[Fic HQ!!] อนุบาลไฮคิว 1 ตอน คุณครูฮานะกับเด็กห้องพระอาทิตย์

Title : อนุบาลไฮคิว ตอน คุณครูฮานะกับเด็กห้องพระอาทิตย์

Main Character : Kageyama Tobio, Hinata Shouyou, Hana Misaki, Terushima and Jouzenji Team

Rate : G

Note : เรื่องนี้มาจากฟรีเปเปอร์ที่ลงในงาน Hanabi HQ!! Only Event ที่ผ่านมาค่ะ เพิ่งจะมีเวลาได้ลง ต้องขออภัยที่เว้นไว้นานเลยนะคะ ขอฝากเด็กๆ ที่น่ารักน่าหยิกในเรื่องด้วยนะคะ


 

 

 

 

 

สวัสดีค่ะคุณแม่

 

นี่คือเรื่องราวในตอนที่หนูได้เข้าทำงานที่โรงเรียนอนุบาลในช่วงแรกค่ะ เป็นเรื่องของเด็กๆ ห้องที่หนูดูแลอยู่ พวกเขามักจะเป็นเด็กที่แข็งแรงกันมากๆ จนวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นค่ะ

 

 

 

…..

 

 

 

 

วันนั้น…เป็นวันเปิดเทอมสัปดาห์ที่สองในแผนกอนุบาล 1

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

“ถ้ามีฉันอยู่แกก็คือสุดยอด”

 

เสียงเอ่ยดังมาจากเด็กชายคาเงยามะที่กำลังอุ้มเพื่อนร่างเล็กอยู่ รอบข้างคือสนามเด็กเล่นภายในโรงเรียน ในขณะที่ร่างที่ถูกอุ้มอยู่นั้นกำลังเอื้อมมือไปยังกระดาษวาดรูปของตัวเองที่ปลิวลงมาจากห้องจนตกมาเกี่ยวกับต้นไม้ในสนามเด็กเล่น

 

“ฮึบ! ได้แล้วคาเงยาม่า!!” เสียงเล็กเอ่ยอย่างดีใจเมื่อเก็บกระดาษที่อยู่บนสุดของยอดต้นไม้ที่ไม่สูงมากนักนั้นได้

 

คาเงยามะปล่อยเพื่อนของตนลงบนพื้นทรายหลังจากที่ได้ยินคำนั้น ร่างของฮินาตะเกือบจะล้มลงมาบนพื้นทรายเพราะการกระทำนั้นแต่เด็กชายตัวน้อยที่มีทักษะทางด้านร่างกายเป็นเลิศก็ตั้งหลักได้ทันก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้า

 

“เป็นไงล่ะ ฉันบอกแล้ว!” เด็กชายผมสีนิลเอ่ยๆ อย่างภูมิใจ

 

“ขอบคุณนะคาเงยามะ” เด็กชายตัวเล็กปัดเศษดินที่ขาก่อนจะยกภาพมาดูอย่างดีใจที่มันยังไม่เป็นอะไรไป

 

 

 

“โอยะ”

 

“โอยะ โอยะ”

 

“โอยะ โอยะ โอยะ”

 

เสียงแปลกๆ ดังขึ้นจากอีกฝั่งหนึ่งที่เป็นฐานทัพลับใต้สไลเดอร์รูปช้างสีสันสดใส ฮินาตะกับคาเงยามะหันไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับร่างที่สูงกว่าตัวเองไม่มากนักในชุดอนุบาลสีฟ้าสองคน คนหนึ่งมีผมทรงแปลกประหลาดคล้ายหงอนไก่ พาให้เจ้าตัวเล็กฮินาตะอยากจะเดินเข้าไปจับ ส่วนอีกคนนั้นอยู่ในผมสีเทาสลับดำทรงตั้งสุดเท่ในสายตาของฮินาตะเช่นกัน

 

“คุณไก่กับคุณนกฮูก!” ฮินาตะว่าก่อนจะวิ่งเข้าไปจับผมของทั้งสองคน ถ้าไม่ถูกคาเงยามะจับคอเสื้อไว้ก่อนอย่างไม่ไว้วางใจ

 

“อย่าเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าสิฮินาตะ!” คาเงยามะตวาดทำให้ฮินาตะต้องหันมามองคนที่จับคอเสื้อตัวเองอยู่

 

“เข้าไปดูไม่ได้เหรอคาเงยามะ”

 

“ไม่ได้ จำที่อาจารย์ยาจิบอกไม่ได้เหรอว่าอย่าเข้าใกล้คนแปลกหน้าน่ะ”

 

“งั้นเหรอ”

 

เด็กชายสองคนมองมาทางคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนแปลกหน้าตรงหน้าอย่างตัดสินไปแล้วว่าอีกฝ่ายไม่น่าเข้าใกล้ ทำให้คนที่ถูกเข้าใจผิดต้องแก้ตัวเป็นพัลวัน

 

“ไม่ใช่คนแปลกหน้าสักหน่อย ฉันคุโรโอะ อนุบาลสามห้องดวงดาว”

 

“ใช่ๆ เฮ้ๆ ฉันโบคุโตะ จะเรียกว่าคุณโบแบบอาคาอาชิก็ได้นะ อนุบาลสามห้องท้องฟ้าล่ะ นี่จิบิจังนายชื่อไรอ่ะ”

 

เด็กชายที่ถูกถามช่างใจก่อนตอบ “…ฮินาตะ อนุบาลหนึ่งห้องดวงอาทิตย์ฮะ”

 

“เห งั้นก็เป็นรุ่นน้องพวกเราน่ะสิคุโรโอะ แบบนี้ต้องมีการรับน้องมั้ยนะ” ร่างเล็กเอ่ยพลางยืดอก

 

“หืม นั่นสิน้า” ร่างของเด็กชายผมหัวไก่เอ่ยอย่างเป็นต่อด้วยมาดนักเลงที่ใหญ่เกินตัวก่อนจะต้องเงียบเสียงลงเมื่อเสียงของคนอีกกลุ่มหนึ่งดังขึ้นในสนามเด็กเล่นแห่งนี้

 

“เฮ้! พวก นี่คือสนามของพวกเรา”

 

“วู้ววววววววว!!!”

 

เสียงเฮฮาดังลั่นจากทั้งคนพูดและลูกคู่ที่มีประมาณห้าคน เด็กชายคาเงยามะหัวหน้าห้องผู้ถูกสอนให้ระแวดระวังภัยจากสิ่งแปลกประหลาดหลบเข้าไปอยู่หลังต้นไม้พร้อมกับที่มือก็ดึงร่างที่อยากรู้อยากเห็นเข้ามาด้วย

 

ในขณะที่เฝ้ามองไปที่อีกฝั่งของสนามเด็กเล่นนี้เสียงพูดก็ดังขึ้นจากด้านข้างที่เป็นฐานลับใต้สไลเดอร์นั้น

 

“ว่าแต่ในเวลาเรียนแบบนี้พวกนายมาทำอะไรกันล่ะ อย่าบอกนะว่า…” คุโรโอะยังไม่ทันกล่าวอะไรออกไปคนตัวเล็กผมสีแสบตาก็เอ่ยขัด

 

“เปล่าๆ พวกผมไม่ได้โดดเรียนนะ แค่มาเก็บกระดาษที่ปลิวมาเฉยๆ”

 

“โอ้ นึกว่านายจะมาเล่นกับพวกอนุบาลสองตรงนั้นซะอีก” คุโรโอะกล่าวก่อนจะชี้ไปที่อีกฝั่งของสวนสนุก และไม่ทันไรตรงที่ถูกชี้นั้นก็ปรากฏเสียงดังตามมา

 

“เหวอออ เทรุชิม่าอย่าตกลงมานะ”

 

“เหวอๆๆๆ อ๊าาาาา”

 

ไม่ทันจบคำเสียงตกโกนก็ดังมาอีกระลอก คาเงยามะที่แอบอยู่ตรงนั้นถูกต้นไม้บังจนไม่สามารถรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่ง…

 

 

 

“พวกเธอ!”

 

 

 

 

 

“อ๊าาาา อาจารย์ฮานะจังมาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา!!”

 

 

 

 

 

เสียงตะโกนดังมาจากหนึ่งในเด็กอนุบาลสองที่เล่นกันโหวกเหวกโวยวายในเวลาเรียน ที่ตอนนี้กระจัดกระจายวิ่งหนีกันไปคนละทิศราวกับมินเนี่ยนแตกรัง

 

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ นี่มาเล่นซนจนบาดเจ็บอีกแล้วใช่มั้ย” เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างดุๆ ก่อนจะเดินเข้ามาในสนามเด็กเล่นแล้วอาจารย์ห้องพยาบาลก็ล้อมเด็กทั้งหกคนที่ซนเป็นลูกลิงไว้ พลางอุ้มร่างของเด็กคนหนึ่งที่มีแผลเพิ่มทุกวันไปทางสนามอีกฝั่ง

 

“บอกว่าอย่าเล่นซนไงล่ะ นี่ยังอยู่ในคาบเรียนไม่ใช่เหรอ เทรุชิมะคุง”

 

“อึก ขอโทษครับ” เด็กชายเอ่ยอย่างสำนึกผิด

 

“ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนเลย”

 

คุณครูห้องพยาบาลเดินพาเด็กทั้ง 6 คน ออกไปจากสนาม ท่าทางของเธอดูเข้มงวดจนเด็กชายสองคนที่เพิ่งจะเข้าเรียนได้ไม่นานต้องถอยไปหลบหลังต้นไม้ให้มิดชิดมากขึ้น

 

ในตอนนั้นเสียงที่อยู่จากใต้ฐานลับก็ดังขึ้น “อย่าให้ถูกจับได้ล่ะ เธอดุมากเลยนะรู้มั้ย”

 

แต่ก็เหมือนว่าเสียงเตือนนั้นจะไม่ทันเสียแล้วเมื่อครูสาวที่กำลังจะเดินไปนั้นสังเกตเห็นเด็กอีกสองคนที่หลบไม่มิดอยู่ด้านหลังต้นไม้

 

“อ๊ะ อนุบาลหนึ่งนี่นา หลงทางเหรอ” เธอเอ่ยพร้อมเสียงหวานคนละระดับกับที่ใช้ดุเด็กอีกกลุ่มเมื่อครู่

 

“อ่ะ…” แต่คาเงยามะกับฮินาตะที่ถูกเจอตัวก้ยังไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกไปเมื่อยังจำได้ถึงน้ำเสียงและท่าทางดุๆ เมื่อครู่ของคุณครูตรงหน้า ทั้งสองได้แต่ยืนนิ่งๆ เป็นการตอบกลับ

 

“ถ้าหลงเดี๋ยวครูพาไปส่งมั้ยจ้ะ”

 

“มะ…ไม่เป็นไรฮะ” คราวนี้ฮินาตะเป็นคนตอบ

 

“แน่ใจหรอว่ากลับได้”

 

พยักหน้า

 

คนถามทำท่าจะเดินจากไปแต่ก็ยังไม่ไว้วางใจ อาจจะเพราะการที่เธอต้องเจอเด็กที่ทำให้ตัวเองเป็นแผลบ่อยๆ โดยเฉพาะเด็กจากอนุบาลสอง ห้องพระอาทิตย์ เธอจึงมองเด็กทั้งคู่นิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเจอกับบางอย่างที่ผิดปกติ

 

“ที่ขานั่นมีแผลด้วย ไม่เจ็บหรอ” ครูสาวเอ่ยพลางชี้ไปที่เข่าของฮินาตะที่เจ้าตัวเองก็ไม่รู้ตัวว่าไปครูดอะไรเอาตอนไหน แต่พอได้เห็นแผลแล้วก็รู้สึกเจ็บขึ้นมานิดๆ

 

“เจ็บฮะ”

 

“งั้นก็ตามครูมานะ เดี๋ยวครูจะทำแผลแล้วส่งกลับห้องให้” คุณครูฮานะกล่าวก่อนจะหันมาเอ่ยอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มใจดี

 

หลังจากนั้นฮินาตะกับคาเงยามะและเด็กห้องพระอาทิตย์โดยการนำของเด็กชายเทรุชิมะก็ไปจบที่ห้องพยาบาลที่มีอาจารย์ฮานะเป็นผู้ดูแล เด้กทั้ง 8 คนนั่งคุยกันสักพักจนในที่สุดก็เริ่มสนิทกัน

 

หลังจากที่ทำแผลให้เหล่าเด็กๆ ห้องพระอาทิตย์ทั้ง 6 คนเสร็จครูฮานะก็เอ่ยถามเหตุผลการออกมาจากนอกห้องในเวลานี้ของคาเงยามะและฮินาตะก่อนจะเข้าใจและยอมปล่อยเด็กทั้งสองให้กลับห้องไป

 

 

 

 

“ความจริงแล้วอาจารย์ฮานะก็ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่สองคนนั้นบอกเลย เมื่อกี้ชมภาพที่ฉันวาดด้วยว่าน่ารัก” ฮินาตะเอ่ยหลังจากออกมาจากห้องพยาบาล

 

“เพราะพวกนั้นเป็นเด็กไม่ดีแน่ๆ ก็เลยถูกดุน่ะสิ” คาเงยามะสรุป

 

เด็กสองคนเดินกลับไปยังห้องของตัวเองโดยไม่รู้เลยว่าอีกด้านหนึ่งอาจารย์ประจำชั้นกำลังกระวนกระวายใจกับการหายตัวไปของพวกเขา

 

 

 

 

 

 

            …..

 

 

 

ครั้งนั้นเป็นโชคดีจริงๆ ค่ะที่ทั้งสองคนกลับห้องมาอย่างปลอดภัย หนูนึกว่าตัวเองจะถูกไล่ออกซะแล้วถ้าพวกเขาไม่ไปเจออาจารย์ฮานะเสียก่อน เรื่องนี้ต้องขอบคุณเธอจริงๆ ค่ะ แล้วก็โชคดีอีกอย่างที่หลังจากนั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เวลาเด็กๆ เล่นซนกันทีไรหนูมักจะต้องไปพึ่งพาเธออยู่ตลอดเลย

 

แต่คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ยังไงก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

 

 

 

 

ด้วยรักและเคารพ

ยาจิ    ฮิโตกะ

(06/10/2018)

 

 

 

 

 


 

 

 

 

 

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil ~ [KatsuDeku] 3

 

 

3

ลูกคุณไม่ได้น่ารักสำหรับทุกคน

 

 

ท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวส้มลอยอ้อยอิ่งคือภาพอันคุ้นตาเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะมารอรับหลังเลิกเรียนเสมอ…

 

ความสงบของผืนฟ้าที่ถูกตึกสีดำตีกรอบไว้ฉายชัดตรงหน้าราวกับกำลังเย้ยหยันร่างที่นอนคลุกอยู่ในโคลนตม หากว่าอีกาที่กำลังเกาะอยู่บนรั้วด้านหนึ่งของมุมตึกแลตาลงมา…มันก็คงจะได้พบกับความหฤหรรยามเย็นของเด็กนักเรียนชายกลุ่มหนึ่ง…บนร่างที่สกปรกโสโครกไม่ต่างจากขยะ

 

“ฮ่าๆๆ ไม่ร้องแล้วหรอวะ ทำไมล่ะ ฮะ!”

 

ปั้ก ปั้ก ปั้ก

 

เสียงรองเท้าเหยียบย่ำลงบนกองขยะนั้นครั้งแล้วครั้งเล่าราวกับไม่มีเรื่องใดจะถูกต้องไปกว่าการเหยียบย่ำมันให้จมดิน ปลายเท้าข้างหนึ่งกระทุ้งเข้าด้านข้างจนปวดระบมซ้ำแผลเก่า ความเจ็บปวดที่กระหน่ำเข้ามาจนจุกทำให้ร่างที่ไม่ต่างจากขยะไม่มีแรงแม้แต่จะร้องออกไป

 

“ทำไมไม่ร้องล่ะวะ”

 

พลั่ก!

 

“อ๊อก…”

 

“ฮ่าๆๆๆ ตลกชิบ”

 

“ฮ่าๆ ดูแม่งดิ…”

 

ภาพตรงหน้าราวกับจะเบลอลงไปเรื่อยๆ ท้องฟ้าสีครามยามเย็นค่อยๆ มืดลงและปิดบังทุกสรรพเสียงและสัมผัส ความมืดปกคลุมรอบด้านราวกับผ้าม่านปิดการแสดง แล้วเสียงสุดท้ายที่ยังจำได้ดีก็ดังขึ้นมาหลังม่านสีดำตรงหน้า

 

 

..

.

.

.

 

 

‘อย่ายอมให้ใครรังแกได้อีก’

 

 

.

.

.

..

 

 

เฮือก!

 

ดวงตาสีเขียวลืมขึ้นอย่างตกใจก่อนจะพบกับเพดานห้องสีขาวอันคุ้นตา ดวงตาสีเข้มกะพริบปรับโฟกัสอยู่ครู่หนึ่งในขณะที่ลมหายใจถี่กระชั้นถูกปรับให้กลับมาปกติอีกครั้ง ท่อนแขนในเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดกำลังจะยันตัวลุกขึ้น แต่รอบลำตัวทั้งซ้ายขวากลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบางอย่างที่ติดแน่น ดวงตาสีเขียวเหลือบมองรอบตัวอีกหนก่อนจะพบว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เอื้ออำนวยให้เขาขยับสักเท่าไหร่

 

เมื่อรอบตัวของผุ้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องเด็มไปด้วยเด็กเล็กสี่คนที่นอนพิงอยู่และบางคนก็ขึ้นมานอนก่ายอยู่บนลำตัว…

 

อิซึกุค่อยๆ ฟื้นความทรงจำอีกครั้งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาเป็นเวรประจำห้องบำบัดอัตลักษณ์เด็กเล็ก สถานที่ของเด็กๆ ที่เกิดมาพร้อมกับอัตลักษณ์ที่จัดว่าอันตรายทั้งต่อตน…และคนบนโลก

 

ดวงตาคู่สีเขียวเหลือบมองนาฬิกาแขวนที่มุมหนึ่งของห้องก่อนจะพบว่าเวลาได้ล่วงเลยมาจนเกือบจะเข้ายามบ่ายแล้ว

 

เกือบสองชั่วโมงที่เขาหลับไปพร้อมกับเด็กๆ ที่เล่นซนจนหลับไปไม่ต่างกัน

 

เดกุค่อยๆ ขยับแขนทั้งสองข้างให้หลุดออกจากการถูกใช้เป็นหมอนข้างของเด็กๆ ก่อนจะเอื้อมหยิบหมอนเล็กที่ถูกเตะไปอยู่รอบๆ ผ้าปูนุ่มๆ ที่เปรียบเสมือนที่นอนนี้ให้กลับมา เขายกตัวของเจ้าตัวเล็กสุดที่ขึ้นมานอนทับอยู่บนอกขึ้นอย่างเบามือก่อนจะย้ายร่างนั้นไปไว้ทางที่นอนด้านบนเหนือหัวของเขาโดยหันหัวเข้าหากันให้ง่ายต่อการดูแล ฝ่ามือเอื้อมลงไปจับขาป้อมๆ ข้างหนึ่งของเด็กชายอีกคนที่ทับอยู่บนต้นขาของเขาในท่าที่แปลกๆ ก่อนจะจัดแจงท่าทางให้เด็กชายด้านล่างใหม่พร้อมกับสอดหมอนเข้ารองคอให้หลับสบายขึ้นเช่นเดียวกับเด็กหญิงและชายอีกสองคนที่เคยใช้แขนเขาเป็นหมอนข้าง หลังจากปรับหมอนให้เข้าที่เขาก็กระชับผ้าห่มขนาดพอดีตัวเด็กคลุมให้แต่ละคนจนเรียบร้อย

 

การกระทำทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบเชียบ ลมหายใจเข้าออกของสิ่งมีชีวิตที่บอบบางยังคงดำเนินไปเช่นเดิมในห้องที่เงียบสงบ แสงอาทิตย์ยามบ่ายทอแสงอ่อนๆ ลอดผ่านม่านสีขาวทางหางตาด้านขวาเข้ามาพร้อมกับสายลมเอื่อยๆ ของเครื่องปรับอากาศที่ไม่หนาวและไม่ร้อนจนเกินไป ความอบอุ่นจากร่างเล็กของเด็กๆ บวกกับความสงบของห้องบำบัดสีพาสเทลทำให้คนที่ไม่ได้นอนเลือกที่จะกลับเข้าสู่นิทราอีกครั้ง

 

ฟู่ว…

 

เสียงเครื่องปรับอากาศดำเนินไปเรื่อยๆ ราวกับจะขับกล่อมช่วงเวลาพักผ่อนที่อบอุ่นนี้ให้ดำเนินไปด้วยความสงบ แม้จะถือว่ากำลังทำหน้าที่เวรดูแลห้องเด็กเล็กก็ตาม แต่การทำหน้าที่นี้จริงๆ แล้วก็ไม่ต่างจากการมาพักผ่อนจากงานที่กดดัน แม้ว่าเด็กๆ จะดื้อจนคนในแผนกต่างไม่อยากเข้ามาทำหน้าที่นี้กันแต่สำหรับเดกุที่เข้ากับเด็กเหล่านี้ได้แล้วนั้นมันกลับกลายเป็นงานที่สบายมาก

 

มากจนเขาอยากจะนอนเฝ้าห้องนี้ไปตลอด

 

 

…ถ้าไม่ติดว่ายังมีงานต้องทำอยู่ล่ะก็นะ

 

ลมหายใจเข้าออกของผู้ใหญ่เพียงคนเดียวในห้องเริ่มกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง เมื่อสมองคำนวนเสร็จสรรพว่าอัตลักษณ์ที่เกินขอบเขตของเด็กรอบตัวยังอยู่ในการควบคุมของฤทธิ์ยา เขามีเวลาอีกประมาณชั่วโมงกว่าจนกว่าจะเข้าสู่ช่วงเวลาที่ต้องปลุกเด็กๆ ขึ้นมา

 

อิซึกุหลับตาลงราวกับคนที่กำลังเข้าสู่นิทรา จนกว่าจะถึงเวลาที่ตั้งไว้เขาจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ทันที่สติจะหลบเร้นไปตามที่ต้องการ…เมื่อเสียงประตูไม้ดังขึ้น

 

แกร็ก

 

 คนที่ยังไม่เข้าสู่นิทรายังคงหลับตาอย่างเป็นปกติเสมือนหนึ่งว่าสติได้หลุดไปในความฝันแล้ว แต่หูทั้งสองข้างยังคงเปิดรับสรรพเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้อง สมองเริ่มคิดคำนวณอย่างเป็นระบบว่าเหตุใดกันห้องที่ไม่มีทางที่คนในแผนกจะเข้ามาในเวลานี้ถึงได้มีเสียงประตูเปิดเข้ามาได้

 

ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็มีน้อยครั้งที่จะมีใครเข้ามาในเวลานี้ และถึงจะเข้ามาแล้วคนๆ นั้นก็จะไม่เงียบไปอย่างในตอนนี้แน่นอน

 

ตึก ตึก ตึก

 

เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาในห้องอย่างไม่หนักและไม่เบาเกินไปนัก เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ปลายขาของเขา ความรู้สึกถึงเงาดำที่ทาบทับอยู่เนิ่นนานนั้นทำให้คนที่ทำเป็นหลับเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี

 

เมื่อขึ้นชื่อว่าห้องบำบัดอัตลักษณ์นั้นมีเจ้าของอัตลักษณ์น่ากลัวมากมายที่หากใช้ไปในทางไม่ถูกไม่ควรก็สามารถเปลี่ยนโลกนี้ได้…

 

มือข้างขวาที่แนบอยู่ข้างลำตัวเอื้อมไปหยิบของที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังช้าๆ โชคดีที่มีผ้าห่มผืนเล็กปิดแขนเขาไว้พอดีจึงดูราวกับว่าร่างนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม

 

ความมืดเคลื่อนเข้าใกล้ใบหน้าของตัวเองเรื่อยๆ เดกุสัมผัสถึงมันได้และไม่คิดจะรั้งรออีกต่อไป

 

!!!

 

ดวงตาคู่สีเขียวลืมขึ้นมองภาพตรงหน้าที่มีมือข้างหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาตรงใบหน้าตนเอง เขาปัดมือนั้นออกก่อนจะพุ่งมืออีกข้างที่กำของมีคมอยู่พุ่งออกไป ใบมีดถูกเปิดออกก่อนจะถึงใบหน้าของแขกไม่ได้รับเชิญ

 

การกระทำที่รวดเร็วนั้นทำให้คนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ต้องหยุดชะงักก่อนจะหลบหมัดที่พุ่งเข้ามาตรงหน้า ใบมีดที่ถูกกำอยู่ถูกกดออกจากด้ามเฉียดใบหน้าของตนไปเพียงไม่กี่เซน ฝ่ามือใต้ถุงมือสีเขียวจับแขนที่กำมีดเอาไว้ ในขณะที่มือของตนที่ยื่นออกไปยังใบหน้าของคนนอนหลับเมื่อครู่ก็กำลังถูกจับไว้แน่นเช่นกัน

 

ต่างฝ่ายต่างตกใจในการกระทำของกันและกัน เวลานิ่งสงบที่ยากแก่การคาดเดาหมุนวนอยู่ในห้องอันเงียบสงบ ดวงตาสีเขียวที่แข็งกร้าวอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ กลับมาอ่อนลงอีกครั้ง หัวใจที่เต้นแรงเพราะสัญชาตญาณการป้องกันตัวที่ตื่นขึ้นเมื่อครู่ถูกปรับให้เป็นเหมือนเดิม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคือใครเดกุก็ตั้งใจจะดึงมีดที่ถูกมือของอีกฝ่ายจับไว้กลับมา แต่ฝ่ามือของฮีโร่ตรงหน้าก็ยังไม่มีทีท่าที่จะยอมปล่อยแขนข้างนั้นของเขาออก

 

ดวงตาสีแดงมองสบดวงตาคู่กลมที่ไร้กรอบแว่นอย่างพยายามที่จะควานหาบางอย่าง บางอย่างที่เขาเห็นเพียงชั่วครู่ที่มีดเล่มเล็กถูกแทงออกมาแต่มันกลับหายไปในชั่วระยะเวลาอันสั้นแค่พริบตา

 

ในขณะเดียวกันที่อีกด้านเดกุยังคงพยายามจะดึงแขนข้างขวาออกอีกครั้ง ด้วยท่าทางที่เขาจะนั่งก็ไม่ใช่จะนอนก็ไม่เชิงทำให้ศูนย์ถ่วงร่างกายแย่จนต้องเกร็งท้องไว้ไม่ให้ล้มลงไป ซึ่งดูเหมือนคนที่นั่งคุกเข่าอยู่เหนือขาทั้งสองข้างของเขาจะไม่รับรู้อะไรเลย

 

“อ่ะ…ปล่อยก่อนคัตจัง”

 

 ราวกับเสียงนั้นทำให้ดวงตาสีเพลิงที่กำลังค้นหาบางอย่างได้สติหลุดจากภวังค์ เสียงเรียกนั้นทำให้ฝ่ามือของเจ้าของชื่อคลายออกเพียงนิดในเวลาเดียวกับที่แขนที่ถูกจับไว้กระชากตัวมันออกแล้วพามือของคนที่จับไว้ลงมาด้วย คนที่นั่งอยู่ปลายเท้าราวกับถูกแรงกระชากให้หน้าคะมำไปตามแรงดึงแขนของร่างที่นอนอยู่ แขนทั้งสองข้างยันตัวไว้ไม่ให้ล้มลงไปทับร่างของเด็กๆ ที่นอนอยู่ กว่าจะตั้งสติได้ก็ตอนที่ภาพตรงหน้าถูกแทนที่ด้วยใบหน้าของคนที่ชักมีดกลับ ดวงตาสีเขียวสดที่ถูกเงาดำจากตัวเขาปิดทับสั่นไหวด้วยความตกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเพียงชั่วครู่

 

อิซึกุมองกลับขึ้นไปก่อนจะพบกับใบหน้าของคนผมบลอนด์ ดวงตาคู่สีแดงที่สบกลับมาเพียงไม่กี่วินาทีแต่ให้ความรู้สึกราวกับผ่านไปเป็นชั่วโมงนั้นทำให้คนมองต้องหลบสายตา ก่อนจะเอ่ยออกไปเบาๆ “ขะ…ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

 

เดกุหลบสายตาคู่นั้นที่มองมาอย่างช่วยไม่ได้พลางรอให้อีกฝ่ายถอนตัวออกไป

 

“ปล่อย…”

 

“…?”

 

            แต่เสียงที่เอ่ยกลับมานั้นกลับเป็นคำที่เขาไม่คาดคิด เขาไม่เข้าใจที่อีกฝ่ายว่าจนกระทั่งเสียงทุ้มเปล่งขึ้นอีกครั้ง

 

            “ปล่อยมือฉัน”

 

            คำพูดที่ได้ยินทำให้คนฟังเริ่มนึกย้อนจนจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองก็จับฝ่ามือที่ยื่นมาตรงหน้าไว้อยู่เช่นกัน เดกุมองมือข้างซ้ายของตนที่ยังจับกับฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะคลายมือออก

 

            “เอ่อ…โทษที ฉันลืมไป”

 

            คนที่นอนอยู่เอ่ยคำขอโทษออกมา หลังจากนั้นภาพตรงหน้าก็สว่างขึ้นเมื่อร่างด้านบนขยับออกจากตัวเขา เจ้าหน้าที่แผนกวิเคราะห์ค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นบ้าง แต่หลังจากลุกขึ้นจากฟูกนุ่มๆ ที่ปูอยู่อิซึกุกลับรู้สึกถึงสายตาใครอีกคนที่จ้องมาที่เขาอย่างไม่วางตา

 

            ?

 

            เดกุงุนงงอยู่ชั่วครู่จึงลองหันมองตาสายตาของอีกฝ่ายลงมายังลำตัวของตัวเองก่อนจะพบกับคำตอบที่นูนอยู่เหนือหน้าอกคล้ายผู้หญิงของเขา

 

            “เอ๊ะ …ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?”

 

            เดกุปล่อยมีดในมือลงอย่างรวดเร็วพลางทำท่าจะจับไปบนหน้าอกที่ราวกับของผู้หญิงของตน แต่การกระทำนั้นก็ถูกหยุดไว้ก่อนเพราะมันคงดูโรคจิตไม่น้อยที่เขาจะจับไปบนหน้าอกในสภาพนี้ต่อหน้าผู้มาเยือนที่มองอยู่…แม้ว่านั่นจะเป็นหน้าอกของตัวเขาเองก็เถอะ

 

            ผู้ดูแลห้องบำบัดอัตลักษณ์เด็กเล็กหันไปมองเด็กหญิงเจ้าของความสามารถที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้อย่างตกใจ พลันสมองเริ่มคิดว่าเพราะเหตุใดกันยาควบคุมอัตลักษณ์ที่ควรจะมีฤทธิ์อีกชั่วดมงกว่าถึงได้หมดลงตอนนี้แล้วทำให้เด็กหญิงที่มีอายุมากสุดในห้องบำบัดกลับมาใช้อัตลักษณ์ได้อีกครั้ง

 

 

            บางทีนี่อาจจะถึงเวลาที่เขาจะต้องคำนวณตัวแปรใหม่อีกครั้ง

            แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้…

 

 

            “ริกะจัง ผมรู้นะว่าตื่นอยู่”

 

            เขาหันไปเอ่ยเรียกเด็กหญิงที่เพิ่งเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของห้องบำบัดคนล่าสุดอย่างใจเย็น

 

            ฉับพลันดวงตาสีน้ำตาลใสแจ๋วของเด็กหญิงวัย 6 ขวบเจ้าของชื่อก็ลืมตาขึ้นมามองสิ่งที่เธอทำก่อนจะเอ่ยพลางหัวเราะคิกออกมา

 

“คิกๆ เมื่อกี้เหมือนในนิทานเลยค่ะ”

 

            “นิทาน?” คนฟังเอ่ยถามอย่างสงสัย

 

            “เจ้าหญิงนิทราไงคะ พอเจ้าชายจุมพิตแล้วก็ตื่นมาจากความฝัน” เด็กหญิงว่า “เมื่อกี้นี้อิซึกุเหมือนเจ้าหญิงเลย”

 

            “….”

 

            เจ้า…หญิง…?

 

            คนฟังแทบนิ่งคิดอยู่ครูหนึ่งจนกระทั่งเข้าใจความคิดของเด็กหญิงตรงหน้าในที่สุด อิซึกุอยากจะเอาหน้าลงไปมุดผ้าห่มให้รู้แล้วรู้รอดเมื่อรับรู้ว่าเมื่อครู่เธอได้เห็นภาพการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของเขากับคัตจังเป็นไปในแบบไหน

 

            ถึงคุณพ่อคุณแม่ของริกะจัง…ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เธอต้องมาพบเจออะไรแบบนี้เลยจริงๆ ครับ

 

            เจ้าของเรือนผมสีเขียวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางหันใบหน้าร้อนๆ ของตัวเองหนีจากคนที่ถูกยกบทเจ้าชายไปทางเด็กหญิงตัวเล็ก “ริกะจัง แต่ผมอยากเป็นเจ้าชายมากกว่านะ” เขาหว่านล้อม

 

            “อ้าววว…” เด็กสาวร้องอย่างผิดหวัง

 

เมื่อเห็นแบบนั้นเดกุจึงเอ่ยต่อ “ผมว่าริกะจังเหมาะจะเป็นเจ้าหญิงมากกว่านะ”

 

            เด็กสาวมองหน้าเขากลับพลางตอบอย่างฉะฉาน “แต่ริกะอยากเป็นฮีโร่!”

 

            อ่ะ…แย่ละ

 

            แล้วในตอนที่อิซึกุกำลังคิดหาคำโน้มน้าวอยู่นั้นเสียงของเด็กชายอีกสามคนก็ดังมาจากด้านหลัง ดูเหมือนว่าเด็กๆ จะตื่นกันขึ้นมาจนได้ และสิ่งแรกที่เด็กๆ ตาดีในห้องบำบัดอัตลักษณ์ก็คือผู้มาเยือนในวันนี้

 

            “บาคุชินจิ!”

 

            “บาคุชินจิล่ะ!!!”

 

            เสียงอุทานดังขึ้นก่อนทั้งสามจะเดินตรงเข้าไปหาร่างของผู้มาเยือนยามบ่ายอย่างตื่นเต้น ฝ่ามือเล็กๆ จับไปบนแขนที่ติดอาวุธรูปทรงคล้ายระเบิดไว้ก่อนจะอุทานออกมาพร้อมกับดวงตาที่แวววาว

 

            “ของจริงล่ะ ไม่ใช่ของปลอมแบบที่ริกะสร้างขึ้นมาด้วย!”

 

            “ฉันไม่ได้ทำของปลอมนะ!” เธอว่าพลางสอดส่องหาของบางอย่างเพื่อจะเปลี่ยนรูปร่างของมันให้เป็นอะไรก็ได้ตามแต่ที่ใจเธอต้องการ แล้วก่อนที่เธอจะหยิบอะไรขึ้นมาอิซึกุก็ตรงเข้าไปยกมือขึ้นตรงหน้าเด็กหญิงพลางเอ่ย “เปลี่ยนฉันให้เป็นผู้ชายเหมือนเดิมเป็นไง”

 

            “แต่…” เธอลังเล

 

            แต่เดกุก็ใช่จะไม่มีลูกล่อลูกชน “นะครับฮีโร่…ช่วยผมที”

 

            ฮีโร่ตัวน้อยนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ก็ได้! ริกะจะช่วยอิซึกุเอง”

 

            สิ้นเสียงเธอก็แปะมือลงบนฝ่ามือข้างนั้นของอิซึกุก่อนที่ร่างกายของเขาจะค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิม อิซึกุมองสำรวจร่างกายอีกครั้งก่อนจะหันไปทางผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญในวันนี้ ซึ่งดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สบอารมณ์เท่าไหร่เมื่อต้องอยู่ท่ามกลางห้องที่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กๆ ที่มีความสามารถอันตรายพอๆ กับระดับความเอาแต่ใจ

 

            “คัตจังมีอะไรรึเปล่าถึงมาถึงนี่” เขาถามในขณะที่มองดูอีกฝ่ายที่ถูกไลและโทโมกิปีนขึ้นไปบนแขนทั้งสองข้าง

 

            “ถ้าไม่มีฉันก็ไม่มาถึงนี่หรอก” อีกฝ่ายว่าพลางจับเด็กชายทั้งสองคนให้ลงไปจากแขนของตัวเองอย่างหงุดหงิด เด็กทั้งคู่พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นตัวจริงแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีกแล้วพากันไปเล่นตรงอื่น “ฉันมาที่นี่ตั้งแต่ตอนสาย แล้วแกรู้มั้ยว่าไอ้ด็อกเตอร์เวรนั่นมันก็ไม่มาตามที่นัดไว้อีกแล้วน่ะห๊ะ”

 

            พอได้ฟังจบอิซึกุก็แทบจะกุมขมับ เขาไม่รู้ว่าควรจะสงสารคนตรงหน้าหรือตัวเองดีที่ต้องมาวุ่นวายเพราะการผิดนัดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหัวหน้าแผนก แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้อิซึกุไม่สามารถจะปลีกตัวไปจากห้องนี้แล้วเช็คอีเมลหรือโทรศัพท์ให้คัตจังได้จริงๆ เมื่อตัวเขายังต้องแก้ปัญหาเรื่องยาควบคุมอัตลักษณ์ที่หมดฤทธิ์ก่อนเวลาของริกะจัง

 

            “คือว่า…ตอนนี้ฉันไม่สะดวกเท่าไหร่…ช่วยรอแปบนึงนะ” เดกุเอ่ยพลางควานหาถุงมือสีดำที่มักใช้เพื่อป้องกันการสัมผัสกับตัวเด็กๆ ขึ้นมาในขณะที่มืออีกข้างก็จับร่างที่พร้อมจะพุ่งไปเล่นของริกะจังไว้อย่างทุลักทุเล

 

            “ฉันไม่มีเวลาว่างมารอแกทั้งวันหรอกนะ” เสียงเข้มเอ่ยตอบอย่างกดดันอีกฝ่าย

 

            “แอ๊บอึงอ้า” (แปบนึงน่า) เดกุกล่าวขณะใช้ริมฝีปากจัดถุงมือของตนให้เข้าที่ทีละข้างสลับกับจับแขนของเด็กหญิงที่ร้องจะไปเล่นไว้ แขนเสื้อเชิ้ตถูกดึงลงมาปิดทั้งสองข้างอย่างว่องไว เมื่อเตรียมพร้อมกับอัตลักษณ์ที่ควบคุมไม่ได้เรียบร้อยอิซึกุก็อุ้มริกะจังขึ้น

 

            “ริกะจะไปเล่นกับโทโมกิ~”

 

            “แปบนึงนะครับคนดี เดี๋ยวก็ได้ไปแล้วนะ” อิซึกุหลอกล่อพลางพาเธอเดินไปที่ตู้ยาที่ตั้งอยู่สูงจากพื้นในระดับที่เด็กเอื้อมไม่ถึงในห้องนั้น กล่องสีขาวลายกระต่ายถูกดันเปิดออกด้วยมืออีกข้างที่ไม่ได้อุ้มเด็กหญิงไว้ก่อนที่ยาเม็ดหลากสีเหมือนลูกกวาดจะถูกหยิบออกมา อิซึกุหยิบเหยือกน้ำขึ้นเทใส่แก้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะส่งยาให้เด็กหญิงในอ้อมแขน

 

            “ไม่เอา ริกะไม่กิน”

 

            “ทำไมล่ะครับ”

 

            เด็กหญิงเบือนหน้าหนียาเม็ดนั้นก่อนจะตอบเสียงแข็ง “…คนอื่นไม่เห็นต้องกินเลย ทำไมริกะต้องมาอยู่ที่นี่ด้วย ทำไมถึงต้องกินยามากกว่าคนอื่นด้วย เพราะริกะไม่ดีใช่มั้ย อิซึกุหลอกริกะ ความสามารถของริกะมันไม่ดีเป็นฮีโร่แบบนั้นไม่ได้ใช่รึเปล่า”

 

            “…”

 

            “…ริกะอยากกลับบ้าน”

 

 

            “…”

 

 

 

            “…”

 

 

 

            ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ ไม่เว้นแม้แต่เด็กชายทั้งสามคนที่กำลังเล่นปราบวิลเลินที่มีวิลเลินสมมติในครั้งนี้เป็นฮีโร่บาคุชินจิ เด็กทั้งสามนิ่งไปก่อนที่คนหนึ่งจะเอ่ยขึ้น

 

            “โทโมกิอยากกลับบ้านบ้างรึเปล่า” ไลถาม

 

            “ไม่อ่ะ แม่บอกว่าฉันต้องอยู่ที่นี่”

 

            “เหมือนกัน”

 

            “ผมก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เดี๋ยววันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ได้กลับบ้านแล้ว” โคสุเกะ เด็กชายตัวเล็กที่สุดในห้องที่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่จำความได้เอ่ยบ้าง

 

            เสียงพูดคุยที่บาคุโกผู้ได้รับบทวิลเลินจำเป็นได้ยินทำให้เจ้าตัวเริ่มรู้สึกไม่ดีกับห้องนี้ขึ้นมาอย่างประหลาด แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป ดวงตาสีแดงมองจับไปยังร่างในชุดเสื้อเชิ้ตที่ยังนิ่งอยู่กับคำขอร้องของเด็กหญิงในอ้อมแขน

 

            “ริกะจังรู้มั้ยครับว่าทำไมถึงต้องมาอยู่ที่นี่”

 

            “…” เด็กหญิงส่ายหน้า

 

            “เพราะพลังของริกะจังแข็งแกร่งมากยังไงล่ะ”

 

            อิซึกุพูดตามความจริงเมื่อได้พบกับเด็กหญิงครั้งแรกเธอก็เปลี่ยนทุกคนที่เข้าหาให้เป็นสัตว์ไปเกือบทั้งแผนก กว่าเธอจะยอมอยู่ที่นี่ได้พวกเขาก็เหนื่อยแทบลากเลือด ทั้งยังต้องแข่งกับเวลาด้วยเมื่ออัตลักษณ์ของเธอจะค่อยๆ กลืนกินผู้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสิ่งนั้นไปจริงๆ ในเวลาที่ไม่แน่นอน

 

            ฝ่ามือเล็กๆ นี้สามารถสร้างบ้านขึ้นมาจากแผ่นหิน และเปลี่ยนคนให้กลายเป็นเดรัจฉานที่ไร้จิตใจอย่างไม่มีวันหวนกลับ โดยที่เธอเองก็ควบคุมอัตลักษณ์นั้นไม่อยู่

 

            “ริกะไม่เชื่ออิซึกุแล้ว”

 

            “ผมพูดจริงๆ นะ ริกะจังน่ะเป็นฮีโร่ได้ แล้วพลังของริกะจังก็ดีจนผมอิจฉาเลยล่ะ”

 

            เด็กหญิงเริ่มรับฟังแต่ก็ยังถามต่อ “แล้วทำไมริกะถึงไม่ได้ออกไปข้างนอก”

 

            “เพราะพลังของริกะจังมีเยอะมากๆ จนควบคุมได้ยาก…” เดกุวาดมือเป็นวงกลมพลางพาเด็กหญิงเดินไปตรงหน้าต่างเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้น “…แต่ยานี่จะช่วยควบคุมพลังให้ริกะจังแทน พอริกะจังควบคุมพลังได้แล้วก็จะได้ออกไปจากที่นี่ถึงตอนนั้นพลังนี้ก็จะมีค่ากับโลกนี้มากๆ เลยล่ะ”

 

            อิซึกุกล่าวตามจริง…เด็กหลายๆ คนที่อยู่ที่นี่มีค่ามากจนตัวเขาเทียบไม่ติด และการที่เด็กๆ ผู้มีอัตลักษณ์แสนอันตรายมาอยู่ในการดูแลนี้ก็ทำให้ทั้งตัวของเหล่าเด็กและคนรอบข้างปลอดภัยมากขึ้น แม้จะดูเป็นเรื่องโหดร้าย แต่เขาก็ขอเพียงแค่เวลาเท่านั้น…เพียงแค่เวลาจนกว่าเด็กเหล่านี้จะฝึกควบคุมอัตลักษณ์ของตนได้หรือแผนกวิเคราะห์จะวิจัยสิ่งที่ช่วยพวกเขาควบคุมพลังที่ลึกเกินหยั่งนั้นออกมา…เพียงแค่นั้นเขาก็จะปล่อยเด็กทุกคนออกไปยังโลกใบนี้อย่างไม่นึกเป็นห่วงได้อย่างสบายใจ

 

            “ริกะจะเป็นฮีโร่ได้ใช่มั้ย”

 

            “ใช่ ริกะจังจะเป็นฮีโร่ได้ แต่ก่อนหน้านั้นต้องให้เจ้านี่ช่วยควบคุมพลังให้ก่อนนะครับ” อิซึกุยื่นเม็ดยาไปตรงหน้าเด็กหญิง เธอรับมันไปก่อนจะยอมกินมันในที่สุดแม้ว่าจะมีท่าทางลังเลก็ตาม อิซึกุเดินไปหยิบแก้วน้ำที่อีกมุมของห้องส่งให้เธอ เมื่อทุกอย่างเป็นไปด้วยดีเขาก็ปล่อยเธอลงจากอ้อมแขน เด็กหญิงวิ่งเข้าไปสมทบกับเพื่อนในห้องแล้วสวมบทฮีโร่จัดการวิลเลินในชุดฮีโร่อย่างรวดเร็วราวกับที่บอกว่าอยากกลับบ้านนั้นคือเรื่องโกหก

 

            เดกุที่เก็บของเสร็จเดินกลับเข้ามาสมทบกับคัตจังก่อนจะกลั้นขำกับท่าทางที่ถูกเด็ทั้งสี่คนรุมล้อมไว้พร้อมกับปล่อยหมัดเข้าใส่

 

            “ขอโทษที่ให้รอนะ” อิซึกุกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ผู้มาเยือนมองแล้วก็ให้รู้สึกหงุดหงิด และยิ่งหงุดหงิดเข้าไปอีกเมื่อรอบข้างมีด็กๆ รุมล้อมจนน่ารำคาญ

 

            “เมื่อไหร่แกจะไปลากคอไอ้เจ้านั่นมาให้ฉันห๊ะ ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กนะ” ร่างสูงเอ่ยอย่างหงุดหงิดใจพลางหันไปไล่เด็กๆ “ออกไปห่างๆ โว้ย ทำไมไม่ไปสู้กับไอ้เดกุบ้างห๊ะ”

 

            “เดกุ ใครอ่ะ” โคสุเกะคุงเอ่ยถาม

 

            “อิซึกุมั้ง” ริกะที่อายุมากสุดเอ่ย “แต่ว่าอ่านคันจิผิดเป็นเดกุไงล่ะ”

 

            “ฉันไม่ได้อ่านผิดโว้ยยยย” บาคุโกแทบจะพ่นไฟออกมาเมื่อถูกหาว่าอ่านคันจิผิดทั้งที่ความจริงแล้วเขาอ่านได้ก่อนคนอื่นในรุ่นเดียวกันด้วยซ้ำ

 

            “ฮะๆ อีกแปบนึงนะคัตจังเดี๋ยวผู้ดูแลคนต่อไปก็มาแล้วล่ะ” เดกุเอ่ยพลางมองภาพเด็กๆ ที่ดูเข้ากันได้ดีกับฮีโร่ตรงหน้า…และดูเหมือนจะดีเกินไปจนคัตจังสามารถสั่งเปลี่ยนบทให้ตัวเขารับหน้าที่วิเลินแทนได้

 

            “นั่นต่างหากวิลเลินน่ะ ไปฆ่ามันซะ”

 

            “อั๊ก โอ้ย”

 

            เดกุที่เก็บของอยู่ถูกเปลี่ยนให้มารับบทวิลเลินแทนจากอีกฝ่ายทำให้ตอนนี้สภาพเขาจึงโดนเด็กสี่คนล้อมอยู่ เจ้าของดวงตาสีเขียวเล่นตามบทพร้อมกับต้องเก็บหมอนและผ้าห่มอย่างทุลักทุเลไปพร้อมๆ กัน โดยที่ร่างสูงของฮีโร่ตัวจริงเริ่มกลับมาพูดเรื่องอาจารย์ของเขาอีกครั้ง

 

            “แล้วตกลงว่าแกจะจัดการเรื่องด็อกเตอร์นั่นยังไงห๊ะ” อีกฝ่ายถามโดยไม่ดูสถานการณ์เลยว่าตอนนี้เดกุกำลังวุ่นแค่ไหน หมัดเล็กๆ กระแทกอยู่ที่แผ่นหลังของเขาอย่างไม่ปราณี

 

            “อ่า โอ๊ย เรื่องนั้นฉันก็ไม่ร…”

 

 

            แกร็ก

 

 

            แต่ไม่ทันที่เดกุจะได้ตอบจบที่ประตูทางด้านซ้ายเชื่อมกับทางเดินหลักในสำนักงานก้เปิดออก ชายร่างสูงผมสีดำขลับกับแว่นตาทรงกลมโตโผล่หน้าเข้ามาในห้องอย่างทันเวลา

 

            “อาจารย์!”

 

            “โอ้ มิโดริยะ สบายดีมั้ย”

 

 

            เกือบจะไม่สบายแล้วครับถ้าคุณมาช้ากว่านี้…

 

 

            เดกุไม่ได้ตอบกลับอีกฝ่ายไปแบบนั้นเพราะก่อนที่เขาจะทันได้ตอบกลับไปเสียงเด็กๆ ในห้องก็ดังขึ้นพร้อมกัน

 

            “ด็อกเตอออออร์~!!!!” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นก่อนจะพากันวิ่งกรูไปหาชายวัยกลางคนจะเว้นก็แต่ริกะที่ยังงุนงงอยู่กับการปรากฏตัวของชายคนนี้เพราะเธอเพิ่งจะย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานและไม่เคยเจอเขามาก่อน

 

            “โอ้ เธอคือเด็กใหม่สินะ ชื่อว่าอะไรหรอ” ชายวัยกลางคนพูดพลางหันมาทางหน้าเด็กหญิง ในชั่วเวลาไม่นานทั้งสองก็ทำความรู้จักกัน และไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่าทางใจดีกับอัธยาศัยของด็อกเตอร์จะทำให้เด็กๆ เริ่มคุ้นเคยด้วย

 

            แล้วในตอนนั้นดวงตาใต้กรอบแว่นของผู้ที่ถูกเลือกว่าด็อกเตอร์ก็หันไปสบเข้ากับดวงตาสีแดงของฮีโร่ที่มารอพบเขาตั้งแต่ยามสาย ดวงตาสีเพลิงมองอีกฝ่ายที่อยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวคล้ายพนักงานประจำทั่วไปอย่างคล้ายจะสำรวจ

 

            “โอ้ บาคุชินจิสินะ ขอโทษที่ให้รอพอดีฉันเจอเคสพิเศษระหว่างทางน่ะก็เลยมาสายไปหน่อย”

 

            “รีบหน่อย ฉันมีงานต้องทำต่อ” ฮีโร่เพียงคนเดียวในห้องกล่าว

 

            เมื่อเห็นท่าทางที่ดูไม่พอใจกับการมาสายของตนเจ้าของอัตลักษณ์ดวงตาที่เจ็บปวดจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น “ที่นี่คงไม่สะดวกเท่าไหร่ เชิญที่ห้องทำงานของฉันก่อนละกัน”

 

            ได้ฟังดังนั้นบาคุโกก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ในห้องนี้อีกต่อไป เขาเดินผ่านด็อกเตอร์และเด็กๆ หน้าประตูไปอย่างไม่คิดจะสนใจอีก ทิ้งไว้เพียงพนักงานทั้งสองที่หันมองหน้ากันอย่างอยู่

 

            “หายไปนานเลยนะครับอาจารย์”

 

            “หึๆ รอบนี้เจอคนตามตัวทั้งฮีโร่แล้วก็วิลเลินจนรู้สึกเนื้อหอมเลยล่ะ”

 

            “งั้นก็กลับมานั่งที่โต๊ะทำงานบ้างสิครับ” คนเป็นลูกศิษย์ตัดพ้อ

 

            “เธอก็รู้ว่าฉันทำไม่ได้” อีกฝ่ายว่าก่อนจะบอกลาเด็กๆ แล้วหันมาเอ่ยกับเขา “มาด้วยกันหน่อยสิมิโดริยะ เดี๋ยวที่นี่ให้มิสโรสดูแลก็ได้”

 

            อีกฝ่ายว่าจบคนที่รับหน้าที่ดูแลแทนก็เข้ามาในห้องราวกับนัดไว้ เด็กๆ ในห้องที่เคยได้พบเธอมาก่อนเมื่อเห็นก็จำเธอได้ ทันทีที่เธอเรียกความสนใจเด็กๆ ไปจากอาจารย์และตัวเขาอิซึกุก้เดินออกมาจากห้องพร้อมกับเจ้าของตำแหน่งอาจารย์และหัวหน้าแผนก

 

            “อาจารย์มีอะไรเหรอครับ”

 

            “เดี๋ยวเธอก็รู้เองแหละ”

 

            เขาเดินตามอีกฝ่ายออกไปจากส่วนลึกของแผนกนี้ที่นอกจากจะมีความน่ากลัวจากตัวพนักงานที่คล้ายซอมบี้และแผนกทั้งแผนกยังถูกสร้างให้มีโครงสร้างที่ลึกลับและทางที่แคบเพื่อให้ได้พื้นที่สร้างห้องบำบัดด้านใน

 

            บางทีเขาก็คิดว่าก่อนที่คัตจังจะเข้ามาเจอเขาอีกฝ่ายได้เดินหลงไปเจอห้องอื่นในนี้บ้างรึเปล่า

 

            แต่เดกุก็ไม่มีเวลาให้คิดขนาดนั้นเมื่อสองขาพาเจ้าของร่างเดินเข้ามาในห้องประตูไม้สีน้ำตาลแดงอันเป็นห้องทำงานของตัวเอง เขายืนอยู่ที่กลางห้องอย่างงุนงงพลางมองอาจารย์ที่กำลังค้นกองเอกสารสูงท่วมหัวที่หมิ่นเหม่จะหล่นลงมาทับตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งร่างผมดำหยิกนั้นเดินออกมาพร้อมกับกระดาษปึกหนึ่งก่อนจะหันไปทางฮีโร่เจ้าของฉายาบาคุชินจิ

 

            “ฉันเห็นเปเปอร์ที่สำนักงานเธอส่งมาแล้วล่ะ คิดว่าข้อมูลตรงนี้น่าจะเอาไปใช้ได้แต่คงต้องใช้เวลาวิเคราะห์หน่อย”

 

            “งั้นก็จัดการซะสิ”

 

            “แน่นอน…แต่ไม่ใช่ฉัน” คราวนี้กระดาษทั้งปึกถูกยื่นมาตรงหน้าของเดกุ “มิโดริยะจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้”

 

            “ห๊ะ!!!”

 

ความตกใจวิ่งพล่านไปทั่วห้องให้คนฟังทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกัน ฮีโร่และข้าราชการมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อก่อนจะหันกลับไปยังคนพูดที่ยังยิ้มพราวราวกับมองไม่เห็นบรรยากาศมาคุที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว

 

            “หมายความว่าไงห๊ะ ที่ว่าจะให้เดกุจัดการน่ะ ฉันไม่ได้ต้องการพี่เลี้ยงเด็กหรือพวกมือสมัครเล่นนะโว้ยยย” บาคุโกโวยวายอย่างไม่ไว้หน้า

 

            “นั่นสิครับ หมายความว่ายังไง ทำไมผมถึง…”

 

            “เอาน่ะ ถือว่าเป็นประสบการณ์นะมิโดริยะ ส่วนเรื่องความสามารถน่ะฉันรับประกันได้ว่าไม่มีปัญหา ตอนนี้ฉันต้องไปทำงานต่ออีกที่นึงยังไงก็ฝากด้วยล่ะ” ชายวัยกลางคนว่าก่อนจะยัดปึกกระดาษใส่มือลูกศิษย์ตัวเองแล้วเดินออกไปจากห้องหน้าตาเฉยไม่ฟังแม้เสียงโวยวายสบถด่าที่ดังตามไล่หลังของบาคุโก

 

            ในขณะเดียวกันอิซึกุที่ไม่มีเวลาแม้แต่จะห้ามอาจารย์ตัวเอง ไม่สิ เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะเอ่ยอะไรออกไปด้วยซ้ำนั้นก็ราวกับเครื่องจักรที่ช็อตค้างไปแล้ว เขาแทบไม่อยากจะคำนวณเลยว่างานตอนนี้ล้นมือแค่ไหนให้เหนื่อยใจเล่น อิซึกุรู้สึกเหมือนถูกพามาปล่อยเกาะลึกลับกลางทะเลแล้วถูกทิ้งให้หาทางกลับบ้านเอง โชคไม่ดีที่บนเกาะนั้นมีสัตว์ร้ายอันน่าสะพรึงกลัวกำลังจ้องเขาด้วยดวงตาสีแดงฉานด้วยความโกรธที่พร้อมจะเผาทุกอย่างให้เป็นจุล ในขณะที่เขายังต้องมีชีวิตรอดเพื่อกลับไปทำงานกองมหึมาจนแทบจะล้นทะลักอีกด้วย

 

            เอาล่ะ…หวังว่าเขาจะรอดไปจนจบล่ะนะ

 

 

 


 

 

 // รอบนี้หายไปนานกว่าเดิมเลยพอดีติดเขียนฟิควันเกิดอิซึกุน่ะค่ะ

(แต่คงไม่สะดวกลงในนี้เท่าไหร่ สำหรับใครที่อยากอ่านสามารถทักเข้ามาทางInbox เพจ Ryuusei ได้นะคะสำหรับลิ้ง+รหัส)

ตอนนี้เป็นตอนที่ยาวกว่าที่คิดอีกแล้ว ได้เปิดตัวเด็กๆ ห้องบำบัดแล้วส่วนอิซึกุนั้น…คงต้องเอาใจช่วยว่าจะรอดมั้ยอีกที 555

หลังจากนี้จะลงฟิคสัปดาห์ละตอนค่ะเนื่องจากใกล้เปิดเทอมแล้วและเรายังต้องเขียนเรื่องอื่นด้วย ยังไงก็ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] Special EP.

 

 

Special Episode

เขาเล่าว่า…

[Edit Version]

 

 

“เขาเล่าว่าฮีโร่บาคุชินจิกำลังตามจีบคนในแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ล่ะเธอ!”

“เอ๊!!!! จริงเหรอ!?”

 

ในช่วงเช้าของวันหนึ่งเสียงซุบซิบนินทาก็ดังมาจากโถงกลางของอาคารสำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ชั้น 29 สองสาวที่ทำงานอยู่แผนกไม่ใกล้ไม่ไกลกับแผนกที่ตัวเองกำลังนินทาอยู่นั้นกำลังมองไปยังหน้าทางเข้าแผนก ‘วิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์’ เป็นตาเดียวกัน กาแฟที่ตั้งใจจะออกมานั่งจิบพร้อมกับชมวิวเมืองจากตึกสูงดูจะจืดชืดไปโดยถนัดตา

 

 

 

นั่นคือเรื่องราวที่เกิดขึ้นใน 2 วัน…ก่อนที่จะติดต่อด็อกเตอร์ A ได้

 

 

 

“แน่ใจนะว่าไม่ใช่ข่าวลือน่ะ” หญิงสาวจากแผนกจัดเก็บอัตลักษณ์เอ่ยถามเพื่อนร่วมงานของเธออีกครั้งด้วยเสียงที่เบาหวิวราวกับจะมีใครมาแอบฟังอีกที และแม้ว่ามันจะเบาลงมากแล้วแต่ก็ไม่สามารถปกปิดความอยากรู้อยากเห็นอันเป็นวิสัยไปได้

 

“ก็ไม่มีใครแน่ใจทั้งนั้นแหละ” แต่ถ้อยคำที่เอ่ยตอบกลับมานั้นกลับขัดอารมณ์อยากรู้อยากเห็นของเธอลงไปกว่าครึ่ง ความรู้สึกเหมือนกับเข้าห้องน้ำแต่ปลดทุกข์ไม่สุดทำให้เธอต้องเบ้หน้ามองเพื่อนตัวเองด้วยสายตาจิกกัด

 

“เอาดีๆ ซิซากิ เธอรู้อะไรมาบ้างยะ”

 

ถ้อยคำบีบคั้นให้อีกฝ่ายตอบกลับทำให้คนเปิดเรื่องต้องยอมเปิดปากพูดอีกครั้งอย่างตื่นเต้น ด้วยท่าทางที่มีลับลมคมในและน้ำเสียงหนักเบาสั้นยาวราวกับกำลังเล่านิทานตอนสำคัญทำให้คนฟังยิ่งซาบซึ้งไปถึงอรรถรสมากขึ้น

 

“ก็เขาว่า…’คนๆ นั้นน่ะ’ มาที่แผนกนี้เกือบทุกวันตั้งแต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนเชียวนะ จะมาติดต่อแค่เรื่องงานหรอ” กล่าวจบคนเล่าก็ทิ้งคำถามที่ดูจะจริงจังกว่าเรื่องงานที่เธอต้องทำทุกวันไว้ให้อีกฝ่ายขบคิด

 

“เอ๊~ ว่าแต่ว่าถ้าจีบจริงจะเป็นใครกันล่ะ แผนกนั้นยิ่งมีแต่คนแปลกๆ อยู่ด้วย” หญิงสาวว่าพลางนึกไปถึงหน้าคนในแผนก ‘นั้น’ แต่ละคนที่ไม่ค่อยจะโผล่ออกมาจากในแผนกเสียเท่าไหร่ จะออกมาทีก็สภาพราวกับเพิ่งผ่านจากสมรภูมิมา

 

“นั่นแหละที่สำคัญ ฉันก็เลยว่าจะลองถามอิซึกุคุงดูยังไงล่ะ เด็กคนนั้นน่ะอยู่แผนกนั้นพอดีแล้วก็ใจดีด้วยน่าจะยอมบอกอะไรบ้าง”

 

“อิซึกุคุง…?”

 

“ใช่ เด็กคนนั้นน่ะเป็นเด็กดี ยังไงวันนี้ฉันจะต้องได้อะไรบ้างแน่ๆ”

 

“แล้ววันนี้เด็กคนนั้นไปไหนแล้วล่ะ”

 

พนักงานสาวถามอย่างอยากรู้อยากเห็นเต็มที่เพราะวันนี้เด็กคนที่พวกเธอมักจะฝากไปซื้อกาแฟบ่อยๆ นั้นยังไม่ปรากฏตัวเลยตั้งแต่เช้าของเมื่อวาน จนในที่สุดข้อสัญนิษฐานก็ถูกเอ่ยขึ้น

 

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บางทีงานอาจจะเข้าคนในแผนกนั้นละมั้…” แต่ถ้อยคำนั้นก็ไม่ทันได้เอ่ยจบ หญิงสาวนิ่งไปเมื่อหันไปเห็นหัวข้อการสนทนาที่เดินออกมาจากลิฟต์ ทำให้เพื่อนสาวที่มองอยู่งุนงงกับคำพูดที่หยุดชะงักไปเฉยๆ เมื่อครู่จนต้องหันกลับไปมองทางด้านหลังตนไม่ต่างกัน

 

อีกฟากของโต๊ะที่สองสาวกำลังนั่งอยู่นั้นคือลิฟต์ที่เปิดออก ชายคนหนึ่งในชุดฮีโร่เดินเข้ามาก่อนจะเลี้ยวไปอีกทางแยกหนึ่งที่จะนำพาไปสู่แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ดั่งทุกวันที่เป็นไป

 

บาคุโก คัตสึกิเดินเข้าไปที่ห้องในสุดของแผนกจัดเก็บอัตลักษณ์เหมือนเมื่อวันก่อน สามวันก่อน และสัปดาห์ก่อน อย่างหัวเสีย ใบหน้านั้นพร้อมจะฆ่าคนที่หยุดเขาได้ทุกเมื่อหากว่าคนๆ นั้นมาขวางทาง แต่วันนี้ดูเหมือนว่าแผนก ‘ซอมบี้’ นี้จะเปลี่ยนไปจากปกตินิดหน่อย

 

ระหว่างทางเดินทั้งสองข้างนั้นคือห้องกระจกใสที่มีของวางปิดกระจกไว้ระเกะระกะจนพอจะมีช่องให้มองเข้าไปเห็นได้เพียงบางส่วน แต่แค่นั้นก็มากเพียงพอที่คนตัวสูงอย่างบาคุโกจะมองเห็น ที่ด้านในนั้นไร้ซึ่งร่างของคนในแผนกที่มักจะหลับคาโต๊ะทำงานหรือเข้าไปสร้างที่นอนอยู่มุมไหนสักแห่งอย่างทุกวัน ห้องทั้งสองด้านช่างเงียบสงบราวกับไร้คนอยู่ และทางเดินเองก็ไร้ผู้คนเช่นกัน

 

 

ผิดปกติ…จากทุกๆ วันที่เป็นมา

 

 

แต่เขาก็ไม่คิดจะใส่ใจนักเมื่อจุดหมายปลายทางของตนคือห้องสุดท้ายที่ประตูอยู่ตรงกับทางที่เดินมา รอบข้างไม่ได้เป็นกระจกใสเหมือนห้องอื่นๆ บาคุโกผลักประตูเข้าไปก่อนจะพบเจอกับห้องที่เหมือนทุกวัน

 

ที่โต๊ะของหัวหน้าหน่วยยังคงไร้ซึ่งคนที่เขาต้องการพบอย่างทุกๆ วัน นั่นทำให้ต่อมความหงุดหงิดยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขาเดินไปที่โต๊ะทำงานทางซ้ายที่วันนี้ดูรกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา หน้าโต๊ะติดป้ายชื่อไว้ว่า ‘มิโดริยะ อิซึกุ’ แล้วจ้องมองคนที่ยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะในสภาพไม่ต่างจากซากศพโดนคาเฟอีนเล่นงานเมื่อสองวันก่อน

 

“เดกุ”

 

“อื้อ” เสียงตอบรับดังมาจากคนที่ยังคงนอนอยู่ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมาร่างนั้นจะค่อยๆ ดันตัวหันขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา ดวงตาสีเขียวถูกประดับด้วยใต้ตาสีดำคล้ำ เสื้อเชิ้ตสีดำที่เขาจำได้ว่าเมื่อวันก่อนมันก็ใส่ตัวนี้ทำให้คนมองเริ่มสงสัยว่าตู้เสื้อผ้าที่บ้านคนตรงหน้ามีแต่สีดำหรือไม่ได้กลับบ้านอาบน้ำตั้งแต่สองวันก่อนกันแน่ แต่ที่แปลกไปกว่าปกติคงจะเป็นฮู้ดตัวใหญ่สีเขียวคล้ำที่ใส่ทับอยู่ หน้ากากอนามัยที่สวมปิดไปครึ่งใบหน้าและถุงมือสีขาวแบบที่เขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายใส่มาก่อน

 

“เมี๊ยว~” เสียงแมวดังมาจากอีกฝั่งของห้อง ทำให้คนที่ไม่ทันสังเกตต้องสะดุ้งก่อนจะหันกลับไปมองเจ้าแมวสีขาวชมพูที่นอนอยู่บนโต๊ะตรงข้ามกับที่ตนยืนอยู่

 

แปลก…

 

แต่บาคุโกก็ไม่คิดจะใส่ใจ ด้วยมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำและเมื่อคิดถึงเรื่องนั้นต่อมกระตุ้นความหงุดหงิดก็เริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง

 

“Dr.A ไปไหน ฉันนัดเขาไว้วันนี้”

 

“ช่วงนี้ด็อกเตอร์ยุ่งๆ ถ้ายังไงมาติดต่อใหม่นะคัตจัง” เจ้าของใบหน้าสะลืมสะลือตอบก่อนจะวางหัวลงบนหมอนอิงรูปสิงโตที่ได้มาจากปาร์ตี้งานเลี้ยงแผนกอีกครั้ง

 

“ห๊า!!! แต่ฉันนัดไว้แล้วนะโว้ย ไอ้เวรเนิร์ดแกตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้!”

 

แต่ก็เหมือนกับทุกวันตั้งแต่เมื่อสัปดาห์ก่อนที่บาคุโกมักจะได้รับคำตอบที่ไม่น่าพึงพอใจและมิโดริยะ อิซึกุผู้ช่วยDr.Aแห่งแผนกวิเคราะห์ฯ จะไม่ได้นอนในตอนเช้าต่อเพราะเสียงโวยวายจากฮีโร่ที่ต้องการพบหัวหน้าแผนกของเขาให้ได้ ซึ่งวันนี้ดูจะหัวเสียกว่าเก่าเพราะอีกฝ่ายมาที่นี่หลายครั้งแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถติดต่อด็อกเตอร์ผู้หาตัวยากกว่าวิลเลินระดับ S ได้

 

ความจริงอิวึกุก็อยากจะให้คำตอบที่ไม่ห้วนและรักษาน้ำใจอีกฝ่ายที่อุตส่าห์มาถึงนี่ทุกวันแต่วันนี้สภาพร่างกายและสมองของเขากลับปฏิเสธที่จะรับรู้ใดๆ ไปมากกว่านี้อีกแล้ว เขาจึงเลือกที่จึง shut down ตัวเองลงทั้งอย่างนั้นโดยไม่สนใจคนตรงหน้า

 

“ตื่นเดี๋ยวนี้นะโว้ยยยย” ซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่าทางเช่นนั้นจะทำให้บาคุโกไม่พอใจ เสียงของบาคุโกก็ยังคงตะโกนกลับมาพร้อมกับพยายามแย่งหมอนอิงที่ใช้ต่างหมอนของคนที่นอนอยู่ออกไป

 

“อื้ออออ!!!” (ภาษาคนนอน = ไม่!!!)
แต่ก็ใช่ว่าคนที่นอนอยู่จะยอม ร่างที่ฟุบอยู่บนโต๊ะทำงานนั้นรั้งหมอนที่เป็นดั่งความอบอุ่นเดียวในเช้าที่ไม่ได้นอนนี้ไว้อย่างสุดชีวิต

 

เพราะซอมบี้ตัวนี้ได้เลือกแล้วที่จะยอมตายอย่างสมศักดิ์ศรี…ขอแค่ได้นอนต่อก็พอ ต่อให้คนตรงหน้าจะจับเขาไปเถือเนื้อเลาะกระดูกก็ขอให้ได้นอน

 

“วันนี้ฉันต้องได้เจอไอ้ด็อกเตอร์เวรนั่น!”

 

แต่ผู้มาเยือนก็ยังไม่ยอมแพ้ ด้วยปณิธานที่ยิ่งใหญ่ในการแย่งชิงหมอน (?) ของทั้งคู่ทำให้ในที่สุดบาคุโกที่มีร่างกายสมบูรณ์กว่าในวันนี้เป็นฝ่ายชนะ เขาแย่งหมอนใบนั้นมาได้แล้วในตอนนั้นเองที่ฮู้ดบนหัวของคนที่ยังสะลืมสะลือสวมอยู่ถูกเลิ่กออก

 

บาคุโกกำลังจะสบถใส่ร่างตรงหน้าอีกครั้งถ้าหากว่าภาพที่เห็นไม่ทำให้เขาตกใจไป เมื่อบนเรือนผมสีเขียวยุ่งฟูของเพื่อนสมัยเด็กผู้ไร้อัตลักษณ์นี้มีหูแมวซ่อนอยู่ เขามองมันอย่างงงๆ ก่อนคนที่รู้ตัวว่าเผยความลับออกไปแล้วจะรีบชิงเอาฮู้ดปิดหัวไว้อีกครั้ง แววตาสีเพลิงจ้องมองผ้าปิดปากและถุงมือที่เพิ่มเข้ามาอย่างผิดปกติตรงหน้าและแมวที่อยู่ในห้องอย่างเริ่มจะเข้าใจว่าเหตุใดเช้าวันนี้แผนกนี้จึงดูเงียบผิดปกติไป

 

“นี่แก…”

 

“อะไร” อีกฝ่ายตอบก่อนจะกระชับฮู้ดและถอยจากโต๊ะไปด้านหลังจนหลังชิดกับผนังห้องอย่างระแวง

 

“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าไปโดนอะไรมา แต่ว่า…” อีกฝ่ายละคำพูดทิ้งไว้ก่อนจะหันเดินไปอีกฝั่งของโต๊ะที่มีแมวลายสีชมพูขาวนอนอยู่ก่อนจะจับมันยกขึ้นมาเป็นตัวประกัน รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าบาคุโกอย่างอ่อนโยน “…Dr.A อยู่ไหนถ้าไม่อยากให้ยัยนี่เป็นอะไร”

 

“นี่คัตจังเป็นฮีโร่นะ!” ชายคนเดียวในห้องตะโกนอย่างตกใจ

 

“เออ! เป็นอะไรก็ไม่สนล่ะวะ แต่วันนี้ฉันต้องได้งาน บอกมาว่ามันอยู่ไหน!”

 

“ฉันก็ไม่รู้ว่าอาจารย์อยู่ไหนเหมือนกัน อ๊ะ!!! อย่าทำอะไรมิสโรสนะ” เดกุรีบปรี่เข้ามาเมื่อเห็นว่าฝ่ามือนั้นยกแมวตัวนั้นขึ้นสูงเรื่อยๆ

 

“ฉันมานี่เป็นสัปดาห์เกือบทุกวันที่ว่างแต่ก็ยังไม่เจอนี่มันอะไร ฝั่งฮีโร่ก็ต้องทำงานต่อนะโว้ย หรือต้องรอสักชาตินึงห๊ะ” ร่างสูงกล่าวก่อนจะพาแมวตัวนั้นออกจากห้องไปให้คนที่เป็นผู้ช่วยเหมือนกันต้องเดินไปตามรุ่นพี่สาวที่ถูกอัตลักษณ์ของเหล่าเด็กเล็กที่อยู่ในหน่วยบำบัดอัตลักษณ์ทำให้เป็นแมวกลับมา…แม้ว่าเขาเองก็อยู่ในสภาพกึ่งคนกึ่งแมวอยู่เช่นกัน

 

คนที่สะลืมสะลือเมื่อครู่ถูกบังคับให้ตื่นเต็มตาจากการวิ่งในตอนเช้า อิซึกุวิ่งตามคัตจังที่เดินไม่เร็วไม่ช้าไปจนถึงกลางทางเดินของแผนกเมื่อไปถึงตัวอีกฝ่าย เขาจึงวิ่งอ้อมไปขวางหน้าไว้ก่อนจะกางแขนกั้นไม่ให้อีกฝ่ายเดินต่อ ทางเดินที่แคบพอจะให้คนเดินสวนกันได้นี้ทำให้คนที่ถือแมวอยู่ไม่สามารถจะเดินต่อไปได้เช่นกัน

 

“แกบอกมาว่าด็อกเตอร์นั่นอยู่ไหน”

 

“ฉันก็ไม่รู้”

 

เดกุคิดอย่างขมขื่น ร้อยวันพันปีหากอาจารย์กลับมานั่งโต๊ะเต็มวันทีก็ราวกับเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่แปดของโลก

 

“งั้นก็ฝากบอกให้เจ้านั่นมารับพนักงานของตัวเองที่สำนักงานฮีโร่ของฉันละกัน” อีกฝ่ายทำท่าจะเดินไปและนั่นทำให้เดกุต้องทุ่มตัวเข้าใส่ร่างตรงหน้าไว้เพื่อจับแมวที่อยู่ในมืออีกฝ่าย แต่แรงของคนที่ไม่ได้พักผ่อนก็ไม่อาจสู้ฮีโร่ได้ ร่างสูงถอยหลังม้วนตัวก่อนจะใช้ความเร็วที่มีมากกว่าดึงผ้าปิดปากและฉีกถุงมือสีขาวนั้นออก ภาพอุ้งมือแมวและจมูกแมวเผยออกมาให้คนที่พยายามปกปิดต้องสะดุ้งอย่างตกใจ

 

“ถ้าไม่อยากให้ใครเห็นก็อย่าตามมาอีก แล้วเอาเวลาไปติดต่อด็อกเตอร์นั่นให้ฉันซะ” ร่างสูงหันหลังกลับไปยังทางออกพร้อมรอยยิ้ม ทิ้งไว้เพียงร่างของเพื่อนสมัยเด็กที่ลงไปนั่งกองบนพื้นอย่างเจ็บใจ

 

มิโดริยะอิซึกุมองอีกฝ่ายอย่างหัวเสียเพราะนอกจากเขาจะไม่ได้นอนหลังปั่นงานอย่างบ้าคลั่งและจัดการเด็กที่เปลี่ยนให้คนเกือบทั้งแผนกเป็นสัตว์ไปจนทำงานไม่ได้แล้วมิสโรส…รุ่นพี่ที่แผนกเดียวกันยังถูกพาตัวไปอีก
ถ้าหากงานเสร็จแล้วก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เขายังต้องการความช่วยเหลือ (ช่วยปั่นงาน) จากมิสโรสทันทีที่เธอคืนร่าง แล้วจะให้สำนักงานฮีโร่เอาคนในแผนกที่กลายเป็นสัตว์แล้วไม่หนีไปข้างนอกสำนักงานอย่างมิสโรสไปต่อหน้าต่อตาเขาเองก็คงจะอยู่เฉยไม่ได้

 

ตอนนั้นเดกุจึงตัดสินใจเอ่ยออกไป “มิสโรส ผมรู้ว่าคุณไม่อยากทำงานแต่ถ้าคุณถูกจับไปเขาจะทำอะไรกับคุณก็ได้นะครับ คุณคิดว่าอาจารย์จะกลับมาเหรอ!?”

 

ฉึก!

 

แล้วภาพตรงหน้าก็เป็นอย่างที่เขาคิดเมื่อมิสโรสที่กลายร่างเป็นแมวใช้อัตลักษณ์หนามของเธอทิ่มไปที่ฝ่ามือของคนที่จับเธอไว้อย่างจัง บาคุโกตกใจจนเผลอปล่อยร่างนั้นลงบนพื้นและก่อนที่มิสโรสจะหายไปอีกครั้งเดกุก็พุ่งเข้าไปรับร่างเธอไว้ก่อนจะกอดไว้แน่น
“เฮ้อ คุณตัดสินใจถูกแล้วครับ” เขากล่าวก่อนที่ร่างในชุดฮีโร่จะหันมามองอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ

 

“เดกุ!!!” แต่บาคุโก คัตสึกิก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้เมื่อหนามที่หุบลงของแมวตัวนั้นกำลังพุ่งมาที่เขาอีกครั้ง

 

เดกุเมื่อเห็นแบบนั้นก็จับร่างของมิสโรสหันไปทางคัตจังก่อนจะเดินไล่อีกฝ่ายจนออกไปถึงโถงกลางของชั้น

 

“วันนี้กลับไปก่อนเถอะนะ คัตจัง”

 

“เดกุ…ครั้งหน้าถ้าไม่เจออีกล่ะก็…!” ร่างในชุดฮีโร่ตะโกนใส่อย่างเจ็บใจก่อนจะล่าถอยไปอย่างจำยอมอีกครั้งเมื่อไม่ว่าจะดูอย่างไรคนที่เขาต้องการพบก็ยังไร้ซึ่งข่าวคราว

 

ที่อีกด้านของโถงทางเดินนั้นสองสาวที่กำลังเดินออกมาจากแผนกของตัวเองอีกครั้งถึงกับชะงักไปกับภาพคนสองคนที่ตนได้เห็น ทั้งสองหันมามองหน้ากันราวกับกำลังสื่อสารกันทางโทรจิตก่อนที่จะตั้งสติได้และเอ่ย

 

“ไม่จริงใช่มั้ย”

 

“อิซึกุคุง…งั้นเหรอ”

 

แล้วหลังจากวันนั้นก็มีข่าวลือแพร่ไปทั่วสำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์ว่า…คนที่ฮีโร่บาคุโกตามจีบคือมิโดริยะ อิซึกุ เด็กใหม่แห่งสำนักงานวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์

 

ซึ่งนั่นก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าหากว่าข่าวนั้นไม่แพร่จากบนชั้น 29 ลงไปยังชั้น 1 ดั่งน้ำตกที่ไหลลงสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วง…และข่าวลือเองก็คงจะมีแรงโน้มถ่วงของมันเช่นกัน

 

ในวันถัดมาที่มิโดริยะลงมาซื้อกาแฟและโกโก้ของโปรดเหมือนเช่นทุกวันนั้นเขากลับพบกับสายตาจับจ้องจากพนักงานแผนกประชาสัมพันธ์ที่มองมาอย่างเป็นประกายวิ้งวับราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนสาวน้อยเป็นการทักทายในตอนเช้า เขาไม่ได้คุยกับพวกเธอมากไปกว่ากล่าวอรุณสวัสดิ์อย่างแก้เก้อก่อนจะขึ้นลิฟต์มายังชั้น 29

 

 

ในลิฟต์ตัวนั้นก็มีสายตามองมาจากพนักงานในแผนกเช่นกัน ความรุ้สึกที่ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจนั้นทำให้รู้สึกแปลกๆ และมันยิ่งแปลกเข้าไปอีกเมื่อเขาขึ้นมาถึงชั้นที่ 29
ผู้คนมากมายหากไม่มีปัญหาใหญ่มักจะไม่ขึ้นมาบนชั้นนี่ บรรยากาศอึมครึมหมองหม่นราวกับกระจกรถที่ขึ้นฟ่าทำให้ชั้น 29 ไม่น่าอภิรมย์เสียเท่าไหร่ แต่น่าแปลก (อีกแล้ว) ที่โต๊ะนั่งเล่นบริเวณโถงกลางทั้งสองฝั่งของฝั่งสำนักงานวิเคราะห์ฯและสำนักงานจัดเก็บกลับเต็มไปด้วยผู้คนจากแผนกอื่นที่เขาไม่เคยเห็นหน้า บางคนก็กำลังดื่มด่ำกับกาแฟหอมกรุ่นที่ต้องขึ้นมากดน้ำร้อนถึงชั้น 29 และบางคนก็กำลังคุยงานกันตรงหน้าแผนกของเขา

 

 

 

เรื่องใหญ่แน่ๆ …อาจจะเกิดการค้นพบสิ่งมีชีวิตที่สาบสูญเมื่อ 500 ล้านปีก่อนหรือไม่ก็เป็นเรื่องใหญ่ใกล้ตัวอย่างสำนักงานปรับขึ้นเงินเดือนกะทันหันจนทุกคนประชุมกันว่าจะไปกินเนื้อย่างกันที่ไหนดี
นั่นแหละ…ใครจะรู้ว่าเรื่องร้านเนื้อย่างก็เรื่องไหญ่ เพื่อนของเพื่อนบางคนก็ไม่กินเนื้อ บางร้านก็ไกลไปไม่ถูกปาก นัดกันไม่ครบจนต้องมาหาตี้ถึงชั้น 29 ก็เคยมีมาแล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้

 

 

 

“เฮ้อ คิดอะไรนะเราไร้สาระจริง ฮะๆ”
เดกุบ่นกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้กับความคิดเข้าข้างตัวเองว่าเงินเดือนจะปรับขึ้นแปรผันกับงานที่ทำอยู่ จนเลยไปถึงเรื่องร้านเนื้อย่าง ในช่วงหลายวันมานี้ความคิดเรื่องเนื้อย่างก็ลอยวนอยู่ในหัวเขาบ่อยๆ จนบางทีก็เริ่มคิดแล้วว่าช่วงนี้ตัวเองอาจจะโหยหาการพักผ่อนด้วยการกินอยู่ก็เป็นได้ ความรู้สึกที่ลิ้นสัมผัสแตะกับเนื้อนุ่มๆ ถึงได้เข้ามาย้ำเตือนให้คิดถึงบ่อยๆ

 

“คิดถึงตอนนั้นจังเลยน้า”

 

มิโดริยะ อิซึกุยังคงเดินตรงไปที่แผนกจัดเก็บฯ เพื่อเอากาแฟไปฝากคนที่นั่นอย่างเป็นปกติ ทันทีที่เด็กหนุ่มผลักประตูเข้าไปในแผนกดังกล่าวเสียงของคนที่ยืนอยู่คนละทิศคนละทางในโถงชั้น 29 ก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง แต่ละคนหันกลับไปยังคนใกล้ตัวพลางซุบซิบด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่เมื่อเสียงนั้นรวมเข้ากับจำนวนคนในห้องที่มีมากก็ทำให้สภาพของโถงกลางราวกับงานประชุมที่เคร่งเครียดบนเรื่องไร้สาระ

 

หัวข้อสนทนาถูกเอ่ยขึ้นตั้งแต่เรื่องหน้าตาของมิโดริยะ อิซึกุแห่งแผนกวิเคราะห์ฯที่แต่ละคนได้ประสบพบเจอเป็นครั้งแรก รูปร่างท่าทางที่ทำให้โปรฮีโร่คนดังมาสนใจ ไปจนถึงเคล็ดลับหว่านเสน่ห์อย่างไรให้อีกฝ่ายมาตามจีบได้เกือบทุกวัน ยิ่งเมื่อปะติดปะต่อกับคำพูดล่าสุดที่ (แอบ) ได้ยินเมื่อครู่พวกเขาก็เหมือนจะได้นิยายขายดีเรื่องใหม่ขึ้นมาอีกเรื่อง

 

ในวันนั้นหลังจากที่อิซึกุออกมาจากห้องแผนกจัดเก็บฯเขาก็ไม่พบกับผู้คนมากมายที่มายืนชมวิวอย่างไม่ได้นัดหมายที่โถงทางเดินอีกต่อไป เจ้าตัวคนถูกจับตามองจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องราวดังกล่าวที่เกิดขึ้นในเช้านี้อีกเลย เขาปล่อยมันไปราวกับสายน้ำที่ไหลผ่าน จนกระทั่ง…

 

เสียงประตูเปิดขึ้นในตอนเที่ยงของวันที่แสนสงบสุข ชายหนุ่มเรือนผมสีเขียวเข้มกำลังนั่งพิมพ์งานอย่างทุกวันที่ผ่านมา เขารู้ว่าวันนี้ระเบิดเวลายังคงไม่ทำงานและคนที่เขามาคือมิสโรสแต่ถึงอย่างนั้นเสียงเรียกของเธอก็ทำให้เขาตกใจ

 

“อิซึกุ!!!”

 

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองรุ่นพี่สาวอย่างตกใจทันทีที่ถูกเธอเรียกชื่อ เขามองใบหน้าที่ดูเหลอหลานั้นอย่างไม่เข้าใจพลางเอ่ยสิ่งที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดที่คิดได้ออกไป

 

“สำนักงานปรับเพิ่มเงินเดือนทั้งแผนกเหรอครับ”

 

“ไม่ใช่!”

 

“โบนัส 6 เดือน!!”

 

“ไม่มี!!”

 

“วันลาหยุดเพิ่มขึ้น 2 สัปดาห์!!”

 

“นั่นก็ไม่ใช่!!!”

 

ชายหนุ่มเริ่มจนปัญญาที่จะเอ่ยถามเธอว่าเกิดเรื่องน่าอัศจรรย์ใจอะไรขึ้นจนทำให้คนที่มักจะไม่แตกตื่นกับอะไรง่ายๆ ถึงกับตะโกนเรียกชื่อเขาได้ อิซึกุเริ่มคิด คิด คิด และคิด จนคิดว่าถ้าจะมีสักเรื่องที่พอจะน่าตกใจในตอนนี้เขาก็คิดว่ามีเพียงเรื่องเดียว

 

“อาจารย์กลับมาแล้วหรอครับ”

 

“….”

 

“….”

 

“…อย่าพูดถึงอะไรที่ไม่น่าคาดหวังยิ่งกว่าฐานเงินเดือนปรับขึ้นได้มั้ย”

 

“ฮะๆ ขอโทษครับ ว่าแต่ไปเจอเรื่องอะไรมาเหรอครับ” เขาเอ่ยถามเข้าเรื่องอย่างใจเย็น และนั่นก็ทำให้คนฟังเหมือนเพิ่งนึกเรื่องบางอย่างออกแล้วกลับมาทำหน้าจริงจังอีกครั้ง

 

“ก็ข้างนอกน่ะสิมีข่าวลือเต็มไปหมดเลย ตอนพี่จะไปกินข้าวก็เลยรู้ว่าเขาพูดถึงเรื่องนายอยู่”

 

“เรื่อง?”

 

“เรื่องว่าบาคุชินจิจีบนายอยู่น่ะสิ…”

 

พร่วด!!!

 

เดกุแทบจะสำลักโกโก้ออกมาถ้าเขาปิดปากไม่ทันเวลา ดวงตาสีเขียวแก่เบิกกว้างอย่างกับกำลังเห็นสิ่งมีชีวิตเมื่อ 500 ล้านปีที่เพิ่งถูกค้นพบมายืนตัวเป็นๆ อยู่ตรงหน้า ลำคอกล้ำกลืนเครื่องดื่มในปากลงไปอย่างยากลำบากก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างตกใจ

 

“ผม? คัตจัง? จะ…จะ…จีบงั้นเหรอ?” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างไม่เป็นประโยค หลังจากที่ตั้งสติได้เขาก็รู้ว่าตัวเองพูดชื่อเล่นของอีกฝ่ายออกไป แต่รุ่นพี่สาวก็พอจะเข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่ออยู่จึงเอ่ยสวนตอบ

 

“ก็ใช่น่ะสิ นี่ยังไม่รวบข่าวว่าเธอมีใจคิดถึงเขาแต่ไม่กล้าบอกทำให้เขาร้อนใจต้องมาหาเธอบ่อยๆ ด้วยนะ”

 

“เอ่อ…” คนฟังไม่รู้จะพูดอย่างไรได้แต่รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน

 

“แฟนคลับบาคุชินจิถึงขนาดแอบเข้ามาเพื่อมาขอดูหน้าเธอเลยรู้มั้ย”

 

“หือ!? ขะ…เขารู้ได้ยังไงน่ะครับ เรื่องนี้น่าจะแค่คนในแผนกชั้นยี่สิบเก้…”

 

“เขารู้กันไปทั้งเมืองแล้วต่างหาก! ตอนนี้ถึงขั้นมีแฮชแท็กอิซึกุกับบาคุชินจิแล้วนะรู้มั้ย!?”

 

“ห๊ะ!!!”

 

“ไม่ต้องมาห๊ะเลย อยากรู้ก็ดูเอาเองเถอะ”

 

หญิงสาวว่าพลางยื่นโทรศัพท์ของเธอไปตรงหน้ารุ่นน้อง หน้าแฮชแท็ค #อิซึกุกับบาคุชินจิ โชว์เด่นหราอยู่บนนั้นอย่างเหมาะเจาะ ดวงตาคู่สีเขียวมองดูข้อความบนนั้นพลางรับโทรศัพท์ของรุ่นพี่สาวด้วยฝ่ามือที่สั่นเทาอย่างยากจะควบคุม หน้าทวีตถูกเลื่อนลงมาเรื่อยๆ พร้อมกับข้อความที่ทำให้เจ้าของชื่อในทวีตทั้งเครียดและทำตัวไม่ถูกอย่างที่สุด

 

 

‘คุณบาคุชินจิคะเช้าวันนี้ฉันได้ยินอิซึกุคุงบ่นคิดถึงคุณด้วยแหละค่ะ อย่าลืมไปหาเขานะคะ #อิซึกุกับบาคุชินจิ’

 

 

‘ได้ข่าวว่า #อิซึกุกับบาคุชินจิ เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันจากวงในอ่ะ หูยยยย แซ่บ ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา’

 

 

‘ฉันว่ามันต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นแน่ๆ ฉันสัมผัสด้าย!!! #อิซึกุกับบาคุชินจิ’

 

 

‘ไม่เห็นจะมีใครมีรูปชัดๆ เลย โกหกป่าว อย่างบาคุชินจิเนี่ยนะจะจีบคนๆ นึงด้วยการตามตื๊อทุกวันอ่ะ ไม่เมคเซ้นเลย เรื่องแต่งป่ะ? #อิซึกุกับบาคุชินจิ’

 

 

‘เรื่อง #อิซึกุกับบาคุชินจิ นี่เรื่องจริงเรื่องแต่งไม่รู้ เราสายรอเผือกนะคะ วงในปล่อยมาได้เรื่อยๆ เลยค่ะ ปล.พล็อตคู่นี้น่าเอาไปทำนิยายนะคะ ฮีโร่ปากร้ายกับชายในความลับ อรั้ยยยยยย’

 

 

กึก

 

 

หน้ามืด…คือความรู้สึกแรกที่เจ้าของแฮชแท็คสัมผัสได้ แค่อ่านไปไม่กี่ข้อความเขาก็รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ แล้ว แต่นั่นไม่ใช่เพราะข้อความอยากรู้อยากเห็นที่มากมายก่ายกองที่ทำให้เขาเครียด ที่น่าเครียดกว่าคือถ้าเจ้าของชื่อในแฮชแท็คอีกคนมาเห็นเข้าน่ะสิ

 

 

สำนักงานต้องร้อนเป็นไฟ

 

 

“ไง ช็อก ช็อกไปเลยล่ะสิ”

 

“…”

 

พูดไม่ออก… รู้สึกเหมือนชีวิตที่แล้วมาช่างสงบสุขจนไม่อยากตื่นมาดูความจริง ยังนับว่าดีที่คนทำงานราชการในสำนักงานนี้ยังหวงแหนหน้าที่การงานของตัวเองอยู่ทำให้ไม่มีรูปของเขาปลิวว่อนเต็มหน้าเน็ต เดกุล้มพิงพนักเก้าอี้อย่างอ่อนเพลีย ใบหน้าที่ราวกับกำลังกินยาขมหันกลับมามองรุ่นพี่สาว

 

“ต่อจากนี้ผมต้องใส่ฮู้ดปิดหน้าเหมือนดาราเวลาออกไปซื้อโกโก้มั้ยครับ”

 

“ไปแก้ข่าวให้จบไป”

 

“มีคนมาขอสัมภาษณ์ผมหรอครับ จะแก้ข่าวยังไงล่ะ” ชายหนุ่มอายุ 24 ปีราวกับกลายเป็นเด็กงอแงเพราะถูกคนเข้าใจผิดเอ่ยอย่างสิ้นหวัง เขาไม่รู้จะทำยังไงแล้วและไม่รู้ว่าแฮชแท็กที่ว่าจะมีผลกับชีวิตเขาแค่ไหน ความหงุดหงิดทำให้เขาอยากพาตัวเองหายไปด้วยอัตลักษณ์ของเด็กสักคนในแผนกบำบัด

 

“ไม่มีคนสัมภาษณ์หรอก แต่คู่กรณีนายน่ะน่าจะขึ้นมาถึงชั้น 29 ในอีกไม่นานแล้วล่ะ”

 

“คู่กรณี…หมายถึง…” ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงขึ้นมาอีกครั้ง

 

“จะให้เรียกว่าอะไรดีล่ะ คนในแฮชแท็คคู่กับนายหรือ…คนที่นายคิดถึงดี” เธอกล่าวอย่างหยอกล้อ

 

“มิส…” ชายหนุ่มถอนหายใจ “แต่จะทำยังไงล่ะครับ ด็อกเตอร์ก็ยังไม่เจอแล้วจะให้ผมไปเจอหน้าเขาด้วยสาเหตุอะไรล่ะ ไปตอนนี้คนก็เข้าใจว่าผมคิดถึงเขาน่ะเหรอ”

 

พอเอ่ยคำว่า ‘คิดถึง’ ออกจากปากไป แม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงก็ตามแต่มันก็ทำให้คนพูดถึงกับทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

 

“ก็เอาเอกสารไปให้เขาก็ได้ ของสำนักงานฮีโร่เขาอ่ะ พี่ทำเสร็จแล้วเนี่ย” ว่าพลางยื่นเอกสารให้ “แล้วก็พูดเสียงดังๆ ว่างานที่สั่งได้แล้วครับ ขอโทษที่ช้า คนก็เชื่อแล้วว่าเธอกับเขาแค่มาติดต่อเรื่องงานกัน”

 

“อ่า พอเข้าใจอยู่ครับ คงเหลือแต่วิธีนี้สินะ”

 

“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายนี่ ทำงานก็บอกว่าทำงาน แค่เพื่อนก็แค่เพื่อน”

 

อิซึกุฟังคำว่า ‘เพื่อน’ จากปากของมิสโรสแล้วเขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วน

แม้แต่เพื่อนยังไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะนับว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า

 

 

แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกไปเผชิญหน้ากับความจริง ทางเดินสีครีมของสำนักงานแผนกวิเคราะห์ฯดูจะสั้นลงอย่างมาก เขาเดินไปไม่ทันสุดทางก็พบกับผู้คนที่บ้างยืนกินกาแฟ บ้างอ่านหนังสือพิมพ์ บางคนก็มานั่งกินข้าวเที่ยงบนชั้นนี้ นี่ถ้าหากมีเด็กวิ่งเล่นอีกหน่อยเขาคงนึกว่ามาสวนสาธารณะแล้ว

 

แต่ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นก็มีชายคนหนึ่งเดิมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ชายคนนั้นเลื่อนโทรศัพท์ที่เขาคิดว่าคงกำลังเข้าแฮชแท็คเดียวกันอยู่เมื่อครู่ลงก่อนจะเงยหน้ามองมาทางนี้ ดวงตาคู่หนึ่งหรี่ลงอย่างยากจะเดาความคิดว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จนกระทั่งคนมองอยู่ต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน

 

“นี่เอกสารที่สำนักงานฮีโร่ของคุณสั่งไว้ครับ” เขายื่นเอกสารออกไปตรงหน้าพร้อมพูดเสียงดังขึ้นให้คนที่รอชมเรื่องน่าสนุกรอบข้างได้ยินตามไปด้วย

 

“…”

 

“ขอโทษที่ล่าช้าจนคุณต้องมาตามงานหลายๆ ครั้ง พอดีที่แผนกเกิดอุบัติเหตุขึ้นต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครั้งหน้าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นอีกครับ” เขาพูดอย่างพยายามให้เสียงไม่ผ่อนเบาลง แต่ยิ่งเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเขาก็ยิ่งรู้สึกไม่แน่ใจแล้วว่าแผนของมิสโรสมันจะสำเร็จมั้ย

 

ระหว่างที่รออีกฝ่ายตอบกลับนั้นเดกุรู้สึกปวดท้องขึ้นมากะทันหันราวกับลืมกินข้าวเที่ยง (ซึ่งก็ลืมจริงๆ)

 

“…ก็ดี” อีกฝ่ายรับเอกสารไปอย่างรู้บท แต่… “หวังว่าครั้งหน้างานที่ฉันสั่งไปจะได้เร็วๆ เหมือนงานนี้บ้างล่ะ”

 

“…” พูดจบอีกฝ่ายก็เดินไปทิ้งคนฟังที่ยังคงนิ่งคิดถึงคำพูดสุดท้ายนั้นอย่างเหนื่อยอ่อนใจ

 

 

แม้แต่สถานการณ์แบบนี้เขายังโดนเหน็บเพราะงานนั้นอีกจนได้

 

 

เดกุนิ่งคิดก่อนจะหันกลับไปทางเดิมกับที่ตัวเองเดินมา แม้ว่าท่าทางและใบหน้าจะนิ่งเรียบเหมือนทุกครั้งแต่ในใจเขากลับเหมือนถั่วงอกค้างคืนที่รอวันแห้งเหี่ยว ระหว่างทางดวงตาคู่สีเขียวก็กวาดมองคนที่ยืนอยู่รอบชั้นกลับคล้ายไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร ทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติจนกระทั่งเดินเข้าไปในห้องทำงานของตนแล้วทิ้งตัวลงกับเก้าอี้

 

วันนั้นเดกุก็แทบจะไม่ออกไปไหน เขาประทังชีวิตด้วยโกโก้ 1 แก้วและขนมจากร้านสะดวกซื้อที่ตุนไว้ทั้งหมดกว่าเรื่องของเขากับคัตจังจะค่อยๆ เบาบางลง และเพราะมีคนเอาเรื่องเมื่อตอนเที่ยงไปเล่าต่ออย่างรวดเร็วแทบจะในชั่วโมงเดียวกับที่เขาเดินออกไปเจอคัตจังไม่ทันจะถึงเย็นนั้นแฮชแท็คที่ว่าก็ค่อยๆ ตกเทรนด์ลงไป

 

“นี่มิสเข้าไปช่วยแก้ต่างให้ผมใช่มั้ยครับ” เขาเอ่ยถามหญิงสาวที่อยู่อีกฟากของห้องเพราะเห็นว่าข้อความดังกล่าวถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เขียนขึ้นแบบเรียลไทม์ก็คงต้องเป็นเพราะมิสโรสตั้งใจแก้ข่าวให้เขา แต่เธอก็ปฏิเสธว่าตนไม่ได้ทำ

 

 

 

…ชั้น 29 ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป…

 

 
บางทีเขาก็คงต้องไปทำบุญสะเดาะเคราะห์บ้างแล้วรึเปล่านะ

 

แต่เดี๋ยวก่อน…คนที่เวลากินไม่ได้นอน เวลานอนไม่ได้กินแบบเขาจะไปมีเวลามากอย่างนั้นซะเมื่อไหร่กันล่ะ คงหวังได้แต่ว่าอาจารย์ที่ตามตัวยากกว่าวิลเลินระดับ S ของเขาจะกลับมาก่อนที่ศิษย์คนนี้จะเป็นโรคเครียดลงกระเพาะไปก่อนเท่านั้น

 

ทุกอย่างจะได้จบเสียที

 

 

 


 

 

//ทุกอย่างจะจบอย่างที่อิซึกุหวังมั้ยนะ เรื่องนี้ทุกคนคงจะเดาได้จากตอนที่แล้วกันแล้วสินะคะ 5555
เรื่องแฮชแท็คนี่ไม่คิดเลยค่ะว่าอยู่ดีๆ จะได้เอามาใช้ พอคิดขึ้นได้ก็อยากจะใช้เป็นแฮชแท็คเรื่องนี้เลยค่ะ คงน่าสนุกดีนะคะ
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและคอยคอมเม้นค่ะ เวลาเข้ามาเห็นแล้วก็มีกำลังใจปั่นตอนใหม่เรื่อยๆ เลย แล้วเจอกันสัปดาห์หน้านะคะ

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 2

 

 

2

วันๆ ของพนง.แผนกวิเคราะห์ฯก็แบบนี้แหละ

 

 

หลังจากวันนั้นที่เดกุได้พบกับคัตจังอีกครั้งชีวิตประจำวันของเขาที่สงบสุขในระดับหนึ่งก็ดูจะพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สิ่งที่ฮีโร่บาคุชินจิต้องการราวกับโจทย์ปัญหาที่เขาแก้ไขเท่าไหร่ก็ไม่มีวันสำเร็จ

 

“จะไปหามาจากไหนภายในสามวันกันนะ”

 

เสียงบ่นเบาๆ ดังมาจากร่างที่กำลังฟุบหน้าลงบนโต๊ะ หมอนอิงรูปสิงโตเกรี้ยวกราดที่ได้รับมาจากตอนจับฉลากปีใหม่ของสำนักงานทำให้ยิ่งคิดถึงหน้าของคนที่มาหาเมื่อสามวันก่อน ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกเครียดและกดดันจนอยากจะปาหมอนใบนั้นออกนอกหน้าต่างถ้าไม่ติดว่ามันใช้รองใบหน้าตอนนอนได้ดีล่ะก็นะ

 

ห้องสีครีมที่ว่างเปล่าในยามสายตอนนี้ไร้ซึ่งใครอื่นนอกจากตัวเขา กำหนดเวลาสามวันที่ได้รับมาเขาก็เอาไปปั่นงานที่ต้องส่งหมดแล้ว อิซึกุได้แต่คิดถึงข้ออ้างให้กับคนที่กำลังจะมาในวันนี้

 

 

แกร็ก

 

 

แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้คิดข้อแก้ตัวให้ตัวเองไปมากกว่านี้ที่หน้าประตูก็ปรากฏร่างของฮีโร่ที่นัดเขาไว้อย่างไม่เต็มใจเมื่อสามวันก่อน

 

“อะ…อรุณสวัสดิ์” เขาทักอย่างเป็นกันเองกว่าครั้งก่อน ด้วยคราวนั้นตัวเองเผลอสติหลุดเพราะเรื่องงานจนเกือบจะมีเรื่องกับอีกฝ่ายเข้าทำให้วันนี้เขาเตรียมตัวเตรียมสติมาอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น

 

“จะเที่ยงแล้วอรุณสวัสดิ์บ้านแกสิ”

 

“อ่ะ นั่นสินะ”

 

 

แต่ก็ดูเหมือนเขาจะต้องดึงสติมากๆ หน่อย

 

 

ผู้มาเยือนนั่งลงอีกฝั่งของโต๊ะราวกับจะกดดันพนักงานที่นั่งอยู่ก่อน เดกุคิดว่าถึงอย่างไรคำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิมเขาจึงตัดสินใจเอ่ยออกไปก่อน และเพราะไม่รู้ว่าตัวเองตื่นเต้นเกินไปหรือกลัวอีกฝ่ายจะหาเรื่องเข้าเขาจึงเอ่ยเปิดด้วยเหตุผลของตัวเอง

 

“เอ่อ คัตจัง คือว่าก่อนหน้านี้ฉันต้องวิเคราะห์เรื่องอัตลักษณ์ให้กับสำนักงานฮีโร่เขตข้างๆ นี้ ตอนนี้ก็เลย…เอ่อ…”

 

“ฉันรู้แล้ว”

 

“หือ?” คำตอบที่ได้รับกลับมาทำให้เดกุมองไปยังอีกฝ่ายอย่างงงๆ ใบหน้าที่มีกระแต้มอยู่บนแก้มนั้นทำหน้างุนงงจนคนที่นั่งอยู่อีกฟากสังเกตได้

 

“ฉันทำงานอยู่ที่สำนักงานนั้น” อีกฝ่ายเฉลย

 

“อ้อ…” เดกุเริ่มจะเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สาแหตุที่เขาไม่ค่อยมีเวลาได้อย่างไรแล้ว แต่เขาก็พบกับเรื่องที่ไม่คาดฝันในคำตอบนั้นของอีกฝ่าย “ห๊ะ!?”

 

“ตกใจอะไร”

 

“คัตจังย้ายมาทำงานแถวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นถามออกไปพลางจ้องไปยังอีกฝ่ายอย่างอยากรู้อยากเห็นจนลืมตัว แขนสองข้างเท้าลงไปบนโต๊ะราวกับกำลังจะพุ่งตัวไปฟังคำพูดของอีกฝ่ายใกล้ๆ

 

 

“…”

 

 

แต่แม้ว่าจะรออยู่นานอิซึกุก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ เอ่ยกลับมา มีเพียงดวงตาที่มองมาอย่างดุๆ นั่นที่ทำให้เขาต้องเก็บความสงสัยที่แสดงออกมากเกินไปเอาไว้

 

“อ่ะ กะ…ก็นั่นแหละ ฉันเพิ่งทำงานนั้นเสร็จเมื่อวันก่อน”

 

“ฉันรู้แล้ว”

 

“อ้าว แล้ว…ที่มาวันนี้…”

 

เดกุกำลังคิดไปถึงแง่ร้ายสุดขีดว่าอีกฝ่ายจะมาฝากงานอะไรให้แผนกเขาเพิ่มหรือไม่เพราะนอกจากนี้ก็ไม่มีเหตุผลใดให้อีกฝ่ายเข้ามาอีกแล้ว นอกซะจาก…

 

“ฉันจะให้เวลาแกอีก 3 วัน”

 

“เอ๊ะ?”

 

“นัดด็อกเตอร์นั่นให้ฉัน”

 

ในตอนนั้นที่อิซึกุยังคงงงกับคำพูดที่อีกฝ่ายทิ้งไว้บาคุโกก็เดินออกจากประตูบานนั้นไปอย่างไม่ทันให้อีกฝ่ายได้ถามอะไร ฝ่ามือและริมฝีปากที่อ้าขึ้นอย่างตั้งใจจะเอ่ยถามเป็นอันต้องหุบลงหลังจากที่ประตูสีน้ำตาลแดงปิดฉับลงไล่หลังผู้มาเยือน ทิ้งเจ้าหน้าที่พนักงานเพียงคนเดียวไว้กับความงุนงงที่ลอยล่องในห้องนั้น

 

วันนี้อิซึกุได้รับข้อมูลของบาคุโกเพิ่มว่าอีกฝ่ายย้ายมาที่เขตข้างๆ กันนี้และนั่นทำให้เขามีข้อสงสัยหลายอย่างแต่ก็ไม่มีโอกาสได้รับคำตอบจากอีกฝ่าย โดยเฉพาะข้อสงสัยล่าสุด…

 

นี่คัตจังมาถึงสำนักงานเพื่อเลื่อนนัดเองเลยเหรอ?

 

 

หรืองานนี้จะสำคัญกับสำนักงานนั้นจริงๆ นะ

 

 

เดกุนั่งคิดอยู่สักพักแต่ก็ไม่เห็นเหตุผลที่เหมาะสมในการกระทำของอีกฝ่ายเลย สุดท้ายเขาก็ได้แต่ยกหมอนอิงรูปสิงโตผู้เกรี้ยวกราดที่วางแอบอยู่ในลิ้นชักขึ้นมามองก่อนจะทิ้งหน้าลงบนนั้นอย่างเหนื่อยหน่าย

 

 

 

3 วันถัดมา

ตามที่บาคุโกนัดไว้วันจันทร์นี้เขาจะเข้าไปที่สำนักงานนั้นอีกครั้ง เขาเดินตรวจความเรียบร้อยในตอนเช้ารอบหนึ่งก่อนจะเดินไปที่แผนกนั้นด้วยเวลาที่ไม่เช้าและไม่สายไปอย่างทุกวัน ลิฟต์ตัวเดิมเปิดขึ้นที่ชั้น 29 เขาเดินไปโดยคาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามที่ตัวเองคิดได้แล้วในวันนี้ แต่เมื่อเดินผ่านเข้ามาแผนกดังกล่าวและเปิดประตูห้องเข้ามาสิ่งที่เขาพบเลยก็คือโต๊ะทำงานของด็อกเตอร์A ที่ยังคงว่างเปล่าเหมือนเช่นทุกวัน

 

ดวงตาสีแดงมองกราดไปทางซ้ายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกไปอย่างเค้นหาคำตอบเป็นอันต้องปิดลงเมื่อสิ่งที่เขาเห็นคือร่างศพของมนุษย์ข้าราชการที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะ มือข้างหนึ่งของมันกำลังจะเลื่อนไปหยิบบางอย่างแต่ก็ดูเหมือนว่าแขนสั้นๆ นั้นจะพาตัวเองไปไม่ถึง ด้านหน้าของโต๊ะมีเลือดกลิ่นกาแฟที่เทสาดกระจายราวกับอยู่ในหนังสยองขวัญเกรดต่ำสักเรื่องหนึ่ง ตาที่กำลังจะปิดคู่นั้นดูเหมือนฝืนตั้งสติไว้ราวกับจะรอทิ้งไดอิ้งเมสเสจไว้ให้ผู้มาพบอย่างเขา

 

บาคุโกเดินเข้าไปหาร่างนั้นที่ยังคงนอนฟุบอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้รองเท้าของตัวเองเลอะคราบกาแฟที่หกอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะ ฝ่ามือคู่นั้นยังคงยื่นออกมาอย่างจะไขว่ขว้าหาอะไรบางอย่างที่ขาคิดว่าคือแก้วกาแฟเมื่อครู่ ริมฝีปากที่ดูซีดลงเพราะขาดเลือดรสกาแฟกำลังเอ่ยเสียงแผ่วเบาให้เขาได้ฟัง

 

“ไม่ไหวแล้ว…คัตจัง”

 

“แกเป็นอะไรเดกุ”

 

ด้วยจิตวิญญาณการเป็นฮีโร่ของบาคุชิจิที่ตื่นขึ้นมาหรืออย่างไรมิทราบได้ ทั้งที่เห็นอยู่รอมร่อว่าคนตรงหน้าแค่จะหลับเพราะขาดกาแฟแท้ๆ แต่เขากลับเลือกที่จะถามมันว่าเป็นอะไรซะนี่ ชายผู้มาพบเห็นเหตุการณ์ซอมบี้กำลังจะตายนี้จึงเอ่ยข้อสันนิษฐานของตนออกมา

 

“แกจะกินกาแฟเหรอ จ้างแม่บ้านไปซื้อสิวะ”

 

และแน่นอนว่าชายผู้เห็นเหตุการณ์ปฏิเสธการช่วยเหลือร่างนั้นอย่างทันทีที่เปิดปากพูด

 

“ไม่…ไม่เอากาแฟแล้ว ฉันขอน้ำ”

 

“ห๊ะ ก็เดินไปหยิบเองดิ”

 

ปฏิเสธ Again

 

“มันเดินไม่ไหว เหมือนหัวใจจะหลุดออกมาจากอก”

 

“หา?” คนฟังเริ่มไม่เข้าใจ

 

“ฉัน…ไม่ควรกินกาแฟ”

 

สิ้นสุดคำบอกเล่าก็ราวกับองค์ประทับฮีโร่บาคุชินจิผู้ห่วงใยจะถูกดึงออกจากร่างบาคุโก คัตสึกิไปชั่วขณะ

 

“กินไม่ได้แล้วแกจะกินทำไมห๊า!!!”

 

 

บาคุโกรู้สึกว่าเขาไม่น่าเห็นใจมันเลย ทำตัวเองแท้ๆ

 

 

“ก็ร้าน…อึก…เจ้าประจำ…มันหมด”

 

“แล้วทำไมไม่ซื้อร้านอื่นห๊ะ!”

 

“…มันไม่อร่อย…”

 

“………”

 

“………”

 

ชั่ววูบนั้นบาคุโกอยากจะเดินออกจากแผนกนี้ไปแล้วทิ้งไอ้คนที่กินกาแฟแล้วใจสั่นจนเหมือนจะตายให้ตายอยู่ตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไป ถ้าเขาไม่ฉุกคิดขึ้นมาเสียก่อน

 

“นี่แกสร้างเรื่องให้ฉันลืมเรื่องด็อกเตอร์ A อยู่ใช่มั้ย” เขามองหน้าที่ฟุบหันข้างนั้นอย่างจับผิด

 

“ก็แล้วแต่อ่ะ ยังไงวันนี้ด็อกเตอร์ก็ไม่เข้าอยู่ดี เมลยังไม่ตอบเลยเนี่ย”

 

อีกฝ่ายกล่าวพลางหยัดตัวขึ้นเลื่อนหน้าจอคอมที่มีข้อความส่งออกเป็นเรื่องของเขาแต่ไม่มีข้อความตอบกลับมาให้คนอีกฟากได้เห็น

 

“โทรไปก็ไม่รับ”

 

มืออีกข้างที่กุมอยู่ตรงหัวใจราวกับกลัวว่าอวัยวะภายในจะหลุดออกมานั้นเลื่อนไปหยิบสมาร์ทโฟนแล้วเปิดรายการการโทรออกก่อนจะวางลงบนโต๊ะ

 

“ถ้าฉันมีอัตลักษณ์โทรจิตก็คงทำให้ไปแล้ว แต่ก็นั่นแหละ ก็รู้ๆ อยู่” ว่าจบก็ฟุบกลับลงไปบนหมอนเหมือนเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา

 

“แกไม่ลงไปซื้อเองวะห๊ะ เดกุ”

 

“มีงานต้องรีบส่งอ่ะ”

 

อีกฝ่ายว่าแล้วในตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่าแม้ใบหน้าจะฟุบอยู่แต่ดวงตาคู่สีเขียวของเจ้านั่นก็ยังมองไปที่จอคอมฯ พร้อมกับกดลงไปบนแป้นพิมพ์อย่างไม่มีทีท่าจะหยุด

 

 

น่าหงุดหงิด…ยิ่งเห็นก็ยิ่งน่าหงุดหงิด

 

 

บาคุโกตัดสินใจเดินออกจากห้องนั้นไปอย่างไม่ได้ถามถึงเรื่องที่มาวันนี้เลย เดกุมองส่งอีกฝ่ายอย่างตาละห้อยก่อนจะนั่งคิดคำนวณในใจว่าอีกกี่ชั่วโมงมิสโรสจะกลับมาช่วยชีวิตตัวเอง

 

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ทันคำนวณเวลาเสร็จดีเสียงประตูไม้ก็เปิดขึ้นอีกครั้งในเวลาไม่ถึง 10 นาทีหลังจากที่บาคุโก คัตสึกิจากไป…และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสิ่งที่เขาร้องขอ

 

สมกับเป็นฮีโร่…เดกุรู้สึกเหมือนซากศพที่ตายแล้วเกิดใหม่เมื่อรับน้ำขวดนั้นมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเผลอกินกาแฟไปซะเยอะในตอนเช้าจนต้องพาคาเฟอีนออกจากร่างกายในตอนสายเร็วขนาดนี้ แต่นั่นก็ยังดีกว่าให้ทนนั่งรู้สึกเหมือนกับหัวใจจะหลุดออกมาจากอกได้ตลอดเวลาล่ะนะ

 

“ขอบคุณนะคัตจัง” เขาเอ่ยพลางยิ้มให้กับอีกฝ่าย

 

“อีกสองวัน ฉันให้เวลาแกอีกสองวันเท่านั้นเดกุ”

 

แต่เหมือนว่าความใจดีของฮีโร่จะจบลงแค่นั้นเมื่อน้ำหนึ่งขวดราคาไม่กี่เยนนั้นแลกมาด้วยเวลาหนึ่งวันที่น้อยลงจากการตามหาด็อกเตอร์ A ของเขา

 

 

ให้มันได้อย่างนี้สิ เคยมีครั้งไหนที่เขาจะไม่ถูกเร่งงานบ้างมั้ยนะ

 

 

 

4 วันถัดมา

 

“เฮ้อ~”

 

เสียงถอนหายใจดังขึ้นในห้องทำงานของหัวหน้าแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ซึ่งปัจจุบันนั้นไม่อยู่ หาไม่พบ และไร้ซึ่งวี่แววยิ่งกว่าศพที่กำลังนั่งทำงานอยู่ในหลุมแถวๆ นี้เสียอีก

 

อิซึกุนั่งรีเฟรชกล่องข้อความขาเข้าของเขาอีกครั้งก่อนจะหันไปทำงานเมื่อไร้ซึ่งข้อความตอบกลับจากหัวหน้าแผนกตัวเอง มีเพียงข้อความเรื่องงานที่เข้ามาบ้างประปรายอย่างตื่นกลัวว่าแผนกของเขาจะทำงานน้อยไปเท่านั้นที่ยังค้างอยู่ในกล่องอย่างเป็นระเบียบ

 

“ถอนหายใจบ่อยๆ เดี๋ยวก็อายุสั้นกันพอดี” เสียงทักดังมาจากหญิงวัยกลางคนผมสีน้ำตาลดัดลอนที่วันนี้ก็เปลี่ยนทรงผมอีกแล้ว เขามองไปที่เธอรอบหนึ่งอย่างไม่ได้คิดจะตอบรับอะไรเพราะท่าทีที่ดูเร่งรีบทำงานของเธอ

 

มิสโรส หญิงวัยกลางคนที่เป็นทั้งรุ่นพี่และคนที่คอยดูแลเขาในช่วงที่มาแผนกนี้แรกๆ ท่าทางที่ดูจัดเต็มกับเสื้อผ้าหน้าผมของเธอทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่ไม่เข้ากับแผนกซอมบี้นี้สักเท่าไหร่ แต่ถึงอย่างนั้นสัญลักษณ์ขอบตาดำก็ยังเป็นสิ่งที่เธอหนีไม่พ้นจากแผนกนี้เช่นกัน

 

“ตายตอนนี้เลยก็ได้ครับ”

 

“อย่าพูดแบบนั้นให้เด็กๆ ได้ยินล่ะ”

 

 

‘เด็ก’ ที่ว่าก็คือเด็กที่อยู่ในส่วนบำบัดของแผนกนี้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นเด็กที่มีอัตลักษณ์ที่อันตรายต่อตัวเอง เด็กที่ควบคุมพลังไม่ได้ และเด็กที่มีปัญหากับการใช้พลังของตัวเอง ซึ่งเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นเรื่องปกติที่คนทั่วไปไม่ได้สังเกต แม้แต่ด็อกเตอร์ผู้ดูแลแผนกก็ยังเป็นเจ้าของอัตลักษณ์ ‘ดวงตาที่เจ็บปวด’ ดวงตาที่มองทะลุอวัยวะภายในไปเห็นทุกความเจ็บปวดแต่หากใช้งานมากไปก็จะให้ผลดังชื่อหรือมิสโรสก็ยังมี ‘หนามเกล็ดเลือด’ ที่คอยทิ่มแทงผิวหนังทุกครั้งที่ใช้งาน

 

เขาเอ่ยตอบรุ่นพี่สาวที่ยังมุ่งมั่นทำงานอยู่อีกฟากของโต๊ะ ท่าทางที่ดูมั่งมั่นทำงานให้เสร็จเร็วกว่าปกตินั้นทำให้เขาคิดขึ้นได้ว่าวันนี้มีใครนัดพวกเขาไว้ในตอน 5 โมงเย็น

 

เพราะแบบนั้นพวกเขาจึงตั้งหน้าตั้งตาอยากเจอคนๆ นั้นมากจนต้องรีบจบงานเพื่อหนีออกไปติดต่องานกับแผนกอื่น

 

เสียงคุยข้ามไปมาระหว่างสองฟากของห้องเงียบลงแล้วถูกเสียงคีบอร์ดบรรเลงให้ทั่วห้องนั้นไม่เงียบจนเกินไป  ต่างกันที่วันนี้เสียงนั้นดูจะดังขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติจากทั้งสองฝั่งฟากของห้องราวกับทั้งคู่กำลังแข่งกันว่าใครจะทำงานเสร็จก่อนเป็นคนแรก

 

 

แน่ละ…อีกไม่ถึงชั่วโมงคนที่นัดไว้ก็จะมาแล้ว

แน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่ด็อกเตอร์Aอย่างแน่นอน

 

 

เรื่องนัดหมายครั้งนี้ก็เหมือนครั้งก่อนๆ จะต่างกันก็คือเมื่อ 2 วันก่อนซึ่งคัตจังจะเข้ามาด้วยเรื่องเดิมๆ นั้นมันเกิดเหตุแปลกๆ ขึ้น เพราะแผนกของพวกเขาดันโดนอัตลักษณ์ของเด็กที่รับมาใหม่ในห้องบำบัดอัตลักษณ์เปลี่ยนให้เป็นสัตว์และอีกฝ่ายก็ดูจะอารมณ์เสียจากการไม่ได้งานและเรื่องข่าวลือบางอย่างอยู่แล้ว วันเวลาที่สงบสุขของพนักงานแผนกซอมบี้จึงถูกทำลายลงต่อหน้าต่อตาจนเกือบจะมีเรื่องกัน

 

และวันนี้ข่าวคราวของด็อกเตอร์ A ก็คืบหน้าน้อยซะยิ่งกว่าทากขาพิการที่คลานได้ พอเห็นแววว่าอีกฝ่ายคงจะเอาเรื่องแน่แล้วเขาก็ยังอยากจะรักษาชีวิตไว้สักครั้งด้วยการกลับบ้านเร็วกว่าปกติ (แน่นอนว่างานเท่าเดิมเพิ่มเติมทำที่บ้าน)

 

 

แก่กๆๆ

 

 

เสียงเคาะคีบอร์ดดังขึ้นอย่างหนักหน่วงท่ามกลางคนสองคนที่ยังตั้งสติกับงานตรงหน้าและภาวนาให้แรงมือของตัวเองไม่ตกไปก่อน

 

 

แก๊ก!

 

 

เสียงกระแทกคีบอร์ดอย่างแรงดังมาจากอีกฟากของห้อง อิซึกุตกใจกับเสียงนั้นเพียงครู่ก่อนจะเร่งมือปั่นงานต่อในขณะที่เอ่ยบทสนทนาข้ามห้องอย่างพยายามทำเหมือนไม่รีบร้อน

 

“ใจเย็นนะครับมิส”

 

“ตอนนี้เย็นแล้วล่ะ ก็งานเสร็จแล้วนี่”

 

“หือ!?”

 

ฝ่ามือที่กำลังจะกด Enter เลื่อนบรรทัดเป็นอันต้องชะงักกึกก่อนจะหันไปมองที่อีกฟากของโต๊ะอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่อิซึกุก็ต้องเชื่อเมื่อโน้ตบุ๊คที่เปิดอยู่นานสองนานถูกพับลงแล้วต่อหน้าต่อตาเขา หญิงสาวลุกขึ้นจัดของอย่างคล่องแคล่วจนเขาตกใจ

 

“เอ๊ะ ไม่เร็วไปหน่อยเหรอครับ นี่เพิ่งจะสี่โมงเย็นเองนะ”

 

“ไม่นะ นี่พี่ต้องไปติดต่อสำนักงานฮีโร่ประจำเขตต่อด้วย” เธอตอบพลางกอดกระเป๋าเอกสารไว้ ฝีเท้าภายใต้ส้นสูงสีเลือดนกเดินก้าวฉับๆ มาถึงประตูจนเขาไม่มีเวลาได้เอ่ยถามอะไรออกไปอีกฝ่ายก็กล่าวขึ้น “รีบปั่นงานเข้าล่ะ เดี๋ยวแฟนก็มาตามหรอก”

 

“มิส…!”

 

“ไปก่อนนะ เหนื่อยหน่อยล่ะ”

 

ปั้ง

 

“………”

 

ฝ่ามือทั้งสองข้างทิ้งลงบนคีบอร์ดอย่างสิ้นหวัง แต่เพียงครู่เดียวมือคู่นั้นก็เอื้อมไปยังแก้วน้ำที่อยู่อีกด้านของคอมพิวเตอร์ โกโก้แก้วสุดท้ายของวันถูกเขาดูดจนหมดแก้ว น้ำแข็งที่ละลายแล้วทำให้รสสัมผัสที่แตะปลายลิ้นเปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ซื้อมา ชายหนุ่มเพียงคนเดียวในห้องกลอกตากลับมามองหน้าจออีกครั้งก่อนจะดันแว่นขึ้นแล้วเริ่มจบงานในวันนี้ของเขาอย่างเร็วกว่าเดิม

 

เขาจะไม่ยอมอยู่รับหน้าในวันนี้หลังจากที่เพิ่งมีเรื่องข่าวลือและเรื่องทะเลาะมาหมาดๆ แน่ๆ

 

เขามองไปยังนาฬิกาที่ตอนนี้เลยเวลาสี่โมงเย็นมานิดหน่อยแล้ว

 

แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ แม้จะบอกว่าเป็นสำนักงานของราชการก็ตามแต่ก็มีความเฉพาะตัวของตัวเอง ด้วยความที่พวกเขามักต้องทำงานร่วมกับฮีโร่ในเขตต่างๆ ข้างเคียงอยู่บ่อยครั้งจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะไม่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตลอดเวลา แม้เวลาราชการจะเลิกตอนห้าโมงเย็นแต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะปิดโต๊ะทำงานไปก่อนแล้วจบงานสุดท้ายด้วยการออกไปติดต่อเรื่องเอกสารกับองค์กรหรือแผนกอื่นด้านนอก เป็นข้อดีที่แลกมาด้วยข้อเสียคือการทำงานล่วงเวลาและกองงานมโหฬารที่ให้ความรู้สึกว่าทำเท่าไหร่ก็คงไม่หมด

 

แกร็ก

 

เสียงกดคีบอร์ดยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็หยุดลง หลังจากจัดการเก็บงานทุกอย่างเรียบร้อยและปิดคอมฯดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็เหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือที่กำลังชี้บอกเวลาสี่โมงครึ่งอยู่ ณ ตอนนี้

 

เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงจะถึงเวลาที่คัตจังนัดไว้และเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเลิกงานเช่นกัน

 

แต่วันนี้เขาก็เคลียร์งานที่จำเป็นหมดแล้ว ครึ่งชั่วโมงนี้เขาขอทดแทนด้วยการโต้รุ่งและเวลากินข้าวเที่ยงที่ถูกใช้ทำงานละกัน

 

เดกุมองแสงอาทิตย์ยามเย็นที่เริ่มทอแสงสีส้มลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวโปร่งพลิ้วไหวล้อไปตามลมตรงข้ามกับใจของเขาที่กำลังกระสับกระส่าย ฝีเท้าก้าวอย่างว่องไวพาเจ้าของร่างไปยังริมหน้าต่างแล้วปิดมันลงอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมาเก็บของบนโต๊ะอย่างว่องไวไม่แพ้กัน ขยะถูกนำไปทิ้งในถังขยะนอกห้อง และทันทีที่เขาเข้ามาตรวจสอบปลั๊กไฟอีกครั้งเสร็จก็ใกล้จะห้าโมงพอดี

 

เขาหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นก่อนจะรีบดิ่งไปที่หน้าประตู และในตอนที่มือคู่นั้นกำลังจะจับลงไปบนลูกบิดประตู ประตูไม้ชั้นดีก็ถูกผลักเข้ามาจากด้านนอกเสียก่อน ยังผลให้คนที่อยู่ใกล้ๆ อีกฟากหนึ่งถูกประตูเปิดกระแทกใส่หน้าผากอย่างรุนแรง

 

 

พลั่ก!

 

 

“อ๊ะ!!”

 

 

ประตูที่เปิดเข้ามาอย่างกะทันหันนั้นกระแทกเข้าหน้าคนที่กำลังจะหนีกลับอย่างจังราวกับรู้เวลา อิซึกุไม่ทันตั้งตัวว่าจะมีอะไรเปิดเข้ามาในห้องอย่างพอดิบพอดีเช่นนี้หน้าของเขาจึงถูกประตูที่เปิดเข้ามาฟาดอย่างจังโดยเฉพาะที่หน้าผาก ในตอนนั้นเขาหลังตาแน่นและเผลอสะดุดเท้าตัวเองล้มไปกองอยู่บนพื้น พอลืมตามาอีกทีก็เห็นคนในชุดฮีโร่ที่มาบ่อยๆ ในช่วงนี้ยืนอยู่อีกฟากท่าทางตกใจเช่นกัน

 

อีกฝ่ายคงกำลังมองเขาอยู่และไม่นานหลังจากนั้นก็คงจะรู้ว่าเขากำลังรีบเร่งออกจากห้องนี้ ด้วยสกิลการวิเคราะห์ที่เอามาใช้ได้ถูกที่ถูกเวลา (?) เดกุจึงยกมือขึ้นจับหน้าผากตัวเองพลางร้องโอดโอยในขณะที่มืออีกข้างรวบกระเป๋าไว้อย่างเนียนๆ

 

“อะ…โอ้ย” เขาเอ่ยพลางค่อยๆ ลุกขึ้น ฝีเท้าเตรียมจะก้าวออกไปนอกห้องด้วยเหตุผลที่คิดออกขึ้นมากะทันหัน “เจ็บจัง ต้องบวมแน่ๆ จะเลือดออกมั้ยนะ”

 

“….”

 

เขาพยายามจะเดินผ่านออกไปในขณะที่มือข้างซ้ายยังใช้กุมหน้าผากซ้ายและมือขวารวบกระเป๋าไว้อย่างแอบสุดชีวิต แต่เหมือนนั่นจะไม่ช่วยให้คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามขยับพ้นจากประตูเลย

 

“โอย…อ่ะ เจ็บ”

 

“แกเจ็บตรงนั้นเหรอ”

 

“แน่สิ กระแทกเข้ามาซะแรงเลย”

 

“…ทั้งที่ประตูมันเปิดจากทางขวาของแกน่ะนะ”

 

“……..”

 

“……..”

 

 

ไร้ซึ่งการตอบรับ เสียงโอดโอยในตอนแรกก็เงียบลงสนิทเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่ในชีวิตอิซึกุอยากจะโทษช่างทำประตูที่ทำให้มันเปิดฝั่งขวาของตัวเอง โทษกระเป๋าที่หล่นมาทางขวามือจนไม่มีเวลาแอบให้มิดชิดกว่านี้และโทษอีกฝ่ายที่ไปยืนเยื้องทางฝั่งซ้ายบังคับให้เขาต้องเลี่ยงไปทางขวา!

 

เดกุลดมือลงอย่างช่วยไม่ได้ กระเป๋าที่แอบไว้ข้างลำตัวสุดชีวิตก็ถูกถือเยื้องมาด้านหน้าอย่างที่คนปกติเขาทำกัน เพราะรู้ว่าคงปิดไม่มิดแล้วเขาจึงเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ด็อกเตอร์ยังไม่ติดต่อกลับมาหรอก”

 

เอ่ยจบก็ก้มหน้ารอรับอารมณ์ร้อนที่คงจะคุกรุ่นหนักเข้าไปอีกของคนตรงข้าม

 

แต่รอแล้วรอเล่าก็กลับมีเพียงความเงียบสงบที่ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เขาไม่กล้าเงยหน้ามองใบหน้านั้นว่าตอนนี้มันเดือดไปถึงไหนแล้วจนกระทั่งสัมผัสหนึ่งแตะลงที่หน้าผากขวา

 

“โอ้ย!”

 

เดกุยกมือข้างขวาขึ้นมาบังมืออีกฝ่ายที่จิ้มลงบนหน้าผากเขาในบริเวณที่เพิ่งเจ็บมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างไม่เข้าใจ

 

“คัตจัง?”

 

“…”

 

ยังคงไม่มีคำพูดใดตอบกลับมา แต่ทันทีที่เงยหน้าตอบกลับไปฝ่ามือทั้งคู่นั้นก็โอบอุ้มใบหน้าของเขาไว้ให้เงยขึ้นสบกับใบหน้าของคนตรงข้าม ใบหน้าของอีกฝ่ายถูกเลื่อนมาใกล้หน้าของเขาจนน่าตกใจ เดกุย่นคอหลับตาแน่นอย่างหวั่นกลัวเมื่อคิดว่าอีกฝ่ายสามารถเอาใบหน้าของเขาไปทำอะไรได้บ้างให้สาแก่ใจ

 

“อยู่นิ่งๆ”

 

แต่ท่ามกลางความมืดที่ดวงตาคู่สีเขียวปิดสนิทนั้นเสียงที่เขาได้ยินกลับไม่ใช่เสียงที่โกรธเกรี้ยวเหมือนที่คาดคิดไว้ เสียงนั้นเรียบนิ่งเหมือนกับเวลาคุยกันตามปกติไร้แววโมโหหรือใดๆ จนดวงตาสีเขียวต้องลืมขึ้นมองอีกครั้ง

 

“ไม่อยากเจ็บก็อยู่นิ่งๆ ซะ”

 

“…”

 

คนฟังนิ่งไปอย่างว่าง่ายเมื่อไม่เห็นทีท่าและแววตาที่ดูเกรี้ยวกราดจากอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งของคนที่สูงกว่าจึงถูกใช้เลิกผมสีเขียวที่ปิดหน้าผากฝั่งขวาออก ดวงตาสีแดงก้มมองพิจารณาอยู่ครู่ก่อนจะเห็นเป็นรอยบวมเล็กๆ ไม่มีเลือดออก

 

“ใช้ผ้าเย็นกับกินยาก็หายแล้ว ร้องซะอย่างกับ…”

 

เดกุไม่ได้ฟังว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไรและจับไปที่ตรงไหนของใบหน้าเขา ท่ามกลางแสงอาทิตย์สีส้มที่ทอลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้องดวงตาของเขาก็ยังคงปรับโฟกัสไม่ทันกับภาพใบหน้าที่ขยับเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าครั้งก่อนที่ทะเลาะกัน ริมฝีปากที่อยู่ต่ำกว่าระดับสายตานิดนึงลงไปทางข้างแก้มทำให้ไม่กล้าที่จะขยับออกห่างหรือเข้าใกล้ไปมากกว่านี้ ทั้งที่ก็เป็นเรื่องปกติแต่ในใจกลับเหมือนมีคนกำลังเล่นจี๊กจี้กับมันอยู่จนยากจะควบคุม

 

เขาหันหน้าขึ้นไปมองสบกับอีกฝ่ายโดยตั้งใจจะบอกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรมากเพื่อที่ตัวเองจะได้หลุดออกจากระยะห่างที่ไม่ดีต่อใจนี่สักที แต่พอสบเข้ากับแววตาคู่นั้นเขาก็พูดไม่ออก

 

“…เอ่อ…”

 

“…”

 

“คือ…”

 

“…”

 

“ฉัน…”

 

“…”

 

 

 

ครืด~

 

ท่ามกลางความกระอักกระอ่วนที่วนอยู่ในห้องโทรศัพท์ที่ตั้งสั่นไว้ก็กำลังขยับไปมาอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง เรียกสายตาเจ้าของของมันที่ลืมเก็บมาตอนทำหล่นเมื่อครู่ให้ต้องหันไปมอง เดกุก้าวไปหยิบสมาร์ทโฟนที่เขาทำหล่นเมื่อตอนตกใจจากประตูที่เปิดเข้ามาเมื่อครู่ ใบหน้าแสดงออกถึงความตกใจเมื่อเห็นสายเรียกเข้าที่เขาโหยหามาเป็นสัปดาห์

 

“สวัสดีครับอาจารย์ คือว่ามีคนรอพบ…”

 

ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยธุระของตนจบคำพูดของอาจารย์ก็หลั่งไหลเข้ามาราวกับรู้ทัน ในขณะที่บาคุโกเริ่มจับต้นสายปลายเหตุได้แล้วว่าใครเป็นเจ้าของสายนี้ที่โทรมา เขาจึงนิ่งเงียบรอจนอีกฝ่ายวางสาย

 

“ครับ ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกเขาให้”

 

สิ้นสุดการสนทนา เดกุเงยหน้ามองอีกฝ่ายพร้อมกับถอนหายใจที่คิดว่าคงเป็นรอบสุดท้ายของวันนี้แล้ว

 

“อีกสองวันอาจารย์จะเข้ามาในตอนสาย”

 

“หวังว่ารอบนี้จะไม่เบี้ยวอีกล่ะ”

 

“อืม คงไม่ผิดพลาดอีกแล้วล่ะ”

 

สิ้นสุดคำพูดของเขาอีกฝ่ายก็เดินหันกลับออกไปจากห้องนี้ เขาสำรวจห้องอีกครั้งพลางเก็บของส่วนตัวที่กระจายไปตามพื้นก่อนจะปิดไปและปิดห้อง

 

ในยามเย็นของวันมิชชั่นตามหาคนที่หายากที่สุดในปฐพีสำหรับเดกุได้สำเร็จไปอีกงาน หวังว่าหลังจากนี้สำนักงานของเขาก็คงจะเข้าสู่ความสงบสุขเสียที

 

เขาจับหัวที่เริ่มโนของตัวเองอย่างแผ่วเบาก่อนจะคิดถึงใบหน้าที่มองมาเมื่อครู่ “หลังจากนี้ก็คงไม่เจอกันอีกสักสิบปีละมั้ง”

 

 

 

 


 

 

//จบไปแล้วอีกตอนค่ะ เป็นตอนที่เหมือนได้บุกเบิกสกิลใหม่บางอย่างของตัวเองเลย หลังจากนี้ก็จะพัฒนาให้ดีขึ้นนะคะ บางจุดถ้าเรามีเวลาได้อ่านทวนแล้วเห็นว่ายังไม่เวิร์คก็จะกลับมาแก้ค่ะ ฝากเรื่องนี้อีกครั้งนะคะ

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 1

 

 

1

อย่าเอาความเกรี้ยวกราดมาลงที่ฉัน

 

 

บนโลกใบนี้…ทุกสิ่งต่างเดินหน้าไปเรื่อยๆ แม้ในเวลาที่ไม่ทันสังเกตหรือจับตามองก็ตาม ซึ่งมันก็คงจะไม่แปลกอะไร…ถ้าหากสิ่งต่างๆ ที่เคลื่อนไหวไปตามกลไกนั้นจะนำพาคนสองคนที่ไม่ทันได้สังเกตกันให้มาพบกันอีกครั้ง

 

เช้าวันอังคารในฤดูใบไม้ผลิที่อากาศเริ่มจะอบอุ่นขึ้น

 

10 นาทีหลังจากที่บาคุโก คัตสึกิเดินขึ้นลิฟต์ทางด้านขวาที่เปิดรออยู่เพื่อขึ้นไปยังสำนักงานตรวจสอบฯและสำนักงานวิเคราะห์ฯที่ตั้งอยู่ในชั้นเดียวกัน มิโดริยะ อิซึกุก็เดินเข้ามาถึงหน้าตึกสำนักงานพอดีหลังจากที่ไปซื้อกาแฟและขนมเรียบร้อย เสียงพูดคุยของพนักงานประชาสัมพันธ์พอจะทำให้เขารู้คร่าวๆ ว่ามีฮีโร่เข้ามาติดต่อที่สำนักงานชั้น 29 ที่แสนวุ่นวายของเขาแต่เช้า ซึ่งมันก็คงจะเป็นเรื่องปกติ…

 

 

ถ้าหากว่าคนที่มาติดต่อไม่ใช่บาคุโก คัตสึกิ เพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาเป็น 10 ปี

 

 

ภาพฮีโร่ที่เคยได้แต่มองในข่าวฉายชัดราวกับหลุดออกมาจากวิดิโอช่วยชีวิตเมื่อไม่กี่วันก่อน ดวงตาสีเขียวที่แทบจะปิดอยู่รอมร่อค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้าที่เกินกว่าสิ่งที่เขาจินตนาการไว้

 

“…คัตจัง?”

 

เช่นเดียวกันกับอีกฝ่ายที่แววตาหงุดหงิดแปรเปลี่ยนไปเป็นความประหลาดใจเมื่อมองมายังร่างที่ดูราวกับเพิ่งลุกออกมาจากผ้าปูที่นอนตรงหน้า ดวงตางัวเงียคู่สีเขียวที่เบิกกว้างกับทรงผมที่ยุ่งกระเซิงนั้นแม้ว่าตอนแรกเขาจะไม่อยากเชื่อแต่สุดท้ายคำแรกที่เอ่ยออกไปก็คือชื่อที่ยังอยู่ในความทรงจำ

 

“เดกุ…?”

 

ภาพของเพื่อนสมัยเด็กตรงหน้าดูเบลอๆ ในสายตาของคนที่ยังไม่ได้นอนอย่างเดกุจนเขาอยากจะเดินออกจากห้องแล้วลองเปิดประตูเข้ามาใหม่อีกครั้งเผื่อว่าความจริงแล้วนี่จะเป็นแค่ฝันไปและเขาเพิ่งตื่นจากการหลับกลางอากาศระหว่างรอเอกสาร

 

 

แต่ก็นั่นแหละ…นี่ไม่ใช่ความฝัน

 

 

เวลาเดินไปอยู่ครู่หนึ่งระหว่างคนสองคนที่มองกันนิ่ง จนหญิงสาวเพียงคนเดียวในห้องต้องเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นขัดบรรยากาศตรงหน้าอย่างทนไม่ไหว

 

“เอ่อ…นี่รู้จักกันมาก่อนใช่มั้ย”

 

เธอเอ่ยถามพลางเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงกลางระหว่างคนสองคนที่ยังมองหน้ากันอย่างไม่วางตา หญิงสาวผมบลอนด์ทำไฮไลท์สีชมพูโดดเด่นมองสลับไปมาระหว่างรุ่นน้องกับผู้มาเยือนที่ไม่คิดจะตอบคำถามเธอเลยราวกับพวกเขาเข้าไปอยู่ในโลกส่วนตัวกันแล้ว ด้วยเหตุนั้นเธอจึงตัดสินใจเอาเองว่าสิ่งที่เธอพูดไปคงถูกต้องแล้ว

 

“โอเค งั้นฝากด้วยนะอิซึกุ” เธอว่าพลางแตะมือลงบนไหล่ของรุ่นน้องอย่างฝากฝัง

 

“อ๊ะ! คระ ครับ เอ๊ะ…” คนที่ถูกฝากงานเพิ่มอย่างกะทันหันมองไปยังรุ่นพี่ของตัวเองอย่างสิ้นหวังก่อนจะเห็นแววตาและขอบตาดำคล้ำที่ดูสิ้นหวังกว่าเขาปรากฏขึ้นมาให้คนมองต้องจำใจยอมรับ “ก็ได้ครับ”

 

“เยี่ยม” เธอเอ่ยอย่างดีใจก่อนจะเดินออกจากห้องไปพร้อมกับชาเขียวในมือที่เขาเพิ่งซื้อมาให้

 

เสียงประตูห้องดังไล่หลังคนที่จากไป ทิ้งไว้แต่ตัวเขาและผู้มาเยือนไม่คาดฝัน ห้องสีครีมดูเงียบลงกว่าเก่าและอุณหภูมิเองก็ดูจะลดลงจนคนที่ถูกไหว้วานอยากจะหนีออกจากห้องไปตั้งสติอีกครั้ง

 

แต่ด้วยงานที่ท่วมหัวและแทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว เดกุจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อนที่บรรยากาศจะแย่ไปมากกว่านี้

 

“คัตจังมาทำอะไรที่นี่ล่ะ”

 

เดกุเอ่ยขณะหันกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเองที่อยู่ด้านหลัง ถุงพะรุงพะรังถูกวางลงบริเวณหนึ่งที่ดูไม่ค่อยรกมาก แก้วโกโก้ใบเก่าถูกทิ้งลงถังขยะข้างโต๊ะก่อนที่โต๊ะจะกลับมาพอดูได้ในระดับหนึ่ง แว่นทรงเหลี่ยมถูกสวมลงบนใบหน้าหลังจากที่เอื้อมมือไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่ตั้ง sleep mode ไว้

 

ทุกอย่างนั้นอยู่ในสายตาของบาคุโกตั้งแต่แรก ในขณะที่เดกุกำลังง่วนอยู่กับการจัดโต๊ะดวงตาสีเพลิงก็ไล่มองสำรวจร่างในชุดเสื้อเชิ้ตดำที่ไม่คุ้นตานี้อย่างละเอียดตั้งแต่แขนเสื้อที่ถูกถกขึ้นจนเห็นแขนขาวที่ไม่ค่อยมีกล้ามเนื้อนักขึ้นมายังคอเสื้อที่ถูกปลดไว้อย่างลวกๆ จนมาถึงเรียวนิ้วที่ปาดไปบนริมฝีปากที่เปื้อนเครื่องดื่ม ดวงตาปรือคล้ำใต้กรอบแว่นจากการอดนอนและเรือนผมกระเซอะกระเซิง

 

ทุกอย่างยังคล้ายเดกุที่ไร้อัตลักษณ์ในวันวาน…แต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูไม่เหมือนเดิม

 

เมื่อคนที่ตัวเองถามเงียบไปนานคนที่คีย์ข้อมูลลงคอมฯ ไปได้ครู่หนึ่งจึงรู้สึกแปลกใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมองสบร่างที่ยังยืนอยู่อีกฝั่งอย่างสงสัย

 

“คัตจัง?”

 

“อะไร”

 

“เอ่อ…นั่งก่อนสิ”

 

เดกุเอ่ยอย่างประหม่าเมื่อรู้สึกว่าสายตาคู่นั้นกำลังมองไปทั่วตัวเขา ซึ่งหลังจากที่เขาเอ่ยออกไปอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบรับคำเชิญให้นั่งแต่อย่างใด ดวงตาสีแดงคู่นั้นเพียงแค่เปลี่ยนจากการมองเปะปะไปเป็นดวงตาที่มองกดลงมาอย่างจริงจังแทน

 

“แกมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

 

คำถามที่ไม่น่าแปลกใจนักดังขึ้นจากปากอีกฝ่าย เดกุหันกลับมายุ่งกับหน้าจอคอมฯ ครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับไปตามความจริง

 

“ฉันก็ทำงานที่นี่…มาได้ระยะหนึ่งแล้ว”

 

ความจริงอาจเรียกได้ว่าเขาทำงานที่นี่มาตั้งแต่เรียนจบเลยก็ได้ แต่เดกุก็ไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดยิบย่อยนั่นให้อีกฝ่ายฟังเพราะคิดว่าคนตรงหน้าคงไม่สนใจรายละเอียดพวกนั้นสักเท่าไหร่

 

“ทั้งที่ไร้อัตลักษณ์แต่ก็ยังทำงานในสำนักงานจัดเก็บอัตลักษณ์เนี่ยนะ”

 

“…..”

 

“…..”

 

“ใช่” เขาตอบสั้นๆ ก่อนจะมองสบไปยังดวงตาสีเพลิงคู่นั้นตรงๆ “ไม่มีกฏหมายห้ามคนไร้อัตลักษณ์ทำงานนี่”

 

“เฮ่อะ” บาคุโกแทบอยากจะหัวเราะให้กับภาพตรงหน้า ไม่ใช่เพราะคำตอบของอีกฝ่ายมันน่าขันแต่เป็นท่าทีที่ดูไม่ยี่หระกับสิ่งใดในโลกที่เดกุแสดงออกมามากกว่า

 

 

ไม่ยี่หระแม้แต่กับความฝันของตัวเอง

 

 

“ไม่อยากเป็นฮีโร่แล้วรึไง” คำถามจี้ใจดำดังขึ้นมาอีกระลอกพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันที่คนฟังทำได้เพียงถอนหายใจให้กับคนตรงหน้าก่อนจะตอบกลับไป

 

“ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะเลย คัตจังมีอะไรก็ว่ามาเถอะ”

 

ถ้อยคำตัดบทนั้นทำให้บาคุโกไม่พอใจอยู่ไม่น้อยและเดกุก็รู้ได้จากดวงตาสีแดงคู่นั้นที่ยังคงจ้องมาที่เขาอย่างไม่ลดละจนต้องเป็นฝ่ายหลบสายตาเสียเอง

 

บาคุโกมองข้อมือขาวที่กำลังคีย์ข้อความบางอย่างลงบนคอมพิวเตอร์ ท่าทางที่คุ้นชินกับการทำงานและป้ายหน้าโต๊ะที่เมื่อสังเกตดีๆ จะเขียนไว้ว่า ‘มิโดริยะ อิซึกุ’ นั้นทำให้เขารู้สึกสงสัยว่าช่วงระยะเวลา 10 ปีพาให้เดกุมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

 

แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะมาสนใจมันมากขนาดนั้น

 

“ฉันมาพบ Dr.A”

 

“ด็อกเตอร์ไม่อยู่”

 

ทันทีที่ถามออกไปคำตอบที่ไม่ต้องการก็ดังขึ้นเป็นรอบที่สิบของวันจนคนที่ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็วพาลรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอีกระลอก

 

“ฉันนัดไว้แล้ว”

 

“คนก่อนหน้านี้ก็บอกว่านัดไว้”

 

“เจ้านั่นบอกว่าจะเข้ามา”

 

“แต่ถ้าด็อกเตอร์ไม่เข้าก็แปลว่าเขาไม่ต้องการพบ…”

 

 

ปั๊ง!!!

 

 

เฮือก

 

 

เดกุสะดุ้งเฮือกเมื่อฝ่ามือใต้ถุงมือคู่สีเขียวคู่นั้นทุบลงบนโต๊ะทำงานของเขาด้วยโทสะจนคนที่ไม่คาดคิดถึงกับผงะไปด้านหลังก่อนจะมองกลับขึ้นไปยังคนที่ยืนจ้องอย่างจะกินเลือดกินเนื้อให้ได้ถ้ายังไม่ได้พบหัวหน้าแผนกของเขาในวันนี้

 

“ฉันต้องการพบเดี๋ยวนี้เดกุ แกบอกมาว่ามันอยู่ที่ไหน”

 

คนที่ถูกใส่อารมณ์พยายามหายใจเข้าออกให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่คนไม่ได้นอนและยังไม่ได้กินข้าวเช้าจะทำได้แม้ว่าในความจริงหัวเขาจะกำลังปวดตุบๆ และรู้สึกหนักๆ จนไม่อยากจะรับรู้อะไรอีกแล้วนอกจากเคลียร์งานที่ต้องส่งในวันนี้แล้วไปนอนให้สมกับที่อดหลับมาหลายวันก็ตาม

 

“ฉันก็ไม่รู้ แต่นั่นโต๊ะของด็อกเตอร์…” นิ้วชี้ไปทางซ้ายยังโต๊ะว่างอีกตัวที่เต็มไปด้วยกองกระดาษสูงพอๆ กับตัวคน “…ด็อกเตอร์ไม่ได้กลับมาตั้งแต่สามเดือนก่อน”

 

“ลาออก?”

 

“เปล่า ไม่ได้ลาออก”

 

“หึ พวกกินภาษีแต่ไม่ยอมทำงานสินะ”

 

“คัตจัง…” เดกุสูดหายใจเข้าลึกๆ ความเหนื่อยล้าเมื่อครู่ถูกผลักออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเมื่ออีกฝ่ายกล่าวอย่างเย้ยหยันถึงการทำงานของคนที่เป็นทั้งอาจารย์และหัวหน้าแผนกของตัวเอง

 

 

กินภาษีงั้นเหรอ…ไม่เห็นงานที่กองสูงท่วมหัวบนโต๊ะนั้นหรือไงกัน

 

 

ความจริงแล้วเดกุไม่คิดว่าตัวเองจะรู้สึกไม่ดีเพราะคนตรงหน้าได้รวดเร็วขนาดนี้ เขาได้แต่ปลอบให้ตัวเองใจเย็นลงและไม่ใส่อารมณ์ตอบกลับไป โดยพยายามคิดว่านี่เป็นเพราะผลจากความง่วงและเดดไลน์ที่ใกล้เข้ามา

 

 

อีกไม่นานมันก็จะผ่านไปเหมือนทุกๆ งาน

 

 

“…เขาไปทำงานและไม่ได้บอกไว้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

“โห แล้วแกก็นั่งเฝ้าห้องนี้เป็นหัวหน้าแทนสินะ เป็นพวกไร้อัตลักษณ์แท้ๆ ทำได้ถึงขั้นนี้ก็น่าภูมิใจแล้วสินะ” น้ำเสียงที่จงใจเย้ยหยันดังเข้ามาอีกระลอกให้คนที่กำลังจับเมาส์อยู่ต้องจิกไปบนนั้นอย่างข่มอารมณ์

 

“ฉันเป็นแค่ผู้ช่วย”

 

“แกจะเป็นอะไรฉันไม่สนหรอก แต่ฉันต้องการพบด็อกเตอร์เวรตะไลนั่นตอนนี้ และถ้าแกลากคอมันมาไม่ได้ฉันจะแจ้งไปยังสำนักงานให้หาคนใหม่มาทำงานแทน”

 

 

เขาพอจะรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดีตั้งแต่ที่ทะเลาะกับมิสโรสแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าความฉุนเฉียวนั้นจะเปลี่ยนเป็นถ้อยคำเจ็บแสบจนทำให้ตัวเขาเองก็เริ่มทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เพราะแบบนั้นดวงตาสีเขียวใต้กรอบแว่นจึงมองสบขึ้นไปยังคนที่ยืนอยู่อย่างไม่ปิดบังถึงความไม่พอใจอีกต่อไป

 

 

“เรื่องในสำนักงานฉันมันก็ไม่เกี่ยวกับฮีโร่ไม่ใช่รึไง”

 

“โฮ่ พอ ‘เป็นฮีโร่ไม่ได้’ แล้วก็ดูจะปรับตัวได้เร็วดีนี่ สำนักงานของฉันงั้นเหรอ”

 

 

 

‘เป็นฮีโร่ไม่ได้’

ถ้อยคำย้ำเตือนนั้นราวกับกระชากเขากลับไปยังวันเวลาเก่าๆ ที่เคยโดนดูถูกดูแคลนจากเพื่อนร่วมห้องอย่างหนักอีกครั้ง

 

 

 

“แกชอบตำแหน่งของไอ้ด็อกเตอร์นี่มั้ยล่ะเดกุ ฉันจะได้ช่วยสงเคราะห์ให้หลังจากปลดมันออกน่ะ!”

 

ปั๊ง!!!

 

 

สิ้นสุดความอดทนเมื่อฝ่ามือตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรงก่อนจะลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับคนที่ยังคงพูดยั่วโมโหเขาตั้งแต่เช้าจนใจเย็นอยู่ไม่ไหว ดวงตาสีเขียวใต้กรอบแว่นจ้องมองคนที่ยืนกดดันตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ด้วยระยะห่างเพียงแค่คืบและลมหายใจถี่กระชั้นยากจะควบคุม ในใจของอิซึกุอยากจะเอางานบนโต๊ะของด็อกเตอร์มาโยนใส่คนตรงหน้าให้รู้แล้วรู้รอด

 

แค่ต้องปั่นงานที่เข้ามาไม่หวาดไม่ไหวให้ทันเดดไลน์ก็วุ่นวายแค่ไหนแล้วนี่ยังต้องมารับอารมณ์คนแต่เช้า จากที่จะได้นอนมากขึ้นสักชั่วโมงสองชั่วโมงตอนนี้เขาเหมือนจะต้องทำงานเพิ่มขึ้นแล้วยังเป็นหนังหน้าไฟให้สำนักงานอีก

 

ดวงตาที่ไม่ยอมให้อีกฝ่ายกดดันอีกต่อไปนั้นมองสบไปยังดวงตาสีเพลิงที่ฉายแววตกใจครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม

 

“มีปัญหาอะไรรึไง” บาคุโกเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เจืออารมณ์อยู่ในนั้นก่อนจะจ้องกลับไปเช่นกัน

 

ครู่ใหญ่หลังจากที่ดวงตาทั้งสองคู่จ้องกันอย่างไม่ลดละด้วยโทสะ เดกุที่ตั้งสติได้ก่อนและเริ่มรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็เป็นฝ่ายถอยออกมาอยู่ในระยะห่างที่ไม่มากเกินไปเท่าก่อนหน้านี้พลางปลอบใจว่าพนักงานแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์อย่างเขาจะไปเหวี่ยงใส่ฮีโร่ที่ทำงานเสี่ยงชีวิตก็ดูจะไม่ใช่เรื่อง…แม้ว่าเรื่องนั้นจะมีเรื่องส่วนตัวรวมอยู่ก็ตาม

 

เขาตอบกลับอย่างพยายามสะกดกลั้นเสียงที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัวไม่ต่างกันไว้ให้ได้มากที่สุดแม้ว่าสุดท้ายมันก็ยังฟังเหมือนประชดประชันอยู่ดีก็ตาม “ไม่มี”

 

แต่ก็นั่นแหละ…บางทีคัตจังอาจจะมาหาด็อกเตอร์ด้วยงานที่เร่งด่วนก็ได้ใครจะไปรู้

 

เมื่อสามัญสำนึกด้านดีและด้านร้ายที่อวตารลงมาเป็นนางฟ้าและปีศาจตัวน้อยตีกันจนได้ข้อสรุปที่ดีที่สุดเขาจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจปรับระดับความดันที่ดูจะขึ้นสูงเพราะการโดนทวงถามอย่างน่าโมโหเมื่อครู่ ดวงตาใต้กรอบแว่นหลับลงก่อนจะเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับโทสะที่ถูกกดให้จมลงไป

 

“ฉันยังยืนยันว่าด็อกเตอร์ไม่อยู่แต่…” เดกุกล่าวอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายแย้งขึ้นมาอีก “…ถ้าเขากลับมาแล้วจะรีบติดต่อไป”

 

“แล้วมันจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

“…..”

 

‘ไม่รู้’ …ลองเขาตอบกลับไปแบบนี้สิได้มีปัญหาแน่

 

“แกก็ไม่รู้ใช่มั้ยว่ามันจะกลับมาเมื่อไหร่”

 

แต่เหมือนว่าท่าทางที่นิ่งไปของเขาจะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ความจริงเข้าเสียแล้ว

 

“ฉันขอเวลาสักสาม…”

 

“สามวัน”

 

“ห๊ะ….”

 

“ฉันให้เวลาแกสามวันแล้วฉันจะมาใหม่”

 

“ดะ..เดี๋ยว…”

 

ถ้อยคำและท่าทางของคนตรงหน้าไม่มีทีท่าจะยอมแพ้ เดกุมองคนที่สั่งเสร็จก็เดินจากไป ทิ้งเขาไว้กับคำพูดสุดท้ายที่ทำให้คนฟังถึงกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้อย่างไร้เรี่ยวแรง ฝ่ามือสองข้างยกขึ้นทึ้งหัวตัวเองที่กระเซอะกระเซิงอยู่แล้วให้ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก แก้วโกโก้เย็นถูกยกขึ้นดับความร้อนในใจและเพิ่มน้ำตาลในเลือด

 

สามวัน…พูดง่ายดีนี่ แค่งานที่เขาต้องเคลียร์สามวันก็แทบไม่หมดแล้ว จะให้เอาเวลาไหนไปตามหาคนที่หายไปแบบไม่เคยทิ้งอะไรไว้ให้คนอื่นตามเล่า!

 

 

 

ในขณะเดียวกันที่นอกห้อง ภาพของเดกุขี้แยถูกแกล้งอยู่ตลอดเวลา เด็กชายที่ฝันว่าอยากจะเป็นฮีโร่แม้ว่าตัวเองจะไร้อัตลักษณ์นั้นกำลังถูกภาพของเจ้าหน้าที่แผนกวิเคราะห์ฯที่สติแตกเมื่อครู่ค่อยๆ ซ้อนทับให้เจ้าของความคิดต้องรู้สึกหงุดหงิดเล่นกับภาพในอดีตที่ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างห้ามไม่อยู่อีกครั้ง

 

 

————————————————————————————————————–

 

เราลงในเว็บช้ากว่าในเด็กดีมากเลยค่ะ ยังมีใครรออ่านเรื่องนี้อยู่มั้ยคะ ^^;;;

Update: เราไม่สามารถทิ้งชื่อเรื่องเริ่มแรกได้ปัจจุบันก็เลยใส่เพิ่มเข้ามาค่ะ ชื่อเรื่องปัจจุบันเลยยาวขึ้นมาก แต่ไม่ว่าจะใช้ชื่อไหนก็ได้ทั้งสองชื่อเลยค่ะ 5555