[Fic HQ!!] Checkmate 2 [TsukiYama]

 

 

 

กระดานที่ 2

เรือ

 

 

ตั้งแต่อดีตตัวเขาก็เติบโตมากับภาพของเมืองอันรุ่งเรือง

 

 

ภาพของเหล่านับรบผู้กล้าในชุดยูกาตะสีดำถูกปิดประกาศไปทั่วเมืองชั้นสองแห่งนี้ หากได้ลองเดินไปตามร้านค้าหรือย่านชุมชนในช่วงฤดูกาลแข่งขันแล้วไซร้ คงยากจะไม่ได้ยินเสียงชื่นชมคนเหล่านั้นมาจากที่ไหนสักแห่ง

 

 

ดั่งเสียงนกที่ขับขานเรื่องราวต่อกันไป

 

 

ในขณะเดียวกันเมื่อเดินผ่านสนามเด็กเล่นเองก็คงจะขาดสิ่งที่เรียกว่าเกมกระดานหมากรุกไปเสียไม่ได้ บ้างก็เล่นเดินกระดานปกติ บ้างก็ขีดเขียนบนกองทรายเพื่อสร้างช่องกระดานขึ้นมาเลียนแบบสนามจริง และแม้ว่าจะถูกผู้ใหญ่สักกี่คนเอ็ดใส่ เด็กเหล่านั้นก็ยังทดลองต่อสู้กันได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดั่งว่านั่นเป็นเสียงชม

 

 

ยามากุจิจำได้ว่าตัวเขาเป็นเด็กขี้กลัวคนหนึ่งที่ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างสนามซะส่วนใหญ่ แม้ว่าในความเป็นจริงจะอยากลงเล่นกับเขาบ้างก็ตาม แต่เมื่อเห็นเด็กโตๆ สู้กันแล้วเขาก็รู้สึกว่าไม่น่าจะร่วมวงด้วยไหว

 

 

แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ขุดความกล้าขึ้นมาได้

 

 

“ห๊า จะเล่นกับพวกเราหรอ” เสียงดังมาจากเด็กคนหนึ่งที่เป็นหัวโจก เขาดูตัวใหญ่กว่าใครเพื่อนแม้ว่าจะอยู่ชั้นปีเดียวกันกับยามากุจิก็ตาม และนั่นก็ทำให้เขาดูน่ากลัวมากเข้าไปอีกเมื่อเดินเข้ามาใกล้

 

 

“อือ จะให้ฉันเล่นตำแหน่งอะไรก็ได้นะ”

แล้วหลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งเบี้ยในกลุ่มอยู่เรื่อยไป

 

 

ในการเล่นแต่ละครั้งมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย ตอนนั้นจำได้ว่ายังใช้กระดาษมาวาดทำตาราง 8 ช่องกันเพื่อใช้แทนกระดานจริง ตาเดินทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นบนกระดานจำลองบนกระดาษ นอกเสียจากถึงตาที่จะต้องสู้กันกับอีกฝ่าย

 

 

“ไปเลย ไปชนะมันมาซะยามากุจิ”

 

 

เสียงสั่งการดังมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ทุกคนเลิกมุงไปที่กระดานกระดาษจำลองแล้วหันมายังเขาที่ก้าวไปยังกลางลานเพื่อต่อสู้ สองมือยกขึ้นกำไว้ตรงอกเพื่อเตรียมต่อสู้กับเด็กที่มาจากอีกทีมท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาเป็นตาเดียว ตอนนั้นเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองสู้กับใครและชนะหรือไม่ รู้สึกตัวอีกทีก็ฟื้นขึ้นมาเพราะแรงเขย่าจากเพื่อนร่วมทีมเสียแล้ว

 

 

“แกนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”

 

 

เหมือนว่าเด็กคนนั้นจะปรามาสอะไรเขาไว้อีกสองสามอย่างและห้ามไม่ให้เล่นด้วยอีก แต่ถึงอย่างนั้นพอไม่มีคนลงให้เท่ากันในกระดานเขาก็ถูกเรียกให้มาเล่นด้วยอีกครั้งจนได้

 

 

เป็นช่วงวัยเด็กที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่

 

 

 

เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่ง…วันที่นกสีดำได้ร่วงหล่นจากกิ่งของยุคสมัยอันรุ่งเรือง

 

 

ไม่มีใครเชื่อ…ไม่สิ คงจะเรียกว่าไม่มีใครรู้ตัวว่าวันเวลานั้นได้มาถึงแล้วจะดีกว่า

ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ ขับขานเรื่องราวของเหล่านักรบที่ทั้งตื่นเต้นและน่าหลงใหล แม้ว่าจะได้ยินเสียงเล่าลือว่าความตื่นตาตื่นใจนั้นใกล้จะมอดดับลงแต่ก็ไม่มีใครรับฟังเสียงที่ไม่ไพเราะเหล่านั้น พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของนักรบของตนจนหมดใจ

 

 

 

แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง

ความแห้งแล้งได้พัดพากิ่งของความรุ่งโรจน์ให้หายไปจากลำต้นที่มีชื่อว่าคาราสุโนะเสียแล้ว

 

 

 

กำแพงเหล็กสูงลิบลิ่วตั้งตระหง่านแบ่งแยกเมืองชั้นเอกและเมืองชั้นสองออกจากกัน ในวันนั้นทันทีหลังจบการแข่งที่คาราสุโนะไม่ใช่ผู้กำหนด…เด็กหลายสิบคนกลายเป็นเด็กกำพร้าในชั่วข้ามคืน

 

 

ในตอนที่หันไปมองบนกระจกที่ร้านค้าที่ไหนสักแห่งภาพบนนั้นสะท้อนใบหน้าอมทุกข์ของครอบครัวเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ลงบนใบหน้าของเขา และเมื่อโตขึ้นจึงได้เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมคนในเมืองชั้นสองจึงเพิ่มขึ้น

 

 

และเมื่อเข้าใจแล้วตัวเขาที่เป็นได้แค่เบี้ยจึงเลือกที่จะก้าวลงกระดานนี้

 

 

นั่นคงเป็นความหมายของการ ‘นำทุกสิ่งที่เสียไปกลับคืนมา’ สำหรับเขา

 

 

 

 

 

 

“…มะกุจิ ยามากุจิ!”

เสียงเรียกดังเข้ามาในโสตประสาท ภาพตรงหน้ากลับมาเป็นโรงฝึกคาราสุโนะอีกครั้ง เขาหันไปทางเสียงเรียกและพบกับใบหน้าของฮินาตะที่เอียงคอมองอย่างสงสัย

 

 

“มีอะไรหรอ”

 

 

“ทุกคนจะเริ่มฝึกกันแล้วนะ”

 

 

“เอ้ะ…”

 

 

ดูเหมือนว่าเขาจะเหม่อไปหน่อยเพราะเมื่อมองไปรอบข้างก็เริ่มเห็นทุกคนแยกย้ายกันไปฝึกตามโปรแกรมที่ครูฝึกวางไว้ จะเหลือก็แต่เขาที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้โดยมีฮินาตะยืนมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

 

 

“โทษทีนะ” เขาว่าก่อนจะออกเดินไปยังส่วนฝึกซ้อมการป้องกันตัวโดยไม่ใช้อาวุธที่ครูฝึกกำลังเริ่มอธิบายวิธีการฝึกอยู่ ไม่ไกลจากกันนั้นก็มีเสียงของฮินาตะที่คุยกับคาเงยามะเป็นระยะๆ

 

 

“คราวนี้ล่ะฉันจะเก่งกว่าแกแล้วเล่นทั้งเรือและเบี้ยให้ดู”

 

 

“ไม่มีทางหรอกเจ้าเซ่อ เล่นเรือได้ก็ดีเกินไปแล้ว”

 

 

“หา? เรือเนี่ยนะ เดินพลาดนิดนึงก็โดนกินแล้ว” ฮินาตะเถียง

 

 

“นั่นเพราะแกเดินไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก”

 

 

และถ้าหากไม่ได้อยู่ในระหว่างการฝึกทั้งสองคนก็คงจะวางมวยกันไปแล้ว

 

 

หลังจบการอธิบายจากครูฝึกการลองฝึกเดี่ยวของจริงเพื่อให้คุ้นชินก็เริ่มต้นขึ้น และหลังจากนั้นก็เข้าสู่การซ้อมต่อสู้เป็นคู่ที่จะมีขึ้นเพื่อดูพัฒนาการทุกวัน

 

 

เวลาฝึกได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่าย การฝึกต่อสู้ตัวต่อตัวที่จะวนเวียนเปลี่ยนคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ก็ได้เริ่มขึ้น

 

 

“จำนวนคู่เข้ากันพอดี งั้นก็เริ่มซ้อมได้” เสียงดังมาจากครูฝึก

 

 

“ขอความกรุณาด้วยครับ!” เขาหันหน้าก่อนจะโค้งคำนับให้กับฮินาตะที่เป็นคู่ฝึกของเขาในตอนนี้

 

 

การต่อสู้ในวันนี้คือการจับสังเกตอีกฝ่ายและใช้แรงของคู่ต่อสู้ให้เป็นประโยชน์ เขาเตรียมตัวตั้งท่าเพื่อให้การยืนสมดุล ตั้งสมาธิรอคอยการจู่โจมและหาช่องทางจู่โจมอีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน

 

 

 

…สมาธิ…

 

 

 

ในตอนที่อีกฝ่ายเปิดช่องโหว่วและเขากำลังจะเข้าจู่โจมร่างกายก็ถูกพลิกกลับ โลกหมุนไปชั่วครู่จนรู้สึกตัวอีกทีก็มองเห็นแต่เพดานและใบหน้าของที่กำลังยืนคร่อมตัวเขาอยู่

 

 

“วันนี้นายดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะยามากุจิ” ฮินาตะเอ่ยขึ้นขณะที่ยื่นมือมาพยุงตัวเขาลุกขึ้น

 

 

คงจะจริงที่วันนี้เขาดูไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากจะแพ้ในการฝึกไปตลอดเหมือนกัน

 

 

การต่อสู้แบบคู่ยังคงดำเนินต่อไปโดยหมุนเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงพัก…

 

 

“โอ้สส! ซ้อมกันอยู่งั้นหรอ”

 

 

เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังมาจากหน้าประตูโรงฝึก ทุกคนต่างหันไปมองกันเป็นตาเดียวว่าใครที่เข้ามาในเวลานี้ และพบกับชายร่างเล็กที่น่าจะสูงพอๆ กับฮินาตะไว้ผมตั้งและตรงกลางทำไฮไลท์สีทองเด่นเป็นเอกลักษณ์

 

 

“นิชิโนยะ!!!/โนยัตซัง!!!”

 

 

“โอ้! ทุกคน ยังสบายดีสินะ”

 

 

รุ่นพี่ปีสองและปีสามต่างเข้าไปรุมล้อมชายคนนั้น ทิ้งให้รุ่นน้องผู้มาใหม่ยืนงงอยู่ด้านหลังและในตอนที่พวกรุ่นพี่ในทีมตระหนักได้ว่ายังมีรุ่นน้องทั้งสี่ยืนงุนงงกับผู้มาเยือนอยู่ตรงนี้พวกเขาก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับชายคนนั้น

 

 

“นี่เด็กใหม่ปีนี้ล่ะ ฮินาตะ คาเงยามะ สึกิชิมะ แล้วก็ยามากุจิ” เขาทำความเคารพอีกฝ่าย “ส่วนนี่นิชิโนยะ ยู อยู่ปีเดียวกับฉัน…คนเล่นเบี้ยสามตัวในทีมเรา” พอเอนโนชิตะซังว่าจบเสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังมาจากฮินาตะ

 

 

“สุดยอด!!! คนนี้สินะครับผู้พิทักษ์ของคาราสุโนะที่เล่นเบี้ยสามตัวได้!!!”

 

 

“โอ้ ฉันนี่แหละ ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” อีกฝ่ายตอบรับพรางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “แล้วนายล่ะเล่นตำแหน่งอะไร”

 

 

“ผมฮินาตะ โชโย เล่นตำแหน่งเรือครับ! อ้อ แล้วก็ตอนนี้กำลังรับหน้าที่เล่นเบี้ยด้วยอีกตำแหน่ง ฝากตัวด้วยนะครับรุ่นพี่!!!” เมื่อฮินาตะแนะนำตัวเสร็จคนที่ถูกเรียกว่า ‘รุ่นพี่’ ก็เงียบไป

 

 

“…นาย”

 

 

“ครับ?”

 

 

“โชโยสินะ” ฮินาตะพยักหน้า “พูดคำเมื่อกี้อีกทีสิ”

 

 

“?? คำเมื่อกี้?” คนถูกขอให้พูดอีกทีหน้าเหวอไปอย่างไม่รู้ว่าคำไหนที่อีกฝ่ายว่า จนกระทั่งเหล่ารุ่นพี่ปีสองที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องส่งสัญญาณเป็นคำใบ้ให้

 

 

“อ้อ รุ่นพี่! รุ่นพี่นิชิโนยะ!”

 

 

เพียงแค่นั้นทุกคนในโรงยิมก็ได้เห็นความภูมิใจอันล้นปรี่ปรากฏบนใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่ารุ่นพี่

 

 

ยามากุจิตัดสินใจหลบออกมาหาที่นั่งพักอยู่ริมโรงฝึกไม่ไกลจากส่วนที่รุ่นพี่กำลังคุยกับฮินาตะอยู่

 

 

“เรืองั้นเหรอ เป็นตำแหน่งที่ดีเลยนี่”

 

 

“แต่ว่าพอเล่นเรือแล้วผมเผลอเข้าไปถูกกินตลอดเลย”

 

 

“เรือถ้าใช้ได้ดีจะเป็นทั้งป้อมที่ปกป้องคิงและปืนใหญ่ที่ทะลวงศัตรู และการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการรุกล่ะนะ” เสียงอธิบายเพิ่มดังมาจากรองกัปตันสึกะวาระที่อยู่ไม่ไกล

 

 

“…ปืนใหญ่ ผมนึกว่ามีแต่ม้าซะอีกถึงจะทำได้” ฮินาตะกล่าวเสริม “แต่ผมเห็นตำแหน่งม้ามันว่างอยู่ที่นึงไม่ใช่หรอครับ”

 

 

 

ความเงียบโปรยลงในชั่วขณะหนึ่ง…แล้วจางหายไป

 

 

 

“ความจริงแล้ว…” สึกะวาระอ้ำอึ้ง

 

 

“นี่เขายังไม่กลับมาอีกหรอครับ” รุ่นพี่ผู้มาใหม่เอ่ยถามขึ้น หน้าตาที่ประดับด้วยแววตาที่มุ่งมั่นนั้นราวกับมีแววกดดันซ้อนทับอยู่แต่คนที่โพล่งเรื่องนี้ออกมากลับไม่ได้รับรู้ถึงความกดดันนี้เลย

 

 

ดวงตาสีส้มจับจ้องไปที่ภาพวาดสัญลักษณ์โล่ที่แขวนอยู่ตรงกลางโรงฝึกทิศหนึ่ง สิ่งนั้นคือสัญลักษณ์ของเรือ ดวงตาวาวขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘ปืนใหญ่ที่ทะลวงศัตรู’ เหมือนว่าเจ้าตัวจะมีคนที่เป็นต้นแบบในด้านนี้อยู่เลยดูจะดีใจขึ้นมากับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

“ฮินาตะมีเรื่องจะถามนายด้วยล่ะ” ในตอนนั้นกัปตันไดจิก็เดินเข้ามา

 

 

“อ๊ะ ใช่ครับ รุ่นพี่นิชิโนยะเล่นเบี้ยสามตัวได้ยังไงหรอครับ จะทำยังไงถึงจะจบเกมให้เร็วที่สุดแล้วปกป้องเบี้ยทั้งสามตัวได้งั้นเหรอ” ฮินาตะถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น ทำให้ผู้พิทักษ์ที่กำลังเคร่งเครียดอยู่หันมาสนใจ

 

 

“อืม…ที่ทำได้แบบนั้นคงเพราะไดจิซังกับสึกะซังล่ะนะ” นิชิโนยะตอบอย่างไม่ปิดบัง “ปกติแล้วฉันไม่ค่อยจะได้เจอการต่อสู้พร้อมกันเกินสองตำแหน่งหรอกนะ โชโย”

 

 

“เพราะไดจิซังกับสึกะซังจะคอยวิเคราะห์ตาเดินให้พวกเราไม่ตึงมือมากน่ะ” รุ่นพี่ปี2 คิโนชิตะเอ่ยเสริม

 

 

“แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันนะที่ฉันกับไดจิพลาดจนพานิชิโนยะเข้าไปเจอศัตรูพร้อมกันน่ะ”

 

 

“แต่โนยัตซังก็รอดมาได้!” ทานากะเอ่ยอย่างชื่นชม

 

 

“ทำยังไงหรอครับ!” ฮินาตะตาวาว

 

 

“นายก็ต้องจบเกมให้เร็วที่สุด และบางครั้งก็ต้องใช้ท่าไม้ตาย”

 

 

“ทะ…ทะ…ท่าไม่ตาย!”

 

 

“แต่ในบางสถานการณ์อย่างที่เบี้ยสามตัวเดินไปเจอศัตรูพร้อมกันก็อาจจะต้องทิ้งเบี้ยบางตัวไปบ้าง เพื่อรักษากำลังไว้เดินต่อล่ะนะ” กัปตันไดจิเดินเข้ามาสมทบ

 

 

“แต่ครั้งหน้าผมจะรักษามันไว้ให้ได้เลยครับ!” นิชิโนยะพูดอย่างมุ่งมั่น

 

 

“รุ่นพี่นิชิโนยะ! ช่วยสอนท่าไม้ตายให้ผมทีสิครับ!!!” ฮินาตะว่าอย่างมุ่งมั่นจนคนเป็นรุ่นพี่ตกปากรับคำ

 

 

“ได้เลย! งั้นฉันจะทำให้ดูดีมั้ยล่ะ”

 

 

“ครับ!” พูดจบคนเป็นรุ่นพี่ก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะไปปะทะสายตาเข้ากับยามากุจิที่นั่งอยู่ไม่ไกล

 

 

“เฮ้! ช่วยมาทางนี้หน่อยสิ” ยามากุจิลุกเดินไปหาตามเสียงเรียกของรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่า “เดี๋ยวนายกับฮินาตะสู้ตัวต่อตัวกับฉันนะ”

 

 

!!?

 

 

ยามากุจิไม่มีเวลาแม้แต่จะแย้งว่าอีกฝ่ายคิดดีแล้วเหรอและเขาขอถอนตัวได้มั้ย พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกพามาตรงลานกลางโรงฝึกที่ปูด้วยเบาะรองไว้อยู่ก่อนแล้วเขาจึงจำใจต้องตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้

 

 

 

ตามกฎพื้นฐานข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าคนคุมหมากไม่สู้เมื่อถึงตาต่อสู้เกิน 5 นาทีหมากตัวนั้นก็จะถูกกินไปโดยปริยาย’ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของยามากุจิและฮินาตะคือสู้ตัวต่อตัวกับรุ่นพี่ปี 2 นิชิโนยะให้นานเกินคนละ 5 นาทีเท่านั้น อีฝ่ายก็จะกลับไปรักษาตำแหน่งเบี้ยอีกฝั่งไม่ทัน

 

 

 

ความเงียบเข้าปกคลุมโรงฝึกชั่วขณะ ทุกคนต่างกระจายตัวออกรอชมการต่อสู้

 

 

“ย่าห์!”

ฮินาตะเริ่มรุกหมัดใส่รุ่นพี่ตรงหน้า แต่คนที่ตัวเล็กกว่าก็อาศัยจังหวะนั้นรุกคืบเข้าจับคอเสื้อฮินาตะไว้ก่อนจะทุ่มลงกับพื้นและล็อคคอเอาไว้จากด้านหลัง ไม่นานฮินาตะก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรนและเหมือนจะ….สลบไปแล้ว?

 

 

รุ่นพี่ตรงหน้าก้าวผ่านร่างที่แน่นิ่งมาตรงหน้าเขา

 

 

“โรลลิ่งงงงง ธันเดอร์!!!”

 

 

แม้ว่าจะพยายามตั้งสมาธิแล้วแต่ก็ถูกเสียงที่เปล่งออกมาข่มขวัญกับฝ่ามือที่กระชากเสื้อนั้นกระชากสติไปพร้อมกันด้วย ในชั่วขณะนั้นหมัดลุ่นๆ ก็เสยเข้าที่ปลายคางอย่างจัง รู้สึกอีกทีก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นเสียแล้ว

 

 

มึนไปหมด…

 

 

“ไม่ถึง 5 นาที” เสียงพูดดังมาจากเอนโนชิตะที่ยืนดูอยู่

 

 

“ผม…ยังไม่แพ้นะ” ฮินาตะค่อยๆ ลุกขึ้นเหมือนคนเพิ่งได้สติ “ผมยังมีสติอยู่”

 

 

“พวกนายแพ้ตั้งแต่ที่ถูกนิชิโนยะจับล็อกได้แล้วล่ะ” กัปตันไดจิอธิบาย “ในสถานการณ์จริงแค่หมดสติเพียงชั่ววูบก็เท่ากับแพ้แล้ว”

 

 

“ส่วนยามากุจิถ้าโดนจุดอ่อนอีกสองสามหมัดตรงช่วงหัวก็ไม่น่าจะยืนไหวแล้ว” สึกะวาระซังว่า

 

 

ถึงตรงนี้ยามากุจิก็แอบค้านว่าแค่หมัดเดียวนั่นเขาก็เกือบจะลุกไม่ไหวแล้ว

 

 

“สะ…สุดยอด! สอนผมหน่อยสิครับ ผมอยากทำได้บ้างจะได้เอาไว้ใช้เล่นเบี้ยกับเรือได้”

 

 

“เจ้าบ้า นั่นมันไม่ง่ายเลยนะ”

 

 

“โอ้ เอาสิ!”

 

 

แล้วฮินาตะที่เพิ่งจะถูกน็อคไปก็กลับมามีไฟอีกครั้ง ในขณะที่อีกด้านยามากุจิย้ายมานั่งพักอยู่ริมโรงฝึกเช่นเดิมพลางคิดว่าทำไมเขาต้องมาเจอท่าไม้ตายต้อนรับกันตั้งแต่วันแรกด้วย

 

 

ในตอนนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นมาจับตรงปลายคางของเขาอย่างไม่ทันได้รู้ตัว ใบหน้าถูกยกขึ้นในขณะที่ดวงหน้าใต้กรอบแว่นของเพื่อนสนิทใกล้เข้ามาเหมือนต้องการสำรวจหาตำแหน่งที่ถูกชกไปเมื่อครู่

 

 

โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนถูกมองซ้ายทีขวาทีกำลังตื่นตกใจกับระยะที่ย่นเข้ามา

 

 

“ใกล้จุดตาย แต่ก็ไม่ถึงตาย”

 

 

คำพูดนั้นทำคนถูกชกสะดุ้งจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายมองต่อ

 

 

“จุดตายเลยงั้นเหรอ”

 

 

“อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอตอบกลับมา มองอยู่ได้สักพักดวงตาสีอำพันใต้กรอบแว่นก็ละจากการพิจารณาแล้วเงยหน้าขึ้นสบเจ้าของคำถามอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่พวกเขารู้ตัวว่าใกล้กันมากเกินไปเสียแล้ว

 

 

“…”

 

 

“ขอโทษ” เจ้าของฝ่ามือว่าก่อนจะละมือและใบหน้าออกไป ทิ้งให้ยามากุจินั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ

 

 

 

 

 

 

ใกล้จุดตาย…แต่ก็ไม่ถึงตาย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…

 


 

//รอบนี้มาช้ากว่าปกติมากเลย ขอโทษที่ให้คอยนะคะ เราไปจัดการปัญหาส่วนตัวบางอย่างมาค่ะ แต่หลังจากนี้ก็จะพยายามเข็นให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์(หรือสัปดาห์ครึ่ง)ต่อตอนให้คนอ่านไม่รอนานเกินไปนะคะ รอบนี้เราจัดช่องไฟถ้าดูแปลกๆ ก็ขอโทษนะคะ

ตอนนี้หน้าร้อนแล้วแต่ฝนก็ตกบ่อยคนรอบตัวเราป่วยสลับกันไปหมดเลยค่ะ ยังไงนักอ่านทุกท่านก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ

อินโทรตอนหน้าสักนิด >> ‘เกมวันนั้นทำให้ที่นี่เกิดขึ้น’

‘เกมที่คาราสุโนะไม่ได้กำหนดมันคือเกมอะไร?’

‘ผมยังรอคุณอยู่ที่นี่’

 

แล้วพบกันนะคะ

[Fic HQ!!] Checkmate 1 [TsukiYama]

 

 

กระดานที่ 1

เบี้ย

 

 

รอยเท้าสองคู่ปรากฏบนพื้นหิมะตามทางที่เจ้าของก้าวเดินไป ยามากุจิ ทาดาชิ กับสึกิชิมะ เคย์ ตัวจริงปีหนึ่งแห่งคาราสุโนะกำลังพูดคุยกันถึงสิ่งที่ปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของวันนี้ที่เขาหยิบติดมือมาจากร้านของชิมาดะซัง

 

“สึกกี้นี่ดูโดดเด่นจังเลยน้า” เขาพูดพลางจับจ้องไปที่เพื่อนที่มีส่วนสูงเกือบ 190 เซนติเมตร ส่วนสูงที่ทำให้เจ้าตัวโดดเด่นออกมาจากคนอื่นๆ อย่างไม่ต้องสงสัย

 

“เงียบน่ายามากุจิ” ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังเหลือบไปมองสิ่งที่อยู่บนหนังสือพิมพ์ในบางครั้งที่คนข้างกายพูด

 

สายตาของยามากุจิเลื่อนลงไปยังข้อความที่เขียนอยู่ใต้รูปภาพหมู่ในชุดยูกาตะสีดำตามธรรมเนียมที่เพิ่งถ่ายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้นถูกถ่ายทอดสู่ชาวเมืองให้ได้รับรู้ตามความเป็นจริงทุกประการ ไม่มีอะไรที่แปลกไปหรือถูกเพิ่มเข้ามา แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหนักใจอยู่ในนั้น

 

“…จะนำทุกอย่างที่เคยเสียไปกลับคืนมา’ ดูยิ่งใหญ่ยังไงไม่รู้สินะ” เขาพูดอย่างรู้สึกไม่แน่ใจในตัวเอง แม้ว่าคำพูดนั้นจะไม่ใช่ของเขาแต่ทุกคนที่มีรูปอยู่บนหน้านี้ล้วนต้องรับผิดชอบกับถ้อยคำนี้กันทั้งนั้น

 

และถึงจะเตรียมใจมาเท่าไหร่ความหวั่นไหวในใจนี่ก็ดูท่าจะไม่หายไปเลย

 

ไม่ได้มีเสียงตอบกลับอะไรจากอีกฝ่ายแต่อยู่ดีๆ เขาก็ถูกเรียกไว้เสียก่อน “ยามากุจิ”

 

“อะไรหรอสึกกี้” เขาส่งเสียงตอบแต่ดวงตานั้นยังคงจดจ้องไปที่หน้าหนังสือจนกระทั่งรู้สึกถึงแรงรั้งที่แขนข้างซ้ายจึงได้เงยหน้าขึ้นจากหนังสือพิมพ์ตรงหน้าแล้วหันกลับไปยังเจ้าของแรงที่ยืนเยื้องไปทางด้านหลัง

 

แต่ไม่ทันจะหันไปถามคำตอบก็มาเยือน

 

ลมวูบหนึ่งพัดมาพร้อมกับเสียงรถที่เคลื่อนผ่านหน้าเขาไป ยามากุจิหันกลับไปมองทางตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะรู้ว่าตัวเองเดินไม่มองทางจนมาถึงสี่แยกที่มีรถวิ่งผ่านอยู่บ่อยๆ ไม่เว้นแม้ว่าจะเป็นตอนเช้าของช่วงใกล้วันปีใหม่

 

ยามากุจิหน้าซีดไปพักหนึ่งเมื่อคิดว่าหากเมื่อกี้อีกฝ่ายไม่จับตัวเขาไว้ละก็จะเกิดอะไรขึ้น

 

“ขอบคุณนะสึกกี้”

 

“…” สึกกี้ไม่พูดอะไร แต่ทั้งอย่างนั้นเขาก็พอจะสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายแอบถอนหายใจนิดๆ ยามากุจิเลยได้แต่พับหนังสือพิมพ์ฉบับเช้าวันนี้ใส่กระเป๋าอย่างสำนึกผิด

 

ตอนนี้เป็นเวลาเช้ามืดของฤดูหนาวที่ใกล้เข้าปีใหม่ บรรยากาศเป็นใจให้ไม่น่าจะมีใครออกมาจากบ้านแต่ทั้งอย่างนั้นตัวเขาและเพื่อนสมัยเด็กพ่วงตำแหน่งเพื่อนร่วมทีมก็ยังต้องมาซ้อมตลอดฤดูหนาวเพื่อเตรียมตัวรับฤดูใบไม้ผลิที่เป็นช่วงเวลาของ ‘สนามจริง’

 

หลังผ่านสี่แยกมาครู่หนึ่งพวกเขาก็เข้ามาถึงตัวเมืองคาราสุโนะอันเป็นสถานที่ตั้งของสนามแข่งที่กินพื้นที่เทียบเท่ากับเมืองหนึ่งเมืองและยังเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของโรงฝึกที่ถือเป็นสถานที่ในการวางแผนทุกอย่าง ทุกสิ่งที่จำเป็นกับการฝึกนั้นถูกรวมไว้ในใจกลางเมืองแบบที่หลายๆ เมืองเลิกทำกันไปแล้ว

 

 

ทุกๆ เมืองน่าจะเลิกทำไปแล้ว…ยกเว้นก็แต่คาราสุโนะ เหตุผลนั่นเพราะหากไม่ใช่ที่นี่ก็ไม่มีที่ไหนจะเหลือให้พวกเขาได้ย้ายไปอีกแล้ว

 

 

สืบเนื่องจากการแข่งขันช่วงสิบปีหลังที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นแล้วว่าคาราสุโนะที่เคยแข็งแกร่งได้ร่วงลงสู่ผืนดิน จนในที่สุดก็ไม่เหลือที่ไหนให้พวกเขาได้ใช้อีกแล้วนอกเสียจากศูนย์กลางเมืองอย่างเมืองหลวงและเมืองรอบข้างอีก 1 ส่วน

 

 

คาราสุโนะตอนนี้แพ้ได้อีกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น…

 

 

เพียงแค่เข้ามาถึงส่วนตัวเมืองพวกเขาก็สังเกตเห็นร่างของเพื่อนร่วมทีมอีกสองคนที่วิ่งมาจากอีกถนนหนึ่ง ดูเหมือนเช้านี้ฮินาตะกับคาเงยาม่าก็ยังแข่งกันไปถึงโรงฝึกอีกตามเคย

 

 

แค่มองก็เหนื่อยแล้ว

 

 

10 นาทีถัดมาพวกเขาก็มาถึงโรงฝึก วันนี้เป็นวันที่ 3 หลังจากที่พวกเขาเริ่มฝึกร่วมกับรุ่นพี่ในทีมคนอื่นๆ แต่ถึงจะบอกว่าฝึกก็ตามสิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือการลองเล่นในสนามกับเพื่อนร่วมทีมปีหนึ่งของตัวเอง

 

เรื่องราวทุกอย่างเริ่มขึ้นในวันแรก…

 

“ผมเล่นตำแหน่งควีน/ผมอยากเล่นตำแหน่งม้า”

 

ในวันแรกเด็กใหม่ทั้งสองก็ประกาศคำนั้นออกมากลางโรงฝึก ตัวเขากับสึกกี้นั้นไม่ได้พูดอะไรกับความเห็นของเพื่อนร่วมทีมปีหนึ่งทั้งสองคน เขาคิดว่าคาราสุโนะถึงจะเป็นเมืองที่ใกล้จะล่มสลายแต่ก็คงจะไม่ถึงกับขาดตำแหน่งที่สำคัญอย่างม้าหรือควีนไปแน่ๆ ยังไงสองคนนั้นก็คงไม่มีทางได้ตำแหน่งนั้นมา

 

และก็จริงดังว่า…ปัจจุบันคนครอบครองตำแหน่งควีนที่เปรียบเสมือนหอบังคับการของทีมคือรองกัปตันและตำแหน่งม้าที่เน้นในเกมรุกนั้นก็มีครบทั้งสองคนคือรุ่นพี่ปีสามคนหนึ่งที่เขายังไม่ได้พบและรุ่นพี่ทานากะ

 

แต่ที่เหนือกว่าความคาดการของเขาคงจะเป็นการที่กัปตันทีมลงความเห็นให้พวกเขาได้ทดลองเล่นในตำแหน่งต่างๆ เพื่อหาคนที่เหมาะสมมาเล่นในตำแหน่งเหล่านั้น ซึ่งสึกกี้และตัวเขาเองก็ถูกรวมอยู่ในกลุ่มที่ต้องทดลองเล่นทุกตำแหน่งเพื่อคัดเลือกด้วยเช่นกัน

 

ไม่ต้องเหลือบไปมองคนข้างตัวก็รู้เลยว่าอีกฝ่ายคงจะทำหน้าไม่พอใจอยู่แน่ๆ

 

และการแข่งก็ดำเนินไปเป็นเวลาร่วม 3 วัน จนกระทั่งวันนี้ที่ผลออกมาเป็นที่น่าตกใจพอควรเมื่อครูฝึกอุไค เคย์ชินเลือกที่จะเปลี่ยนตำแหน่งควีนที่จากเดิมเป็นของรุ่นพี่ปีสามควบตำแหน่งรองกัปตันอย่างสึกะซังให้กลายมาเป็นของเด็กปีหนึ่งอย่างคาเงยามะ

 

ไม่รู้ทำไมในใจถึงได้รู้สึกกระอักกระอ่วนแปลกๆ แม้ว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับไว้ตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม

 

ส่วนอีกคนที่ลั่นวาจาไว้ว่าอยากเป็นม้านั้น…

 

“ฉันไม่ได้เป็นม้างั้นเหรอ!”

 

…ฮินาตะผู้อยากเป็นม้าก็ถูกส่งไปเป็นเรือที่สุดริมกระดานฝั่งขวาด้วยความช็อก

 

“จะเป็นม้าตอนนี้มันเร็วไปนะฮินาตะ” รุ่นพี่ทานากะเจ้าของหนึ่งในตำแหน่งม้ากล่าวขึ้นอย่างปลอบใจรุ่นน้อง ซึ่งยามากุจิก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปสนิทกันตอนไหนแต่ดูเหมือนรุ่นพี่หัวเกรียนคนนี้จะยอมรับรุ่นน้องปีหนึ่งอย่างพวกเขามากขึ้นหลังจากแข่งจบ

 

“อึก…” ฮินาตะกำไอเท็มประจำตัวเรือด้วยความเจ็บใจ

 

“นี่เป็นไอเท็มที่จะใช้ยืนยันเมื่อเข้าสู่สนามอย่าทำหายซะล่ะ” กัปตันไดจิว่าขณะที่รุ่นพี่ที่คอยดูแลชมรมอย่างคิโยโกะกำลังมอบไอเท็มประจำตำแหน่งที่ใช้เข้าสนามในเวลาลงแข่งสนามให้กับทุกคน

 

ยามากุจิกำมีดของเบี้ยที่ได้รับมาอย่างพิจารณาพลางมองไปที่เพื่อนร่วมชั้นปีอีกสามคนที่อยู่ในตำแหน่งควีน เรือ และบิชอปตั้งแต่ปีหนึ่ง …คงจะมีแต่เขานี่ละที่เป็นเบี้ยเพียงคนเดียว

 

“จะตำแหน่งไหนถ้าเล่นได้ดีก็ทำให้กระดานชนะได้ทั้งนั้นแหละนะ! อย่าลืมซะล่ะ” กัปตันไดจิว่า

 

“โอ๊ส!” ทุกคนรอบข้างส่งเสียง

 

หลังจากนั้นครูฝึกชั่วคราวอย่างโค้ชอุไคก็เดินเข้ามาพร้อมกับลากกระดานไวท์บอร์ดมาด้วยเพื่อแจกแจงตำแหน่งอีกครั้ง ซึ่งผลคือ

 

คิง กัปตันซาวามุระ

ควีน คาเงยาม่า

บิชอป รองกัปตันสึกะวาระ และ สึกิชิมะ

ม้า ทานากะ

เรือ นาริตะ และ ฮินาตะ

เบี้ย คิโนชิตะ เอนโนชิตะ และ ยามากุจิ

 

“ดูเหมือนจะยังขาดม้ากับเบี้ยไปอีกเยอะเลยนะ ปกติมีแค่นี้หรอ” โค้ชอุไคพูดขึ้น “หรือว่าจะต้องหาคนคุมม้ากับเบี้ยเพิ่ม…”

 

“เอ่อ…ตำแหน่งม้ามีอยู่แล้วครับแต่วันนี้ไม่มา ส่วนเบี้ยเรามีคนที่ควบคุมเบี้ย 3 ตัวได้อยู่ ส่วนอีก 2 ตัวคิดว่าอาจจะปล่อยว่างไว้หรือสลับตำแหน่งตอนเล่นเอาครับ” กัปตันพูดขึ้น

 

“อืม ลำบากแย่เลยนะ แต่ถ้าพวกนายไหวก็เอาตามนั้น อ้อ แล้วก็อย่าลืมบอกคนที่ขาดให้มาซ้อมร่วมด้วยล่ะ” ว่าจบครูฝึกที่ควบตำแหน่งอดีตสมาชิกทีมคาราสุโนะก็เข้าเรื่องสำคัญ

 

“เอาล่ะ ฉันก็รู้ว่านี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นและพวกนายก็เกือบจะบรรลุนิติภาวะกันหมดแล้ว แต่ก็ควรจะบอกไว้หน่อยว่าหมากรุกชิงเมืองไม่ใช่แค่เกมกระดาน…” ครูฝึกกวาดตามองเด็กหนุ่มในโรงฝึกที่อยู่มหาลัยกันหมดแล้ว โดยจ้องไปที่พวกปี 1ที่ดูจะกระตือรือร้นกับการแข่งเป็นพิเศษทั้งที่เพิ่งจะย่างเข้าอายุ 18 กันแท้ๆ แต่ก็ดูจะไร้ความเกรงกลัวใดๆ “…ทุกครั้งที่แข่งพวกนายอาจจะบาดเจ็บหนักและบางทีก็อาจจะถึงตายได้ ก็รู้หรอกนะว่าเคยเล่นมาก่อนหน้านี้แต่ในกระดานจริงมันไม่มีปุ่มยอมแพ้หรือยอมให้ผ่านไปได้ง่ายๆ เพราะไม่มีเมืองไหนอยากแพ้ เพราะงั้นช่วงแรกนี้เราจะยังไม่ลงสนามกันบ่อยนักแต่จะฝึกร่างกายของพวกนายเสียก่อน”

 

ทุกคนเงียบฟังอย่างตั้งใจโดยเฉพาะรุ่นพี่ปีสามและปีสอง อาจจะเป็นเพราะว่าพวกเขาเคยพบเจอสิ่งที่เรียกว่า ‘สนามจริง’ มาแล้วเมื่อสองปีก่อนก็เป็นได้ใบหน้านั้นถึงได้จริงจังจนไม่เหลือเค้าทีเล่นทีจริงที่เคยมี

 

บรรยากาศรอบข้างดูจะกดดันไปชั่วขณะจนไม่มีใครกล้าขยับตัว พวกเขารู้ว่าในกระดานก็เปรียบดั่งสนามรบ การแพ้หนึ่งครั้งหมายถึงพื้นที่หนึ่งเมืองที่จะต้องเสียไป ต่อให้มีปุ่มยอมแพ้หรือสละตำแหน่งอย่างในกระดานที่เล่นกันในเมืองพวกเขาก็ทำไม่ได้ ต่อหน้าคนทั้งเมืองที่ส่งเสียงเชียร์และเปรียบดั่งเสียงกดดันนั่นไม่มีใครที่จะกล้าสละตำแหน่งเพื่อละทิ้งเมืองของตนได้ แต่คนที่จะยืนอยู่บนสนามเป็นคนสุดท้ายจะมีได้แค่คนเดียว

 

 

‘คนที่แข็งแกร่ง’

 

 

“เริ่มจากเบี้ยที่เป็นเหมือนแนวหน้า พวกนายจะต้องฝึกศิลปะการป้องกันตัวให้คล่องแคล่วเพราะอาวุธที่พวกนายใช้ได้มีจำกัด ในกรณีที่ไร้อาวุธมันจะลำบาก” ลังไม้ใบหนึ่งในหลายๆ ใบถูกเปิดออก “นี่คืออาวุธที่พวกนายจะใช้กันแต่ฉันจะเก็บไว้ก่อนจนกว่าจะฝึกการป้องกันตัวด้วยมือเปล่าได้คล่อง ส่วนไอเท็มนั่นก็ขอให้เก็บไว้ก่อนด้วย เราจะยังไม่ใช่ตอนนี้”

 

 

‘มีดของเบี้ย’ คือไอเท็มเข้าสู่สนามของเบี้ย

 

 

คมมีดสาดสะท้อนไปบนใบหน้าของยามากุจิอย่างชัดเจน เขาจับจ้องไปที่คมมีดที่ปรากฏร่องรอยของการต่อสู้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาแล้วก็ได้แต่คิดว่ามีดเล่มนี้คงผ่านการต่อสู้มาพอสมควร เพราะถึงจะเป็นเพียงไอเท็มที่ไม่นิยมนำมาใช้จริงแต่เมื่อถึงเวลาเจียนตัวแล้วแม้แต่ไอเท็มชิ้นสำคัญก็ถูกใช้ได้ไม่ต่างจากอาวุธอื่น

 

เขาเก็บมีดใส่ปลอกของมันก่อนจะฟังครูฝึกพูดถึงการฝึกของตำแหน่งอื่นๆ แต่เสียงพูดคุยของฮินาตะกับคาเงยามะก็เรียกความสนใจของตัวเขาไว้

 

“แต่เมื่อกี้ไดจิซังพูดถึงคนที่คุมเบี้ยสามตัวได้นี่ จะคุมเบี้ยสามตัวได้…เขาแยกร่างได้เหรอ!?”

 

“เจ้าโง่ จะทำแบบนั้นได้ไงล่ะ” คาเงยามะว่า แต่ก็ยอมอธิบายให้อีกคนฟัง “คนคุมเบี้ยสามตัวคือคนที่ต้องมีความสามารถในการต่อสู้มาก” พูดจบก็เหมือนจะได้ยินเสียงพึมพำมาจากคนอธิบายประมาณว่าไม่คิดว่าที่คาราสุโนะก็จะมีคนแบบนั้นอยู่

 

“…?” แต่ดูเหมือนฮินาตะก็จะยังคงไม่เข้าใจจนเอนโนชิตะซัง รุ่นพี่ปีสองเป็นฝ่ายอธิบายให้ฟัง

 

“คนที่จะได้สิทธิ์คุมเบี้ยสามตัวจะใช้เบี้ยได้ทีละตัวเหมือนคนอื่นนี่แหละ แต่ต้องรักษาตำแหน่งหมากของตัวเองไว้ให้ได้ทั้งสามตัวน่ะอย่างฮินาตะคุงก็ต้องรักษาตำแหน่งเรือด้วยการสู้กับศัตรูที่จะเข้ามาในช่องเดียวกันใช่มั้ยล่ะ คนคุมเบี้ยสามตัวก็ต้องต่อสู้เพื่อรักษาทั้งสามตำแหน่งไว้เหมือนกัน”

 

“แล้วแบบนี้ถ้าเจอศัตรูเข้าพร้อมกันทั้งสามตัวล่ะครับ”

 

“ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นก็ต้องรีบจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุดเพื่อมารักษาช่องที่เบี้ยอีกตัวของตัวเองอยู่น่ะ”

 

“เห๊!!! แบบนี้ก็ต้องเก่งมากเลยน่ะสิ”

 

“ใช่แล้วล่ะ คนๆ นั้นน่ะเรียกได้ว่าเป็นเทพผู้พิทักษ์ของคาราสุโนะเลยนะ!” ทานากะเข้ามาสมทบจนทำให้ตอนนี้ดวงตาของฮินาตะเหมือนกับมีประกายดาวแห่งความชื่นชมดวงใหญ่ลอยอยู่

 

 

“อะแฮ่ม”

 

แต่ด้วยเสียงที่ดังไปของสองรุ่นพี่รุ่นน้องทำให้กัปตันที่นั่งหน้าเครียดฟังครูฝึกต้องหันมากระแอมพร้อมส่งสายตาห้ามปรามไม่ให้เสียมารยาท รอบด้านก็เลยเงียบลงแต่เหมือนครูฝึกอุไคจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเลยพูดเสริมให้เรื่องที่ฮินาตะถาม

 

“เบี้ยแค่สามตัวแต่ถ้าคุมดีๆ ก็ใช้ปกป้องคิงได้เพราะงั้นจะเก็บไว้ป้องกันยามคับขันก็ได้หรือจะส่งออกไปสู้ก็ไม่เสียหายอะไร เพราะงั้นอย่าคิดว่าเป็นแค่เบี้ยใช้แล้วทิ้งเชียวล่ะ”

 

“โอ้ส!”

 

“เป็นตำแหน่งที่ดูสุดยอดยังไงไม่รู้สิ” เขาหันไปพูดกับคนข้างกาย แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่

 

“เอ่อ…แล้วเบี้ยอีก 2 ตัวที่ทีมเราขาดไปล่ะครับ” คาเงยามะว่าขึ้น

 

“อืม ตามกฎแล้วให้คนที่คุมตำแหน่งที่ไม่ใช่เบี้ยลงในตำแหน่งที่ขาดได้นะ แต่บางทีก็ปล่อยว่างไว้เพราะต่อให้รุกไปถึงคิงเบี้ยก็รุกคิงไม่ได้อยู่ดี ดูเหนื่อยเปล่า ฉันก็ว่าจะถามพวกนายว่ามีใครที่สนใจจะมาควบตำแหน่งนี้มั้ย”

 

พอครูฝึกว่าจบเขาก็หันไปมองคนอื่นๆ และแน่นอนว่าคนข้างตัวก็เช่นกัน ดูเหมือนตอนนี้เขาจะเข้าใจความกังวลของสึกกี้ขึ้นมานิดๆ ว่าถ้าหากครูผึกไม่ได้ถามว่า ‘ใครสนใจ…’ แต่เปลี่ยนมาเป็น ‘ขออาสาสมัคร…’ แล้วละก็สึกกี้ก็อาจจะถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในนั้นเพราะเจ้าตัวอยู่ในตำแหน่งบิชอป

 

แค่นี้ก็คงจะไม่อยากรับตำแหน่งอะไรเพิ่มอีกแล้วสินะ

 

ไม่ทันจะหันกลับไปใบหน้าภายใต้กรอบแว่นของคนข้างๆ ก็หันกลับมาหาซะก่อน ดูเหมือนว่าเขาจะจ้องอีกฝ่ายมากเกินไปเสียแล้ว

 

“ไม่ต้องคิดจะเสนอเลยนะ ฉันไม่สนใจ”

 

อ่ะ…โดนเข้าใจผิดซะแล้ว

 

แต่ไม่ทันที่เขาจะตอบอะไรกลับไปคนที่นั่งอยู่ไม่ห่างจากกันมาอย่างคาเงยามะก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังมากแต่ก็พอจะให้คนที่นั่งรวมกันเป็นกลุ่มได้ยิน

 

“นายสนใจหรอสึกิชิมะ”

 

สึกิชิมะชะงักไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ไม่”

 

“แต่เมื่อกี้ฉันได้ยินนายพูด” คาเงยามะยังไม่ลดละ

 

“ฉันบอกว่า ’ไม่’ ต้องให้ข้ากระหม่อมปฏิเสธอีกกี่ครั้งกันเพคะ ควีนบ้าอำนาจ”

 

“ห๊า แกว่าใครบ้าอำนา—”

 

“ฉันสนใจ!!”

 

และในระหว่างที่ควีนคนใหม่กับบิชอปเกือบจะได้วางมวยกันนอกสนามแล้ว เจ้าเรือที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็แล่นสวนขึ้นมากลางวง จนทุกสายตาต้องหันไปมองคนที่ใจกล้าบ้าบิ่นอยากลงเล่นเป็นเบี้ย

 

“ฮินาตะทำไมถึงอยากลงตำแหน่งนี้ล่ะ” สึกะซังถาม

 

“เพราะถ้าเป็นเบี้ยก็จะได้สู้กับคนเก่งๆ ก่อนใครใช่มั้ยล่ะครับ นอกจากม้าที่เคลื่อนไปได้เร็วแล้วก็เป็นเบี้ยนี่แหละครับ เพราะงั้นให้ผมเป็นเบี้ยด้วยได้มั้ย” ฮินาตะหันไปขอร้องกับครูฝึก

 

“เรื่องนั้นต้องอยู่ที่ว่านายจะไหวรึเปล่าด้วยละนะ” ครูฝึกว่าแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “ลองดูก่อนละกัน”

 

 

 

 

 

 

 

 

“ไม่ไหวหรอกแกน่ะ” ระหว่างที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมกลับบ้านเสียงของคาเงยามะและฮินาตะก็ดังขึ้น

 

“ฉันไหวหรอก ฉันเคยเล่นมาทุกตำแหน่งแล้วนะ”

 

“แต่ก็ไม่ดีสักตำแหน่งใช่มั้ยล่ะ” คาเงยามะว่ากลับพร้อมขู่ “ถ้าแกเล่นเบี้ยจนหมดแรงกลับมาเป็นเรือไม่ไหวล่ะก็แกตายแน่”

 

“อย่ามาดูถูกกันนะ หนอย…”

 

เสียงปิดประตูดังขึ้นกั้นเสียงคนสองคนที่เดินทะเลาะกันออกไป ดูเหมือนคาเงยามะกับฮินาตะจะยังอยู่ซ้อมต่ออีกหน่อย แต่สำหรับเขาและสึกกี้แค่หมดเวลาซ้อมปกติก็แทบจะไม่ไหวกันแล้ว ยิ่งวันแรกที่ได้ครูฝึกอุไคมาแม้แต่รุ่นพี่ก็เอ่ยปากว่าหนักกว่าปกติ เขาเลยไม่ได้สนใจที่จะซ้อมนอกเวลาอย่างสองคนนั้น

 

 

ห่างออกมาจากตัวเมืองไม่กี่นาทีเขาก็ขอแยกกับสึกกี้เพื่อมาที่ร้านของชิมาดะซัง ปกติเขาจะมาที่นี่เพื่อมารับของที่พ่อมักจะส่งมาให้จากต่างเมือง

 

“เหนื่อยหน่อยนะ”

 

แค่เพียงเดินผ่านประตูเลื่อนของร้านเข้าไปก็พบกับเคาน์เตอร์ที่ชิมาดะซังมักจะนั่งอยู่ วันนี้ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายก็ยังนั่งทำบัญชีอยู่จนดึกเหมือนเคย

 

“วันนี้มีจดหมายส่งมานะ” ชิมาดะซังกล่าวพลางยื่นจดหมายให้

 

“ขอบคุณครับ” เขารับจดหมายสีขาวจากมืออีกฝ่ายมาแกะออกดู

 

ปกติแล้วยามากุจิจะแยกกันอยู่กับพ่อเพราะอีกฝ่ายต้องไปทำงานยังต่างเมือง ทุกเดือนจะมีการส่งเมล์หากันบ้างหรือเตือนเรื่องส่งเงินมาให้ บางครั้งก็ส่งเป็นของขวัญหรือโปสการ์ดมาให้และดูเหมือนครั้งนี้ก็เช่นกัน

 

ในจดหมายมีทั้งโปสการ์ดวันคริสมาสต์ที่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันและจดหมายที่คงจะอยากเขียนด้วยลายมือตัวเองส่งมาให้อีกหนึ่งฉบับ ซึ่งใจความนั่นดูไม่รู้ว่ายินดีหรือยินร้ายกันแน่

 

“ดูเหมือนรอบนี้คุณซานต้าของเธอจะมาส่งของขวัญให้ช้ากว่าปกตินะ” ชิมาดะซังกล่าวถึงคุณพ่อของเขา

 

“รอบนี้อาจจะไม่ได้ก็ได้ครับ” เขาตอบอีกฝ่าย

 

“ทำไมล่ะ ปกติก็ส่งของขวัญมาให้ทุกปีเลยนะ”

 

“ดูเหมือนคุณพ่อจะรู้ว่าผมเข้าร่วมเป็นสมาชิกทีมคาราสุโนะแล้วล่ะครับ”

 

“เขาโกรธหรอ”

 

“เป็นห่วงมากกว่าครับ แต่ก็โดนตำหนิด้วยที่เพิ่งจะมาบอก”

 

“ก็น่าอยู่ เดี๋ยวนี้คาราสุโนะก็ดูเป็นเมืองที่ไม่น่าจะไปแข่งกับใครได้ ถ้าแข่งก็คงจะเจ็บหนัก ไม่ค่อยมีใครอยากให้ลูกหลานตัวเองเข้าร่วมสักเท่าไหร่”

 

คำพูดของชิมาดะซังนั้นดูเหมือนจะน่าเจ็บใจแต่ก็ต้องนับว่าเป็นความจริง ดูจากในกระดานที่ขาดคนไปจำนวนมากก็เพียงพอที่จะรู้สึกได้แล้ว หากลงแข่งก็ต้องเจ็บตัว หรือต่อให้ไม่ลงแข่งก็ยังเสียเวลาในการเรียนไปอีกเช่นกัน

 

แต่ทั้งอย่างนั้นก็เถอะ

 

“แต่ก็ไม่นานนี่ครับ” เขาว่าพลางเก็บจดหมายฉบับนั้นใส่ลงกระเป๋า

 

“นั่นสินะ”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…

 


 

//ตอนหนึ่งมาเสิร์ฟแล้วค่ะ จากตอนที่แล้วน่าจะงุนงงกันน่าดู แต่ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจมากขึ้นค่ะ การเล่นเองเราก็มีปรับและประยุคต์เอาเกมกระดานหมากรุกมาใช้บ้าง อยากให้คนที่ไม่ได้เล่นก็เข้าใจเนื้อเรื่องเช่นกันเพราะงั้นอาจจะมีช่วงบรรยายเยอะหน่อย ถ้างงๆ ก็ขอโทษด้วยนะคะ แฮ่ะ ตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นของคาราสุโนะอีกตอนหนึ่งค่ะ อาจจะไม่ได้โฟกัสที่คู่ไหนเป็นพิเศษแต่ก็ยังยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ว่าเป็นสึกิยามะนะคะ 555 เพราะงั้นขอบคุณที่ติดตามนะคะ

ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ

 

Ryuusei

[Fic MHA] Nebbia 4 [KatsuDeku]

 

 

 

‘…เดกุ…คุง’

.

.

หนีไป!!!

.

.

‘มิโดริยะ…?’

.

.

.

ทำอะไรไม่ได้เลย…

.

.

.

‘…เด…กุ…’

 

 

…เวลาของเราเพิ่งเริ่มต่างหาก

 

 

 

 

 

เฮือก!

 

 

ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างขึ้นมาจากความฝัน เมื่อมองเห็นเพดานห้องที่คุ้นตาร่างนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วค่อยๆ ปรับให้ตัวเองหายใจให้ช้าลง

 

 

ฝันร้ายอีกแล้ว…

 

 

เดกุลุกขึ้นนั่งในห้องที่มืดมิดเขาก้มหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อมองไปที่นาฬิกาก็เห็นเข็มสั้นที่ชี้ไปที่เลข 4 ทั้งที่เขาเพิ่งกล่อมให้ตัวเองนอนหลับไปได้เมื่อ 4 ชั่วโมงก่อนแต่ก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายอีกตามเคย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นเขาก็ยังไม่สามารถสลัดภาพพวกนั้นออกจากหัวได้เสียที่ แต่ที่แย่กว่าก็คงเป็นความรู้สึก

 

 

เขาเริ่มไม่ชอบเวลากลางคืนมาได้ประมาณ 2 วันแล้ว เพราะช่วงเวลาที่ดึกสงัดนี้มักจะทำให้เขาจมดิ่งลงไปในความคิดของตัวเอง ความเงียบสงบนี้ทำให้เขาได้อยู่กับตัวเองจนบางทีก็จมหายลงไปในความคิดแย่ๆ และที่แย่กว่าคือการที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับแม้ว่าจะเหนื่อยจากที่โรงเรียนมามากแค่ไหนก็ตาม

 

 

เดกุลุกขึ้นจากเตียงเปิดโคมไฟที่โต๊ะหนังสือเงียบๆ แล้วหยิบหนังสือขึ้นมา และถึงแม้ว่าเขาจะอ่านเข้าหัวหรือไม่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่กลับไปนอนอีก …เพราะถึงไปนอนตอนนี้เขาก็นอนไม่หลับและสิ่งเดียวที่จะหลงเหลืออยู่ในหัวของเขาคือการคิดเรื่องเมื่อตอนนั้นไปจนถึงเช้า…

.

.

.

.

“อิซุกุตื่นได้แล้ว!”

 

 

เสียงต้อนรับเช้าวันใหม่วันนี้ของเดกุคือเสียงแม่ของเขาที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงแม่เดินขึ้นบันไดดังขึ้นมาจนถึงหน้าห้อง เสียงประตูห้องถูกเปิดขึ้นหลังจากเคาะไปสองสามทีแม่ของเขาก็เปิดเข้ามาและเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลูกตัวเองกำลังนอนหลับคาหนังสืออยู่บนโต๊ะเรียน

 

 

“มาหลับตรงนี้ได้ยังไง รีบไปอาบน้ำกินข้าวได้แล้วไม่งั้นก็สายเหมือนวันนั้นอีกหรอก”

 

เดกุสะลืมสะลือตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขานิ่งไปสักพักแล้วจึงเริ่มลุกขึ้นเดินโงนเงนออกไปจากห้อง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ลงมารับประทานอาหารเสร็จแล้วก็บอกลาแม่เหมือนทุกครั้งที่ออกจากบ้านแต่แม่ของเขากลับรู้สึกว่าลูกของเธอแปลกไปตั้งแต่วันที่กลับบ้านช้าและได้แผลกลับบ้านวันนั้น

 

.

.

.

.

 

เช้านี้เดกุก็ยังคงเดินมาโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวัน เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนและตัดสินใจที่จะเลิกใช้ทางลัดไปสักพักนึง เช้านี้เขารู้สึกเงียบเป็นพิเศษอาจจะเพราะว่าแม่เขาปลุกเร็วไปหรือไม่ก็เพราะปกติเขาจะเดินมากับอิดะคุงและอุราระกะซังก็ได้ พอคิดอย่างนั้นเขาก็สลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมถนน

 

 

เฮ้อ เขายังไม่อยากเริ่มต้นวันด้วยความคิดแบบนี้เลย…

 

 

“อ๊ะ!!!”

 

 

เสียงอุทานดังขึ้นเมื่ออยู่ๆ เขาก็ถูกกระชากจากด้านหลังอย่างกะทันหัน ภาพที่เห็นคือรถบรรทุกที่วิ่งผ่านหน้าไปซึ่งถ้าเขายังเดินต่อไปละก็…ไม่อยากจะคิดภาพ แต่ผลของแรงกระชากก็ทำให้เขาล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ยังไม่ทันจะล้มลงตัวเขาที่เอนอยู่ก็พิงเข้ากับอะไรบางอย่างทำให้ไม่ต้องลงไปนอนอาบแดดตั้งแต่เช้าละนะ

 

 

“นอกจากจะไม่ได้เรื่องแล้ว…” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง “…ก็อย่าเกะกะดิ!”

 

 

เขาหันกลับไปด้านหลังก่อนจะพบกับใบหน้าหงุดหงิดของคัตจังในระยะประชิด สายตาที่แสดงออกถึงความรำคาญนั่นทำเอาเขาก้มหน้าลงอย่างไม่เข้าใจตัวเอง “คะ…คัตจัง หวา!”

 

 

ไม่ทันจะพูดจบมือที่จับคอเสื้ออยู่ก็ถูกปล่อยออกอย่างกะทันหันจนเกือบเซล้มไปอีกรอบ แต่รอบนี้ก็ยังได้เสาไฟข้างทางช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา เดกุหันไปทางคัตจังอีกครั้ง แต่ที่ตรงนั้นก็ไม่มีคัตจังยืนอยู่แล้วเพราะเขาเดินผ่ามไปอย่างไม่บอกกล่าวและไม่คิดจะหันกลับมามองสักนิด

 

 

ยังไม่ได้ขอบคุณเลย…

 

 

เดกุได้แต่คิดแล้วเดินตามหลังคัตจังไปอย่างเงียบๆ แล้วก็เผลอคิดถึงสมัยก่อนที่เขาก็เดินตามหลังคัตจังไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ เหมือนกับได้ย้อนกลับไปตอนนั้น แต่ความรู้สึกช่างแตกต่างกันลิบลับ เขาไม่สามารถกลับไปยืนตรงจุดนั้นได้อีกแล้ว ไม่มีทั้งความกล้าและไม่มีสิทธิ์…

 

 

“มองอะไร”

 

 

เสียงทักดังขึ้นขัดความคิดที่ลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาที่ดูเหม่อลอยพอรู้สึกตัวก็กลับมาโฟกัสอีกครั้ง พอมองเห็นคัตจังที่หันกลับมามองกับท่าทางที่ดูเอาเรื่องก็เลยรีบตอบกลับไปอย่างงุนงง “หะ…ฮะ? ปละ เปล่า ไม่มีอะไร” ปลายเสียงค่อยๆ แผ่วเบาลงอย่างคนไม่มีความมั่นใจก่อนจะก้มหน้าลงแล้วได้แต่หวังในใจให้คัตจังหงุดหงิดแล้วเลิกสนใจไปเอง

 

 

แต่ท่าทางแบบนั้นกลับเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้บาคุโกหยุดยืนมองนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปอย่างไม่สนใจเหมือนเช่นเคย แล้วการเดินไปโรงเรียนตอนเช้าก็เป็นไปด้วยความสงบเหมือนเดิม

 

 

 

 

 

 

 

 

คาบแรกของวันเริ่มขึ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คาบเช้านี้พวกเขาต้องเรียนหลักสูตรจึงเป็นการเรียนแบบปกติทั่วไปและน่าเบื่อสำหรับห้องเรียนสาขาฮีโร่แห่งนี้ เดกุยอมรับว่าบางทีตัวเขาก็เหม่อลอยระหว่างการเรียน เขาเผลอคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่เจอกับคัตจัง ความจริงแล้วถ้าคิดดีๆ ตอนนั้นถ้าคัตจังไม่ได้กระชากตัวเขาออกมาตอนนี้ตัวเขาก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ในสภาพคนปกติแน่นอน และถึงคัตจังจะคิดว่าเขาแค่เกะกะขวางทางก็ตาม เขาก็ควรจะขอบคุณ (หรือขอโทษ) คัตจัง

 

 

คาบเรียนแรกใกล้จบลงแม้ว่าการเรียนการสอนจะจบลงแล้วก็ตาม ตอนนี้เดกุเองก็ยังคิดหาวิธีจะพูดกับคัตจังไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะทางไหนที่เขาคิดก็มีแต่หน้าตาหงุดหงิดของคัตจังกับภาพหมัดที่ตรงเข้ามาเป็นบทสรุปทุกทีไป ไม่มีทางไหนที่เขาจะหลีกเลี่ยงได้เลยสักนิด เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วพักความคิดไว้ก่อนจะหันไปสนใจการบ้านและใบงานที่อาจารย์มอบให้ แล้วเขาก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างออก

 

 

บาคุโกรับใบงานมาด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเบื่อหน่าย หยิบใบงานมาอย่างเชื่องช้าแล้วส่งต่อไป

 

 

แปะ

 

แล้วก็รู้สึกถึงฝ่ามือเล็กที่วางลงมาบนฝ่ามือของเขาและไม่ทันหายตกใจฝ่ามือนั่นก็ละออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่สัมผัสของเศษกระดาษที่อยู่ในมือแทนที่ใบงานก่อนหน้านี้ เขาดึงของที่อยู่ในมือมาดู มันเป็นเศษกระดาษที่ฉีกออกมาจากสมุด ภายในเขียนข้อความที่มีลายมือคุ้นตา ข้อความนั้นถูกลบแล้วลบอีกจนแอบเห็นข้อความก่อนหน้าที่เจ้าของมันส่งมา

 

 

‘เรื่องเมื่อเช้า ขอบคุณนะ’

 

 

ทางด้านเดกุก็ได้แต่มองแผ่นหลังของคนข้างหน้าอย่างหวาดหวั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาคิดถูกจริงๆ ที่เลือกวิธีนี้ เพราะอย่างน้อยนี่ก็ยังเป็นห้องเรียนที่ควรจะเงียบสงบ และถึงแม้ว่าเขาจะไปพูดกับคัตจังตรงๆ ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยากคุยกับเขาไหม

 

 

เฮ้อ

 

 

แปะ!

 

 

โดยไม่ทันรู้ตัวเดกุที่กำลังถอนหายใจอยู่ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่กระทบลงบนหน้าผาก เขาหลับตาลงด้วยความตกใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเห็นเจ้าสิ่งของนั้นตกอยู่บนโต๊ะเรียนของเขา มันคือก้อนกระดาษ…ที่ดูคุ้นตา เขาหยิบแล้วคลี่กระดาษที่ถูกขยำจนเป็นก้อนนั้นออกก่อนจะพบข้อความที่ตัวเองเคยเขียนไว้ แต่ตอนนี้หน้ากระดาษถูกเติมรูปหน้าคนกลมๆ ที่กำลังหงุดหงิดลงบนนั้น

 

 

“…คิก” ไม่รู้ทำไมพอมองไปที่รูปหน้าคนบนกระดาษนั้นเขาถึงได้ขำขึ้นมา เขารีบตะปบปากตัวเองแล้วกลั้นเสียงอย่างไวเมื่อเห็นแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่กำลังหันกลับมา เขาก้มหน้านิ่งแล้วทำเป็นจดงานกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมาและแผ่นหลังของอีกฝ่ายหันไปแล้วเขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วผ่อนลมหายใจ

 

 

 

 

 

วันนั้นเดกุก็ยังคงเหม่อลอยบ้างเป็นครั้งคราว เขาไปสอบย้อนหลังหลังจากที่ไม่ได้มาเมื่อวันจันทร์กับอาจารย์ที่ห้องพักครูในตอนเที่ยงและถูกออลไมท์เรียกพบในตอนเย็นนั้นอีกครั้งที่ห้องพักครู

 

“ความจริงฉันว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอตั้งนานแล้วน่ะนะ” ออลไมท์เป็นฝ่ายเริ่มประโยคเมื่อเดกุนั่งลงตรงข้ามกับเขา “เธอได้เรียนการช่วยผู้ประสบภัยพิบัติไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนแล้วสินะ”

 

“ครับ” เดกุตอบก่อนจะย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ USJ อีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นั้นจะเรียกได้ว่า ‘เรียน’ รึเปล่า

 

“อาจารย์หมายเลข 13 ได้ให้คำแนะนำอะไรกับเธอบ้างรึเปล่าล่ะ”

 

เดกุนิ่งเงียบไปแล้วย้อนคิด ในวันนั้นอาจารย์หมายเลข 13 พูดกับเขาตอนก่อนที่จะมีวายร้ายบุกมา

.

.

.

‘พวกเธอคงทราบกันดี อัตลักษณ์ของฉันคือแบล็กโฮล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดูดกลืนและทำให้เป็นฝุ่นได้…’

.

.

‘…แต่ว่าพลังนี้มันก็ง่ายที่จะใช้ในการฆ่าคน ซึ่งไม่ต่างกับพวกเธอทุกคนหรอก’

.

.

‘…หากก้าวผิดหนึ่งก้าวก็อาจจะฆ่าคนได้…’

.

.

.

 

 

เดกุนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบคำถามของออลไมท์ “อย่าใช้อัตลักษณ์ไปในทางที่ผิด…เพราะมันอาจจะฆ่าคนได้”

 

 

“อืม ฉันคิดว่าเธอเข้าใจเรื่องนั้นดีอยู่แล้วละนะ” ออลไมท์นิ่งไปพักหนึ่ง “แต่ฉันก็อยากให้เธอระวังตัวมากขึ้น เพราะเหตุการณ์เมื่อคราวที่แล้ว…บอกตรงๆ ว่าเรายังไม่คืบหน้าเรื่องการจับคนร้ายเท่าไหร่”

 

 

เดกุเงยหน้าขึ้นมองออลไมท์อีกครั้งหลังจากที่นั่งก้มหน้ามาพักหนึ่ง “ผมขอโทษครับ”

 

 

“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ แต่เธอรู้ใช่มั้ยว่าถ้าพลังนี้ตกเป็นของวายร้ายจะเกิดอะไรขึ้น”

 

“…ครับ”

 

เดกุสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูกดดันทุกครั้งที่ออลไมท์พูดถึงพลังนี้ เขาเข้าใจดีว่าพลังนี้มันมีค่าแค่ไหนและมหาศาลเพียงใด และไม่อาจจะคิดว่าถ้ามันตกไปเป็นของวายร้ายจะเกิดอะไรขึ้น

 

 

“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะหนุ่มน้อยมิโดริยะ! เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันอยู่นี่แล้วยังไงล่ะ!” แต่แล้วบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับเสียงที่ดูสดใสมั่นใจของออลไมท์ “เพราะฉันเป็นอาจารย์ของเธอและจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับลูกศิษย์ของฉันอีกเด็ดขาด!”

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะมั่นใจ เชื่อใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ พอได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาและยิ้มได้อีกครั้ง

 

 

แล้วเย็นนั้นเขาก็คุยกับออลไมท์อีกนิดหน่อยก่อนจะออกมา เขาเดินตรงดิ่งไปที่สถานีรถไฟก่อนจะนั่งต่อไปอีกไม่กี่สถานีแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านดอกไม้ที่อยู่หน้าสถานีก่อนจะเดินต่อไปที่โรงพยาบาลพร้อมช่อดอกไม้สองช่อ

 

 

เขาไปเยี่ยมอุราระกะซังก่อนเธอยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงเหมือนครั้งก่อนที่เขามา แต่เขาก็พอจะได้รู้จากคุณหมอแล้วว่าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้าแต่ร่างกายยังต้องการการพักผ่อนจึงต้องอยู่ดูอาการอีกสักวันสองวัน

 

 

เขาจัดดอกไม้ลงในแจกันก่อนจะบอกลาเธอและไปที่ห้องพักของอิดะต่อ

 

 

แต่คราวนี้เขาไม่ได้เข้าไปในห้องพักของอิดะ เพราะเมื่อมองจากกระจกหน้าห้องแล้วเขาก็เห็นคนที่น่าจะเป็นแม่และพี่ชายของอิดะอยู่ในห้อง เขาถอยออกมาจากหน้าประตูอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้จะเข้าไปดีมั้ย เขามองไปที่ประตูห้องสีขาวอย่างชั่งใจ

 

 

เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเข้าไปตอนนี้มั้ย เขารู้ว่าอิดะฟื้นแล้วและกำลังพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมอยู่ แล้วพอคิดว่าต้องเข้าไปในสถานการณ์อย่างนั้น …อยู่ดีๆ เขาก็เกิดไม่กล้าขึ้นมา เขายังไม่กล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง มือเล็กกำช่อดอกเยอบีร่าแน่นอย่างไม่รู้ตัว เดกุตัดสินใจหันหลังให้กับห้องพยาบาลสีขาว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเดินกลับไปจริงๆ หรือเปล่า เขาจะหนีความจริงงั้นหรอ?

 

 

เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเกือบนาที… แล้วเดินออกมาจากบริเวณนั้น

 

 

เดกุเดินจากโรงพยาบาลมาที่สถานีแล้วนั่งรถไฟไปที่สถานีแถวบ้านด้วยสภาพที่แตกต่างกับตอนมาโรงพยาบาลลิบลับ เขาไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าตัวเองยังกำช่อดอกเยอบีร่าไว้อยู่ในมือ…สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเยี่ยม เขาก้มหน้าเดินมาตามซอยแถวบ้านก่อนจะชนเข้ากับใครบางคน

 

 

“อ๊ะ ขอโท…คัตจัง!” เดกุร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเพื่อนสมัยเด็กของเขาที่ตอนนี้อยู่ในชุดลำลองเรียบร้อย

 

 

“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือรึไงวะไอ้เวรเนิร์ด!”

 

 

“อา…ขอโทษนะ” เขากล่าวขอโทษอีกฝ่ายก่อนจะนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า “เมื่อเช้านี้…”

 

 

“ห๊า!!!” ยังไม่ทันจะพูดจบก็ได้รับใบหน้าหงุดหงิดพร้อมระเบิดที่ปะทุอยู่ในมือของคัตจัง ร่างของอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัวมือทั้งสองข้างของเดกุก็ยกขึ้นพร้อมกับช่อดอกไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นระหว่างทั้งสองคน

 

 

ทุกการกระทำหยุดนิ่ง เดกุก้มมองช่อดอกเยอบีร่าที่ลงไปนอนกองกับพื้นสลับกับคัตจังที่มองดูช่อดอกไม้นั้นอยู่เช่นเดียวกัน …ดูท่าชะตากรรมของเจ้าดอกไม้คงจบลงตรงนี้แล้ว

 

 

ไม่ทันรู้ตัวคัตจังก็เดินผ่านเขาไปอย่างไม่บอกลาและไม่เกิดเรื่องใดๆ ขึ้น เขาหันไปมองตามหลังของคัตจังอย่างแปลกใจแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เดกุหันกลับมาก้มลงมองดอกเยอบีร่าที่ยังรอดปลอดภัยอยู่บนพื้น หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปตามทางของเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ สักที

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ดอกเยอบีร่า

……….เธอคือแสงอาทิตย์แห่งชีวิตฉัน………..

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…


 

[Fic MHA] Nebbia 3 [KatsuDeku]

 

ท่ามกลางความมืดมิดมีเพียงแสงจากโคมไฟสีส้มที่วางอยู่รายรอบห้อง ดวงตาสีเขียวกะพริบเปิดขึ้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะค่อยๆ ปรับสายตาให้เข้ากับความมืดที่มีแสงเพียงน้อยนิดนั้น และเมื่อสติเริ่มกลับมาอย่างครบถ้วนดวงตานั้นก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนจะหันไปมองรอบๆ ตัวและลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว…

 

 

ทุกการกระทำนั้นอยู่ภายใต้สายตาของใครอีกคนทั้งหมด

 

 

 

แปะๆๆ

 

 

 

เสียงปรบมือดังเบาๆ แต่ก้องสะท้อนไปทั่วห้องที่เงียบและมืดมิดแห่งนี้ แต่เมื่อเสียงปรบมือเงียบลงร่างที่เพิ่งรู้สึกตัวเมื่อครู่ก็ไม่ได้ยินเสียงพูดใดๆ ต่อมาเลยราวกับว่าห้องนี้ไม่มีคนอยู่และเสียงเมื่อครู่เขาคงจะหูฝาดไป

 

 

แต่กลับรู้สึกได้ถึงสายตาอันน่าขนลุกที่ซ่อนอยู่…

 

 

มิโดริยะ อิซุกุเลือกที่จะนิ่งเงียบต่อไปเพื่อดูเชิงฝ่ายตรงข้ามอีกสักพัก แต่ความเจ็บปวดที่ต้นคอก็แล่นริ้วขึ้นมาอย่างไม่ทันรู้ตัว เขาจับไปที่คอตัวเองด้วยความตกใจแต่ก็สัมผัสไม่ได้ถึงร่องรอยหรือแผลเป็นใดๆ ที่พอจะจำได้คือความรู้สึกก่อนที่เขาจะสลบ

 

 

ความรู้สึกที่ถูกคมเขี้ยวกดลงบนเนื้อ… แม้ว่าจะไม่มีรอยบาดแผลทิ้งไว้แต่เขาก็ยังเจ็บปวดกับรอยนั้นอยู่นิดๆ

 

 

 

 

“น่าทึ่งจริงๆ”

 

 

เฮือก!

 

 

เสียงกระซิบดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา เป็นเสียงที่ไม่คุ้นเคยและมันก็…ใกล้ตัวเขามากจนน่าขนลุก

 

 

มิโดริยะหันหลังไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเตรียมจะก้าวถอยหลังให้ห่างจากจุดที่เขารู้สึกว่าชายเจ้าของเสียงยืนอยู่ แต่ทุกอย่างก็หยุดลงอย่างกะทันหัน

 

 

เท้าที่พยายามจะก้าวถอยไปนั้นหยุดชะงักลง เขาพยายามขยับตัวถอยหลังอีกครั้งแต่ร่างนั้นกลับไม่เป็นไปอย่างที่ใจต้องการ ทั้งที่ไม่มีเชือกมัดไว้แต่ทั้งร่างกลับเหมือนถูกรัดตรึงไว้ให้หยุดอยู่ตรงนั้น แม้ว่าในสมองของร่างนั้นจะยังคงทำงานภายใต้คำสั่งของเขาแต่กับร่างกายนั้นไม่ใช่อีกต่อไป

 

 

“หึๆ คุณนี่น่าสนใจจริงๆ” เสียงของชายแปลกหน้าดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่ดังสะท้อนอยู่ภายในห้องที่คล้ายบาร์แห่งนั้น ไม่นานร่างของชายที่สวมกาวน์สีหม่นก็ปรากฏอยู่ในครรลองสายตาของคนที่อยู่ในสภาพแน่นิ่ง เขายกมือที่สวมถุงมือสีขาวนั้นขึ้นมาก่อนจะลูบไปตามใบหน้าของร่างตรงหน้า “เป็นตุ๊กตาที่ควบคุมยาก แต่ก็ยิ่งอยากครอบครอง”

 

 

“…” เดกุที่ตกใจกับการกระทำของอีกฝ่ายมองไปรอบตัวเพื่อหาทางเอาตัวรอดออกไปจากสถานการณ์นี้

 

 

“อย่าเพิ่งเมินกันสิ ผมเป็นเจ้าของคุณแล้วนะ” พูดจบร่างที่สูงกว่านั้นก็ก้มตัวลงในระดับสายตาของเขา ใบหน้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนจะผ่านใบหน้าของเขาไป สัมผัสเย็นวาบของคมเขี้ยวประทับลงอีกครั้งที่เดิมบนต้นคอ เป็นสัมผัสที่ไม่เหมือนกับคราวก่อนเพราะครั้งนี้มันถูกกดเน้นจนเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยืนนิ่งๆ เหมือนกับมันเป็นเพียงแค่การหยอกล้อเท่านั้น

 

 

“เลิกเล่นได้รึยัง เมื่อไหร่จะจัดการสักที” เดกุตกใจอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงของผู้ชายอีกเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นในห้อง เขาพยายามกวาดสายตาแต่ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว คงบอกได้ว่าตอนนี้ร่างของเขาถูกควบคุมโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ

 

“จะรีบร้อนไปทำไม เวลาสนุกของเรามันเพิ่งเริ่มต่างหาก” เสียงของชายตรงหน้าตอบไป

 

“อย่าเล่นจนเสียแผนล่ะ ชาโดว!” เสียงนั้นโต้ตอบอย่างไม่พอใจ น่าแปลกเหลือเกินที่เสียงนั้นช่างคุ้นหูอย่างน่าประหลาด

 

ชายตรงหน้าไม่ได้โต้ตอบอะไร ไม่นานหลังจากนั้นเดกุก็ถูกบังคับให้ปิดตาลง สติของเขาเหมือนถูกดึงออกไปเกินครึ่งหลังจากที่ถูกคมเขี้ยวนั้นฝังลง ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่านี่อาจจะเป็นอัตลักษณ์ของชายคนนี้ก็ได้ และแม้ว่าจะไม่อยากเชื่อแต่ตอนนี้สิ่งที่เขาสรุปได้คือเขาคงโดนลักพาตัวมาเพื่ออะไรบางอย่าง

 

…………………..

 

……………

 

……

 

…และอะไรบางอย่างนั่นก็กำลังทำให้เขาหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ

 

ภาพที่อยู่ตรงหน้าคือร่างของอิดะและอุราระกะเพื่อนสนิทของเขาที่กำลังตกใจกับการโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวนั้น

 

…การโจมตีที่มาจากตัวเขาเอง

 

 

ไม่จริงน่ะ!

 

 

            เสียงร้องด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วทั้งตรอกที่มืดมิดหลังจากที่เขาพุ่งตัวเข้าใส่อิดะคุงและอุราระกะซังที่สังเกตเห็นเขาที่ยืนอยู่ในความมืดมิดนั้น ทั้งคู่นิ่งไปสักพักและมองมาที่เขาอย่างเคลือบแคลง หลังจากนั้นเขาก็กระโดดไปยืนตรงหน้าทั้งคู่อย่างรวดเร็วก่อนจะปล่อยหมัดที่รุนแรงใส่ร่างที่ไม่ทันป้องกันตัวของอุราระกะซังอย่างจัง เธอล้มลงแล้วกุมบาดแผลที่ไหล่ที่ตอนนี้น่าจะหักเพราะมันตกลู่ลงข้างลำตัวของเธอ

 

 

ไม่นะ!

 

 

ไม่ทันที่จะตกใจร่างของผมก็ถูกกระชากด้วยความเร็วจากอัตลักษณ์ของอิดะคุง “นายเป็นอะไรไปน่ะ มิโดริยะคุง!”

 

 

“…เดกุ…คุง”

 

 

ร่างของผมที่ถูกล็อกตัวไว้ให้ห่างจากตัวของอุราระกะซังนั้นสะบัดจนหลุดออกจากการจับกุมของอิดะคุง แต่เพราะถูกล็อกจากด้านหลังจึงไม่ถนัดนัก

 

 

หนีไป!!!

 

 

            เมื่อไม่สามารถหลุดออกจากการล็อกตัวได้ร่างของผมก็หยุดนิ่งลง …นิ่งลงอย่างกะทันหันซะจนผมยังตกใจ และอิดะคุงก็เช่นกัน เขานิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะค่อยๆ พูดขึ้นมาอีกครั้ง “มิโดริยะ…?”

 

 

ตัวผมยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปเผชิญหน้ากับเสียงเรียกนั้นและไม่ทันตั้งตัวหมัดหนักๆ ก็ปะทะเข้ากับร่างของอิดะคุงอย่างจัง ในจังหวะที่เขาตกใจนั้นผมก็ดีดตัวออกมาจากการจับกุม ตอนนี้ร่างของผมกำลังอยู่ตรงกลางระหว่างอุราระกะซังที่กำลังยืนมองเหตุการณ์เมื่อครู่อย่างตาค้างและอิดะคุงที่ล้มลงไปนอนกับพื้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะลุกขึ้นมาในเร็วๆ นี้ ผมหันหลังกลับไปมองอุราระกะซัง

 

 

อย่านะ!

 

 

ร่างกายของผมที่ถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ทั้งสติตอนนี้ก็ไม่ต่างจากคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ภาพตรงหน้าราวกับความฝันที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภาพของเพื่อนคนแรกของผมในโรงเรียนมัธยมปลายที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ …

 

 

อย่าทำอะไรเธอ!!!

 

 

ร่างของผมหยุดลงห่างจากเธอเพียงไม่กี่ก้าว และราวกับภาพในหนังที่ถูกเล่นอย่างช้าๆ ในหัวของผมปรากฏภาพของอุราระกะซังที่ยืนนิ่งด้วยแววตาที่หวาดกลัว ร่าของผมที่พุ่งหมัดเข้าใส่เธออย่างรุนแรงยิ่งกว่าตอนทำร้ายอิดะคุง ภาพของอิดะคุงที่พุ่งเข้ามารับการโจมตีนั้นอย่างจัง และร่างของทั้งคู่ที่ล้มลงพร้อมกับเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน มันเป็นเสียงที่มาจากปากของอุราระกะซังที่ได้รับผลจากแรงกระแทกจากหมัดเมื่อครู่…

 

 

เสียงนั้นที่เรียกชื่อผม…

.

.

 

เสียงที่เต็มไปด้วยความคลุมเครือและหวาดกลัว…

.

.

 

สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย…

.

.

 

ทำอะไรไม่ได้เลย…

.

.

 

…เด…กุ…

.

.

.

.

.

 

เฮือก!

 

 

ดวงตาสีเขียวเบิกโพล่งขึ้นมาอีกครั้ง กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อและเพดานห้องสีขาวคุ้นตาลอยเข้ามา เดกุกะพริบตาเพื่อปรับการมองเห็นและเริ่มรับรู้ว่าตอนนี้ตัวเขาอยู่บนเตียงในห้องพยาบาลของโรงเรียน เขาลุกขึ้นนั่งอย่างรีบเร่งจนไม่ทันสังเกตถึงแขนทั้งสองข้างที่ถูกพันผ้าพันแผลไว้จากอาการบาดเจ็บ และเมื่อเขาเห็นมันภาพในความฝันเมื่อครู่ก็ผุดขึ้นมาตอกย้ำเขาอีกครั้งว่ามันไม่ใช่แค่ความฝัน

 

 

มันคือเรื่องจริง

เขาทำร้ายเพื่อนตัวเองด้วยมือของเขาเอง

 

 

ด้วยพลังของเขา…

.

.

.

 

เสียงประตูห้องพยาบาลเปิดขึ้น ผู้มาเยือนทั้งสองคืออาจารย์รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลและออลไมท์ ทั้งสองคนผงะไปนิดหน่อยเมื่อสังเกตเห็นว่าคนไข้บนในห้องตื่นแล้วและนั่งอยู่บนเตียงด้วยความนิ่งเงียบ

 

“เธอเป็นยังไงบ้าง” รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลคือคนที่เปิดบททำลายความเงียบในห้องนี้

 

“ผม…ไม่เป็นไรครับ” เดกุตอบกลับไปด้วยเสียงที่แหบแห้ง

 

“แน่ใจนะ” คราวนี้เป็นออลไมท์ที่ถามขึ้นบ้าง ผมจึงได้แต่พยักหน้า ก่อนจะได้ยินเสียงออลไมท์พูดขึ้นอีกครั้ง

 

“เธอรู้รึเปล่าว่า…เอ่อ…เกิดอะไรขึ้นกับเธอ” เสียงของออลไมท์แฝงไปด้วยความลังเลแต่ก็ตัดสินใจถามในที่สุด

 

ผมพยักหน้าตอบกลับไปแล้วค่อยๆ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทั้งออลไมท์และรีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลฟัง ทั้งเรื่องที่ถูกจับตัวไปโดยชายที่ใช้ชื่อว่าชาโดวกับพรรคพวกอีกคน เรื่องที่น่าจะถูกอัตลักษณ์ของชายคนนั้นควบคุมจิตใจและเรื่องที่ทำร้ายเพื่อนของตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส พอนึกถึงตรงนี้ผมก็ถามถึงอาการของพวกเขากับทั้งคู่

 

“ตอนนี้พวกเขาถูกส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลน่ะ แล้วก็มีเด็กอีกสามคนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้”

 

ผมชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะถามขึ้น “ใคร…อีกเหรอครับ”

 

รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลมองมาที่ผมอย่างชั่งใจแล้วจึงค่อยๆ พูดไล่เรียงรายชื่อของคนอื่นๆ

 

“คามินาริสลบไปกับมีแผลฟกช้ำนิดหน่อย โทโคยามิมีบาดแผลเล็กน้อยเหมือนกันสองคนนั้นฉันให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้วล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ที่เหลือก็เธอ…บาดเจ็บที่แขนอีกแล้ว”

 

ผมจับแขนข้างขวาที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลอีกครั้งพลันนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

 

“หนุ่มน้อยมิโดริยะเธอไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ นั่นไม่ใช่ความตั้งใจของเธอที่จะทำร้ายพวกเขา แต่มันเกิดจากวายร้ายต่างหาก” ออลไมท์พูดขึ้นเมื่อเห็นว่าภายในห้องเงียบลงอย่างน่าอึดอัด

 

“ฉันว่าเธอควรจะกลับบ้านไปพักผ่อนนะ นี่ก็ใกล้มืดแล้วผู้ปกครองเธอคงจะเป็นห่วง”

 

พอฟังที่รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลพูดจบผมก็สังเกตว่าฟ้าตอนนี้เป็นสีส้มและอีกไม่นานก็คงจะมืดจริงๆ ด้วย ผมเดินตามออลไมท์ที่อาสาออกไปส่งด้วยความรู้สึกโหวงเหวงจนแม้แต่ระหว่างทางก็ไม่มีการพูดคุยใดๆ กันอีกเลย

 

วันรุ่งขึ้นมิโดริยะ อิซุกุไปโรงเรียนอีกครั้ง เขาถูกเชิญให้ไปให้ปากคำที่ห้องรับรองและวันนี้เขาก็ได้เห็นข่าวที่รายงานในหน้าทีวีเรื่องที่เด็กนักเรียนยูเอย์ถูกทำร้าย ถึงแม้จะไม่มีรายละเอียดและการเปิดเผยรายชื่อนักเรียนที่บาดเจ็บก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นข่าวที่ดังพอสมควรในขณะนี้ นักข่าวมากมายหลายสำนักต่างมารอหน้าโรงเรียนเพื่อสัมภาษณ์นักเรียนและคณาจารย์เรื่องความปลอดภัยของโรงเรียนเพราะสถานที่ที่เกิดเหตุนั้นถือว่าอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนสักเท่าไหร่

 

ความรู้สึกผิดแล่นขึ้นมาเมื่อเขาดูข่าวนั้นในเช้าวันนี้ก่อนที่จะมาโรงเรียน เพราะถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตั้งใจแต่เพราะการกระทำนั่นก็ทำให้คนอีกมากต้องมาลำบากไปด้วย โดยเฉพาะคนใกล้ตัวของเขา ทั้งเพื่อนสนิทที่บาดเจ็บและออลไมท์ที่เริ่มถูกตั้งข้อสงสัยว่าเพราะเขามาเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนแห่งนี้จึงทำให้เกิดการลอบทำร้ายในบริเวณโรงเรียนขึ้นถึงสองครั้งติดต่อกันในเวลาไม่ถึงเทอม

.

.

กลับมาที่ปัจจุบันเดกุกำลังให้ปากคำกับตำรวจภายในห้องรับรองของโรงเรียนในฐานะที่เขาเป็น ‘ผู้อยู่ในเหตุการณ์’ และ ‘ผู้เคราะห์ร้าย’ ที่ได้ใกล้ชิดกับวายร้ายที่ก่อเหตุการณ์ในครั้งนี้ เขากำลังเล่าถึงเหตุการณ์ที่ได้พบกับวายร้าย ในจังหวะนั้นที่เขาเหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แต่ก็ยังไม่มั่นใจที่จะเล่าออกไป เขาจึงตัดสินใจเก็บมันไว้และว่าจะบอกกับออลไมท์ทีหลัง

 

เช้านี้บรรยากาศก็ยังคงเหมือนเดิมแต่เดกุกลับคิดว่ามันต่างออกไป ระเบียงทางเดินที่ทอดยาวไปยังห้องของเขาดูโล่งกว่าปกติ หรืออาจจะเป็นเพราะเขาเองที่มาเดินในเวลาที่คนอื่นเข้าเรียนกันหมดแล้ว เขาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องเรียน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่มั่นใจที่จะเปิดมันเลย แต่สุดท้ายเขาก็เปิดประตูเข้าไปแล้วพบกับชั้นเรียนที่เงียบลงราวกับปิดสวิตซ์และถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องเรียบร้อยแล้ว หน้ากระดานมีลายมือที่คุ้นตาเขียนว่าคาบว่าง เรียนรู้ด้วยตัวเอง เขาคิดว่าอาจารย์ไอซาว่าคงวุ่นวายกับเรื่องที่เกิดขึ้นพอควร

 

สายตาของเขามองไปที่โต๊ะของเพื่อนทั้งสองคนที่ตอนนี้มันว่างเปล่า เขาเดินไปที่โต๊ะของตัวเองด้วยความรู้สึกใจหาย และไม่นานก็มีเสียงทักขึ้น

 

“มิโดริยะ” เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นตามเสียงเรียกและพบกับเพื่อนร่วมห้องอย่างโทโคยามิยืนอยู่

 

“เอ่อ…มีอะไรหรอ” เขาเอ่ยถาม ฉับพลันสายตาก็มองไปเห็นผ้าพันแผลที่แขนของอีกฝ่ายและคงจะเผลอจ้องนานไปหน่อยจนทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว

 

“นายเป็นยังไงบ้าง” โทโคยามิถาม

 

“ฉัน…ไม่เป็นไรมากหรอก ว่าแต่นาย …ฉันขอโทษนะ!”

 

“ไม่ต้องคิดมากหรอก นายก็บาดเจ็บไม่ใช่หรือไง” โทโคยามิตอบและดูเหมือนประโยคขอโทษที่เขาพูดไปเมื่อกี้จะดังพอสมควรคามินาริที่เป็นผู้บาดเจ็บในครั้งนี้ด้วยก็ยังหันมาพูดกับเขา

 

“ก็จริงนะ นายก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเราสักหน่อยนี่”

 

“อะ…ขอบคุณนะ”

 

และไม่นานหลังจากนั้นคนทั้งห้องที่ดูเป็นใจให้พวกเขาคุยกันข้ามห้องก็เริ่มเข้ามาถามพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทุกความอยากรู้อยากเห็นทะลักเข้ามาราวกับเขื่อนแตก ทุกคนพูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้จนเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้แค่รอเวลาให้มีคนกล่าวเปิดหัวข้อเรื่อง เรื่องข่าวเกี่ยวกับวายร้าย การจัดการของฮีโร่และยูเอย์ และข่าวโคมลอยอีกมากมายดังไปทั่วห้อง ทุกคนมีท่าทางสนใจและคาดการณ์ไปต่างๆ นานา จะยกเว้นก็แต่เจ้าของโต๊ะที่นั่งอยู่ด้านหลังของเขาที่ทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะเตะโต๊ะแล้วเดินหายไปจากห้อง ซึ่งก็ดูเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับคนในห้องเรียนนี้

 

เย็นวันนั้นมิโดริยะ อิซุกุไปหาออลไมท์อีกครั้งที่ห้องของเขาเพื่อบอกข้อสันนิษฐานบางอย่างที่เพิ่งคิดออกตอนที่ถูกสอบปากคำเมื่อตอนเช้า

 

“เธอจะบอกว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกันเหรอ” เสียงของออลไมท์ดังขึ้นพร้อมกับทำหน้าตาครุ่นคิด

 

“ครับ ถึงชายที่ชื่อชาโดวผมจะไม่รู้จัก แต่ว่าถึงจะมืดไปหน่อยแต่ผมคิดว่าเขาคือคนเดียวกับที่เคยยกพวกมาบุกUSJ คราวที่แล้ว” มิโดริยะบอกข้อสงสัยของเขาไป

 

“อืม…งั้นฉันจะลองเอาไปเป็นข้อมูลดูละกันนะ”

 

หลังจากนั้นเดกุก็บอกลาออลไมท์ที่ดูเป็นห่วงอาการเขาอยู่เพื่อไปเยี่ยมอิดะและอุราระกะที่โรงพยาบาล เขาไปถึงชั้นที่มีห้องของทั้งสองคนอยู่ ทั้งคู่แยกกันอยู่คนละห้องแต่ชั้นเดียวกัน และอาการนั้นก็บอกได้เลยว่าหนักเอาการทั้งคู่เพราะตั้งแต่วันนั้นก็ยังไม่มีใครที่ฟื้นขึ้นมา ซึ่งเขาเข้าใจดีว่ามันต้องใช้เวลานานกับบาดแผลหนักๆ แบบนั้นไม่เหมือนกับตัวเขาที่เพียงแค่บาดเจ็บนิดหน่อยเท่านั้น

 

เขาก้มมองดูแขนข้างที่บาดเจ็บ…เขาใช้แขนข้างนี้ทำร้ายคนทั้งคู่ บางทีเขาก็อยากจะทำอะไรสักอย่างแต่ต่อหน้าอัตลักษณ์แบบนั้นเขากลับคิดไม่ออกว่าควรจะทำยังไง

 

.

สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้เลย…

.

.

.

.

.

.

 

แกมันไร้ค่า เดกุ

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…

 


 

 

[Fic HQ!!] Checkmate [TsukiYama] Intro

Title: checkmate

AU เมืองหมากรุก

Pairing: Tsukishima Kei x Yamaguchi Tadashi & TeamKarasuno

Rate: PG-13

Note: ฟิคสึกิยามะเรื่องยาวเรื่องแรกของเราค่ะ ฝากตัวด้วยนะคะ ในเรื่องมีทีมคาราสุโนะอยู่ด้วยเพราะยังมีเรื่องของคนในทีม (และคู่ในทีม) รวมอยู่ด้วย แอบตื่นเต้นกับแนวเรื่องอยู่เหมือนกันแต่ก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ


 

 

 

 

ในครั้งอดีตผู้คนต่างต่อสู้ แก่งแย่ง ฆ่าฟันมาให้ได้ซึ่งสิ่งที่ต้องการ ในฝ่ามือของคนเหล่านั้นกำชีวิตที่สิ้นลมของศัตรู ใต้เท้าของพวกเขาเหยียบย่างไปสู่เส้นทางแห่งชัยชนะเหนือกองเลือด

 

เพื่อศักดิ์ศรี…

 

เพื่อเอาชีวิตรอด…

 

หรือ…เพื่อปกป้องชีวิตของใครคนหนึ่ง

 

การกระทำเหล่านั้นลุกลามจนถูกเรียกว่า ‘สงคราม’

 

สงครามเมื่อเหยียบย่างไปที่ใดก็นำพามาซึ่งความเจ็บปวดร้าวลึกลงไปถึงจิตใจ กรีดกระชากความฝัน แย่งชิงชีวิต ยิ่งต้องการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสูญเสียมากเท่านั้น จนในวันหนึ่งเมื่อมนุษย์ได้มองลงในฝ่ามือของตนและถามหาสิ่งที่เหลืออยู่ พวกเขาก็ได้รู้ว่าสิ่งที่เคยมีอยู่ได้ถูกฝ่ามือคู่เดียวกับที่ใช้ปกป้องทำลายไปเสียหมด

 

สงครามหยุดดำเนินไปชั่วขณะ…ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในรูปลักษณ์ที่สุภาพจนแทบไม่เหลือเค้าความเดิมในชื่อว่า ‘หมากรุกชิงเมือง’

 

เกมกระดานขนาด 8 คูณ 8 ช่องถูกยกลงมาจำลองบนผืนดินจริงหลายสิบกิโลเมตร หมากรุกถูกแทนที่ด้วยคนหนุ่มไฟแรงที่มีความรู้ความสามารถ เจ้าของตำแหน่งไม่ว่าคิง ควีน เรือ ม้า บิชอป หรือแม้แต่เบี้ยเมื่อครอบครองสัญลักษณ์ของตำแหน่งแล้วล้วนมีสิทธิในการเดินเป็นของตนเอง เช่นเดียวกับที่ต้องรักษาสิทธิและชีวิตของตนบนกระดานด้วยการต่อสู้เพื่อชนะอีกฝ่าย การบาดเจ็บล้มตายมีขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่หากเทียบกับในอดีตแล้วถือว่าดีกว่ามากนัก

 

สงครามถูกเปลี่ยนชื่อไปเป็น ‘เกม’ ที่แม้แต่เด็กก็สามารถรับรู้และร่วมให้กำลังใจเมืองของตัวเองได้

 

ผู้ท้าชิงหากชนะจะได้พื้นที่ตามจำนวนที่ขอโดยทำเลจะถูกเลือกโดยอีกเมืองที่เป็นเจ้าของ แต่หากแพ้ก็ต้องเสียเมืองตามจำนวนพื้นที่ที่ตัวเองเคยขอและสิทธิการกำหนดทำเลจะตกไปเป็นของอีกฝ่าย

 

กฎมีเพียงเท่านี้

 

ความสูญเสียก็มีเพียงเท่านี้

 

หากแต่ความเจ็บปวดนั้น…

.

.

.

.

…ไม่ได้ลดลงเลย

 

 

 

 

 

 

                                                                   Checkmate

 

 

 

 

                

                 ฤดูหนาวในปีหนึ่ง

หิมะแรกตกลงมาปกคลุมเมืองคาราสุโนะจนทำให้หลังคาสิ่งก่อสร้างเต็มไปด้วยกองหิมะราวกับหมวกสีขาวใบโต สองเท้าของผู้ได้รับเลือกจากทั่วเมืองเดินมาบรรจบยังโรงฝึกประจำเมือง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเก่าโบราณของโรงฝึกที่นับว่าเป็นที่ประชุมก่อนการลงแข่งหรือเพราะหน้าหนาวที่อึมครึมกันแน่ทั้งโรงฝึกจึงตกอยู่ในความเงียบสงบ

 

จนกระทั่ง…

 

“หลบไปเจ้าเตี้ย ให้ฉันเข้าไปก่อนสิฟระ!”

 

“ฉันมาก่อนต้องได้เข้าก่อนสิ”

 

“แต่ฉันมาก่อน”

 

“ฉันต่างหากที่มาก่อน!”

 

เสียงโหวกเหวกดังอยู่หน้าประตูจนทำให้คนที่มารออยู่ก่อนแล้วต้องเดินเข้าไปห้ามทัพ

 

“ใจเย็นๆ ก่อนนะพวกนาย” แต่ทั้งน้ำเสียงและท่าทางที่เป็นมิตรเหล่านั้นกลับเข้าไปไม่ถึงโสตประสาทของคนที่แย่งกันจะเข้าโรงฝึกเป็นที่หนึ่งแม้แต่น้อย และถึงซาวามุระจะพยายามพร่ำบอกคนทั้งสองอีกสักกี่ครั้งก็ไม่มีทีท่าว่าเด็กใหม่ทั้งสองจะสนใจ จนในที่สุดก่อนที่สายลมอันอบอุ่นจะเปลี่ยนเป็นพายุฤดูหนาวเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“นี่เรอะเด็กใหม่ในหมากรุกชิงเมือง”

 

เสียงชายวัยกลางคนดังมาจากทางด้านหลังของเด็กใหม่ทั้งสอง บนทางเดินสีขาวโพลนปรากฏร่างของหนึ่งในคณะผู้ดูแลเมืองคาราสุโนะที่พวกเขามักจะเรียกว่า ‘ผู้อำนวยการ’ เบื้องหลังของอีกฝ่ายคือนักข่าวและนักหนังสือพิมพ์กลุ่มเล็กๆ ที่ถูกนัดให้มาในวันนี้

 

เป็นธรรมเนียมของทุกปีก่อนจะเริ่มฤดูกาลใหม่ในเกม ‘หมากรุกชิงเมือง’ ที่ทั้งทีมคาราสุโนะจะร่วมกันกำหนดเป้าหมายของเมืองรวมไปถึงประกาศตัวผู้เล่นใหม่ที่จะเป็นผู้เล่นในกระดานสำคัญนี้ คนที่จะได้ยืนอยู่ในตำแหน่งผู้เล่นไปอีก 3 ปี

 

และตัวเขาเองก็คือหนึ่งในนั้น

 

ความวุ่นวายเล็กๆ ที่หน้าประตูค่อยๆ เลือนหายไปหลังจากที่ผู้อำนวยการเดินเข้ามา ทุกคนยืนเรียงแถวเพื่อทำความเคารพ หลังจากนั้นเด็กใหม่ทั้งสี่ก็ถูกแยกไปรวมกันอยู่ทางด้านหนึ่งเพื่อรอให้พวกรุ่นพี่ ผู้อำนวยการและนักข่าวปรึกษาบางอย่างกันเสียก่อน

 

ดวงตาทั้งสี่คู่มองไปรอบตัวอาคารไม้โบราณที่ได้ชื่อว่าถูกใช้เพื่อฝึกซ้อมและวางกลยุทธ์ในเกมหมากรุกชิงเมืองมาตั้งแต่สมัยแรกเริ่ม ตัวไม้ที่ประกอบกันจนเป็นโรงฝึกนี้แค่ดูก็รู้ว่าได้ผ่านเวลามาเนิ่นนานเพียงใด แต่ที่น่าแปลกใจคงเป็นการที่เมืองนี้ยังรักษาโรงไม้เก่าๆ แห่งนี้ไว้อย่างดีมาได้นานหลายร้อยปีจนถึงทุกวันนี้

 

เป็นแค่โรงไม้เก่าๆ แต่ในความฝันของเหล่าเด็กที่อยากลงกระดานชิงเมืองสักครั้งที่แห่งนี้ก็ไม่ต่างกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีแต่ผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะสามารถเข้ามาได้ ดวงตาสีส้มมองไปรอบตัวพร้อมสูดลมหายใจเข้ารับบรรยากาศที่อบอวลอยู่ตรงหน้า พลันดวงตาก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มอย่างไม่อาจจะบรรยายได้ ส่วนใบหน้านั้น…

 

“อ๊าก! นะ…หน้า!” เสียงร้องด้วยความตกใจดังมาจากคนผมสีเข้มที่ยืนอยู่ทางฝั่งซ้ายของเจ้าตัว เรียกให้เพื่อนร่วมทีมปีหนึ่งอีกสองคนต้องหันมามองยังคนสองคนที่ยืนอยู่ตรงกลาง

 

“หนวกหูน่ะยา…”

 

“อึ่ก…”

 

…ใบหน้าที่ยินดีราวกับหมาที่ถูกเจ้าของพาออกมาเดินเล่นของคนผมสีดวงอาทิตย์นั้นทำให้เพื่อนร่วมทีมถึงกับตกใจไม่ก็ถอยห่าง

 

สำหรับฮินาตะ โชวโยที่นี่เหมือนดั่งความฝันที่เป็นจริง แค่เพียงรอให้ผ่านพ้นฤดูหนาวนี้เขาก็จะได้ลงสนามเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเกมหมากรุกที่เคยแต่ดูผ่านหน้าจอทีวีแล้ว แค่คิดก็แทบจะอดใจไม่ไหวอยากจะลงไปเล่นซะเดี๋ยวนั้น

 

เวลาผ่านไปพักหนึ่งก็ดูเหมือนรุ่นพี่และผู้อำนวยการจะคุยกันเรียบร้อย พวกเขาจึงถูกเรียกให้ไปแนะนำตัวกันทีละคน และถือโอกาสให้ผู้อำนวยการที่ถือเป็นคนจากสภาได้ให้โอวาทแก่เด็กๆ

 

‘สภาคาราสุโนะ’ สถานที่ของผู้กล้าทีมคาราสุโนะที่เคยเข้าร่วมการแข่งขันหมากรุกชิงเมืองมาก่อน ผู้แข่งทุกคนจะมีเวลาในสนามแห่งนี้เพียงแค่ 3 ปี และจะมีเด็กรุ่นใหม่ขึ้นมาเพื่อผลัดเปลี่ยนส่งต่อรุ่นสู่รุ่น เมื่อครบกำหนดชื่อของพวกเขาก็จะถูกยกขึ้นให้อยู่ในสภาคาราสุโนะ สถานที่อันทรงเกียรติที่มีเพียงคาราสุโนะเท่านั้น

 

แต่มันก็แค่นั้นแหละ

 

สึกิชิมะ เคย์ถอนหายใจกับการให้โอวาทที่แสนน่าเบื่อจากผู้อำนวยการที่มาในนามของสภาคาราสุโนะ

 

สภางั้นเหรอ?

 

ยกย่องเสียยิ่งใหญ่ แต่ความจริงก็คือที่บรรจุรายชื่อคนที่เคยลงเล่นในกระดานชิงเมืองมาก่อนเท่านั้นเอง พอครบกำหนด 3 ปีคนเหล่านั้นก็เพียงแค่มีสิทธิเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกับนโยบายของเมืองแต่ก็ไม่ได้ต่างจากคนธรรมดาทั่วไป ถ้าเคยมีชื่อเสียงทำผลงานไว้ก็จะเป็นที่จดจำ แต่ถ้าหากไร้ซึ่งผลงานหรือเคยทำพลาดก็มีแต่จะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านก็เท่านั้น

 

เสียงชัตเตอร์และแสงแฟลชสาดเข้าดวงตาของยามากุจิ ทาดาชิผู้เข้าแข่งขันรุ่นปัจจุบันที่ยืนหันหน้าเข้าหาผู้อำนวยการที่กำลังกล่าวต้อนรับเด็กใหม่ หลังจากนั้นกัปตันคนปัจจุบันอย่างซาวามุระ ไดจิก็ขึ้นมากล่าวถึงเป้าหมายในปีนี้ของทีมต่อ ทุกภาพและทุกคำพูดของพวกเขาได้ถูกบันทึกไว้ เป็นดั่งหน้าที่ที่ต้องแบกไว้ในหนึ่งปีนี้ ไม่ว่าในท้ายที่สุดพวกเขาจะสามารถทำได้หรือไม่ได้ก็ตาม

 

“คาราสุโนะเป็นเมืองที่หลายปีก่อนเคยมีชื่อเสียงจากการชิงเมือง…” คาเงยามะตั้งใจฟังประวัติเมืองช่วงหนึ่งที่ถูกเล่าจากปากของกัปตัน เขารู้ดีว่าสมัยก่อนคาราสุโนะเองก็มีชื่อเสียงในเรื่องเกมหมากรุกชิงเมืองจนถึงกับสร้างความหวั่นเกรงให้กับเมืองอื่นๆ ได้ไม่น้อย แต่ปัจจุบันมันกลับไม่ใช่แบบนั้น

 

 

คาราสุโนะในตอนนี้ได้ตกต่ำลง

 

 

 

“บางคนก็เรียกเราว่าอีกาที่บินไม่ขึ้น…”

 

 

 

 

เงียบ…

 

 

 

 

“แต่ในปีนี้เราจะลงกระดานเพื่อลบล้างคำปรามาสนั้น คาราสุโนะในปีนี้จะกลับมาโผบินอีกครั้ง เราจะนำทุกอย่างที่เคยเสียไปกลับคืนมา”

 

 

สายลมฤดูหนาวพัดมาพร้อมกับหิมะสีขาวที่ยังไม่หยุดตก เท้าของคนสองคู่ยังคงเดินต่อไปเพื่อกลับไปยังบ้านของตน ความเงียบสงบระหว่างพวกเขายังคงดำเนินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงทางแยกหนึ่ง

 

“ฉันจะไปทางนี้สักหน่อย”

 

“อืม” พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจก่อนจะเดินเลี้ยวไปทางขวาที่เป็นทางกลับบ้านของตน แต่เมื่อต้องผ่านย่านร้านค้าเขาก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้

 

สองเท้าหยุดลงมองไปยังร้านค้าที่ประดับไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาล ต้นสนที่สูงพอๆ กับตัวคนถูกวางประดับไว้หน้าร้านอย่างเป็นธรรมเนียมทุกปี มีกล่องของขวัญหลากหลายขนาดวางอยู่ใต้ต้นสนเหล่านั้น ตามหน้าร้านประดับประดาด้วยดวงไฟหลากหลายสีสันและเถามิสเซิลโทที่ให้ความอบอุ่นจนน่าเข้าไปหลบไอหนาวในร้านค้า

 

วันคริสต์มาส…ความจริงก็เป็นแค่เทศกาลหนึ่งเท่านั้น

 

เพียงแต่…

 

ใบหน้าหันมองไปยังทางที่เคยเดินผ่านมา ตรงทางแยกนั้นบัดนี้ไร้ซึ่งร่างของใครอีกคนที่เพิ่งจะแยกจากกันไปเมื่อครู่ ฝ่าเท้าก้าวเดินจะกลับไป แต่แค่เพียงก้าวเดียวก็หยุดความคิดนั้นไว้และสั่งให้ตัวเองกลับไปทางเดิม

 

 

…มันก็แค่วันธรรมดาวันนึง

 

 

 

ที่อีกฟากในวันธรรมดาวันหนึ่ง

 

ระยะเวลาผ่านไปพักหนึ่ง ร่างที่สวมโค้ทตัวหนาก็เดินมาถึงร้านที่เป็นจุดหมายปลายทางของตน ร้านดอกไม้เล็กๆ ที่ถูกตกแต่งอย่างอบอุ่นสมกับเป็นวันคริสต์มาส เขาผลักประตูกระจกใสเข้าไปก่อนจะได้ยินเสียงเอ่ยยินดีต้อนรับดังขึ้นพร้อมกับเสียงกระดิ่งที่ห้อยไว้เหนือประตู

 

“ยินดีต้อนรับค่ะ” เด็กสาวผมสีบลอนด์เอ่ยขึ้นพร้อมใบหน้าที่ยิ้มแย้มอย่างทุกที ยกเว้นก็แต่หมวกซานต้าที่สวมอยู่ต่างออกไปจากทุกที เขาทักเธอกลับก่อนจะเดินไปดูดอกไม้ในร้านที่มาหลายครั้งจนจำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้างแล้ว สุดท้ายเขาก็หยิบดอกไม้ดอกหนึ่งขึ้นมา

 

“วันนี้ก็เป็นดอกเบญจมาศสีขาวหรอคะ… อ๊ะ! คือฉันไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเลยนะคะ! แต่ลืมตัวถามไปเพราะสงสัยว่าวันนี้เป็นวันคริสต์มาสส่วนใหญ่คนก็เลยซื้อดอกไม้สีแดงกัน ต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ!!!” พูดจบเด็กสาวก็โค้งคำนับให้เป็นการขอโทษทั้งๆ ที่เขาเองยังไม่ได้พูดอะไรออกไปเลย เขาตกใจไปพักหนึ่งก่อนจะเรียบเรียงคำพูดตอบกลับเธอไปให้เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง

 

สายตามองออกไปนอกประตูร้านที่เป็นกระจกก็เห็นหิมะเริ่มจะตกหนักขึ้นทุกที เพื่อไม่ให้การเดินทางแย่ลงไปกว่านี้เขาจึงไม่ได้ชวนอีกฝ่ายคุยหรือพูดอะไรต่อ

 

สองเท้าก้าวไปตามเส้นทางที่เต็มไปด้วยหิมะ มือข้างหนึ่งซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทที่มีถุงร้อนอยู่ด้านใน ส่วนอีกข้างก็ถือดอกไม้ที่เพิ่งซื้อมาไว้ ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้เขาต้องใส่ชุดยูกาตะเพื่อเข้าร่วมพิธีรับคนเข้าทีมไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน ดีแค่ไหนแล้วที่พิธีนั้นกินเวลาไม่นานสักเท่าไหร่และไม่ใช่พิธีกลางแจ้ง

 

ทัศนียภาพเบื้องหน้าค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป จากที่เต็มไปด้วยบ้านคนนั้นก็เบาบางลงเหลือเพียงป่าหญ้ารกๆ กับต้นไม้สูงที่ไม่เคยได้รับการดูแลมาตลอดหลายปี พื้นถนนที่เคยเป็นทางเดินก็ถูกหญ้าและหิมะปกคลุมจนยากจะมองเห็น เบื้องหน้ามีแต่ความมืดแต่เขาก็ยังเลือกที่จะฝ่าเข้าไปในนั้น จนกระทั่งเดินมาสุดทาง

 

รั้วเหล็กสูงตรงหน้ายังคงเปล่าเปลี่ยวเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ถ้าจะบอกว่ามีตรงไหนที่เปลี่ยนแปลงไปก็คงจะเป็นมุมมองที่อีกฟากของรั้วสูงในตอนนี้ได้มีหิมะปกคลุมต้นหญ้าเอาไว้จนเป็นสีขาวไม่ต่างจากอีกฟากฝั่งที่เขายืนอยู่

 

มีแค่ท้องฟ้าเท่านั้นที่ไม่อาจขวางกั้น

 

มือข้างขวายกดอกไม้ขึ้นมาตรงหน้าก่อนเอ่ย “เมอรี่คริสต์มาส” แล้ววางดอกไม้นั้นลงบนพื้นหิมะ ดอกเบญจมาศสีขาวกลืนไปกับพื้นที่ปูด้วยหิมะจนหากไม่สังเกตก็คงไม่มีใครเห็น

 

 

แต่สถานที่แบบนี้ก็คงไม่มีใครมาอยู่แล้ว

 

 

“วันนี้ก็ยังเป็นดอกเบญจมาศหรอ”

 

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากอีกฟาก ทำให้คนที่คิดว่าตัวเองอยู่คนเดียวมาตลอดต้องตกใจจนถอยหลังไปตั้งหลัก สายตามองหาต้นเสียงก่อนจะไปสบเข้ากับใครอีกคนที่ยืนอยู่อีกฟากของรั้วเยื้องกันกับเขา

 

“คุณ…”

 

“ไม่ต้องตกใจไป ฉันแค่สงสัยน่ะว่านายไม่คิดจะเปลี่ยนดอกไม้บ้างหรอ”

 

“…” เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรด้วยไม่คาดคิดว่าจะมีใครมาที่นี่มาก่อน

 

“พอถึงฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนตอนนั้นดอกเบญจมาศจะยังบานได้อยู่อีกหรอ”

 

“…ไม่รู้สิครับ” เขาตัดบทสนทนาแต่เพียงเท่านั้น หันหลังให้กับอีกฝ่ายเพื่อกลับไปทางเดิมของตนเอง

 

“น่าสงสารจังนะ”

 

เขาชะงัก แต่ก็แค่ชั่วครู่เดียวก่อนจะหันหลังกลับราวกับไม่ได้ยินเสียงใดๆ

 

“พรุ่งนี้ดอกไม้ดอกนั้นก็จะถูกหิมะกลบหายไปหมดแล้ว…”

 

….

..

.

.

.

.

 

“…ถ้าขอเอาไปสตัฟฟ์ไว้ที่เซโจวจะได้มั้ยนะ?”

 

 

 

 

 

 

 

 

To be continue…