร้ายจนชนะ สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ…ออลไมท์

 

                ช่างน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน….

 

                ร่างที่มองหน้าจอคอมพิวเตอร์ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเกาที่คอจนเป็นรอยแดง มืออีกข้างกำลังเลื่อนไปคลิกเพื่อปิดหน้าข่าวนั้น แต่ฉับพลันมือนั้นก็หยุดลงเมื่อได้ยินอะไรบางอย่าง

 

                ‘ออลไมท์คะ คุณคิดอย่างไรกับการที่เหล่าวายร้ายจำนวนมากมายขนาดนี้สามารถเข้าออกยูเอย์ได้อย่างง่ายดายคะ? ควรมีมาตรการเพิ่มความปลอดภัยอย่างไรบ้างหรือเปล่า?’

 

                ‘แน่นอนว่าบุคลากรทุกคนในยูเอย์คือโปรฮีโร่ เราทุกคนจะปกป้องเด็กนักเรียนอย่างสุดความสามารถทั้งในฐานะฮีโร่และครู’

 

                ‘ค่ะ ขอบคุณค่ะ’ นักข่าวสาวที่สัมภาษณ์หันมาหากล้องอีกครั้งเมื่อเธอถูกกันออกมาจากออลไมท์ที่ต้องไปทำหน้าที่อื่น ‘นั่นคือบทสัมภาษณ์ของออลไมท์ ฮีโร่อันดับ 1 และในฐานะครูของโรงเรียนยูเอย์ ซึ่งจากบทสัมภาษณ์นี้เรายังต้องรอดูกันต่อไปถึงความน่าเชื่อถือของสถาบันฮีโร่ชื่อดังอย่างยูเอย์ เพราะเหตุการณ์ในครั้งนี้มีนักเรียนที่ได้รับบาดเจ็บด้วย โดยเป็นนักเรียนเป็นนักเรียนปี 1 สาขาฮีโร่ โดยที่…’

 

                เสียง ‘คลิก’ ปิดหน้าจอดังขึ้น ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้องที่มืดมิด ไม่นานเสียงแป้นคีย์บอร์ดก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้สิ่งที่ปรากฏบนหน้าเว็บไม่ใช่ภาพรายการย้อนหลังหรือหัวข้อข่าว แต่เป็นรายชื่อพร้อมภาพประกอบของเด็กนักเรียนห้องหนึ่ง

 

 

                ฮีโร่…ช่างเป็นคนบาป

 

 

                “หึหึ ความรับผิดชอบสินะ…”

 

 


 

//สวัสดีค่ะ ริวเซย์เอง เรื่องนี้เราเพิ่งว่างย้ายจากในเด็กดีมาลงในบล็อกค่ะ จะทยอยมาลงนะคะ