[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 18

 

 

18

เชื่อใจกันได้มั้ย (1)

 

ในวันถัดมาบาคุโกมาที่สำนักงานอีกครั้ง วันนี้ฮีโร่ที่มีหน้าที่ดุแลสำนักงานคือเจ้าครึ่งๆ บาคุโกเดินผ่านเจ้าหน้ามึนเข้ามายังห้องทำงานของเดกุอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจอีกฝ่ายนัก แต่ดูเหมือนวันนี้อีกฝ่ายจะอยู่ที่ห้องเลี้ยงเด็ก เขาคิดว่าจะเดินไปที่ห้องนั้นต่อเพื่อถามหาความจริงเรื่องเมื่อคืนก่อนที่ได้ยินมาจากหญิงสาวคนหนึ่ง

 

 

เรื่องที่เดกุเคยอยู่ห้องนี้มาก่อนตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน

 

 

มันคงจะไม่ค้างคาใจเช่นนี้ถ้าหากอีกฝ่ายไม่ได้มีชนักปักหลังเรื่องที่กำลังคบหากับวิลเลิน แต่เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญสำหรับเขาในตอนนี้สักเท่าไหร่ ที่เขาอยากรู้คือเดกุมาที่นี่ได้ยังไงในตอนนั้น สำนักงานแห่งนี้อยู่ไกลจากบ้านของพวกเขาเกินกว่าจะมาเที่ยวเล่นได้ ดูอย่างไรก็คงต้องมีเหตุผลบางอย่างพาให้เจ้านี่มาที่นี่แน่

 

 

และนั่นทำให้เขาอยากจะรู้ถึงตัวตนที่สูญหายไปในช่วงเวลา 10 ปีระหว่างกันและกัน

 

 

บาคุโกกำลังจะเดินออกจากห้องทำงานแต่อยู่ดีๆ ภาพบนหน้าจอคอมที่หันเอียงออกมานิดๆ นั้นก็ปรากฏภาพบางอย่างขึ้น ดวงตาสีแดงเพลิงเบิกกว้างอย่างไม่เข้าใจ บนหน้าจอมีภาพสัญญาณซ่าๆ ขึ้นลงที่ค่อยๆ ชัดขึ้นจนสังเกตเห็นเป็นรูปหน้าใครคนหนึ่งที่ช่วงบนปิดไว้ด้วยฮู้ดสีดำ เสียงพูดดังขึ้นจากหน้าจอปริศนา

 

“ไง สำนักงานวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ คงจะสงสัยสินะว่าฉันเป็นใคร”

 

บาคุโกนิ่งไปเมื่อเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากคอมพิวเตอร์ทุกตัวที่ตั้งอยู่ในห้องแห่งนี้ ร่างสูงของฮีโร่ใช้ดวงตาคมกล้ามองคนที่ใช้วิธีเจาะระบบเข้ามาเช่นเดียวกับเวลามองวิลเลิน

 

“พวกเราคือกลุ่มวิลเลินรุ่นใหม่ จำชื่อฉันไว้ให้ดีสังคมฮีโร่ที่น่าสังเวช คอยดูฉันให้ดีชิการากิว่าฉันคนนี้สามารถยิ่งใหญ่ได้มากกว่าที่แกเคยทำ!”

 

“ชิ ไอ้พวกเวร…” บาคุโกได้แต่สบถให้การกระทำของพวกวิลเลินที่ไม่ว่าจะกี่ตัวต่อกี่ตัวก็น่ารำคาญไม่ต่างกัน

 

“ตอนนี้พวกแกคงกำลังหัวหมุนอยู่กับการตามจับพวกฉันอยู่ล่ะสิฮีโร่ หึๆ งั้นก็ดี…เพราะตอนนี้ฉันจะไปรับ ‘อาวุธ’ ที่น่ารักในห้องนั้นแล้ว และเพื่อให้สมกับที่ดูแลบ่มเพาะเจ้าพวกนั้นมาฉันเองก็มีของฝากมาให้พวกแกที่สำนักงานทุกคนด้วย…”

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าห้อง ร่างสูงสะดุ้งลุกขึ้นหันเดินไปทางประตูทั้งที่ข้อความบนหน้าจอยังไม่ทันจบดี บาคุโกคิดว่า ‘อาวุธ’ ที่อีกฝ่ายหมายถึงนั้นอาจจะกำลังหมายถึงสิ่งที่เขาคิด

 

ทันทีที่เปิดประตูห้องออกไปสำนักงานก็ลุกไหม้ไปด้วยเพลิงสีแดงฉาน ผู้คนในสำนักงานพยายามวิ่งหนีออกมาจากจุดต้นเพลิงที่อยู่ทางด้านในสำนักงานอีกที บาคุโกมองไปทางนั้นและพลันระลึกได้ว่าที่ห้องในสุดอาจจะยังมีกลุ่มเด็กและเดกุติดอยู่

 

ร่างสูงเดินฝ่ากองเพลิงเข้าไปก่อนจะพบกับเพื่อนของตัวเองที่พยายามใช้น้ำแข็งกั้นเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้

 

“เฮ้ ไอ้ครึ่งๆ มันเกิดอะไรขึ้นวะ!?”

 

“วิลเลิน! มันปรากฏตัวขึ้นจากวาร์ปเกตสีขาว แล้วหลังจากนั้นก็เป็นแบบนี้”

 

“หา!? แล้วคนที่อยู่ด้านในล่ะวะ!”

 

“ยังไม่รู้ ฉันพยายามติดต่ออยู่แต่ไม่รับสายเลย”

 

บาคุโกสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะสั่งให้อีกฝ่ายสร้างน้ำแข็งขึ้นมาปกคลุมตั้งแต่ทางตรงนี้ไปถึงด้านในเพื่อฉวยโอกาสช่วยคนด้านในออกมา โทโดโรกิเห็นตามนั้นเพราะหากเขายังรอต้านไฟทางด้านนี้ คนที่อยู่ด้านในคงช่วยออกมาไม่ทัน ทั้งสองฝ่ายทำตามที่ตกลงกันไว้แม้ว่าเวลาปกติพวกเขาจะเข้ากันได้ยากแต่เพราะได้รับการขัดเกลามาจนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าอะไรที่สมควรทำมากที่สุด

 

บาคุโกข้ามไปยังอีกฝั่งเหนือตัววิลเลินที่กำลังใช้อัตลักษณ์ไฟได้ในที่สุด ในตอนที่อยู่กลางอากาศก็ยังไม่วายส่งระเบิดไปให้อีกฝ่ายกินอีกดอก แม้จะไม่ช่วยอะไรมากนักแต่ก็ชิงจังหวะมาได้ กำแพงน้ำแข็งปิดกั้นตัววิลเลินไว้ลากความสนใจของคนร้ายให้หันไปที่เจ้าของอัตลักษณ์ครึ่งๆ ที่หักล้างกัน ส่วนบาคุโกก็รีบเข้ามายังห้องในสุดของสำนักงาน

 

 

ฟึ่บ!

 

 

ทันทีที่เขาเปิดประตูเข้ามาถึงภาพตรงหน้าก็ฉายให้เห็นเดกุที่กำลังหันหน้าเข้าหากลุ่มหมอกประหลาด ในห้องไม่เหลือเด็กคนใดอีกและนั่นก็ทำให้บาคุโกคิดไปถึงภาพในอดีตที่เคยเห็น ภาพของตัวเขาที่เคยถูกจับตัวไปก็คล้ายแบบนี้ มีอัตลักษณ์กลุ่มหมอก มีเพลิงไหม้ นั่นทำให้เขาต้องเข้าไปดึงแขนของเดกุไว้

 

“แกจะทำอะไร ออกไปจากที่นี่ซะ!”

 

“ไม่ได้!!!”

 

นั่นเป็นอีกครั้งที่เดกุขึ้นเสียงใส่เขา ต้นแขนจับสะบัดข้อมือของเขาออก ก่อนจะมองดูหมอกสีขาวนั้นด้วยแววตามุ่งมั่นและนั่นทำให้คัตสึกิรู้ได้ทันทีว่าเดกุจะทำอะไร

 

“แกจะเข้าไปไม่ได้!”

 

“ไม่เป็นไร! ฉันจะกลับมาพร้อมกับพวกเด็กๆ”

 

คัตสึกิพยายามจะจับแขนนั้นไว้แต่อัตลักษณ์เปลวไฟก็พุ่งมาจากด้านหลังของเขา ในช่วงจังหวะที่หันไปป้องกัน เดกุและหมอกสีขาวก็หายไปจากตรงนั้นเสียแล้ว

 

 

 

“โธ่เว้ย!”

 

 

 

คัตสึกิยืนนิ่งให้กับภาพตรงหน้า ในใจร้อนรุ่มด้วยความกรุ่นโกรธที่มีให้กับไอ้คนที่ไม่เคยประมาณตน ฝ่ามือกำจิกเข้าไปในเนื้ออย่างรู้สึกขัดใจกับหลายๆ อย่างที่มาในเวลาเดียวกันอย่างไม่อาจจะห้ามโทสะได้

 

 

 

 


//ตัดจบกันแบบนี้เลย 555 ตอนนี้ความจริงถูกตัดแบ่งจากตอนหลังจากนี้ค่ะ ขออภัยที่งงๆ นะคะ แต่เผื่อว่ามีคนมาอ่านในอนาคตเราว่าตัดแบบนี้น่าจะเวิร์คกว่าน่ะค่ะ

กะว่าจะลงตอนนี้วันอาทิตย์ค่ะ จะได้เป็นสัปดาห์ละ 2 ตอน แต่ก็ลากยาวมาเช้าวันจันทร์เลย หลังจากนี้ก็จะพยายามลงให้ได้สัปดาห์ละ 2 ตอนชดเชยนะคะ ยังไงก็สุขสันต์วันเอพริลฟูลค่ะ อีกไม่นานจะได้วันหยุดกันแล้วนะ สู้ๆ ค่ะ

 

 

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 17

 

 

17

สบอารมณ์มั้ยถามใจเธอดู

 

 

ฝ่ามือที่ยื่นภาพถ่ายมาให้เขาตกลงข้างตัว ร่างที่อิซึกุประคองไว้จากไปอย่างไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใดอีก ภาพตรงหน้าสะท้อนซ้อนทับกับภาพในอดีตที่เขาเคยประสบ ที่ไม่ว่าจะได้เห็นกี่ครั้ง…ก็ไม่เคยจะชินเสียที

 

 

“…กุ…เฮ้! เดกุ!”

 

เฮือก!

 

 

ภาพในอดีตค่อยๆ เบลอจากไป ดึงสติอิซึกุให้กลับมาอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกก่อนจะพบกับฮีโร่ที่เพิ่งกลับมา อีกฝ่ายมีสีหน้าไม่พอใจขณะจับตัวเขาเขย่าไปมา

 

 

 

“เฮ้! ฉันบอกให้แกอยู่ในห้างไงเล่า ออกมาทำไมห๊ะไอ้เวรเนิร์ด!!!” เสียงตะคอกดังจนทำให้เขาตื่นจากภวังค์ อิซึกุมองไปยังร่างบนพื้นอีกครั้งราวกับจะใช้แทนคำตอบ

 

“เขา…” ไม่หายใจแล้ว

 

ครืด…ครืด…

 

แต่แรงสั่นจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นขัดบทสนทนา เขาหยิบมันออกมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเบอร์จากสำนักงาน เขาก็กำลังจะโทรไปบอกเรื่องนี้อยู่พอดี แต่ทันทีที่รับโทรศัพท์ ‘เรื่องสำคัญ’ ของอีกฝั่งก็ทำให้เขาลืมสิ้นไปเสียทุกสิ่ง

 

 

 

‘อิซึกุ ตอนนี้อยู่ที่ไหน กลับมาที่สำนักงานเดี๋ยวนี้ วิลเลินที่เราตามอยู่ส่งกล่องของขวัญมาอีกแล้วตอนที่เธอไม่อยู่!!!’

 

 

 

โทรศัพท์มือถือแทบตกลงจากมือ เจ้าของห้องบำบัดอัตลักษณ์ตัวแข็งทื่อ

ที่เขาคาดการณ์ไว้…ดูเหมือนจะไม่ใช่แบบนี้

 

 

 

อิซึกุรีบกลับมายังแผนกของตัวเองอีกครั้งหลังให้ปากคำกับตำรวจเสร็จ ร่างในชุดเปื้อนเลือดเดินผ่านผู้คนเข้ามายังสำนักงานโดยไม่ได้สนใจสายตาที่มองมาอย่างหวาดๆ เขาเดินตรงไปยังห้องบำบัดเด็กเล็กอย่างเร่งรีบ แต่ตรงนั้นก็เหลือเพียงตำรวจเท่านั้น ดูอย่างไรเด็กๆ ก็ไม่น่าจะอยู่ที่นี่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาจึงหันกลับไปยังห้องประชุมใหญ่โดยไม่แม้แต่จะมองคนที่ตามหลังมา

 

“ไอ้เวรเอ๊ย จะรีบไปตายรึไงห๊ะ” บาคุโกที่ตามมาทีหลังถูกคนที่วิ่งไปวิ่งมาเป็นหนูติดจั่นโฉบผ่านหน้าไป ดวงตาสีแดงมองไปรอบด้านอย่างหัวเสียก่อนที่เสียงหนึ่งจะรั้งตัวเขาไว้

 

“บาคุชินจิ นายเพิ่งมาถึงงั้นเหรอ”

 

เสียงราบเรียบที่ทำให้หัวเสียเข้าไปอีกของอดีตเพื่อนร่วมห้องทำให้เขาต้องหันไป

 

“แล้วแกคิดว่าที่ยืนอยู่นี่เป็นวิญญาณรึไงล่ะห๊ะ”

 

“เปล่า…ฉันแค่นึกว่านายน่าจะมาถึงเร็วกว่านี้ เห็นว่านายรับเครื่องส่งสัญญาณกับงานดูแลห้องนี้ไว้แล้ว”

 

“เฮอะ ช่วยดูหน่อยเถอะว่าไอ้เจ้าของเครื่องส่งสัญญาณน่ะมันหายหัวไปทำอะไรมา”

 

ดวงตาสองสีนิ่งไปก่อนจะยกโทรศัพท์ที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดู

 

“มิโดริยะก็อยู่ที่นั่นกับนายด้วยสินะ”

 

“แล้วไง ชิ แล้วแกล่ะ มาทำไม”

 

“ฉันก็มาที่นี่เพื่อดูแลสำนักงานนี้…เหมือนนายไง”

 

“หา…?”

 

 

 

อีกด้าน อิซึกุก็เข้ามาอยู่กลางห้องประชุมที่ว่างเปล่า มีเพียงเขาและมิสโรสที่ยังนั่งอยู่มุมหนึ่งเท่านั้น สภาพภายในห้องบ่งบอกว่าก่อนที่เขาจะเข้ามาได้มีการประชุมเกิดขึ้น…และจบไปแล้ว ผลการประชุมในตอนนี้จะเป็นอย่างไรเขาจึงไม่อาจรู้ได้

 

ก้อนความรู้สึกผิดค่อยๆ ก่อตัวขึ้นกัดกินจิตใจ อิซึกุก้มตัวลงต่ำอย่างรู้สึกผิด ภายในห้องที่เงียบซะจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ

 

 

“ขอโทษครับ”

 

 

ความเงียบดำเนินไปช่วงหนึ่งราวกับเหลือไว้ให้เขาได้คิดถึงความผิดของตัวเอง

 

 

“จัดการคดีทางนู้นเสร็จแล้วเหรอ”

 

“…ครับ”

 

 

เขาตอบเพียงแค่นั้น บรรยากาศเงียบลงจนรู้สึกตึงเครียด จนกระทั่งเสียงถอนหายใจดังขึ้น บทสนทนาจึงเริ่มต้นอีกครั้ง

 

 

 

“เฮ้อ ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่าเหตุการณ์แบบนี้ยังไม่เคยเกิดที่นี่มาก่อน มันใหม่สำหรับเราทุกคน และตำรวจก็ อืม…ช้าอย่างที่เธอรู้ เพราะงั้นมันไม่ใช่ความผิดของเธอคนเดียว แต่ว่านะมิโดริยะ อิซึกุ ขอแนถามอีกครั้ง…”

 

“…”

 

“…หน้าที่ของคุณคืออะไร”

 

คำถามนั้นได้ดึงตัวเขากลับมายังตัวตนของตัวเองอีกครั้ง ตัวตนก่อนที่จะได้ลองทำภารกิจแรกและเชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถจัดการทุกปัญหาได้ถ้าหากเขาพยายาม แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น แม้แต่นักวิเคราะห์ก็ยังมีบางครั้งที่วิเคราะห์ผิด แต่สิ่งที่จะทำให้ข้อผิดพลาดนั้นเบาลงก็คือความรอบคอบ และเขาได้ขาดสิ่งนั้นไป…

 

ในดวงตาของเขาตอนนั้นมองเห็นแต่ความหวังที่จะจับคนร้าย แต่ดวงตาที่มองสิ่งรอบข้างกลับมืดบอดจนทำให้พลาดสิ่งที่ต้องทำมากที่สุดในเวลานั้นไป

 

“…วิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ครับ”

 

เขาคือมิโดริยะ อิซึกุแห่งแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ ไม่ใช่ตำรวจ นักสืบ และ…ฮีโร่ หน้าที่ของเขาคือวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์

 

หน้าที่…สิ่งที่อิซึกุหลงลืมไป

 

 

“ผมขอโทษครับที่ละทิ้งหน้าที่”

 

เขาก้มหัวลงต่ำอย่างรู้สึกผิด ความเงียบรอบด้านส่งบรรยากาศกดดันออกมา แต่ไม่ว่าจะเป็นคำว่ากล่าวตักเตือนที่หนักหนาเพียงใดเขาก็คิดว่ามันสมควรแล้วกับตัวเขาในตอนนี้

 

ที่อีกฟากยังคงไม่มีเสียงใดตอบกลับมา จนกระทั่งเสียงเคาะกระดาษดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงรองเท้าส้นสูงที่ดังเข้ามาใกล้จนเงาของเจ้าของเสียงหยุดลงตรงหน้า

 

“ถ้าเข้าใจแล้วก็เงยหน้าขึ้นมา”

 

ใช้เวลาพอสมควรกว่าอิซึกุจะกล้าหยัดตัวขึ้น เขายังไม่กล้าเงยหน้ามองอีกฝ่ายตรงๆ จนกระทั่งกระดาษจำนวนหนึ่งถูกยื่นมาตรงหน้า

 

“เอ่อ นี่คือ…”

 

“รายงานการประชุมคร่าวๆ น่ะ ยังไงซะตอนนี้ที่นี่ก็ยุ่งเกินกว่าจะให้ใครพักงานได้ล่ะนะ”

 

อิซึกุนิ่งค้างไปก่อนจะเข้าใจความหมายของประโยคที่เธอบอก

 

“ขอบคุณครับ ขอโทษจริงๆ ครับที่ทำให้วุ่นวายกันไปหมด”

 

“อืม เก็บไว้เป็นบทเรียนก็แล้วกัน หลังจากนี้ก็มาช่วยกันหาทางแก้ไขกันต่อ”

 

“ครับ!” อิซึกุพูดพร้อมส่งสายตาจริงจังกลับไปก่อนจะคิดบางอย่างได้ “เอ่อ…แล้วพวกเด็กๆ ล่ะครับ”

 

“พวกเขาถูกย้ายไปอยู่ห้องในสุด ป่านนี้คงงอแงกันน่าดู จะไปดูก็ได้แต่อย่าลืมเปลี่ยนชุดก่อน” เธอชี้มาที่รอยเลือดบนชุดของเขา อิซึกุเองก็เพิ่งจะรู้ตัวเช่นกันว่าเสื้อเขาเลอะเลือดอยู่ไม่น้อย “แล้วก็อย่าทำหน้ากังวลใส่เด็กๆ เล่า ยังไงตอนนี้เราก็ได้คนมาคอยช่วยดูแลแล้ว”

 

“คนช่วยดูแล?”

 

หญิงสาวไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา เธอแค่ชี้มือมายังกระดาษชุดนั้นในมือของเขา ฝ่ามือนั้นตบลงบนบ่าของเขาสองสามทีก่อนจะก้าวเดินออกไป

 

อิซึกุหันมองรายงานในมือ ดวงตาสีเขียวกวาดมองคร่าวๆ ก่อนจะพบว่าระหว่างที่เขาไม่อยู่นั้นฝั่งตำรวจและสำนักงานได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้วว่าจะให้ฮีโร่มาคอยคุ้มกันตลอด 24 ชม. ผลัดกันไป และจะมีการเร่งรัดตรวจสอบกล้องวงจรปิดและร่องรอยที่เหลือทิ้งไว้ของคนร้ายทุกทาง ส่วนเด็กๆ ก็ถูกพาย้ายไปที่ห้องในสุดของสำนักงานชั่วคราวก่อนจะหาสถานที่อื่นหลังจากนี้

 

คนดูแลที่ว่าก็คงจะเป็นตำรวจและฮีโร่ที่สลับสับเปลี่ยนกันมาในแต่ละช่วงของวัน รายชื่อคร่าวๆ ของฮีโร่ที่ตำรวจจะติดต่อไปถูกลิสต์ไว้อยู่ในมือ มีทั้งคนที่ตอบตกลงแล้วและคนที่อยู่ในระหว่างติดต่อ แต่ที่แน่ๆ ก็มีคัตจัง เรดไรออทกับโชโตะที่ทำงานอยู่แถวนี้

 

ดวงตากวาดเลื่อนลงไปก่อนจะไปสะดุดกับชื่อฮีโร่ของใครคนหนึ่ง

 

อินเจเนียม…อีดะคุง?

 

อิซึกุแปลกใจนิดหน่อยที่รายชื่ออีกฝ่ายอยู่ในลิสต์ที่ตอบตกลงว่าจะเข้าร่วม เขาจำได้ว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่อีกเมืองนึงแท้ๆ แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยังรู้สึกเฝ้ารอที่จะได้เจอกันอีกครั้ง

 

ดวงตาสีเขียวกวาดมองแต่ละชื่อที่อยู่ในลิสต์ รายชื่อเหล่านั้นล้วนทำให้รู้สึกอุ่นใจ แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้รู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย คงเป็นเพราะเขาที่นิ่งนอนใจเกินไปจนทำให้ทางตำรวจไม่ได้คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจสักเท่าไหร่

 

อิซึกุรู้สึกผิดกับเด็กๆ จนไม่อาจจะไปหาได้ในยามนี้

 

ทั้งที่บอกว่าจะคอยดูแลห้องนี้และมีเครื่องส่งสัญญาณอยู่กับมือ แต่สิ่งที่เขาทำกลับเป็นการออกไปจับคนร้ายและใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่อกับคัตจังเพื่อตัวเอง

 

ถ้าหากว่าวิลเลินไม่ได้ตั้งใจมาแค่ข่มขู่ล่ะก็…ป่านนี้…

 

คิดพลางเดินออกจากห้องประชุมด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เขามองเห็นคนจากแผนกอื่นในชั้นเดียวกันที่มีชื่อเข้าประชุมด้วยอย่างรุ่นพี่อายะและซากิก็พาให้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องใหญ่ไปแล้ว ท่าทางของพวกเขาเหล่านั้นทำให้รู้ได้ว่าเรื่องที่เกิด ณ สำนักงานแห่งนี้เป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเพียงใด

 

 

แต่เขากลับช่วยอะไรไม่ได้

 

 

ทำอะไรให้ดีขึ้นไม่ได้เลย

 

 

ความรู้สึกไม่ดีตีขึ้นมา ความเครียดทำให้กระเพาะบีบตัวจนอยากจะเอาของเมื่อตอนเที่ยงออก เขาเปิดประตูห้องทำงานเข้ามาพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่อยากพบเจอใครเลยในตอนนี้ แต่ทันทีที่เดินเข้ามาก็ได้พบกับใครอีกคนหนึ่งที่อยู่ในห้องก่อนแล้ว

 

“ตกลงสำนักงานแกจะเอายังไงกันแน่”

 

“จากรายงานการประชุมคร่าวๆ…ดูเหมือนทางตำรวจจะคุมเข้มที่นี่แล้ว”

 

เขาส่งรายงานให้อีกฝ่ายพลางอธิบายคร่าวๆ ให้คนที่ยืนพิงโต๊ะฟัง อีกฝ่ายรับมันไปเปิดอ่านเร็วๆ ก่อนจะโยนกระดาษปึกนั้นลงมาบนโต๊ะทำงานของเขา

 

“กะแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้”

 

“ขอโทษนะคัตจัง”

 

“หึ ขอโทษอะไร แกอยากจะทำอะไรก็ทำไปสิจะมาแคร์ว่าคนอื่นจะเดือดร้อนทำไม ยังไงนี่มันก็คราวซวยของฉันละที่มาเจอแก”

 

“…”

 

“แกมันก็ทำได้แค่นี้ เดกุ”

 

ดวงตาสีแดงมองลงมาด้วยความหงุดหงิด ในตอนนั้นอิซึกุรู้ได้ทันทีว่านี่แหละคือความจริงของสิ่งที่เขาได้ทำลงไป ดวงตาสีเขียวหลุบต่ำ ปล่อยให้อีกฝ่ายออกจากห้องไปโดยไม่เถียงอะไร

 

 

บางที…นี่อาจจะแย่ยิ่งกว่าคำว่าไร้ค่าเสียอีก

 

 

 

 

ผ่านไป 3 วันแล้วตั้งแต่วันที่คัตสึกิไปยังสำนักงานของอิซึกุ ตั้งแต่วันนั้นเขาก็คอยจับตาดูอีกฝ่ายจากนาฬิการับส่งสัญญาณและก็พบความผิดปกติบางอย่าง

 

เดกุไม่ไปไหนเลยนอกจากสำนักงาน

 

นั่นทำให้คิดได้หลายอย่างและก็ทำให้เขาต้องมายังสำนักงานนี้อีกครั้ง

 

ในคืนหนึ่งซึ่งเป็นคืนเฝ้าสำนักงานของเขา บาคุชินจิเดินตรวจตรารอบสำนักงานอย่างละเอียดแบบที่ทางตำรวจได้ขอไว้จนเรียบร้อย

 

ปัจจุบันเขามีสิทธิเข้าออกห้องไหนก็ได้เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย โดยมีตำรวจที่ยืนเฝ้าในแต่ละจุดคอยช่วยปลดล็อกแต่ละห้องให้

 

ปัจจุบันเดกุอยู่ในห้องทำงานเดิม…ดูจากแสงไฟที่ยังคงเปิดสว่างจ้าและไม่ได้ล็อกไว้เป็นพิเศษ

 

 

สะเพร่าตลอด

 

 

บาคุโกคิดบ่นในใจก่อนจะเปิดประตูเข้าไป ทันทีที่เดินเข้าไปเขาก็เห็นเดกุยังคงนั่งทำงานอยู่บนโต๊ะอย่างเงียบเชียบ แต่เมื่อสังเกตดูอีกทีก็พบว่าที่นั่งทำท่าจับดินสออยู่นั้นจะมีแค่กายหยาบเท่านั้น เมื่อดวงตาของอีกฝ่ายปิดสนิท หน้าอกกระเพื่อมไหวเป็นจังหวะเบาๆ สม่ำเสมออย่างเวลาคนนอนหลับ

 

ร่างสูงมองท่าทางที่คล้ายเวลานั่งทำงานเหมือนปกติของอีกฝ่ายอย่างหงุดหงิด ท่าทางนั่นไม่ต่างกับยามทำงานปกติสักนิด บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำอะไรอยู่ก่อนจะหลับไปทั้งๆ ที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้

 

“พวกบ้า”

 

บ้างาน

 

บาคุโกถอนหายใจก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้สีดำที่ดูอย่างไรก็ไม่เหมาะกับการนอน ลำคอที่หักลงนั้นคงเพราะไม่มีสติถึงได้ไม่รู้สึกปวดชา พอเห็นแบบนั้นคำพูดที่เตรียมไว้ด่าก็ได้แต่เก็บลงไป เขาตั้งใจจะปลุกอีกฝ่ายให้ไปนอนดีๆ แต่ยังไม่ทันจะได้ส่งเสียงคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ค่อยๆ เอนตัวล้มมาด้านข้าง ด้วยความตกใจร่างสูงจึงเข้าไปประคองตัวอีกฝ่ายไว้

 

ใบหน้าที่ยังคงหลับอยู่ของอิซึกุเปิดดวงตาขึ้นได้เพียงนิด แต่สุดท้ายมันก็หลับลงไปเช่นเดิมโดยไม่ได้รู้ตัวว่ากำลังซบอยู่กับอกของใคร ริมฝีปากพยายามจะพูดบางอย่างแต่ก็ไม่มีเสียงออกมา ลมหายใจกลับไปนิ่งสงบเหมือนเดิม

 

บาคุโกมองไปรอบห้องอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรกับร่างนี้ดี พอมองไปยังโต๊ะทำงานของอีกฝ่ายเขาก็แทบจะรู้ได้เลยว่าเจ้านี่ทำงานโต้รุ่งอีกแล้ว ดูจากเอกสารงานต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันบนโต๊ะ และในถังขยะที่ล้นเต็มไปด้วยแก้วโกโก้กับอาหารสำเร็จรูป ถ้าปลุกให้ตื่นขึ้นมาก็คงเข้าอิหรอบเดิมคือทำงานแล้วหลับไปทั้งอย่างนั้น

 

 

ไม่รู้จะด่าเรื่องพฤติกรรมการนอน การกิน หรือการทำงานก่อนดี

 

 

ในตอนที่คิดอยู่เขาก็จำได้ว่ามีห้องบางห้องที่เหมาะจะนอนอยู่ ร่างสูงเอื้อมตัวไปอุ้มคนที่นอนอยู่ขึ้นมาอย่างเงียบๆ เขาอุ้มร่างที่ไม่ได้หนักของเดกุออกมาจากห้องก่อนจะหยุดลงยังห้องในสุดของสำนักงาน…ห้องเลี้ยงเด็กที่ถูกปูด้วยยางนิ่มอย่างดี

 

ภายในห้อง เขาวางเจ้าคนไม่ได้ความลงบนกลุ่มหมอนนิ่มก่อนจะหาผ้ามาห่มให้อย่างไม่เข้าใจตัวเองนักว่าทำไมจะต้องทำเพื่อมันขนาดนี้ แต่พอมองไปที่ใต้ตาดำคล้ำนั้นมันก็อดที่จะเอื้อมมือไปลูบไม่ได้

 

แกมันไม่ได้เรื่องก็อยู่เฉยๆ ไปไม่ได้รึไง

 

ร่างสูงมองอีกฝ่ายผ่านความมืดด้วยสายตาที่ไม่มีใครมองเห็นได้

 

 

แกร็ก

 

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากในห้อง ฝ่ามือดึงกลับอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีแดงมองไปทางต้นเสียงก่อนจะพบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกฝ่ายออกมาจากประตูข้างห้องที่เชื่อมส่วนที่เด็กนอนกับส่วนห้องเล่นนี้ไว้ ร่างสูงเตรียมจะพุ่งเข้าใส่คนแปลกหน้านั้นแต่เธอที่รู้ตัวก็จับบัตรแสดงตัวให้เขาดู

 

“ฉันถูกเรียกมาช่วยงานที่นี่ชั่วคราวน่ะ!”

 

“หา?”

 

คนที่ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ ก่อนจะรับบัตรนั้นมาดู ตาขวางๆ ของฮีโร่ตรงหน้าทำให้เธอตกใจไม่น้อยแต่ที่น่าตกใจกว่าคงเป็นร่างของอิซึกุที่นอนอยู่มุมหนึ่งของห้อง

 

“อิซึกุ? นี่ก็สามวันแล้วเขายังไม่กลับบ้านอีกเหรอ”

 

สามวัน?

 

คงจะตั้งแต่วันนั้นสินะ

 

“อย่าเปลี่ยนเรื่อง แล้วเธอล่ะ มาทำอะไรที่นี่ดึกๆ”

 

“ฉันเคยทำงานที่ห้องนี้มาก่อน เวลาพวกเขาคนไม่พอก็เป็นฉันนี่แหละที่มาแทน ว่าแต่ออกจากที่นี่เถอะ เดี๋ยวเสียงดังแล้วพวกเขาจะตื่นกัน”

 

เขายอมทำตามอย่างที่อีกฝ่ายว่า ที่ด้านนอกแสงไฟส่องให้เห็นข้อความบนบัตรของเธอชัดเจนขึ้น ‘นัตสึมิ อายะ’ ทำงานอยู่แผนกรวบรวมอัตลักษณ์ รูปภาพตรงกับตัวจริง ตำรวจด้านนอกยืนยันว่ามีการแจ้งเรื่องบุคคลภายนอกแล้ว แต่เขาไม่คิดว่าคนที่ถูกเรียกมาจะได้ทำงานในส่วนอ่อนไหวเช่นนี้

 

“ทำไมต้องเข้าไปในนั้นตอนดึกๆ”

 

“ฉันเข้าไปให้ยาระงับอัตลักษณ์กับเด็กๆ กันอัตลักษณ์ถูกใช้งานระหว่างที่พวกเขาหลับ”

 

“ตอนกลางดึกเนี่ยนะ”

 

“ใช่ คุณอาจยังไม่รู้กลไกอัตลักษณ์ของพวกเขาสินะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้ โทโมกิ อัตลักษณ์ของเขาคือการควบคุมความดัน แต่เขายังควบคุมมันไม่ได้ มันจึงส่งผลกระทบต่อความดันอากาศและความดันในร่างกาย เป็นอัตลักษณ์ที่ถ้าไม่ระงับไว้ก็อาจจะทำให้เจ้าของตายได้ในเวลาไม่ถึงนาที”

 

“แล้วก็ไล เขารู้อดีตหรืออนาคต แต่ควบคุมมันไม่ได้ทำให้เรื่องราวของตัวเขาและคนรอบตัวไหลเข้ามาในหัวตลอดเวลาจนแยกไม่ออกว่าสิ่งไหนคือเรื่องจริงหรือเรื่องในหัวถ้าไม่ได้รับยา ส่วนริกะ เธอทำให้สิ่งรอบข้างที่จับเปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้แม้แต่ในยามหลับ คราวนี้เข้าใจรึยังว่าทำไม”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังอัตลักษณ์ของเด็กทั้งสามคนอย่างจริงจัง

 

“ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ ไม่งั้นพวกวิลเลินจะอยากได้พวกเขาเหรอ เอาล่ะ คืนบัตรมาให้ฉันสักที คุณฮีโร่”

 

เขายอมคืนบัตรให้เธอในที่สุด แต่ดวงตาก็ยังมีแววสงสัย

 

“สำคัญขนาดนั้นแต่ให้คนจากแผนกอื่นมาทำเนี่ยนะ”

 

“ความจริงฉันเคยทำงานที่นี่มาก่อนต่างหาก ตำแหน่งเดียวกับอิซึกุเลย แต่มีปัญหาเรื่องสุขภาพก็เลยทำไมไหว”

 

“…”

 

“เฮ้อ ถ้ายังสงสัยอะไรอีกก็ปลุกอิซึกุมายืนยันก็ได้ ฉันอยู่ที่นี่ก่อนที่เขาจะมาที่ห้องนี้ซะอีก”

 

“เมื่อปีก่อน?”

 

“สิบปีก่อนต่างหากย่ะ!”

 

“ห๊ะ เดกุ…อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน?”

 

“อ๊ะ…”

 

หญิงสาวนิ่งไปพลางยกมือขึ้นปิดปากเมื่อดันเผลอพูดเรื่องที่จะนำพาไปสู่เรื่องส่วนตัวของเด็กที่เธอ ‘เคย’ เจอมานานแล้วคนนั้นไป เธอไม่คิดว่าร่างสูงจะใส่ใจกับข้อมูลตรงนี้นักแต่พอเห็นท่าทางของเขาแล้วเธอก็รู้ว่าตัวเองได้พลาดไปเสียแล้ว เธอรีบเดินหนีห่างจากเขาอย่างรวดเร็วแต่อีกฝ่ายก็ก้าวมาขวาง

 

“บอกฉันมา ทำไมเดกุถึงอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีก่อน มันมาทำอะไรที่นี่”

 

เมื่อ 10 ปีก่อน หรือก็คือตอนที่เขาขึ้นม.ปลาย ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเดกุอีกเลย ตอนนั้นเขาค่อยๆ ลืมเจ้านั่นไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ยูเอย์ แต่ก็มีอยู่เช่นกันที่คิดว่าเจ้านั่นจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรหลังจากนั้น

 

“นี่มันเรื่องส่วนตัวของคนอื่น ถ้าอยากรู้ก็ไปถามเจ้าตัวนู่นไป”

 

“เดี๋ยว…”

 

“โอ้ย อะไรอีก ที่ฉันพูดก็เพราะอยากจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของเด็กๆ นะ เธออย่ามานอกเรื่องได้มั้ยล่ะ”

 

ชายหนุ่มนิ่งไปครู่หนึ่งเมื่อคิดตามคำที่เธอพูด ในตอนนั้นเองเธอก็หันไปคุยอะไรสักอย่างกับตำรวจนายหนึ่งที่เดินเข้ามาเพราะเสียงของพวกเขาทั้งสองคน บาคุชินจิได้แต่หัวเสียก่อนจะเก็บความสงสัยไว้ไปถามเจ้าของเรื่องนั้นที่อาจจะเค้นง่ายกว่าแทน

 

 

 

แต่ในวันถัดมาเขาก็ไม่มีโอกาสได้พูดไปเมื่อเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้ไปทั่วสำนักงานจนไม่ทันที่จะได้เอ่ยถามคำใดออกไปได้ทัน

 

 

 

 


 

//กลับมาแล้วค่ะ รอบนี้หายไปเลย แบบยาวๆ ไว้จะมาลงตอนเร็วขึ้นเพื่อชดเชยนะคะ

ตอนของช่วงนี้รู้สึกว่าเขียนยากค่ะ แต่อาจจะเพราะเรามีหลายเรื่องที่อยากเล่าจนเรียบเรียงไม่ถูกด้วย ไว้ว่างๆ มาลองอ่านใหม่น่าจะดีค่ะ