กระดานที่ 2
เรือ
ตั้งแต่อดีตตัวเขาก็เติบโตมากับภาพของเมืองอันรุ่งเรือง
ภาพของเหล่านับรบผู้กล้าในชุดยูกาตะสีดำถูกปิดประกาศไปทั่วเมืองชั้นสองแห่งนี้ หากได้ลองเดินไปตามร้านค้าหรือย่านชุมชนในช่วงฤดูกาลแข่งขันแล้วไซร้ คงยากจะไม่ได้ยินเสียงชื่นชมคนเหล่านั้นมาจากที่ไหนสักแห่ง
ดั่งเสียงนกที่ขับขานเรื่องราวต่อกันไป
ในขณะเดียวกันเมื่อเดินผ่านสนามเด็กเล่นเองก็คงจะขาดสิ่งที่เรียกว่าเกมกระดานหมากรุกไปเสียไม่ได้ บ้างก็เล่นเดินกระดานปกติ บ้างก็ขีดเขียนบนกองทรายเพื่อสร้างช่องกระดานขึ้นมาเลียนแบบสนามจริง และแม้ว่าจะถูกผู้ใหญ่สักกี่คนเอ็ดใส่ เด็กเหล่านั้นก็ยังทดลองต่อสู้กันได้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันดั่งว่านั่นเป็นเสียงชม
ยามากุจิจำได้ว่าตัวเขาเป็นเด็กขี้กลัวคนหนึ่งที่ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างสนามซะส่วนใหญ่ แม้ว่าในความเป็นจริงจะอยากลงเล่นกับเขาบ้างก็ตาม แต่เมื่อเห็นเด็กโตๆ สู้กันแล้วเขาก็รู้สึกว่าไม่น่าจะร่วมวงด้วยไหว
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ขุดความกล้าขึ้นมาได้
“ห๊า จะเล่นกับพวกเราหรอ” เสียงดังมาจากเด็กคนหนึ่งที่เป็นหัวโจก เขาดูตัวใหญ่กว่าใครเพื่อนแม้ว่าจะอยู่ชั้นปีเดียวกันกับยามากุจิก็ตาม และนั่นก็ทำให้เขาดูน่ากลัวมากเข้าไปอีกเมื่อเดินเข้ามาใกล้
“อือ จะให้ฉันเล่นตำแหน่งอะไรก็ได้นะ”
แล้วหลังจากนั้นเขาก็ได้รับตำแหน่งเบี้ยในกลุ่มอยู่เรื่อยไป
ในการเล่นแต่ละครั้งมีพื้นที่ค่อนข้างน้อย ตอนนั้นจำได้ว่ายังใช้กระดาษมาวาดทำตาราง 8 ช่องกันเพื่อใช้แทนกระดานจริง ตาเดินทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นบนกระดานจำลองบนกระดาษ นอกเสียจากถึงตาที่จะต้องสู้กันกับอีกฝ่าย
“ไปเลย ไปชนะมันมาซะยามากุจิ”
เสียงสั่งการดังมาจากคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ทุกคนเลิกมุงไปที่กระดานกระดาษจำลองแล้วหันมายังเขาที่ก้าวไปยังกลางลานเพื่อต่อสู้ สองมือยกขึ้นกำไว้ตรงอกเพื่อเตรียมต่อสู้กับเด็กที่มาจากอีกทีมท่ามกลางสายตาที่จ้องมองมาเป็นตาเดียว ตอนนั้นเขาก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองสู้กับใครและชนะหรือไม่ รู้สึกตัวอีกทีก็ฟื้นขึ้นมาเพราะแรงเขย่าจากเพื่อนร่วมทีมเสียแล้ว
“แกนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”
เหมือนว่าเด็กคนนั้นจะปรามาสอะไรเขาไว้อีกสองสามอย่างและห้ามไม่ให้เล่นด้วยอีก แต่ถึงอย่างนั้นพอไม่มีคนลงให้เท่ากันในกระดานเขาก็ถูกเรียกให้มาเล่นด้วยอีกครั้งจนได้
เป็นช่วงวัยเด็กที่ไม่น่าจดจำเท่าไหร่
เวลาล่วงเลยไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่ง…วันที่นกสีดำได้ร่วงหล่นจากกิ่งของยุคสมัยอันรุ่งเรือง
ไม่มีใครเชื่อ…ไม่สิ คงจะเรียกว่าไม่มีใครรู้ตัวว่าวันเวลานั้นได้มาถึงแล้วจะดีกว่า
ผู้คนยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ ขับขานเรื่องราวของเหล่านักรบที่ทั้งตื่นเต้นและน่าหลงใหล แม้ว่าจะได้ยินเสียงเล่าลือว่าความตื่นตาตื่นใจนั้นใกล้จะมอดดับลงแต่ก็ไม่มีใครรับฟังเสียงที่ไม่ไพเราะเหล่านั้น พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของนักรบของตนจนหมดใจ
แต่ความจริงก็ยังคงเป็นความจริง
ความแห้งแล้งได้พัดพากิ่งของความรุ่งโรจน์ให้หายไปจากลำต้นที่มีชื่อว่าคาราสุโนะเสียแล้ว
กำแพงเหล็กสูงลิบลิ่วตั้งตระหง่านแบ่งแยกเมืองชั้นเอกและเมืองชั้นสองออกจากกัน ในวันนั้นทันทีหลังจบการแข่งที่คาราสุโนะไม่ใช่ผู้กำหนด…เด็กหลายสิบคนกลายเป็นเด็กกำพร้าในชั่วข้ามคืน
ในตอนที่หันไปมองบนกระจกที่ร้านค้าที่ไหนสักแห่งภาพบนนั้นสะท้อนใบหน้าอมทุกข์ของครอบครัวเพื่อนบ้านที่ย้ายมาใหม่ลงบนใบหน้าของเขา และเมื่อโตขึ้นจึงได้เข้าใจถึงเหตุผลว่าทำไมคนในเมืองชั้นสองจึงเพิ่มขึ้น
และเมื่อเข้าใจแล้วตัวเขาที่เป็นได้แค่เบี้ยจึงเลือกที่จะก้าวลงกระดานนี้
นั่นคงเป็นความหมายของการ ‘นำทุกสิ่งที่เสียไปกลับคืนมา’ สำหรับเขา
“…มะกุจิ ยามากุจิ!”
เสียงเรียกดังเข้ามาในโสตประสาท ภาพตรงหน้ากลับมาเป็นโรงฝึกคาราสุโนะอีกครั้ง เขาหันไปทางเสียงเรียกและพบกับใบหน้าของฮินาตะที่เอียงคอมองอย่างสงสัย
“มีอะไรหรอ”
“ทุกคนจะเริ่มฝึกกันแล้วนะ”
“เอ้ะ…”
ดูเหมือนว่าเขาจะเหม่อไปหน่อยเพราะเมื่อมองไปรอบข้างก็เริ่มเห็นทุกคนแยกย้ายกันไปฝึกตามโปรแกรมที่ครูฝึกวางไว้ จะเหลือก็แต่เขาที่ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้โดยมีฮินาตะยืนมองอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“โทษทีนะ” เขาว่าก่อนจะออกเดินไปยังส่วนฝึกซ้อมการป้องกันตัวโดยไม่ใช้อาวุธที่ครูฝึกกำลังเริ่มอธิบายวิธีการฝึกอยู่ ไม่ไกลจากกันนั้นก็มีเสียงของฮินาตะที่คุยกับคาเงยามะเป็นระยะๆ
“คราวนี้ล่ะฉันจะเก่งกว่าแกแล้วเล่นทั้งเรือและเบี้ยให้ดู”
“ไม่มีทางหรอกเจ้าเซ่อ เล่นเรือได้ก็ดีเกินไปแล้ว”
“หา? เรือเนี่ยนะ เดินพลาดนิดนึงก็โดนกินแล้ว” ฮินาตะเถียง
“นั่นเพราะแกเดินไม่ดูตาม้าตาเรือต่างหาก”
และถ้าหากไม่ได้อยู่ในระหว่างการฝึกทั้งสองคนก็คงจะวางมวยกันไปแล้ว
หลังจบการอธิบายจากครูฝึกการลองฝึกเดี่ยวของจริงเพื่อให้คุ้นชินก็เริ่มต้นขึ้น และหลังจากนั้นก็เข้าสู่การซ้อมต่อสู้เป็นคู่ที่จะมีขึ้นเพื่อดูพัฒนาการทุกวัน
เวลาฝึกได้ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงบ่าย การฝึกต่อสู้ตัวต่อตัวที่จะวนเวียนเปลี่ยนคู่ต่อสู้ไปเรื่อยๆ ก็ได้เริ่มขึ้น
“จำนวนคู่เข้ากันพอดี งั้นก็เริ่มซ้อมได้” เสียงดังมาจากครูฝึก
“ขอความกรุณาด้วยครับ!” เขาหันหน้าก่อนจะโค้งคำนับให้กับฮินาตะที่เป็นคู่ฝึกของเขาในตอนนี้
การต่อสู้ในวันนี้คือการจับสังเกตอีกฝ่ายและใช้แรงของคู่ต่อสู้ให้เป็นประโยชน์ เขาเตรียมตัวตั้งท่าเพื่อให้การยืนสมดุล ตั้งสมาธิรอคอยการจู่โจมและหาช่องทางจู่โจมอีกฝ่ายไปพร้อมๆ กัน
…สมาธิ…
ในตอนที่อีกฝ่ายเปิดช่องโหว่วและเขากำลังจะเข้าจู่โจมร่างกายก็ถูกพลิกกลับ โลกหมุนไปชั่วครู่จนรู้สึกตัวอีกทีก็มองเห็นแต่เพดานและใบหน้าของที่กำลังยืนคร่อมตัวเขาอยู่
“วันนี้นายดูไม่ค่อยมีสมาธิเลยนะยามากุจิ” ฮินาตะเอ่ยขึ้นขณะที่ยื่นมือมาพยุงตัวเขาลุกขึ้น
คงจะจริงที่วันนี้เขาดูไม่ค่อยมีสมาธิสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อยากจะแพ้ในการฝึกไปตลอดเหมือนกัน
การต่อสู้แบบคู่ยังคงดำเนินต่อไปโดยหมุนเปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงพัก…
“โอ้สส! ซ้อมกันอยู่งั้นหรอ”
เสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจดังมาจากหน้าประตูโรงฝึก ทุกคนต่างหันไปมองกันเป็นตาเดียวว่าใครที่เข้ามาในเวลานี้ และพบกับชายร่างเล็กที่น่าจะสูงพอๆ กับฮินาตะไว้ผมตั้งและตรงกลางทำไฮไลท์สีทองเด่นเป็นเอกลักษณ์
“นิชิโนยะ!!!/โนยัตซัง!!!”
“โอ้! ทุกคน ยังสบายดีสินะ”
รุ่นพี่ปีสองและปีสามต่างเข้าไปรุมล้อมชายคนนั้น ทิ้งให้รุ่นน้องผู้มาใหม่ยืนงงอยู่ด้านหลังและในตอนที่พวกรุ่นพี่ในทีมตระหนักได้ว่ายังมีรุ่นน้องทั้งสี่ยืนงุนงงกับผู้มาเยือนอยู่ตรงนี้พวกเขาก็ถูกแนะนำให้รู้จักกับชายคนนั้น
“นี่เด็กใหม่ปีนี้ล่ะ ฮินาตะ คาเงยามะ สึกิชิมะ แล้วก็ยามากุจิ” เขาทำความเคารพอีกฝ่าย “ส่วนนี่นิชิโนยะ ยู อยู่ปีเดียวกับฉัน…คนเล่นเบี้ยสามตัวในทีมเรา” พอเอนโนชิตะซังว่าจบเสียงอุทานที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นก็ดังมาจากฮินาตะ
“สุดยอด!!! คนนี้สินะครับผู้พิทักษ์ของคาราสุโนะที่เล่นเบี้ยสามตัวได้!!!”
“โอ้ ฉันนี่แหละ ยินดีที่ได้รู้จักนะ!” อีกฝ่ายตอบรับพรางยืดอกอย่างภาคภูมิใจ “แล้วนายล่ะเล่นตำแหน่งอะไร”
“ผมฮินาตะ โชโย เล่นตำแหน่งเรือครับ! อ้อ แล้วก็ตอนนี้กำลังรับหน้าที่เล่นเบี้ยด้วยอีกตำแหน่ง ฝากตัวด้วยนะครับรุ่นพี่!!!” เมื่อฮินาตะแนะนำตัวเสร็จคนที่ถูกเรียกว่า ‘รุ่นพี่’ ก็เงียบไป
“…นาย”
“ครับ?”
“โชโยสินะ” ฮินาตะพยักหน้า “พูดคำเมื่อกี้อีกทีสิ”
“?? คำเมื่อกี้?” คนถูกขอให้พูดอีกทีหน้าเหวอไปอย่างไม่รู้ว่าคำไหนที่อีกฝ่ายว่า จนกระทั่งเหล่ารุ่นพี่ปีสองที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องส่งสัญญาณเป็นคำใบ้ให้
“อ้อ รุ่นพี่! รุ่นพี่นิชิโนยะ!”
เพียงแค่นั้นทุกคนในโรงยิมก็ได้เห็นความภูมิใจอันล้นปรี่ปรากฏบนใบหน้าของคนที่ได้ชื่อว่ารุ่นพี่
ยามากุจิตัดสินใจหลบออกมาหาที่นั่งพักอยู่ริมโรงฝึกไม่ไกลจากส่วนที่รุ่นพี่กำลังคุยกับฮินาตะอยู่
“เรืองั้นเหรอ เป็นตำแหน่งที่ดีเลยนี่”
“แต่ว่าพอเล่นเรือแล้วผมเผลอเข้าไปถูกกินตลอดเลย”
“เรือถ้าใช้ได้ดีจะเป็นทั้งป้อมที่ปกป้องคิงและปืนใหญ่ที่ทะลวงศัตรู และการป้องกันที่ดีที่สุดก็คือการรุกล่ะนะ” เสียงอธิบายเพิ่มดังมาจากรองกัปตันสึกะวาระที่อยู่ไม่ไกล
“…ปืนใหญ่ ผมนึกว่ามีแต่ม้าซะอีกถึงจะทำได้” ฮินาตะกล่าวเสริม “แต่ผมเห็นตำแหน่งม้ามันว่างอยู่ที่นึงไม่ใช่หรอครับ”
ความเงียบโปรยลงในชั่วขณะหนึ่ง…แล้วจางหายไป
“ความจริงแล้ว…” สึกะวาระอ้ำอึ้ง
“นี่เขายังไม่กลับมาอีกหรอครับ” รุ่นพี่ผู้มาใหม่เอ่ยถามขึ้น หน้าตาที่ประดับด้วยแววตาที่มุ่งมั่นนั้นราวกับมีแววกดดันซ้อนทับอยู่แต่คนที่โพล่งเรื่องนี้ออกมากลับไม่ได้รับรู้ถึงความกดดันนี้เลย
ดวงตาสีส้มจับจ้องไปที่ภาพวาดสัญลักษณ์โล่ที่แขวนอยู่ตรงกลางโรงฝึกทิศหนึ่ง สิ่งนั้นคือสัญลักษณ์ของเรือ ดวงตาวาวขึ้นเมื่อได้ยินคำว่า ‘ปืนใหญ่ที่ทะลวงศัตรู’ เหมือนว่าเจ้าตัวจะมีคนที่เป็นต้นแบบในด้านนี้อยู่เลยดูจะดีใจขึ้นมากับตำแหน่งที่ตัวเองได้รับมากขึ้นกว่าเดิม
“ฮินาตะมีเรื่องจะถามนายด้วยล่ะ” ในตอนนั้นกัปตันไดจิก็เดินเข้ามา
“อ๊ะ ใช่ครับ รุ่นพี่นิชิโนยะเล่นเบี้ยสามตัวได้ยังไงหรอครับ จะทำยังไงถึงจะจบเกมให้เร็วที่สุดแล้วปกป้องเบี้ยทั้งสามตัวได้งั้นเหรอ” ฮินาตะถามขึ้นอย่างกระตือรือร้น ทำให้ผู้พิทักษ์ที่กำลังเคร่งเครียดอยู่หันมาสนใจ
“อืม…ที่ทำได้แบบนั้นคงเพราะไดจิซังกับสึกะซังล่ะนะ” นิชิโนยะตอบอย่างไม่ปิดบัง “ปกติแล้วฉันไม่ค่อยจะได้เจอการต่อสู้พร้อมกันเกินสองตำแหน่งหรอกนะ โชโย”
“เพราะไดจิซังกับสึกะซังจะคอยวิเคราะห์ตาเดินให้พวกเราไม่ตึงมือมากน่ะ” รุ่นพี่ปี2 คิโนชิตะเอ่ยเสริม
“แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันนะที่ฉันกับไดจิพลาดจนพานิชิโนยะเข้าไปเจอศัตรูพร้อมกันน่ะ”
“แต่โนยัตซังก็รอดมาได้!” ทานากะเอ่ยอย่างชื่นชม
“ทำยังไงหรอครับ!” ฮินาตะตาวาว
“นายก็ต้องจบเกมให้เร็วที่สุด และบางครั้งก็ต้องใช้ท่าไม้ตาย”
“ทะ…ทะ…ท่าไม่ตาย!”
“แต่ในบางสถานการณ์อย่างที่เบี้ยสามตัวเดินไปเจอศัตรูพร้อมกันก็อาจจะต้องทิ้งเบี้ยบางตัวไปบ้าง เพื่อรักษากำลังไว้เดินต่อล่ะนะ” กัปตันไดจิเดินเข้ามาสมทบ
“แต่ครั้งหน้าผมจะรักษามันไว้ให้ได้เลยครับ!” นิชิโนยะพูดอย่างมุ่งมั่น
“รุ่นพี่นิชิโนยะ! ช่วยสอนท่าไม้ตายให้ผมทีสิครับ!!!” ฮินาตะว่าอย่างมุ่งมั่นจนคนเป็นรุ่นพี่ตกปากรับคำ
“ได้เลย! งั้นฉันจะทำให้ดูดีมั้ยล่ะ”
“ครับ!” พูดจบคนเป็นรุ่นพี่ก็กวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะไปปะทะสายตาเข้ากับยามากุจิที่นั่งอยู่ไม่ไกล
“เฮ้! ช่วยมาทางนี้หน่อยสิ” ยามากุจิลุกเดินไปหาตามเสียงเรียกของรุ่นพี่ที่ตัวเล็กกว่า “เดี๋ยวนายกับฮินาตะสู้ตัวต่อตัวกับฉันนะ”
!!?
ยามากุจิไม่มีเวลาแม้แต่จะแย้งว่าอีกฝ่ายคิดดีแล้วเหรอและเขาขอถอนตัวได้มั้ย พอรู้ตัวอีกทีก็ถูกพามาตรงลานกลางโรงฝึกที่ปูด้วยเบาะรองไว้อยู่ก่อนแล้วเขาจึงจำใจต้องตั้งการ์ดเตรียมต่อสู้
ตามกฎพื้นฐานข้อหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘ถ้าคนคุมหมากไม่สู้เมื่อถึงตาต่อสู้เกิน 5 นาทีหมากตัวนั้นก็จะถูกกินไปโดยปริยาย’ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของยามากุจิและฮินาตะคือสู้ตัวต่อตัวกับรุ่นพี่ปี 2 นิชิโนยะให้นานเกินคนละ 5 นาทีเท่านั้น อีฝ่ายก็จะกลับไปรักษาตำแหน่งเบี้ยอีกฝั่งไม่ทัน
ความเงียบเข้าปกคลุมโรงฝึกชั่วขณะ ทุกคนต่างกระจายตัวออกรอชมการต่อสู้
“ย่าห์!”
ฮินาตะเริ่มรุกหมัดใส่รุ่นพี่ตรงหน้า แต่คนที่ตัวเล็กกว่าก็อาศัยจังหวะนั้นรุกคืบเข้าจับคอเสื้อฮินาตะไว้ก่อนจะทุ่มลงกับพื้นและล็อคคอเอาไว้จากด้านหลัง ไม่นานฮินาตะก็ค่อยๆ หยุดดิ้นรนและเหมือนจะ….สลบไปแล้ว?
รุ่นพี่ตรงหน้าก้าวผ่านร่างที่แน่นิ่งมาตรงหน้าเขา
“โรลลิ่งงงงง ธันเดอร์!!!”
แม้ว่าจะพยายามตั้งสมาธิแล้วแต่ก็ถูกเสียงที่เปล่งออกมาข่มขวัญกับฝ่ามือที่กระชากเสื้อนั้นกระชากสติไปพร้อมกันด้วย ในชั่วขณะนั้นหมัดลุ่นๆ ก็เสยเข้าที่ปลายคางอย่างจัง รู้สึกอีกทีก็ลงไปนอนแผ่บนพื้นเสียแล้ว
มึนไปหมด…
“ไม่ถึง 5 นาที” เสียงพูดดังมาจากเอนโนชิตะที่ยืนดูอยู่
“ผม…ยังไม่แพ้นะ” ฮินาตะค่อยๆ ลุกขึ้นเหมือนคนเพิ่งได้สติ “ผมยังมีสติอยู่”
“พวกนายแพ้ตั้งแต่ที่ถูกนิชิโนยะจับล็อกได้แล้วล่ะ” กัปตันไดจิอธิบาย “ในสถานการณ์จริงแค่หมดสติเพียงชั่ววูบก็เท่ากับแพ้แล้ว”
“ส่วนยามากุจิถ้าโดนจุดอ่อนอีกสองสามหมัดตรงช่วงหัวก็ไม่น่าจะยืนไหวแล้ว” สึกะวาระซังว่า
ถึงตรงนี้ยามากุจิก็แอบค้านว่าแค่หมัดเดียวนั่นเขาก็เกือบจะลุกไม่ไหวแล้ว
“สะ…สุดยอด! สอนผมหน่อยสิครับ ผมอยากทำได้บ้างจะได้เอาไว้ใช้เล่นเบี้ยกับเรือได้”
“เจ้าบ้า นั่นมันไม่ง่ายเลยนะ”
“โอ้ เอาสิ!”
แล้วฮินาตะที่เพิ่งจะถูกน็อคไปก็กลับมามีไฟอีกครั้ง ในขณะที่อีกด้านยามากุจิย้ายมานั่งพักอยู่ริมโรงฝึกเช่นเดิมพลางคิดว่าทำไมเขาต้องมาเจอท่าไม้ตายต้อนรับกันตั้งแต่วันแรกด้วย
ในตอนนั้นฝ่ามือหนึ่งก็ยื่นมาจับตรงปลายคางของเขาอย่างไม่ทันได้รู้ตัว ใบหน้าถูกยกขึ้นในขณะที่ดวงหน้าใต้กรอบแว่นของเพื่อนสนิทใกล้เข้ามาเหมือนต้องการสำรวจหาตำแหน่งที่ถูกชกไปเมื่อครู่
โดยที่ไม่รู้เลยว่าคนถูกมองซ้ายทีขวาทีกำลังตื่นตกใจกับระยะที่ย่นเข้ามา
“ใกล้จุดตาย แต่ก็ไม่ถึงตาย”
คำพูดนั้นทำคนถูกชกสะดุ้งจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง สุดท้ายจึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้อีกฝ่ายมองต่อ
“จุดตายเลยงั้นเหรอ”
“อืม” อีกฝ่ายส่งเสียงในลำคอตอบกลับมา มองอยู่ได้สักพักดวงตาสีอำพันใต้กรอบแว่นก็ละจากการพิจารณาแล้วเงยหน้าขึ้นสบเจ้าของคำถามอีกครั้ง และตอนนั้นเองที่พวกเขารู้ตัวว่าใกล้กันมากเกินไปเสียแล้ว
“…”
“ขอโทษ” เจ้าของฝ่ามือว่าก่อนจะละมือและใบหน้าออกไป ทิ้งให้ยามากุจินั่งนิ่งอย่างไม่รู้จะทำอะไรต่อ
ใกล้จุดตาย…แต่ก็ไม่ถึงตาย
To be continue…
//รอบนี้มาช้ากว่าปกติมากเลย ขอโทษที่ให้คอยนะคะ เราไปจัดการปัญหาส่วนตัวบางอย่างมาค่ะ แต่หลังจากนี้ก็จะพยายามเข็นให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์(หรือสัปดาห์ครึ่ง)ต่อตอนให้คนอ่านไม่รอนานเกินไปนะคะ รอบนี้เราจัดช่องไฟถ้าดูแปลกๆ ก็ขอโทษนะคะ
ตอนนี้หน้าร้อนแล้วแต่ฝนก็ตกบ่อยคนรอบตัวเราป่วยสลับกันไปหมดเลยค่ะ ยังไงนักอ่านทุกท่านก็รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่ะ
อินโทรตอนหน้าสักนิด >> ‘เกมวันนั้นทำให้ที่นี่เกิดขึ้น’
‘เกมที่คาราสุโนะไม่ได้กำหนดมันคือเกมอะไร?’
‘ผมยังรอคุณอยู่ที่นี่’
แล้วพบกันนะคะ