[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 28

 

 

28

นกที่ไร้ปีก

 

 

วันนั้นเป็นวันหนึ่งของช่วงเปลี่ยนฤดู เมฆครึ้มก่อตัวเป็นสัญญาณการเข้าสู่ฤดูร้อน ดวงตาสีแดงมองไปยังฟ้าสีหม่นของยามเย็นวันนั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาประชุม ตอนนี้เขาเลิกจากงานลาดตระเวนแล้วและกำลังจะไปที่ห้องประชุมโดยกะเวลาว่าเดกุน่าจะผ่านแถวนั้นในเวลานี้พอดี

 

คงไม่มีใครรู้ว่าหน้าที่ที่บาคุโกรับมานั้นเขาจริงจังมากแค่ไหน ถึงจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่จากคำพูดของเดกุตั้งแต่ก่อนจะจับคู่กันก็ทำให้เขารู้ว่าเจ้านั่นกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งคงจะมีแต่ตัวมันเองเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกปองร้าย

 

และเพราะแบบนั้นคนทำงานคุ้มกันอย่างเขาถึงต้องจับตาดูเจ้านั่นเป็นพิเศษ

 

บาคุโกไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้จับตาดูชีวิตประจำวันของเดกุมาก่อน หากเอาไปพูดใส่เขาเมื่อปีก่อน ตัวเขาเมื่อปีก่อนก็คงจะตอบกลับมาว่าเพ้อหรือไงไปแล้ว

 

และผลจากการจับตาดูเดกุที่มากกว่าแค่ในฐานะผู้ต้องสงสัยก็ทำให้คัตสึกิได้ค้นพบภัยร้ายที่มากกว่าวิลเลินในการใช้ชีวิตของเดกุ นั่นก็คือการดำเนินชีวิตของตัวมันเอง เจ้านั่นทำเหมือนกับว่าจะอุทิศชีวิตให้กับงานจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน บางทีหากปล่อยให้เป็นแบบนั้นสัก 10 ปี ก็คงจะไปจบด้วยปัญหาสุขภาพในโรงพยาบาล

 

แต่ฮีโร่บาคุชินจิจำเป็นต้องสนใจด้วยหรอ?

คำตอบคือไม่ ไม่เลยสักนิด

 

ต่อให้เจ้านั่นจะเป็นจะตายด้วยปัญหาสุขภาพก็ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงของเขาอยู่แล้ว

 

แต่ถามว่าบาคุโก คัตสึกิคอยส่งข้าวส่งน้ำและช่วยเจ้านั่นรักษาสุขภาพไปเพื่ออะไร?

จริงๆ แล้วก็คงเพราะมันขัดหูขัดตาก็พอได้ ทั้งห้องครัวที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าของสำเร็จรูปและเครื่องครัวที่พอดูแล้วเหมือนมีคราบฝุ่นจากการไม่ใช้งานนั่น ดูอย่างไรก็ให้รู้สึกน่าหงุดหงิด

 

น่าหงุดหงิด…ก็แค่นั้น

 

ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เจ้านั่นเข้ามาในความคิดของเขาอยู่บ่อยๆ บางทีก็เหมือนขึ้นมาเป็นคำถามในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนคนปกติเช่นเขาว่าเจ้านั่นกำลังทำอะไรอยู่ นั่นทำให้บาคุโกหงุดหงิดจนต้องเข้าไปจัดการหลายๆ อย่างเอง

 

เขาคิดว่าเพราะหน้าที่นี้ยังใหม่สำหรับตัวเอง และสักวันคงจะปล่อยเจ้านั่นออกไปจากสายตาได้

 

แต่คงยังไม่ใช่ในตอนนี้ที่เขากำลังมองหาเจ้านั่นอยู่

 

เดกุควรจะต้องมาได้แล้วจากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานเจ้านั่นที่เขาได้มา

แต่สิ่งที่รอบาคุโกอยู่กลางทางกลับมีแต่ผู้คนที่เดินสวนทางเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเมฆฝนที่เริ่มชัด

 

กริ๊งๆ

 

แล้วเสียงที่เขาไม่ควรจะได้ยินก็ดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงโทรศัพท์เหมือนทุกครั้งที่แอบส่งข้อมูลกับคนในสำนักงาน แต่กลับเป็นเสียงส่งสัญญาณเตือนของเครื่องส่งสัญญาณ

เขากดรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไป

“เดกุ แกเป็นอะไร”

 

ยังไม่มีเสียงตอบรับแต่คัตสึกิก็ได้ยินเสียงหอบหายใจสลับกับเสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ปลายสาย นั่นทำให้เขาคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่อาจพูดได้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่คัตสึกิก็เริ่มออกวิ่งไปยังทิศทางที่ขึ้นอยู่ในหน้าจอที่ระบุที่อยู่

 

เขาวิ่งย้อนกลับไปจากทางที่เดกุควรจะเดินมาก่อนจะเลี้ยวออกนอกเส้นทางไปยังตรอกเส้นหนึ่ง มันมืดครึ้มและชื้นจากสภาพอากาศ เขาวิ่งไปจนทะลุไปเจอกับอาคารเก่าๆ ที่กำลังจะถูกรื้อ นั่นคือจุดที่เจ้านั่นอยู่ มันคือตึกร้างที่กำลังจะถูกทุบ

บาคุโกแน่ใจว่าเจ้านั่นอยู่ในตึกนี้แน่ๆ แต่เขาไม่อาจจะกะได้จากชั้นที่อยู่ได้ นั่นทำให้เขาต้องส่งเสียงเบาๆ ถามเจ้าตัวกลับไป

“เดกุ แกอยู่ตรงไหน”

ทุกอย่างเงียบไป เงียบมากกว่าตอนที่วิ่งจนไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า แล้วเสียงเล็กๆ ก็ตอบมาเบาๆ ราวกับกระซิบ

[คัตจัง…]

“ฉันกำลังจะเข้าไป”

[ฉัน…ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว ฉันวิ่งขึ้นมาสูงจน…จนมองไม่เห็นตึกด้านนอกแล้ว]

ไม่เห็นตึกด้านนอก?

บาคุโกนิ่งไป เขาค่อยๆ หันไปรอบตัวแล้วพบว่าตึกนี้ถูกล้อมทางเข้าด้วยตึกอื่นๆ เหมือนกับว่ามันเคยเป็นอดีตคอนโดที่เรียงรายกันอยู่ เขามองความสูงของตึกที่รายรอบตึกนั้นอยู่ก่อนจะพบว่ามีตึกหนึ่งที่ดูจะเตี้ยกว่าอยู่ไม่ไกลกันเพียงตึกเดียว มีแค่ตึกนี้เท่านั้นที่สูงกว่าและพอจะทำให้มองเห็นท้องฟ้าด้านนอกได้

บาคุโกมองกะจากระยะแล้วก็รู้ว่าอีกเพียงไม่กี่ชั้นเดกุก็จะขึ้นไปถึงดาดฟ้า ที่ตรงนั้นไม่มีลูกกรงล้อม

“เฮ้ แกเชื่อฉันมั้ย”

 

ไม่มีเสียงตอบรับแต่บาคุโกคิดว่าคนที่อยู่อีกฟากได้ยิน

 

“ไปที่ดาดฟ้า ฉันจะรออยู่ที่นั่น”

[…]

ไม่มีเสียงตอบรับใดอีก แต่คัตสึกิก็ได้ยินเสียงฝีเท้าออกวิ่งอีกครั้ง เขามองดูตำแหน่งของบันไดและกะจุดที่เจ้านั่นจะขึ้นไปถึงก่อนจะรอเวลาให้เสียงสัญญาณดังขึ้น

 

[พลั้วะ!]

[ถึงแล้ว!]

 

เสียงนั้นราวกับสัญญาณออกตัว บาคุโกใช้อัตลักษณ์ของตนพุ่งขึ้นไปจากด้านล่างจนทะยานขึ้นมาถึงชั้นบนในเวลาอันสั้น ก่อนจะพุ่งตัวลงบนพื้นดาดฟ้าต่อหน้าเจ้าของเสียงเรียกและวิลเลิน

 

“คัตจัง!”

“ไอ้เวรเนิร์ดแกนี่มันตัวล่อวิลเลินรึไงห๊ะ”

 

ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่ใบหน้ากลับแสดงออกถึงความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้อย่างเต็มเปี่ยม

คัตสึกิขึ้นมาจากตรงมุมที่คาดว่าเดกุจะอยู่ก็จริงแต่บนดาดฟ้าก็ยาวมากตามสไตล์การสร้างคอนโด พอขึ้นมาอีกทีเขาก็เห็นเดกุไปอยู่ที่อีกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา ตรงนั้นมีคนร้ายอยู่ 2 คน ที่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งดูท่าทางผอมซีดจัดการไม่น่ายาก ส่วนอีกคนกลับเผยให้เห็นอัตลักษณ์ใบเลื่อยตรงแขนที่ดูท่าจะจัดการยากอยู่ ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับที่ฮีโร่ปรากฏกาย วิลเลินพวกนั้นก็พากันหันกลับมามองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ

 

”เฮ้ย ชิบหายแล้ว! ”

การปรากฏตัวของฮีโร่ทำให้คนที่มีอัตลักษณ์ใบเลื่อยหันไปตั้งท่าเตรียมสู้กับคัตจัง เดกุหันมามองคนอีกคนที่ดูแล้วเหมือนคนธรรมดาที่แม้แต่เขาก็น่าจะเอาชนะได้ แต่อิซึกุยังไม่รู้อัตลักษณ์ของอีกฝ่าย นั่นทำให้เขายังไม่ได้ลงมืออะไรไป และยังคงคอยดูเชิงอีกฝ่ายอยู่ว่าจะแสดงอัตลักษณ์ออกมาเมื่อไหร่

 

“ฮีโร่มาได้ไงวะ!” คนที่ดูผอมแห้งดูจะแตกตื่นอย่างรวดเร็ว อิซึกุจับสัมผัสความกลัวของอีกฝ่ายได้ก็คิดว่าคนตรงหน้าน่าจะไม่อยากรับมือกับฮีโร่สักเท่าไหร่

หรือบางที…

 

กริ้ก

ปืนถูกชักออกมาจากฝ่ามือของวิลเลินตรงหน้าเขา

 

…ก็อาจจะเป็นเพราะอัตลักษณ์ของคนคนนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้รับมือกับการต่อสู้

 

คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อดูจากเสียงตะโกนของคนร้ายที่ดูถนัดการต่อสู้มากกว่า

“แกรีบจัดการมันซะ ตรงนี้น่ะฉันจะจัดการเอง”

 

อา…อิซึกุหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้บางทีเขาอาจจะเอาชนะได้ก็ได้

อิซึกุกระชับปืนในกระเป๋าของเขายามที่คนอื่นกำลังจับจ้องกันอยู่

บาคุโกเองก็เห็นการกระทำเล็กๆ นั้นเช่นกันเขาจึงได้ยังพูดจาต่อไปอย่างต้องการยื้อเวลาให้อีกฝ่าย

ความจริงเขาสามารถต่อสู้กับคนสองคนได้อย่างไม่มีปัญหาแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอัตลักษณ์ที่ใช้ต่อสู้ได้ก็ตาม แต่ประสบการณ์คราวก่อนก็สอนให้เขาต้องคิดถึงตัวประกันหรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แน่นอนว่าเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่เจ้าคนตรงหน้าได้สำเร็จ แต่ปืนในมือของวายร้ายอีกคนก็อาจจะไปจ่ออยู่ที่ขมับของเดกุไปแล้วถ้าเขาไม่คิดให้ดี

 

ต้องทำโดยระมัดระวัง

ชนะและช่วยมาให้ได้

หรืออาจจะช่วยตัวประกันไว้และเอาชนะวิลเลินกลับในภายหลัง

สุดท้ายก็อยู่ที่ช่วงเวลาเล็กๆ นี้ที่จะเป็นตัวตัดสิน

 

“เฮ้ พวกแกต้องการอะไรห๊ะ”

“ใครจะไปบอกให้โง่ฟระ”

“นั่นสินะ”

บาคุโกสูดหายใจเขาเห็นแล้วว่าเดกุกำลังยกปืนขึ้น

“งั้นก็ไปคุยกันในนรกแล้วกัน!”

 

เปรี้ยง!

ตู้ม!

 

เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน วายร้ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกระทำของฮีโร่อยู่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนไร้อัตลักษณ์ที่ตัวเองตามจับจะใช้ช่องว่างยกปืนขึ้นมายิงมือของวายร้ายที่ถือปืนอยู่จนมันกระเด็นตกไปอีกทาง ท่ามกลางฝุ่นควันที่ค่อยๆ จางลงเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนจะเผยให้เห็นข้อมืออาบเลือดและใบหน้าเหยเกของคนร้าย

 

“เชี่ย ไอ้เวรเอ๊ย!!!”

 

วิลเลินที่ใช้ใบเลื่อยกันเศษระเบิดกำลังจะพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นเพื่อนร่วมขบวนการล้มลงไป แต่ก็ถูกฮีโร่ที่รอจังหวะนั้นใช้ช่องว่างเข้าโจมตี

 

แรงระเบิดอัดใส่ใบหน้า

 

“ไม่มีใครบอกรึไงว่าอย่าหันหลังให้ศัตรู!”

 

ร่างสูงในชุดฮีโร่หักมือจนเกิดเสียงดังกร็อบ สร้างความรู้สึกกดดันให้วิลเลินได้อีกหลายเท่า แต่ถ้อยคำนั้นกลับเหมือนไม่ได้ส่งมาให้แค่วิลเลิน ถ้อยคำนั้นทำให้อิซึกุเองก็รู้ตัวว่าเขากำลังสู้กับวิลเลินอยู่ และถ้าพลั้งพลาดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต่อแล้วก็คงจะกลายเป็นแบบเดียวกับวิลเลินคู่นี้แน่ๆ ถึงจะอดดีใจที่ได้สู้ร่วมกับฮีโร่ที่ตัวเองใฝ่ฝันถึงมาตลอดก็เถอะ แต่ก็ต้องมีสติ เข้าใจไหมมิโดริยะ อิซึกุ!

 

อย่ายอมให้ใครรังแกได้อีก!

 

เปรี้ยง!

 

“อ๊าก!!!”

 

เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นจากวิลเลินตรงหน้า หลังจากที่เขาลั่นไกเข้าใส่ขาของอีกฝ่าย อิซึกุพยายามเล็งให้โดนตรงหัวเข่าตัดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแต่มันก็พลาดไป

 

“แก๊ โธ่เว้ย!”

วิลเลินพยายามมองหาทางหนี ท่ามกลางความกลัวนั้นไม่มีใครช่วยได้อีก เพราะอีกคนที่มาด้วยกันก็กำลังสู้กับคัตจังอย่างเอาเป็นเอาตาย อิซึกุเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ รองเท้าหนังเหยียบย่ำไปบนหยดเลือดที่พื้นก่อนจะจ่อปืนไปตรงหน้าของวิลเลินที่ล้มอยู่

“มันจบแล้ว”

ดวงตาเคียดแค้นมองขึ้นมาด้านบน แล้วตอนนั้นเองที่เขาคิดจะโทรหาตำรวจเพื่อส่งข่าว วิลเลินตรงหน้าก็ใช้แรงขาเท่าที่มีพุ่งตัวเข้าใส่จนล้มลงมาพร้อมกัน การตะลุมบอนเพื่อแย่งปืนก็เกิดขึ้น เสียงปืนจากสถานการณ์ไม่คาดฝันดังสนั่นไปทั่ว ไม่ทันได้ตั้งตัวมือของวิลเลินก็เอื้อมมาจับที่หัวของเขา แล้วภาพความทรงจำก็ถูกฉายขึ้นมาในหัว

 

“อ๊าาาา !!!”

 

อิซึกุร้องลั่นด้วยความทรมาน ภาพเหตุการณ์ทั้งดีและเลวร้ายสุดกู่โผล่ในเวลาไม่กี่วิ…ซึ่งนั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ในชีวิตของเขา อิซึกุพยายามปัดป้องเอามือนั้นออกไป จนเสียทีให้กับวิลเลินที่รอจังหวะอยู่ เจ้านั่นปัดปืนออกจากมือของเขาและเอามันไปเป็นของตน

 

“ฮะ ฮ่าๆ ๆ ๆ !”

 

เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงดังขึ้น พาให้คนฟังที่นั่งกุมหัวอยู่บนพื้นต้องหันมองอย่างเจ็บใจ เขาพยายามประคองสติแต่ปืนที่จ่อมาตรงหน้าก็ทำให้จิตใจสั่นไหว

 

และที่มากไปกว่านั้น…

 

“ความจริงแกนี่มันก็น่าขยะแขยงไม่น้อยเลยนี่หว่า! เป็นความทรงจำที่โคตรน่าสนใจเลย”

คนฟังกัดฟันแน่น

“อัตลักษณ์ของฉันสุดยอดเลยมั้ยล่ะ? เปิดฉายภาพความทรงจำของแกออกมาได้ด้วย แต่ก็ไม่คิดเลยว่ะว่าความทรงจำของแกนี่มันจะสุดเหวี่ยงขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ ๆ ว่าจะขอข้อมูลเรื่องยาไปสักหน่อย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็ขอดูความทรงจำของคนไร้อัตลักษณ์อย่างแกหน่อยเถอะ!”

“อย่าเข้ามา!”

อิซึกุตะโกนลั่นด้วยความตกใจก่อนจะถอยร่นไปเรื่อยๆ ฝ่ามือนั้นใกล้เข้ามาพร้อมกับปืนในมืออีกข้าง ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ มันพลุ่งพล่านจนทำให้คนที่เคยอยู่ในจุดที่สูงกว่ากำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ

 

เปรี้ยง!

 

ลูกปืนยิงแฉลบไหล่ข้างหนึ่งของเขาไป ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนต้องกุมไปที่บาดแผล เขาถอยร่นไปจนสุดขอบอาคาร

สายลมหวีดหวิวบ่งบอกว่าหากถอยอีกนิดเขาคงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ

 

แต่ถ้าเทียบกับภาพความทรงจำนั่นแล้ว…บางทียอมตกลงไปตายยังดีซะกว่า

 

“มันจบแล้วโว้ย!”

 

แต่ว่า…

 

 

‘จะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ’

 

 

ถ้าจะตายทั้งทีแล้วละก็…!

 

อิซึกุกระโดดพุ่งขึ้นใส่อีกฝ่าย มือจับปืนไว้อย่างต้องการหลีกเลี่ยงการถูกจับตัว แต่มันก็ยากเหลือเกินเมื่อการตะลุมบอนเกิดขึ้นอีกครั้ง ภาพความทรงจำถูกเปิดขึ้นมาอีกหน

 

 

ท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวส้มลอยอ้อยอิ่งคือภาพอันคุ้นตาเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะมารอรับหลังเลิกเรียนเสมอ…

หากว่าอีกาที่กำลังเกาะอยู่บนรั้วด้านหนึ่งของมุมตึกแลตาลงมา…

“ฮ่าๆ ๆ ไม่ร้องแล้วหรอวะ ทำไมล่ะ ฮะ!”

ปั้ก ปั้ก ปั้ก

“ทำไมไม่ร้องล่ะวะ”

พลั่ก!

“อ๊อก…”

“ฮ่าๆ ๆ ๆ ตลกชิบ”

“ฮ่าๆ ดูแม่งดิ…”

 

หากว่าอีกาแลตาลงมา…

 

“เดกุ!!!”

 

เสียงนั้นราวกับว่าจะดึงเขาออกมาจากภาพในความทรงจำอีกหน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อทันทีที่ลืมตาออกมาจากในความฝัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังจะถูกพลิกให้ตกลงไปกลางอากาศ

 

บึ้ม!!!

 

ฝ่ามือของอิซึกุจับขอบพื้นไว้ได้ทัน ในหัวปวดร้าวจากเรื่องราวมากมายที่ถูกฉายซ้ำในเวลาสั้นๆ ดวงตาข้างหนึ่งลืมขึ้นมามองได้ก็เห็นว่าวิลเลินที่เคยจับตัวเขาไว้ถูกแรงระเบิดอัดตรงเข้าใส่จนกระเด็นไปอีกฝั่ง การต่อสู้เหมือนจะจบลงโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าของฮีโร่บาคุชินจิที่ยื่นมือเข้ามาจับ

 

ทันทีที่จับข้อมือนั้นความทรงจำของอิซึกุก็ถูกเปิดขึ้นอีกหน

 

“บาดเจ็บไม่ใช่รึไง เอาไปสิ”

ภาพตรงหน้ามืดเหมือนเป็นเวลากลางคืน หมวกฮู้ดที่เจ้าของสายตาสวมใส่อยู่บังสายตาไว้จนเห็นเพียงแค่มือและพลาสเตอร์สีดำลายคุ้นของคนที่ยื่นมาให้ ตอนที่ขยับใบหน้าและพอเห็นลายเสื้อ คนที่ได้เห็นความทรงจำนั้นก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเข้าไปใหญ่ แม้จะไม่อยากเชื่อถือภาพที่เห็นแต่บาคุโกก็รู้สึกว่ามันคุ้นมาก ถ้าหากว่าใบหน้านั้นเงยขึ้นมาอีกนิด คนที่อีกฝ่ายคุยด้วย…เด็กที่อีกฝ่ายคุยด้วยนั่นมันก็คือ…

 

เพี๊ยะ!!!

 

อิซึกุสะบัดมือออกจากการจับของอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าคัตจังเห็นอะไรไปมากน้อยแค่ไหนเพราะอัตลักษณ์นี้ทำให้เขาที่ถูกเปิดความจำได้รับผลกระทบจนไม่อาจจะมองภาพที่ไหลผ่านตัวได้ แต่ทันทีที่เขาสะบัดมือออก ใบหน้าที่มักจะมั่นใจอยู่ตลอดนั่นกลับปรากฏแววตกตะลึงและสงสัย

“นั่นมัน…อะไร”

“มันไม่ใช่เรื่องที่น่ารู้เท่าไหร่”

เจ้าของความทรงจำเอ่ยขณะพยายามเกาะขอบดาดฟ้าไว้ สภาพแบบนั้นแม้แต่คนสงสัยก็ยังต้องช่วยขึ้นมาก่อน แต่เดกุกลับไม่ต้องการให้เขาช่วย

“ส่งมือขึ้นมา”

“ไม่ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอง”

“เดกุ แกกำลังจะตกลงไป”

 

“ก็บอกว่าไม่ไงล่ะ!!!”

 

นั่นเป็นครั้งแรกที่เดกุตวาดใส่เขาแบบนั้น…ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้

 

คัตสึกิคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่อยากจะเปิดเผยความทรงจำให้เขารู้ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันจำเป็น เพราะฝ่ามือที่เกาะไว้นั้นดูท่าจะไม่ไหวแล้วและวิลเลินที่ถูกซัดไปเมื่อกี้ก็ดูเหมือนจะยังตายยาก

 

“นกที่ไม่มีปีก แต่กระเสือกกระสนจะบิน…มันก็ต้องตกลงไปตายแบบนั้นแหละ…”

“…”

“แก…ไม่มีทางหนีจากอดีตของตัวเองพ้น ตัวแกจะฉายความฟอนเฟะเบื้องหลังออกมาจนหมด”

“…”

“ยกเว้นเสียแต่แกจะปล่อยมือข้างนั้นออก…”

 

“หุบปาก!”

 

คัตสึกิตวาดใส่วิลเลินที่นอนอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้านั่นเห็นคืออะไร แต่เขาไม่เชื่อว่าเดกุจะยอมแลกชีวิตตามคำที่มันว่า

 

“ขึ้นมาซะ! แขนแกมันไม่ไหวแล้ว”

มือของคนด้านบนกำลังจะจับลงมาอีกหน แต่ความไม่มั่นใจก็ทำให้อิซึกุเลือกจะปล่อยมือข้างนั้นออกจากการช่วยเหลือ

 

ไม่เอา

 

ดวงตาสีเขียวอ่อนแสงลง

 

ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นเขาคงพอจะรับไหว แต่ถ้าหากเป็นคัตจังละก็…

 

ขยะแขยง

 

“ไม่”

“เดกุแกจะทำอะไรโง่ๆ ห๊ะ” แม้ว่าคัตสึกิจะพยายามเอื้อมมือไปจับแต่มันกลับยิ่งทำให้เดกุปัดป้องมากกว่าเดิมจนเขาอ่อนใจ จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยื่นมือออกไปแทน

 

มันเป็นคำขอ…

 

“จับมือฉันซะ”

 

แต่คนฟังก็ยังไม่นำพา ยิ่งนานเข้าแผลถลอกจากการต่อสู้และแผลจากปืนที่ถากแขนไปก็ยิ่งทำให้แขนทั้งสองข้างอ่อนแรงลง คัตสึกิเริ่มคิดว่าจะกระชากเจ้านั่นขึ้นมาแทน แต่อิซึกุก็เปิดปากขึ้นก่อน

 

“คัตจัง…ฉันน่ะ…”

 

ถ้าจะต้องเอาบาดแผลมาแผ่ออกแล้วตีซ้ำล่ะก็…

 

“ฉันน่ะ…แบบนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”

 

พูดจบเจ้าของมือก็ปล่อยมือออกจากดาดฟ้า

ปล่อยร่างให้ดิ่งลงสู่พื้นอย่างไม่คิดชีวิต

ท่ามกลางความตกใจที่ราวกับจะกระชากหัวใจของฮีโร่ออกมาจากอก

 

“เดกุ!!!”

 

หากว่าอีกาแลตาลงมา…มันก็คงจะได้พบกับความหฤหรรยามเย็น…บนร่างที่สกปรกโสโครกไม่ต่างจากขยะ

 


 

หากว่าอีกาแลตาลงมา…

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 27

 

 

27

คัตจัง กับ บาคุชินจิ

 

 

อิซึกุพยายามที่จะไม่ทำให้คัตจังเดือดร้อนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตั้งแต่คราวก่อนที่เขาขอร้องให้อีกฝ่ายไปรับไลนั่นก็ทำให้คนขี้เกรงใจรู้สึกกังวลอยู่แล้ว แต่เหมือนว่าคัตจังจะไม่ให้ความร่วมมือกับเขาเลย เพราะหลังจากวันนั้น หลายๆ ครั้งอีกฝ่ายก็มักจะส่งข้าวกล่องมาให้เขาผ่านทางเคียว เด็กชายที่โตสุดในห้องบำบัดอัตลักษณ์

 

“นี่ วันนี้เป็นแซลม่อนล่ะ”

 

เด็กชายเข้ามาพร้อมกับกล่องข้าวบ่อยครั้ง…จนช่วงนี้เขาแทบจะเดาได้ในทันทีที่เด็กชายคนนั้นเข้ามา

 

เขารับกล่องข้าวนั้นมาด้วยความรู้สึกดีใจในครั้งแรก แต่พักหลังๆ ก็แอบรู้สึกกังวลกับมันขึ้นเรื่อยๆ นี่เขากำลังให้ฮีโร่มาทำอะไรอยู่กันเนี่ย

 

สีหน้ากังวลของอิซึกุทำให้เด็กชายไม่เข้าใจ

 

“ทำไมล่ะ ไม่ชอบกินงั้นเหรอ เดี่ยววันหลังฉันบอกบาคุชินจิให้”

 

“เปล่าครับ ผมแค่รู้สึกว่ามันลำบากรึเปล่า”

 

“บาคุชินจิก็ไม่ได้พูดอะไรนี่ ส่วนฉันน่ะไม่เลยสักนิด เรื่องนี้น่ะธรรมดามาก” เด็กชายเอ่ยพลางยกมือขึ้นกำตรงอกแสดงออกว่าการทำหน้าที่เอากล่องข้าวมาให้เขาเป็นเรื่องที่ไม่หนักหนาอะไร

 

“เคียวคุงช่วยได้มากเลยล่ะครับ แต่ว่า…ที่กังวลนั่น…” คือคัตจังมากกว่า

 

เขาไม่รู้ว่าทำไมคัตจังถึงได้ซื้อมาให้เขาได้ถูกวันถูกเวลาขนาดนี้ ถ้าให้พูดก็เหมือนอีกฝ่ายจะรู้เลยว่าวันไหนเขาไม่ได้กินข้าวเที่ยง ซึ่งถ้าให้วิเคราะห์กันตรงๆ ก็คงไม่เว้นคนแถวนี้ที่เอาไปบอกอีกฝ่าย

 

แต่ประเด็นก็คือต่อให้บอกไปมันก็ไม่จำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องคอยซื้อของมาดูแลเขาก็ได้ เพราะตั้งแต่ครั้งนั้นเขาก็ยังไม่ได้ตอบแทนอะไรกลับไปเลย เงินค่าอาหารที่ถูกส่งไปคืนให้ก็เหมือนจะถูกตอบกลับมาเป็นอาหารกล่องใหม่จนไม่อาจจะตอบแทนได้ หรือบางทีอีกฝ่ายอาจจะไม่ได้ต้องการเป็นตัวเงิน

 

“…บางทีอาจจะต้องการบางอย่าง…” อิซึกุเผลอพูดออกมาเบาๆ แต่นั่นก็ไม่พ้นหูเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ

 

“รึว่า…!”

 

“รึว่า…?”

 

เด็กชายพูดเสียงดังจนอิซึกุต้องเงยหน้าที่กำลังครุ่นคิดขึ้นมอง

 

“บาคุชินจิกำลังจีบอิซึกุไงล่ะ!”

 

“…” อิซึกุ

 

“…” เคียว

 

“…” มิสโรส (ที่แอบฟังอยู่)

 

นิ่งกันไปทั้ง 3 คนจนเสียงหัวเราะดังขึ้นจากเจ้าของใบหน้าแต้มกระ เสียงหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขบขันอันบริสุทธิ์ใจทำให้แม้แต่คนที่นั่งอยู่หลังคอมยังต้องเลิกคิ้วสงสัย

 

“หัวเราะอะไรกัน นายไม่คิดงั้นบ้างเหรอ เขาอุตส่าห์ซื้อของมาให้เลยนะ”

 

“ฮะๆ ขอโทษครับ แต่ว่ามันตลกจริงๆ นะ”

 

“ตลกตรงไหนกัน”

 

“ก็…หลายตรงอยู่นะครับ” อิซึกุพยายามกลั้นยิ้มขำ แต่คนฟังกลับไม่เข้าใจอารมณ์ขันของเจ้าตัวเลย

 

“ยังไงล่ะ แสดงออกขนาดนี้ยังไงก็ต้องมีใจไม่ก็ต้องใส่ใจไม่ใช่หรือไงเล่า”

 

“ก็อาจจะมีอยู่นะครับ”

 

“แล้วจะบอกว่าไม่ได้จีบได้ไงล่ะ!!”

 

“อ่ะ เรื่องนั้นมันก็…”

 

อิซึกุอ้ำๆ อึ้งๆ เมื่อเด็กชายพยายามเค้นหาคำตอบ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบพร้อมรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไร

 

“เพราะเป็นคัตจังล่ะมั้งนะ”

 

อิซึกุเรียกชื่อเล่นอีกฝ่ายซึ่งเด็กชายก็รู้ชื่อเจ้าของสรรพนามดี

 

“เพราะเป็นบาคุชินจิน่ะเหรอ?”

 

“ไม่ใช่ครับ คัตจังต่างหาก”

 

“แล้วมันต่างกันตรงไหนเล่า!” เด็กชายเริ่มหัวเสีย จนอิซึกุต้องอธิบาย

 

“บาคุชินจิกับคัตจังต่างกันนะครับ บาคุชินจิก็คือฮีโร่ที่ต้องคอยช่วยเหลือผู้คน ส่วนคัตจังก็คือตัวตนจริงๆ ที่ไม่ได้ทำงานเป็นฮีโร่ ความรู้สึกชอบ…ต้องมาจากคัตจังที่รู้สึก แต่ว่ากล่องข้าวนี่…” อิซึกุยิ้ม “…น่าจะมาจากฮีโร่บาคุชินจิที่ยังไม่อยากให้คนในหน้าที่ที่ดูแลเป็นอะไรไปก่อน”

 

อิซึกุพูดมันเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาซึ่งในห้องนั้นก็มีทั้งคนที่เข้าใจและคนที่ไม่เข้าใจ

 

“สุดท้ายก็คนเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่รึไง เฮ้อ” เด็กชายบ่นก่อนจะปล่อยเรื่องราวที่ไม่น่าสนใจนั้นไว้แล้วเดินกลับไปที่ห้องพักที่สำนักงานด้านนอก

 

 

เสียงประตูปิดลง อิซึกุก็มองดูกล่องข้าวนั้นก่อนจะค่อยๆ แกะมันออกมาช้าๆ อย่างทะนุถนอม ออกจะไม่ค่อยคุ้นชินกับของที่มีคนเอามาให้เป็นพิเศษนี้ด้วยซ้ำ ถ้าหากเป็นที่อื่นคงดูเสียมารยาทไปหน่อยที่ซื้อมาให้แค่คนเดียว แต่เขาก็พอจะดูออกว่าใครที่คอยรายงานฮีโร่ประจำตัวเขาตลอดว่าวันนี้ได้กินข้าวหรือยัง

 

“ไม่ดีใจที่เขาซื้อมาให้หรอ” เสียงถามดังมาจากอีกฟาก

 

อิซึกุยิ้ม “เปล่าครับ ดีใจมากเลยต่างหาก ไม่ค่อยมีใคร…หมายถึงถ้าไม่นับของฝากจากคนที่ทำงานด้วย…ก็ไม่ค่อยมีใครส่งมาให้ผมสักเท่าไหร่”

 

“งั้นก็ดีแล้วล่ะนะ บางทีก็อย่าไปคิดมากเลย” หญิงสาวพูดแค่นั้นพลางมองไปที่อีกฝ่าย

 

ถึงจะบอกว่าบาคุชินจิทำในหน้าที่แต่ก็ดูเหมือนคนตรงหน้าก็กำลังดีใจมากอย่างปิดไม่มิด

 

เป็นเรื่องที่น่าดีใจแต่ก็น่าเศร้านิดๆ จนเธอได้แต่ถอนหายใจตาม

 

..

.

.

 

            บางทีอิซึกุก็คิดว่าเขาทำงานเกินขอบเขต…

 

แต่นั่นก็เป็นเพราะตัวเขาเองที่พาตัวเองเข้าไปหาเรื่อง

…อย่างเช่นตอนนี้ที่เขากำลังยืนมองโทโมกิอยู่แถวรั้วโรงเรียนด้วยความเป็นห่วง ความจริงวันนี้ไม่ใช่เวรของเขาที่ต้องทำงานที่ห้องบำบัด แต่เมื่อวันก่อนเขาพบว่าเด็กชายโทโมกิกำลังจะมีเพื่อนใหม่ ซึ่งสำหรับเด็กคนอื่นๆ คงมองเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับเด็กชายขี้กลัวที่มีเรื่องฝังใจอย่างเด็กคนนั้นอิซึกุก็หวังว่าการได้เพื่อนใหม่มาครั้งนี้จะทำให้หลายๆ อย่างดีขึ้น

 

การมีคนอยู่เคียงข้างยังไงก็น่าจะดีกว่า

และแน่นอนว่าอิซึกุก็มาเพื่อดูด้วยว่า ’เพื่อน’ ที่ไม่ได้อยู่ในห้องบำบัดเหมือนกันนั้นจะเป็นเด็กแบบไหน

 

อ๊ะ นี่เขาไม่ได้จะทำตัวเป็นพ่อแม่หวงลูกหรอกนะ

 

อิซึกุเฝ้ามองเด็กขี้กลัวคนนั้นโดยหวังว่าเขาจะก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตไปได้

 

ความจริงแล้วโทโมกิมีอัตลักษณ์เกี่ยวกับความดัน เขาสามารถใช้มันควบคุมความดันของสิ่งของและคนได้เพียงแค่จับไว้ เรื่องเศร้าจากอัตลักษณ์ของเขาเกิดขึ้นครั้งแรกตอนที่โจรกำลังขึ้นบ้าน เด็กชายถูกจับและกำลังจะถูกทำร้ายถ้าหากว่าอัตลักษณ์ของเขาไม่สำแดงขึ้นมาและทำให้โจรที่ขึ้นบ้านโดนควบคุมแรงดันในร่างจนเกือบถึงแก่ความตาย

 

แต่ภาพความทรมานตอนนั้นก็ทำให้เขากลัวจนเก็บไปฝันร้าย ไม่กล้าแตะต้องอะไรมั่วซั่วอีก และกลัวความสามารถของตนเองไปโดยปริยาย แม้ว่านั่นจะทำให้เขารอดมาจากเหตุการณ์นั้นอย่างหวุดหวิดก็ตาม

 

อิซึกุเฝ้ามองอยู่อีกครู่หนึ่งก็พบว่าเด็กทั้งสองนั้นเข้ากันได้ดีเขาก็คิดจะกลับ แต่พอหันจากกำแพงออกมาอีกทางเขาก็พบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนมองเขาอยู่

 

“เหวอ คัตจัง!”

 

อิซึกุตกใจจนถอยไปแอบหลังกำแพง

 

“ทำอะไรลับๆ ล่อๆ ห๊ะ!”

 

“ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อยแค่มาดูโทโมกิเฉยๆ เอง”

 

คัตสึกิได้ฟังก็หันไปมองในโรงเรียนแล้วก็เห็นเด็กชายท่าทางหน้าคุ้นๆ อยู่คนนึงจริงตามว่า

 

“ยืนทำลับๆ ล่อๆ เหมือนจะเข้าไปขโมยลูกชาวบ้านเขาจนครูต้องเรียกฮีโร่มา แกคิดว่าปกติมั้ย”

 

“ห๊ะ จริงเหรอ?”

 

คัตสึกิทำหน้าแบบอยากจะบ้าตาย แล้วอิซึกุก็คิดได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่มาที่นี่โดยไร้เหตุผลแน่ๆ
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ แค่จะมาดูว่าโทโมกิเข้ากับเพื่อนใหม่ได้มั้ยเฉยๆ”

 

“แกไม่เคยมีเพื่อนรึไงห๊ะถึงได้เอาเวลามากังวลเรื่องนี้น่ะ”

 

อิซึกุเถียงไม่ออก

 

“ว่างงานนักก็ไปทำงานไป”

 

คัตจังพูดขึ้นมาพอดีและนั่นก็ทำให้เดกุจำได้ว่าวันพรุ่งนี้เขามีประชุมเรื่องคดีตระกูลทาคาฮาชิอยู่จริงๆ แถมสืบเนื่องจากคราวก่อนทำให้การประชุมรอบนี้สำคัญถึงขั้นกำหนดการจับตัวคนร้ายเลยก็ได้

 

อิซึกุถอนสายตาจากโรงเรียนก่อนจะหันมาถามฮีโร่ข้างๆ

 

“แล้วพรุ่งนี้คัตจังจะเข้าประชุมด้วยมั้ย”

 

“ทำไม แกมีปัญหาอะไรกับการที่ฉันจะเข้าไม่เข้ารึไง”

 

“เปล่า คือว่า…”

 

อิซึกุอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่พักหนึ่งก่อนจะยอมพูดออกมา

 

“คือว่า…” อิซึกุอ้ำอึ้ง ชีวิตนี้เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ขอร้องใครสักคนให้ดูแลชีวิตที่มันไร้ค่าของเขาเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อคนๆ นั้นเป็นคัตจัง ยิ่งพาให้ครั่นเนื้อครั่นตัวกลัวโดนด่ากลับมาอยู่นิดๆ ไปๆ มาๆ ความกลัวก็พาให้เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

“เปล่า แล้วเจอกันนะ”

 

เขาพูดไว้แค่นั้น ความจริงปกติก็ ‘ยัง’ ไม่มีวิลเลินเข้ามาทำร้ายเขาหลังจากเรื่องที่ตรอกแถวโรงพยาบาลเลย แต่เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคอยถูกจับตามองอยู่หลายๆ ครั้งเวลาที่ต้องไปประชุมที่สำนักงานฮีโร่ แต่ตลอดทางแถวย่านนั้นก็มีฮีโร่อยู่แล้ว เขาจึงไม่ได้บอกอะไรอีกฝ่ายเป็นพิเศษ

 

.

..

..

.

.

และนั่นเป็นสิ่งที่เขาทำพลาดอย่างมหันต์ที่ไม่ยอมบอกอะไรคัตจังก่อน

 

 


 

//เรารอเวลานี้มานานมากจริงๆ ที่จะได้เขียนเรื่องช่วงนี้ (ถ้านับตั้งแต่เปิดเรื่องนี้ก็เกือบจะ 1 ปีแล้วแฮะ)

เราได้อ่านคอมเม้นของทุกคนแล้วนะคะ ดีใจมากเลยค่ะ ต่อจากนี้ก็ขอฝากตัวและขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ ติชมได้เสมอค่ะ

[Fic MHA] Nebbia 7 [KatsuDeku]

 

 

7

Nebbia

 

 

ภายในอาคาร USJ ขณะนี้ที่อยู่ในคาบของนักเรียนห้อง 1-A ได้เกิดความโกลาหลขึ้นเมื่อควันสีดำค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตราวกับความมืดที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา นักเรียนและอาจารย์ทั้งหมดหยุดภารกิจลงอย่างกะทันหันและพุ่งเป้าไปที่แหล่งที่ควันนั้นโผล่มา ที่ตรงนั้นคือลานฝึกภารกิจช่วยเหลือผู้ประสบภัยโซนซากปรักหักพังซึ่งทั้งบริเวณนั้นกำลังถูกปกคลุมไปด้วยควันสีดำที่ดูผิดปกติ

 

อาจารย์ไอซาว่าหรืออิเรเซอร์เฮดเป็นคนแรกที่ตั้งสติได้ เขาสั่งให้นักเรียนทุกคนออกห่างจากบริเวณนั้นและให้อาจารย์หมายเลข 13 ช่วยติดต่อไปที่ทางโรงเรียนเพื่อสอบถามเพราะระบบรักษาความปลอดภัยดูจะไม่มีปัญหาอะไรจึงยังสรุปไม่ได้ว่าเป็นเพราะวายร้ายอีกหรือเปล่า

 

แต่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่แน่ใจก็เพราะไม่คิดว่าวายร้ายที่เคยพ่ายแพ้ไม่เมื่อไม่นานจะกล้าบุกมาอีกครั้งอย่างโจ่งแจ้งและในสถานที่เดียวกันกับคราวที่แล้วเลยด้วยซ้ำ …เขาได้แต่หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอยเพราะมิฉะนั้นมันจะไม่จบแค่นี้แน่

 

เมื่ออิเรเซอร์เฮดไปถึงสถานที่ที่พอจะมองเห็นภาพรวมของหมอกดำได้แล้วเขาก็ใช้อัตลักษณ์ของตัวเองเพื่อลบควันนั่น แต่โชคร้ายที่ควันพวกนั้นไม่มีทีท่าว่าจะหายไปเลย

 

“ไม่ใช่อัตลักษณ์งั้นหรอ” เสียงที่เคร่งเครียดเปล่งออกมาจากคนที่มองดูอยู่ ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ได้รับการติดต่อจากหมายเลข 13 อีกครั้งว่าไม่เกิดความผิดปกติใดๆ ขึ้นในโรงเรียนทั้งสิ้น ดูเหมือนว่าเรื่องครั้งนี้จะมีคนที่เล็ดลอดการป้องกันของยูเอย์มาได้จริงๆ หรือไม่ก็…เป็นคนใน

 

“เด็กนักเรียนทุกคนอพยพไปที่นั่นหมดแล้วใช่มั้ย” อิเรเซอร์เฮดติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสาร

 

“ทุกคนอพยพเรียบร้อย ยกเว้นก็แต่นักเรียนที่ฝึกอยู่ที่โซนซากปรักหักพัง 3 คนกับออลไมท์” เสียงของหมายเลข 13 ดูเคร่งเครียดตามเมื่อพูดถึงคนที่ยังติดอยู่ในควันสีดำนั่น

 

“ใครบ้าง”

 

“โทโดโรกิ โชโตะ อาชิโด้ มินะ แล้วก็มิโดริยะ อิซุกุ”

 

พอได้ยินรายชื่อครบปลายสายก็เงียบไป เขาได้แต่พยายามเพ่งมองเข้าไปในหมอกควันนั่น แต่ไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนข้างในบ้าง และควันพวกนี้เกิดขึ้นได้ยังไง เป็นความผิดพลาดของยูเอย์เหรอ …หรือว่ามีคนจงใจ?

 

เขาได้แต่คาดเดาว่าวายร้ายคงยังไม่เลิกราจากออลไมท์ แต่คิดได้ไม่ทันไรควันสีดำที่ปกคลุมอยู่ก็ค่อยๆ จางหายไป ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้อิเรเซอร์เฮดได้แต่มองอย่างไม่อยากเชื่อ

 

ภาพของออลไมท์ตัวเปื้อนเลือดที่ล้มลงไปกองอยู่บนพื้น บนตัวของเขามีเด็กนักเรียนที่เขาจำได้ดี…มิโดริยะ อิซุกุกำลังจับคอเสื้อของอีกฝ่ายพร้อมกับหมัดที่ยังค้างอยู่บนอากาศ…..แววตานั้นดูเยือกเย็นจนน่าตกใจ แวบหนึ่งที่เขาแอบคิดว่านี่อาจจะเป็นภาพลวงตา แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้คำตอบเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีใครบางคนพุ่งตัวผ่านเขาลงไปในบริเวณที่เกิดเหตุ ร่างนั้นตรงดิ่งไปที่เด็กชายที่ตัวเปื้อนเลือดก่อนจะกระชากตัวอีกฝ่ายขึ้นมาอย่างแรง

 

“แก!!!!!?” บาคุโก คัตซึกิกระชากคอเสื้อของมิโดริยะขึ้นมาก่อนจะตกใจกับดวงตานิ่งงันที่มองมาที่ตัวเอง เขาตั้งสติอีกครั้งก่อนจะตะคอกกลับไป “แกจะทำอะไรกันแน่!!!!”

 

เขาตะโกนออกไปแต่ร่างตรงหน้าก็ยังนิ่งเงียบไม่ตอบสนองหรือแสดงท่าทางอะไรออกมา เขาเขย่าไปที่ร่างนั้นหลายๆ ครั้งราวกับจะให้อีกฝ่ายหาข้อแก้ตัวกับสถานการณ์นี้หรืออธิบายอะไรสักอย่าง หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้มองเขาด้วยแววตาแบบนี้…

 

“แกเป็นใครกันแน่?”

 

ความโกรธเข้าครอบงำบาคุโก ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เขาไม่ทันรู้ตัวเลยว่าร่างตรงหน้าค่อยๆ ลดหมัดลงแล้วและดวงตานั้นก็ปิดไปแล้ว

 

“หยุดได้แล้ว บาคุโก” มือของอาจารย์ไอซาว่าจับเข้าที่แขนของเขา เรียกสติของเจ้าตัวให้กลับมา “เขาสลบไปแล้ว”

 

บาคุโกปล่อยมือจากร่างตรงหน้า เขาได้แต่กำมือแน่นอย่างเจ็บใจ

 

ร่างของมิโดริยะถูกประคองโดยโทโดโรกิที่เดินเข้ามาในเหตุการณ์หลังจากที่เขากับอาชิโดได้แต่นิ่งอึ้งกับภาพตรงหน้า เขาวางร่างนั้นลงอย่างเบามือเมื่อสังเกตเห็นบาดแผลที่แขนและขาของอีกฝ่าย

 

ไม่นานหลังจากนั้นหน่วยพยาบาลก็เข้ามาดูแลร่างของมิโดริยะและออลไมท์ ทั้งสองอยู่ในอาการสาหัส แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้ไม่สามารถส่งคนทั้งสองไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ แต่ก็ได้รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลคอยดูแลอาการ

ส่วนพวกนักเรียนก็ถูกแยกออกไปหลังจากที่ควันสีดำนั้นหายไปเพียงไม่กี่นาที มีบางคนที่พอจะเห็นเหตุการณ์อันน่าตกใจนั้นอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศรอบข้างดูหนักอึ้งอย่างน่าประหลาดทั้งจากคนที่รู้และไม่รู้

.

.

.

.

.

“เป็นยังไงบ้าง”

เสียงของอาจารย์ประจำชั้นห้อง A ดังขึ้นหลังจากที่รีคัฟเวอร์รี่เกิร์ลเดินออกมาจากห้องผ่าตัด เธอมองหน้าของอีกฝ่ายนิ่งๆ

 

“ฉันก็ไม่แน่ใจ พวกเขาอาการบาดเจ็บจากแผลเดิมอยู่แล้วทั้งคู่ คงจะต้องใช้เวลา” เธอว่าแล้วถอนหายใจ “ฉันคิดว่าแผลพวกนี้มันคงไม่ได้เกิดจากการฝึกหรอกนะ”

 

“เกิดเหตุการณ์ขึ้นที่ USJ ครับ พวกเรากำลังตรวจสอบ” อีกฝ่ายตอบแต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูกังวลเขาก็ขยายความ “ไม่ได้มีวายร้ายบุกเข้ามาเหมือนคราวที่แล้ว แต่…ยังไม่มีอะไรแน่นอน ผมคงต้องขอให้ช่วยดูแลทั้งสองคนด้วย”

 

“นั่นก็เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว” เธอตอบแบบยิ้มๆ รอยยิ้มนั้นคงอยู่ไม่นานหลังจากที่ไอซาว่าออกไปจากห้อง เธอเดินผ่านม่านกั้นเตียงไปที่เตียงของออลไมท์ก่อนจะทำหน้าเคร่งเครียด

 

เพราะรู้ว่าหน้าที่ของฮีโร่คือการปกป้องรอยยิ้มของผู้คน เธอก็เลยได้แต่ยอมตามใจ แต่เพราะปล่อยไปแบบนั้นนั่นแหละเจ้าของร่างถึงไม่เคยสนใจสังขารตัวเองเลยว่าตอนนี้มันแย่ขนาดไหน ระบบภายในที่ใกล้จะล้มเหลวนั่นคงไม่ได้ทำให้สำนึกเลยสักนิด เธอถอนหายใจก่อนจะเบนไปทางเตียงอีกเตียงข้างๆ กัน

 

นี่ก็พอกัน…เข้าออกห้องพยาบาลเป็นว่าเล่น

 

ถึงจะตำหนิในใจแบบนั้นแต่สายตาที่มองไปที่ร่างของเด็กคนนั้นกลับเต็มไปด้วยความเศร้า เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจากอาจารย์ประจำห้องแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง…

.

.

.

.

.

วันนี้คาบบ่ายของนักเรียนห้อง A จบลงอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มีนักเรียนในห้องและอาจารย์อีกคนบาดเจ็บ คาบบ่ายหลังจากนั้นถูกยกเลิกทั้งหมด บาคุโกหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องที่อึมครึมนั้นอย่างหงุดหงิด แม้ว่าจะไม่มีการเรียนการสอนและมีนักเรียนอยู่ในห้อง แต่ก็เป็นห้องเรียนเงียบๆ ที่น่าอึดอัด

 

เขาเดินมาตามระเบียงทางเดินที่เงียบสงบเพราะยังมีห้องเรียนบางห้องที่ยังไม่เลิกเรียนจนมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล

 

เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงเดินมาที่นี่ บาคุโกได้แต่มองนิ่งอยู่ที่หน้าห้องพยาบาล จนกระทั่งเมื่อคิดว่าจะเดินจากไปเสียงจากในห้องพยาบาลก็รั้งเขาไว้

 

“…คงต้องควบคุมเขาชั่วคราว”

 

“…”

 

“เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายขึ้นมาอีก ในระหว่างนี้ยูเอย์จะจัดหาที่พักให้กับเขา…”

 

บาคุโกได้ยินเสียงคนในห้องคุยกันเรื่องรายละเอียดที่อยู่และเรื่องราวที่ทางโรงเรียนจะปิดเป็นความลับ แต่ทั้งหมดนั่นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องราวที่เขาได้ยินหลังจากนั้น

 

“…เรื่องมันเกิดใต้จมูกเรามาก ….มันก็ไม่เชิงว่าเกิดจากคนนอก ความจริงแล้ว…”

 

บาคุโกนิ่งอึ้งไปกับความจริงที่เขาได้รับรู้ เรื่องทุกอย่างถูกปะติดปะต่อกันจนกลายเป็นเรื่องราว เขากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัวก่อนจะเดินจากห้องนั้นไป

 

 


 

//โอยยย เขียนตอนนี้ไปละสะใ——–สงสารเดกุมากเลย

อาจจะสั้นไปหน่อย ตอนหน้าจะพยายามให้มันมากขึ้นค่ะ

อ่านทุกคอมเม้นแล้ว ดีใจมากเลยที่มีคนคอยติดตาม เป็นกำลังใจเวลาเขียนไม่ออกได้ดีเลย 5555 ขอบคุณมากๆ เลยค่ะ

In Nebbia

[Fic MHA] Nebbia 6 [KatsuDeku]

 

 

6

In the Dream

 

 

ในเวลากลางดึกที่เงียบสงบ นาฬิกาดิจิตอลหัวเตียงฉายเลขสามอยู่บนหน้าปัด เจ้าของห้องหันไปมองรอบตัวก่อนจะถอนหายใจอีกครั้งเมื่อรับรู้ว่าตัวเองถูกปลุกขึ้นมากลางดึกอีกแล้ว วันนี้เขาทั้งเหนื่อยแล้วก็เพลียเลยพยายามนอนเร็วกว่าปกติแต่นี่เขาแทบจะได้นอนมากกว่าเมื่อวานแค่เกือบ 1 ชม.เท่านั้น

 

เดกุล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างงุ่นง่าน หลับตาและพยายามปล่อยความคิดทุกอย่างออกไป ให้ทุกอย่างสงบเพื่อที่จะหลับอีกครั้ง

 

‘อิซุกุ’

 

เดกุลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เมื่อกี้เขาได้ยินเสียงชื่อของตัวเองเบาๆ ราวกับเสียงกระซิบ แต่เมื่อมองไปรอบตัวแล้วก็ไม่พบใครอื่นนอกจากตัวเอง

 

บางทีอาจจะหูฝาด…

 

เดกุทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งแล้วปล่อยความคิดทุกอย่างไว้ ถึงแม้ว่าการข่มตาหลับจะเป็นเรื่องที่ดูยากอย่างไม่น่าเชื่อ

 

‘…มาเล่นกันเถอะ’

 

เขายังพยายามข่มตาหลับต่อไป…

 

‘หึๆๆๆ’

 

พรึ่บ!

 

เดกุลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว มองไปทั่วห้องด้วยความหวั่นกลัวและหงุดหงิดที่ปนเปกันไปมาก่อนจะกวาดสายตาไปทั่วห้อง ภายในห้องนั้นไม่มีใครอยู่จริงๆ มีเพียงเขาคนเดียว…

 

เฮ้อ

 

เขาถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะยกมือขึ้นขยี้หัวตัวเองอย่างงุ่นง่าน ‘ไล่ความฝันบ้าๆ นั่นออกไปซะ เดกุ’

แต่พอทุกอย่างนิ่งลง หัวของเดกุเริ่มเย็นลง เขาก็เริ่มคิดถึงข้อสันนิษฐานแปลกขึ้นมา

 

“มันแค่ความฝันจริงๆ ใช่มั้ย”

.

.

.

.

.

เช้าวันใหม่มาเยือนแต่อิซุกุก็ยังคงข่มตานอนไม่หลับเหมือนเคย เขาได้แต่นอนแช่เป็นผักอยู่บนเตียงโดยที่ตายังคงนอนจ้องเพดานราวกับมันจะมีอะไรออกมาจากบนนั้น

 

เช้านี้เขาออกจากบ้านด้วยเสียงที่เป็นห่วงของแม่ ตัวเขาเองก็พอจะรู้ว่าสภาพตัวเองตอนนี้เป็นเช่นไร ก็นะ เล่นโต้รุ่งมาเกือบสองวัน ดีที่เขายังไม่หลับกลางห้องเรียนซะก่อน (รู้สึกนับถือในความชอบฮีโร่ของตัวเองขึ้นมาเลย) โดยเฉพาะวันนี้ที่มีคาบเรียนของออลไมท์ด้วยเขาจะหยุดไม่ได้เด็ดขาด

 

 

และแล้วยามเช้าของเดกุก็ผ่านไปด้วยดี การเดินทางมาโรงเรียนเป็นไปอย่างสวัสดิภาพ ไม่ค่อยมีเรื่องน่าเป็นห่วงเท่าไหร่…ละนะ

 

ระหว่างทางขึ้นมาห้องเรียนเขาก็พบโทโดโรกิคุงที่กำลังยืนเช็กโทรศัพท์อยู่หน้าห้อง

 

“อะ…อรุณสวัสดิ์ โทโดโรกิคุง” เขาทัก

 

“อืม อรุณ…” โทโดโรกิคุงที่เงยหน้าขึ้นมาจากโทรศัพท์ตอบกลับก่อนจะชะงักไป

 

“…?” เช่นเดียวกับเดกุที่ยังยืนอย่างงุนงงเมื่อสายตาของโทโดโรกิคุงยังคงค้างอยู่ที่ใบหน้าของเขาจนดูเหมือนมันมีอะไรติดอยู่

 

“มิโดริยะ…” เสียงทุ้มดังขึ้น “…นายเป็นอะไรรึเปล่า” พูดจบมือของโทโดโรกิก็ยกขึ้นมาอังบนหน้าผากของเขา

 

“อะ…เอ๊ะ ก็ไม่นะ” เดกุละล่ำละลักตอบออกไปอย่างตกใจ เขาตกใจที่อยู่ดีๆ โทโดโรกิคุงก็ดูเป็นห่วงเขา ถึงเราจะอยู่ห้องเดียวกันก็เถอะแต่เขาก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเพื่อนในห้องสักเท่าไหร่อยู่ดี

 

“นายไม่เป็นไรแน่นะ” โทโดโรกิลดมือลงแล้วแต่ก็ยังมองมาและถามเขาอีกครั้ง ตอนนี้เดกุเริ่มคิดว่าสภาพตัวเองน่าจะแย่มากพอดู

“ไม่เป็นไรหรอก คือฉันแค่…นอนไม่พอน่ะ สภาพก็เลยเป็นอย่างที่เห็น” และถ้าไม่นับรวมเรื่องเดินเลยป้ายรถเมล์กับเกือบเดินชนเสาไฟฟ้าสองรอบเป็นเรื่องใหญ่อะไร วันนี้เขาก็ยังมาโรงเรียนโดยสวัสดิภาพ…ละนะ

 

โทโดโรกิดูนิ่งไปนิดหน่อย เขาเลยพูดเสริมขึ้นเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจ

 

“ฉันไม่เป็นไรแล้วละ ขอบคุณนะ โทโดโรกิคุง” ร่างเล็กตอบกลับไปพร้อมกับระบายรอยยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องอย่างไม่รู้ตัวว่าตัวเองได้ทิ้งความรู้สึกเล็กๆ ไว้ให้กับคู่สนทนา

 

โทโดโรกินิ่งไปพักหนึ่ง เมื่อกี้เขารู้สึกเหมือนใจตัวเองมันสะดุดไปวูบหนึ่งอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าก่อนจะเดินเข้าห้องตามคนก่อนหน้าเข้าไป

.

.

.

.

.

คาบเช้าวันนี้ผ่านไปด้วยดี และเดกุก็เกือบเผลอหลับจนได้ เอาความจริงก็คิดว่าตัวเองเผลอหลับเป็นพักๆ แบบไม่รู้ตัว แต่สักพักก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาทุกที จนกระทั่งพักเที่ยงผ่านไป อาการสะลึมสะลือก็เริ่มดีขึ้น ถึงจะทำอะไรเชื่องช้าไปบ้างและเหนื่อยง่ายไปหน่อยแต่ก็ถือว่ายังพอไหวกับคาบบ่าย

 

คาบบ่ายวันนั้นเป็นของออลไมท์ร่วมกับอาจารย์ไอซาว่าและอาจารย์หมายเลข 13 ที่เริ่มกลับมาสอนได้อีกครั้ง ครั้งนี้เป็นการฝึกการช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่ USJ ที่ได้รับการซ่อมแซมและระบบการรักษาความปลอดภัยใหม่อีกครั้ง โดยกลุ่มของเดกุอยู่ภายใต้การดูแลของออลไมท์ ได้รับภารกิจช่วยผู้ประสบภัยพิบัติโซนซากปรักหักพัง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีจนกระทั่ง…

 

“มิโดริยะ!” เสียงที่ตกใจดังขึ้นมาจากโทโดโรกิที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน

 

“มีอะไรหรอ” ผมถามก่อนจะมองไปที่เขาอย่างงงๆ โทโดโรกิยังคงมองหน้าของผมอยู่เช่นเดียวกับสายตาของหลายๆ คนที่เริ่มมองมาทางนี้บ้าง

 

“นายเลือดกำเดาไหลน่ะ” เสียงของอาชิโด้ดังขึ้นอย่างตกใจทันทีที่หันมาทางผม

 

แล้วความรู้สึกของของเหลวและกลิ่นคาวเลือดก็เด่นชัดขึ้นมา นั่นทำให้ผมรีบตะปบไปที่หน้าตัวเองอย่างตกใจ ไม่นานหลังจากนั้นโทโดโรกิก็เดินเข้ามาดูอาการของผมอีกครั้ง พร้อมกับออลไมท์ที่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติของพวกเรา

 

“นายหน้าซีดมาก ไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ” โทโดโรกิคุงบอกแบบนั้นก่อนจะถามขึ้น “นายเดินไหวมั้ย”

 

ผมพยักหน้าเป็นเชิงว่าไหว ตอนนั้นเองที่ออลไมท์มาหยุดอยู่ตรงหน้าผมแล้ว “เธอไปห้องพยาบาลก่อนนะ…”

 

แต่ออลไมท์ยังพูดไม่ทันจบดี ผมก็รู้สึกว่ารอบกายมันค่อยๆ มืดลง…

.

.

.

.

ท่ามกลางความมืดนั้นผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ฝันไป ผมยังคงได้กลิ่นคาวเลือดและรู้สึกตัวอยู่เพียงแต่…รอบด้านนั้นต่างหากที่ถูกปกคลุมด้วยความมืด…ความมืดที่น่ากลัว

 

‘เรามาเล่นกันเถอะ’

 

และอีกครั้งที่เดกุรู้สึกว่าตัวเองฝันไป เขาต้องฝันไปแน่ๆ เพราะตอนนี้ร่างของเขามันขยับไม่ได้อีกแล้ว เป็นความฝันแบบที่เขาเคยฝันแต่ครั้งนี้มันต่างกันที่สถานที่ เขายังคงอยู่ที่ USJ ไม่ใช่ในตรอกนั่น

 

ความรู้สึกตื่นตระหนกราวกับคนที่กำลังจะจมน้ำนั้นทำให้เดกุพยายามตะเกียกตะกายขึ้นมาจากความรู้สึกที่ร่างกายของเขาหยุดนิ่งไปเฉยๆ

 

ไม่เอานะ มันไม่มีทางเกิดขึ้นในโรงเรียนได้

 

‘ทำได้สิ’

 

เสียงคุ้นเคยดังก้องสะท้อนอยู่ในหัว เขาจำเสียงนี้ได้ดี เสียงของคนๆ นั้น คนที่ทำให้ร่างกายเขากลายเป็นแบบนี้และคนที่ยังคงหลอกหลอนเขาอยู่ในความฝันทุกคืน……..ชาโดว

 

‘เด็กน้อย เราไม่เจอกันตั้งนานแต่เธอก็น่าทึ่งเหมือนเดิมเลยนะ’

 

ท่ามกลางความมืดมิดนั้นผมก็ค่อยๆ ได้ยินเสียงของคนรอบข้างมากขึ้น ทั้งโทโดโรกิคุงที่อยู่ใกล้ที่สุด อาชิโด้ซังที่กำลังตกใจ และออลไมท์ที่กำลังตะโกนให้ทุกคนใจเย็นๆ

 

‘อ๋า~ ฉันคิดอะไรสนุกๆ ออกแล้วละ’

 

ร่างกายของผมอยู่ๆ ก็เดินฝ่าเข้าไปในความมืดตรงไปยังต้นเสียงที่ก่อนหน้านี้ตะโกนอยู่ ก่อนที่สมองจะรับรู้ผมก็ใช้อัตลักษณ์ซัดไปในความมืดที่ดูเหมือนจะว่างเปล่านั้น

 

แต่ผมก็ต้องใจหายวาบเมื่อที่ตรงนั้นมันไม่ใช่ความมืดที่ว่างเปล่าแต่เป็นร่างของใครบางคนที่คุ้นเคย

 

“อ๊ะ!” เสียงที่แสดงถึงความตกใจของออลไมท์ดังขึ้น ผมได้แต่พยายามควบคุมตัวเองอีกครั้งแต่เพราะร่างกายที่เริ่มเบลอและเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอทำให้การขัดขืนของผมไม่มีผลเลยสักนิด

 

ร่างของผมไม่เชื่อฟังเจ้าของอีกแล้วมันรัวหมัดไปในความมืดจนกระดูกแทบหัก เช่นเดียวกับเสียงของออลไมท์ที่ทั้งตะโกนบอกให้ทุกคนออกห่างจากตัวเขาและทั้งตั้งรับการโจมตีอย่างช่วยไม่ได้เพราะความมืดที่ยังปกคลุมอยู่นี้

 

ออลไมท์!!!

.

.

‘…เธอรู้ใช่มั้ยว่าถ้าพลังนี้ตกเป็นของวายร้ายจะเกิดอะไรขึ้น’

.

.

‘แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันอยู่นี่แล้วยังไงล่ะ!’

.

.

‘เพราะฉันเป็นอาจารย์ของเธอและจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับลูกศิษย์ของฉันอีกเด็ดขาด’

            .

            .

            พลังนี่มันเป็นของคุณ…

 

…และผมก็กำลังใช้มันเพื่อทำร้ายคุณ

 

ท่ามกลางการต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น เสียงการต่อสู้นั้นยังคงดังอยู่เรื่อยๆ เดกุไม่รู้สึกถึงการตอบโต้ของออลไมท์เลย เขารู้สึกว่าออลไมท์น่าจะจับทางเขาได้หรือสวนกลับมาบ้างแต่ทุกอย่างกลับว่างเปล่า เขาเพียงแต่ตั้งรับราวกับรู้ว่า…

 

‘หืมมมมม น่าสนุกจริงๆ’

 

เดกุช็อกค้างเมื่อรู้ถึงเหตุผลที่ออลไมท์ไม่ตอบโต้เขาเลย

 

…เพราะผมคือนักเรียนของคุณ

 

‘อ่า เวลาใกล้จะหมดแล้วสิ’

 

เสียงนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว ในหัวของเขาที่เริ่มไม่ยอมรับรู้อะไรอีกแล้ว เขาอยากหยุด แต่มันหยุดไม่ได้! ทำไม ทำไมกัน ทำไมต้องเป็นผมด้วยละครับออลไมท์ที่ทำร้ายคุณ… ผมที่สืบทอดพลังจากคุณมา ผม…ที่คุณบอกว่าเป็นฮีโร่ได้

 

ท่ามกลางเสียงการต่อสู้หยดน้ำตาเล็กๆ ไหลลงบนความรู้สึกที่แตกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนที่ร่างเล็กๆ นั้นจะรู้สึกจมลึกลงไปในห้วงความฝันที่ขมขื่น………

 

‘แล้วค่อยพบกันใหม่’

 


 

//อ่า แล้วจะเกิดอะไรขึ้น รอติดตามด้วยนะคะ

Bitter Dream 

[Fic MHA] Nebbia 5 [KatsuDeku]

 

 

5

Gerbera

 

 

‘…เดกุ…คุง’

.

.

หนีไป!!!

.

.

‘มิโดริยะ…?’

.

.

.

ทำอะไรไม่ได้เลย…

.

.

.

‘…เด…กุ…’

 

…เวลาของเราเพิ่งเริ่มต่างหาก

 

เฮือก!

 

ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างขึ้นมาจากความฝัน เมื่อมองเห็นเพดานห้องที่คุ้นตาร่างนั้นก็ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจแล้วค่อยๆ ปรับให้ตัวเองหายใจให้ช้าลง

 

ฝันร้ายอีกแล้ว…

 

เดกุลุกขึ้นนั่งในห้องที่มืดมิดเขาก้มหน้าแล้วถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เมื่อมองไปที่นาฬิกาก็เห็นเข็มสั้นที่ชี้ไปที่เลข 4 ทั้งที่เขาเพิ่งกล่อมให้ตัวเองนอนหลับไปได้เมื่อ 4 ชั่วโมงก่อนแต่ก็ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะฝันร้ายอีกตามเคย เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นเขาก็ยังไม่สามารถสลัดภาพพวกนั้นออกจากหัวได้เสียที่ แต่ที่แย่กว่าก็คงเป็นความรู้สึก

 

เขาเริ่มไม่ชอบเวลากลางคืนมาได้ประมาณ 2 วันแล้ว เพราะช่วงเวลาที่ดึกสงัดนี้มักจะทำให้เขาจมดิ่งลงไปในความคิดของตัวเอง ความเงียบสงบนี้ทำให้เขาได้อยู่กับตัวเองจนบางทีก็จมหายลงไปในความคิดแย่ๆ และที่แย่กว่าคือการที่เขาตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วนอนไม่หลับแม้ว่าจะเหนื่อยจากที่โรงเรียนมามากแค่ไหนก็ตาม

 

เดกุลุกขึ้นจากเตียงเปิดโคมไฟที่โต๊ะหนังสือเงียบๆ แล้วหยิบหนังสือขึ้นมา และถึงแม้ว่าเขาจะอ่านเข้าหัวหรือไม่เขาก็ตัดสินใจที่จะไม่กลับไปนอนอีก …เพราะถึงไปนอนตอนนี้เขาก็นอนไม่หลับและสิ่งเดียวที่จะหลงเหลืออยู่ในหัวของเขาคือการคิดเรื่องเมื่อตอนนั้นไปจนถึงเช้า…

.

.

.

.

“อิซุกุตื่นได้แล้ว!”

 

เสียงต้อนรับเช้าวันใหม่วันนี้ของเดกุคือเสียงแม่ของเขาที่ดังเข้ามาเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงแม่เดินขึ้นบันไดดังขึ้นมาจนถึงหน้าห้อง เสียงประตูห้องถูกเปิดขึ้นหลังจากเคาะไปสองสามทีแม่ของเขาก็เปิดเข้ามาและเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าลูกตัวเองกำลังนอนหลับคาหนังสืออยู่บนโต๊ะเรียน

 

“มาหลับตรงนี้ได้ยังไง รีบไปอาบน้ำกินข้าวได้แล้วไม่งั้นก็สายเหมือนวันนั้นอีกหรอก”

 

เดกุสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขานิ่งไปสักพักแล้วจึงเริ่มลุกขึ้นเดินโงนเงนออกไปจากห้อง ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ลงมารับประทานอาหารเสร็จแล้วก็บอกลาแม่เหมือนทุกครั้งที่ออกจากบ้านแต่แม่ของเขากลับรู้สึกว่าลูกของเธอแปลกไปตั้งแต่วันที่กลับบ้านช้าและได้แผลกลับบ้านวันนั้น

.

.

.

.

เช้านี้เดกุก็ยังคงเดินมาโรงเรียนเหมือนเช่นทุกวัน เขาเดินไปเรื่อยๆ อย่างไม่รีบร้อนและตัดสินใจที่จะเลิกใช้ทางลัดไปสักพักนึง เช้านี้เขารู้สึกเงียบเป็นพิเศษอาจจะเพราะว่าแม่เขาปลุกเร็วไปหรือไม่ก็เพราะปกติเขาจะเดินมากับอิดะคุงและอุราระกะซังก็ได้ พอคิดอย่างนั้นเขาก็สลัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปก่อนจะเลี้ยวตรงหัวมุมถนน

 

เฮ้อ เขายังไม่อยากเริ่มต้นวันด้วยความคิดแบบนี้เลย…

 

“อ๊ะ!!!”

 

เสียงอุทานดังขึ้นเมื่ออยู่ๆ เขาก็ถูกกระชากจากด้านหลังอย่างกะทันหัน ภาพที่เห็นคือรถบรรทุกที่วิ่งผ่านหน้าไปซึ่งถ้าเขายังเดินต่อไปละก็…ไม่อยากจะคิดภาพ แต่ผลของแรงกระชากก็ทำให้เขาล้มลงอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ยังไม่ทันจะล้มลงตัวเขาที่เอนอยู่ก็พิงเข้ากับอะไรบางอย่างทำให้ไม่ต้องลงไปนอนอาบแดดตั้งแต่เช้าละนะ

 

“นอกจากจะไม่ได้เรื่องแล้ว…” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง “…ก็อย่าเกะกะดิ!”

 

เขาหันกลับไปด้านหลังก่อนจะพบกับใบหน้าหงุดหงิดของคัตจังในระยะประชิด สายตาที่แสดงออกถึงความรำคาญนั่นทำเอาเขาก้มหน้าลงอย่างไม่เข้าใจตัวเอง “คะ…คัตจัง หวา!”

 

ไม่ทันจะพูดจบมือที่จับคอเสื้ออยู่ก็ถูกปล่อยออกอย่างกะทันหันจนเกือบเซล้มไปอีกรอบ แต่รอบนี้ก็ยังได้เสาไฟข้างทางช่วยชีวิตไว้ได้ทันเวลา เดกุหันไปทางคัตจังอีกครั้ง แต่ที่ตรงนั้นก็ไม่มีคัตจังยืนอยู่แล้วเพราะเขาเดินผ่านไปอย่างไม่บอกกล่าวและไม่คิดจะหันกลับมามองสักนิด

 

ยังไม่ได้ขอบคุณเลย…

 

เดกุได้แต่คิดแล้วเดินตามหลังคัตจังไปอย่างเงียบๆ แล้วก็เผลอคิดถึงสมัยก่อนที่เขาก็เดินตามหลังคัตจังไปเที่ยวเล่นบ่อยๆ เหมือนกับได้ย้อนกลับไปตอนนั้น แต่ความรู้สึกช่างแตกต่างกันลิบลับ เขาไม่สามารถกลับไปยืนตรงจุดนั้นได้อีกแล้ว ไม่มีทั้งความกล้าและไม่มีสิทธิ์…

 

“มองอะไร”

 

เสียงทักดังขึ้นขัดความคิดที่ลอยไปถึงไหนต่อไหน ดวงตาที่ดูเหม่อลอยพอรู้สึกตัวก็กลับมาโฟกัสอีกครั้ง พอมองเห็นคัตจังที่หันกลับมามองกับท่าทางที่ดูเอาเรื่องก็เลยรีบตอบกลับไปอย่างงุนงง “หะ…ฮะ? ปละ เปล่า ไม่มีอะไร” ปลายเสียงค่อยๆ แผ่วเบาลงอย่างคนไม่มีความมั่นใจก่อนจะก้มหน้าลงแล้วได้แต่หวังในใจให้คัตจังหงุดหงิดแล้วเลิกสนใจไปเอง

 

แต่ท่าทางแบบนั้นกลับเรียกความสนใจได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็ทำให้บาคุโกหยุดยืนมองนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันกลับไปอย่างไม่สนใจเหมือนเช่นเคย แล้วการเดินไปโรงเรียนตอนเช้าก็เป็นไปด้วยความสงบเหมือนเดิม

 

คาบแรกของวันเริ่มขึ้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี คาบเช้านี้พวกเขาต้องเรียนหลักสูตรจึงเป็นการเรียนแบบปกติทั่วไปและน่าเบื่อสำหรับห้องเรียนสาขาฮีโร่แห่งนี้ เดกุยอมรับว่าบางทีตัวเขาก็เหม่อลอยระหว่างการเรียน เขาเผลอคิดไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้าที่เจอกับคัตจัง ความจริงแล้วถ้าคิดดีๆ ตอนนั้นถ้าคัตจังไม่ได้กระชากตัวเขาออกมาตอนนี้ตัวเขาก็คงไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ในสภาพคนปกติแน่นอน และถึงคัตจังจะคิดว่าเขาแค่เกะกะขวางทางก็ตาม เขาก็ควรจะขอบคุณ (หรือขอโทษ) คัตจัง

 

คาบเรียนแรกใกล้จบลงแม้ว่าการเรียนการสอนจะจบลงแล้วก็ตาม ตอนนี้เดกุเองก็ยังคิดหาวิธีจะพูดกับคัตจังไม่ได้อยู่ดี ไม่ว่าจะทางไหนที่เขาคิดก็มีแต่หน้าตาหงุดหงิดของคัตจังกับภาพหมัดที่ตรงเข้ามาเป็นบทสรุปทุกทีไป ไม่มีทางไหนที่เขาจะหลีกเลี่ยงได้เลยสักนิด เขาถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วพักความคิดไว้ก่อนจะหันไปสนใจการบ้านและใบงานที่อาจารย์มอบให้ แล้วเขาก็เริ่มคิดอะไรบางอย่างออก

 

บาคุโกรับใบงานมาด้วยใบหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความเบื่อหน่าย หยิบใบงานมาอย่างเชื่องช้าแล้วส่งต่อไป

 

แปะ

 

แล้วก็รู้สึกถึงฝ่ามือเล็กที่วางลงมาบนฝ่ามือของเขาและไม่ทันหายตกใจฝ่ามือนั่นก็ละออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้แค่สัมผัสของเศษกระดาษที่อยู่ในมือแทนที่ใบงานก่อนหน้านี้ เขาดึงของที่อยู่ในมือมาดู มันเป็นเศษกระดาษที่ฉีกออกมาจากสมุด ภายในเขียนข้อความที่มีลายมือคุ้นตา ข้อความนั้นถูกลบแล้วลบอีกจนแอบเห็นข้อความก่อนหน้าที่เจ้าของมันส่งมา

 

‘เรื่องเมื่อเช้า ขอบคุณนะ’

 

ทางด้านเดกุก็ได้แต่มองแผ่นหลังของคนข้างหน้าอย่างหวาดหวั่น เมื่อเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาคิดถูกจริงๆ ที่เลือกวิธีนี้ เพราะอย่างน้อยนี่ก็ยังเป็นห้องเรียนที่ควรจะเงียบสงบ และถึงแม้ว่าเขาจะไปพูดกับคัตจังตรงๆ ก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะอยากคุยกับเขาไหม

 

เฮ้อ

 

แปะ!

 

โดยไม่ทันรู้ตัวเดกุที่กำลังถอนหายใจอยู่ก็สัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่กระทบลงบนหน้าผาก เขาหลับตาลงด้วยความตกใจก่อนจะลืมตาขึ้นแล้วเห็นเจ้าสิ่งของนั้นตกอยู่บนโต๊ะเรียนของเขา มันคือก้อนกระดาษ…ที่ดูคุ้นตา เขาหยิบแล้วคลี่กระดาษที่ถูกขยำจนเป็นก้อนนั้นออกก่อนจะพบข้อความที่ตัวเองเคยเขียนไว้ แต่ตอนนี้หน้ากระดาษถูกเติมรูปหน้าคนกลมๆ ที่กำลังหงุดหงิดลงบนนั้น

 

“…คิก” ไม่รู้ทำไมพอมองไปที่รูปหน้าคนบนกระดาษนั้นเขาถึงได้ขำขึ้นมา เขารีบตะปบปากตัวเองแล้วกลั้นเสียงอย่างไวเมื่อเห็นแผ่นหลังของคนตรงหน้าที่กำลังหันกลับมา เขาก้มหน้านิ่งแล้วทำเป็นจดงานกลบเกลื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนรู้สึกว่าสายตาที่จ้องมาและแผ่นหลังของอีกฝ่ายหันไปแล้วเขาจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นแล้วผ่อนลมหายใจ

 

วันนั้นเดกุก็ยังคงเหม่อลอยบ้างเป็นครั้งคราว เขาไปสอบย้อนหลังหลังจากที่ไม่ได้มาเมื่อวันจันทร์กับอาจารย์ที่ห้องพักครูในตอนเที่ยงและถูกออลไมท์เรียกพบในตอนเย็นนั้นอีกครั้งที่ห้องพักครู

 

“ความจริงฉันว่าจะบอกเรื่องนี้กับเธอตั้งนานแล้วน่ะนะ” ออลไมท์เป็นฝ่ายเริ่มประโยคเมื่อเดกุนั่งลงตรงข้ามกับเขา “เธอได้เรียนการช่วยผู้ประสบภัยพิบัติไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนแล้วสินะ”

 

“ครับ” เดกุตอบก่อนจะย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่ USJ อีกครั้ง เขาไม่แน่ใจว่าเหตุการณ์นั้นจะเรียกได้ว่า ‘เรียน’ รึเปล่า

 

“อาจารย์หมายเลข 13 ได้ให้คำแนะนำอะไรกับเธอบ้างรึเปล่าล่ะ”

 

เดกุนิ่งเงียบไปแล้วย้อนคิด ในวันนั้นอาจารย์หมายเลข 13 พูดกับเขาตอนก่อนที่จะมีวายร้ายบุกมา

.

.

.

‘พวกเธอคงทราบกันดี อัตลักษณ์ของฉันคือแบล็กโฮล ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ดูดกลืนและทำให้เป็นฝุ่นได้…’

.

.

‘…แต่ว่าพลังนี้มันก็ง่ายที่จะใช้ในการฆ่าคน ซึ่งไม่ต่างกับพวกเธอทุกคนหรอก’

.

.

‘…หากก้าวผิดหนึ่งก้าวก็อาจจะฆ่าคนได้…’

.

.

.

เดกุนิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะตอบคำถามของออลไมท์ “อย่าใช้อัตลักษณ์ไปในทางที่ผิด…เพราะมันอาจจะฆ่าคนได้”

 

“อืม ฉันคิดว่าเธอเข้าใจเรื่องนั้นดีอยู่แล้วละนะ” ออลไมท์นิ่งไปพักหนึ่ง “แต่ฉันก็อยากให้เธอระวังตัวมากขึ้น เพราะเหตุการณ์เมื่อคราวที่แล้ว…บอกตรงๆ ว่าเรายังไม่คืบหน้าเรื่องการจับคนร้ายเท่าไหร่”

 

เดกุเงยหน้าขึ้นมองออลไมท์อีกครั้งหลังจากที่นั่งก้มหน้ามาพักหนึ่ง “ผมขอโทษครับ”

 

“มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอกนะ แต่เธอรู้ใช่มั้ยว่าถ้าพลังนี้ตกเป็นของวายร้ายจะเกิดอะไรขึ้น”

 

“…ครับ”

 

เดกุสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูกดดันทุกครั้งที่ออลไมท์พูดถึงพลังนี้ เขาเข้าใจดีว่าพลังนี้มันมีค่าแค่ไหนและมหาศาลเพียงใด และไม่อาจจะคิดว่าถ้ามันตกไปเป็นของวายร้ายจะเกิดอะไรขึ้น

 

“แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกนะหนุ่มน้อยมิโดริยะ! เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะฉันอยู่นี่แล้วยังไงล่ะ!” แต่แล้วบรรยากาศกดดันเมื่อครู่ก็หายไปอย่างไม่รู้ตัวพร้อมกับเสียงที่ดูสดใสมั่นใจของออลไมท์ “เพราะฉันเป็นอาจารย์ของเธอและจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องเลวร้ายกับลูกศิษย์ของฉันอีกเด็ดขาด!”

 

ไม่รู้ว่าเพราะมั่นใจ เชื่อใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ พอได้ยินแบบนั้นเขาก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาและยิ้มได้อีกครั้ง

 

แล้วเย็นนั้นเขาก็คุยกับออลไมท์อีกนิดหน่อยก่อนจะออกมา เขาเดินตรงดิ่งไปที่สถานีรถไฟก่อนจะนั่งต่อไปอีกไม่กี่สถานีแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านดอกไม้ที่อยู่หน้าสถานีก่อนจะเดินต่อไปที่โรงพยาบาลพร้อมช่อดอกไม้สองช่อ

 

เขาไปเยี่ยมอุราระกะซังก่อนเธอยังคงนอนหลับอยู่บนเตียงเหมือนครั้งก่อนที่เขามา แต่เขาก็พอจะได้รู้จากคุณหมอแล้วว่าเธอฟื้นขึ้นมาเมื่อเช้าแต่ร่างกายยังต้องการการพักผ่อนจึงต้องอยู่ดูอาการอีกสักวันสองวัน

เขาจัดดอกไม้ลงในแจกันก่อนจะบอกลาเธอและไปที่ห้องพักของอิดะต่อ

 

แต่คราวนี้เขาไม่ได้เข้าไปในห้องพักของอิดะ เพราะเมื่อมองจากกระจกหน้าห้องแล้วเขาก็เห็นคนที่น่าจะเป็นแม่และพี่ชายของอิดะอยู่ในห้อง เขาถอยออกมาจากหน้าประตูอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้จะเข้าไปดีมั้ย เขามองไปที่ประตูห้องสีขาวอย่างชั่งใจ

 

เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะเข้าไปตอนนี้มั้ย เขารู้ว่าอิดะฟื้นแล้วและกำลังพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมอยู่ แล้วพอคิดว่าต้องเข้าไปในสถานการณ์อย่างนั้น …อยู่ดีๆ เขาก็เกิดไม่กล้าขึ้นมา เขายังไม่กล้าที่จะเข้าไปเผชิญหน้ากับความจริงอีกครั้ง มือเล็กกำช่อดอกเยอบีร่าแน่นอย่างไม่รู้ตัว เดกุตัดสินใจหันหลังให้กับห้องพยาบาลสีขาว แต่เขาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะเดินกลับไปจริงๆ หรือเปล่า เขาจะหนีความจริงงั้นหรอ?

 

เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเกือบนาที… แล้วเดินออกมาจากบริเวณนั้น

 

เดกุเดินจากโรงพยาบาลมาที่สถานีแล้วนั่งรถไฟไปที่สถานีแถวบ้านด้วยสภาพที่แตกต่างกับตอนมาโรงพยาบาลลิบลับ เขาไม่ทันรู้สึกตัวเลยว่าตัวเองยังกำช่อดอกเยอบีร่าไว้อยู่ในมือ…สุดท้ายก็ไม่ได้ไปเยี่ยม เขาก้มหน้าเดินมาตามซอยแถวบ้านก่อนจะชนเข้ากับใครบางคน

 

“อ๊ะ ขอโท…คัตจัง!” เดกุร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าคือเพื่อนสมัยเด็กของเขาที่ตอนนี้อยู่ในชุดลำลองเรียบร้อย

 

“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือรึไงวะไอ้เวรเนิร์ด!”

 

“อา…ขอโทษนะ” เขากล่าวขอโทษอีกฝ่ายก่อนจะนึกถึงเรื่องเมื่อเช้า “เมื่อเช้านี้…”

 

“ห๊า!!!” ยังไม่ทันจะพูดจบก็ได้รับใบหน้าหงุดหงิดพร้อมระเบิดที่ปะทุอยู่ในมือของคัตจัง ร่างของอีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ โดยไม่ทันรู้ตัวมือทั้งสองข้างของเดกุก็ยกขึ้นพร้อมกับช่อดอกไม้ที่ร่วงหล่นบนพื้นระหว่างทั้งสองคน

 

ทุกการกระทำหยุดนิ่ง เดกุก้มมองช่อดอกเยอบีร่าที่ลงไปนอนกองกับพื้นสลับกับคัตจังที่มองดูช่อดอกไม้นั้นอยู่เช่นเดียวกัน …ดูท่าชะตากรรมของเจ้าดอกไม้คงจบลงตรงนี้แล้ว

 

ไม่ทันรู้ตัวคัตจังก็เดินผ่านเขาไปอย่างไม่บอกลาและไม่เกิดเรื่องใดๆ ขึ้น เขาหันไปมองตามหลังของคัตจังอย่างแปลกใจแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ เดกุหันกลับมาก้มลงมองดอกเยอบีร่าที่ยังรอดปลอดภัยอยู่บนพื้น

 

หยิบมันขึ้นมาแล้วเดินไปตามทางของเขา สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกไปตรงๆ สักที

 

 

 

 

ดอกเยอบีร่า

……….เธอคือแสงอาทิตย์แห่งชีวิตฉัน………..


//บางทีก็อยากเปลี่ยนชื่อเรื่องเป็นเยอบีร่า 5555555

ตอนนี้เป็นตอนที่รู้สึกแต่งลำบากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่งไปด้วยก็อ่านเนื้อเรื่องทวนไปด้วย

 

Your Gerbera

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 26

 

 

26

สุดยอดพ่อบ้านดีเด่น

 

 

หลังจากข้อเสนอได้รับการตกลง (ในแบบมิสโรส) เป็นที่เรียบร้อย เจ้าหล่อนก็ออกจากห้องไปไม่นานหลังจากนั้น และทั้งห้องก็เหลือเพียงเขากับคัตจัง

 

บรรยากาศดูตึงขึ้นกว่าตอนอยู่ด้วยกันสามคน แต่มันก็ดำเนินไปด้วยดีกว่าเมื่อตอนเช้า พวกเขานั่งกันอยู่คนละฟากของโต๊ะหลังจากต่างคนต่างอาบน้ำเสร็จ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบๆ อุ่นๆ ของยามสาย อิซึกุมองไข่ดาวที่แปะอยู่บนขนมปังปิ้งของเขาที่จำได้ว่าตัวเองไม่ได้ทำไว้ก่อนจะมองไปยังคนอีกฟากที่คงจะทำมันระหว่างที่เขาอาบน้ำ

 

“ขอบคุณสำหรับอาหาร”

 

อีกฝ่ายไม่ได้ตอบอะไรแค่ทำเพียงยักไหล่เป็นเชิงว่ารู้แล้ว แค่ดูจากสีหน้าเขาก็เดาได้เลยว่าถ้าอีกฝ่ายพูดขึ้นคงไม่แคล้วบ่นเขาเรื่องอาหารไร้โภชนาการแน่ๆ เพราะงั้นอิซึกุจึงไม่ได้ต่อความยาวอะไรให้มากและละเลียดช่วงเวลายามสายไปกับอาหารที่พวกเขาทำ

 

มันเป็นยามบ่ายที่แปลกกว่าทุกวันสำหรับเดกุที่ใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง เพราะพอมีคุณฮีโร่ตรงหน้าเข้ามา ชีวิตประจำวันทั่วไปก็ดูดีขึ้นมานิดๆ ทั้งเตียงที่ถูกพับเป็นระเบียบและตีฝุ่นให้อย่างดี หรือจะอาหารที่ดูน่ากินขึ้นมา หรือแม้แต่การล้างจานเก็บโต๊ะที่ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ได้อยู่ตามลำพัง

 

แม้ว่าจะปนเสียงบ่นมาบ้างก็ตาม

 

“ไม่คิดว่าคัตจังจะทำอาหารเป็นด้วย” เขาลองพูดขึ้นในขณะที่กำลังเก็บโต๊ะกินข้าวที่ควบโต๊ะทำอาหารด้วย โดยมีใครอีกคนกำลังยืนล้างจานอยู่ด้านหลัง

 

“แกต่างหากที่ห่วย แค่ทอดไข่ก็ทำไม่เป็น”

 

“ปละ เปล่าซะหน่อย ฉันก็ทำเป็นนะ…แค่ไม่แน่ใจว่าจะออกมาดีมั้ย” ประโยคหลังคนพูดเอ่ยเสียงอ่อน

 

แต่มีหรือคนฟังจะไม่ได้ยิน แต่คนล้างจานก็ทำได้แค่ส่งเสียง “เฮอะ” ใส่เจ้าของบ้าน เพราะในจังหวะที่เขาถอยหลังนั้นแผ่นหลังของพวกเขาก็กระแทกกันเข้าให้

 

“โอ๊ะ/ไอ้…!”

 

อิซึกุรีบหันหลังกลับไปมอง แล้วก็พอดีกับที่ดวงตาอีกคู่หันมาสบกันพอดี คนที่ต่างก็อยู่คนเดียว 2 คนมาเจอกัน ก็กลายเป็นว่าห้องครัวนี้ดูจะแคบลงนิดหน่อย

 

และดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย…

 

ทั้งสองฝ่ายถอยออกจากกันในชั่วครู่ก่อนอิซึกุจะเอ่ยขึ้นก่อน

 

“ขอโทษ ฉันไม่ดูให้ดีเอง”

 

“แกนี่นะ…” คนพูดไม่ได้เอ่ยออกมาจนจบประโยค เพียงใช้สายตาตำหนิแล้วก็ปล่อยให้ทั้งห้องก็เงียบลงไปอีกหน

 

อิซึกุเดินเข้าไปทางด้านข้างก่อนจะยื่นมือเข้าช่วยเช็ดจานที่เปียกก่อนจะเอ่ยคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมาตั้งแต่สาย

 

“ทำไมคัตจังถึงตกลงเรื่องนั้นกับมิสโรสเหรอ”

 

เพราะเคยได้ยินตอนไปกินเนื้อย่างเมื่อวานว่าอีกฝ่ายอยากจะสลัดเขาออกจากตัวมากแค่ไหน แต่วันถัดมาเขากลับพบว่าคัตจังยินยอมจะตัวติดกับเขาอย่างเดิม (หรืออาจจะมากกว่าเดิม) คนที่ขี้กังวลจึงกังวลไปล้านแปด เขาสงสัยว่าบางทีคัตจังอาจจะเข้าใจความหมายของการเป็นคู่หูผิดไปหรือเปล่า

 

“เมื่อวานนี้ยังอยากไปทำคดีตระกูลทาคาฮาชิอยู่เลย”

 

“ต่อให้ฉันต้องพ่วงกับแกฉันก็ทำงานนั้นได้อยู่ดีไม่ใช่รึไง”

 

“อ่ะ ก็ใช่อยู่หรอก”

 

ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกหน ท่ามกลางยามบ่ายที่แสงอาทิตย์ส่องลงมาอ่อนๆ เขาไม่กล้าที่จะถามออกไปตรงๆ เลยว่า ‘ทำไมถึงอยากอยู่กับฉัน’ คงเพราะกลัวว่าคำตอบที่ได้มันจะทำให้บรรยากาศรอบตัวแย่ลง เพราะงั้นเขาเลยยังไม่ได้คำตอบของคำถามในใจนั้นอยู่ดี และเรื่องราวในวันนั้นก็จบลงที่ครัวของเขาแค่นั้น

 

 

 

beans-1834984_1280

 

 

 

ผ่านมาประมาณสัปดาห์หนึ่ง อิซึกุและคัตสึกิได้หมดหน้าที่ในคดีขู่ลักพาตัวเด็กในแผนกวิเคราะห์และเริ่มงานใหม่ในฐานะคู่หูกันมาได้สักพัก ท่ามกลางความเกรงใจของอิซึกุนั้นทำให้เขาไม่กล้าที่จะใช้เครื่องส่งสัญญาณอย่างที่มันควรจะเป็น และทำให้มิสโรสที่เป็นผู้เห็นเหตุการณ์อยู่ตลอดต้องกุมขมับ

 

“รู้มั้ยว่านี่น่ะมันถือเป็นสวัสดิการรัฐอย่างหนึ่งของแผนกเราเลยนะ ถึงเธอจะไม่ใช้แต่รัฐก็ต้องจ่ายให้เขาทุกเดือนนะรู้ไหม”

 

“ระ..รู้ครับ แต่ผมกลัวเขาจะลำบากนี่นา ปกติก็มีงานตรวจตราอยู่แล้ว แล้วจะให้เรียกมามันก็…” เขาเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจ

 

“แต่เขารับงานไปแล้ว ถ้ากลัวลำบากก็คงไม่ตกลงหรอกจริงมั้ย”

 

มันก็ถูก แต่เขาก็ไม่รู้จะคุยกับอีกฝ่ายยังไงเลย ตั้งแต่เรื่องคราวนั้นเกิดขึ้น อีกฝ่ายก็ดูนิ่งไป แต่ก็ดูอ่อนลงให้เขาบ้างนิดหน่อย มันเลยรู้สึกแปลกๆ ไม่เหมือนเก่า

 

“นี่…เธออยากรู้มั้ยล่ะว่าค่าจ้างฮีโร่ของรัฐน่ะเดือนละเท่าไหร่” อีกฝ่ายพูดเสียงเบาคล้ายกำลังกระซิบกลัวว่าจะมีใครได้ยิน (ซึ่งก็ไม่มีใครได้ยินอยู่ดีเพราะอยู่ในห้องกันแค่ 2 คน)

 

“อะ..เอ๋? เรื่องนั้นมัน…” คนฟังกระอักกระอ่วน แต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อรุ่นพี่ของเขาส่งสัญญาณมือมาให้จากตรงข้ามของห้อง อิซึกุมองนิ้วของเธอสลับกับริมฝีปากที่เอ่ยช้าๆ ให้เขาได้อ่าน แล้วคนมองก็ได้แต่กลืนน้ำลายไปอึกใหญ่เมื่อรับรู้ว่าค่าดูแลปกป้องตัวเองมีสูงถึงขั้นนั้น

 

“ไม่ธรรมดาเลยใช่มั้ยล่ะ” อิซึกุพยักหน้าตอบ “เพราะงั้นก็เลิกเกรงใจแล้วขยันใช้งานเขาให้เท่าที่รัฐจ่ายได้แล้วน่า นั่นมันภาษีประชาชนเลยนะ”

 

“อ่า ครับ งั้นเอาไว้โอกาสหน้าจะลองดูนะครับ”

 

“ดีมาก!”

 

และหลังจากนั้นห้องทำงานก็กลับสู่สภาพเดิมที่เคยเป็นนั่นก็คือความเงียบ เงียบจนได้ยินเสียงท้องร้องของใครบางคน อิซึกุรีบยกโกโก้ที่ซื้อมาตั้งแต่เช้าขึ้นดูด แต่มันก็ทั้งชืดทั้งไม่พอดีจนเจ้าของต้องเอ่ยตัดพ้อออกมาด้วยความหิว

 

ปกติเขามักจะมีขนมตุนไว้ในลิ้นชักแท้ๆ แต่เพราะสัปดาห์นี้เอาแต่วิ่งวุ่นไปทำงานที่นู่นทีที่นั่นที กว่าจะรู้ตัวขนมที่ซื้อตุนไว้ก็อันตรธานหายไปด้วยความหิวของเขาหมดแล้ว

 

ดวงตาสีเขียวมองนาฬิกา อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเลิกงาน แต่วันนี้ก็มีเวรต้องไปดูแลเด็กๆ ด้วย จะไปกินตอนนี้ก็รู้สึกเกรงใจมิสโรสที่ยังทำงานอยู่อีกฝั่ง ในตอนที่คิดไม่ตกว่าจะสั่งอะไรมากินกับคนอื่นๆ ที่นี่ดีมั้ย เสียงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

“สวัสดีครับ มิโดริยะ อิซึกุ แผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ครับ”

 

คุยอยู่ไม่นานเขาก้รู้ว่าอีกฝ่ายคือหนึ่งในผู้ปกครองของเด็กในห้องบำบัดอัตลักษณ์ คุณแม่ของเด็กชายไลโทรมาด้วยความว่าวันนี้เธอไม่ว่างมาส่งลูกชายกะทันหันเลยจะขอให้ทางสำนักงานช่วยไปรับหลังเลิกงานที่โรงเรียนให้หน่อย อิซึกุชะงักไปพักหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเขาควรตอบรับดีไหม แต่พอเจอคำขอของฝ่ายผู้ปกครองที่ติดธุระเรื่องลูกอีกคนที่เข้าโรงพยาบาลเขาก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้

 

“เฮ้อ”

 

เสียงถอนหายใจดังขึ้นหลังวางสายอย่างไม่คิดจะปิดบัง ความเหนื่อยล้าทำให้เขาเริ่มจะเข้าใจคุณแม่ของไลคุงที่ต้องดูแลลูก 2 คน พร้อมกับต้องทำงานบ้านและงานพิเศษควบไปพร้อมกันขึ้นมาเลยทันที

 

“งานรัดตัวเลยนะคุณแม่”

 

ไม่มีเสียงแหวว่า ‘คุณแม่ที่ไหนกันครับ’ ดังมาจากคนพูดเพราะเขาเหนื่อยเกินกว่าจะบ่นออกไป แน่นอนว่านั่นอยู่ในสายตาของเพื่อนร่วมงานอยู่ตลอด

 

“ต้องหาคนช่วยแล้วมั้ง” ข้อเสนอถูกยกขึ้นมาจากปากของหญิงสาว

 

“ใครกันล่ะครับ”

 

หญิงสาวยกนาฬิกาที่ข้อมือเธอขึ้นสะบัดให้เขามอง นาฬิกาแบบเดียวกับของเขาหรือก็คือเครื่องส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือนั่นเอง

 

“ฮีโร่ไงล่ะ”

 

“ได้ที่ไหนกันล่ะครับ”

 

“ได้สิ การดูแลเด็กๆ ที่ต้องกลับบ้านก็ถือว่าเป็นงานหนึ่งของคุณฮีโร่นะ ถึงมันจะไม่เท่เหมือนสู้กับวิลเลินแต่ก็ทำให้เมืองนี้สงบสุข”

 

“แต่ความจริงนั่นคืองานของผมนะครับ”

 

“แต่เธอยังไม่ได้กินข้าวไม่ใช่เหรอ”

 

“ก็ใช่ครับ แต่แบบนั้นเหมือนผมใช้เขาให้มาทำงานแทนเลย”

 

เงียบไปแปบนึงให้ต่างคนต่างได้ใช้ความคิด อิซึกุคิดว่ารุ่นพี่ของเขาจะจบเรื่องนี้และปล่อยให้เขารีบเคลียร์เอกสารได้แล้ว แต่เธอก็เอ่ยแนวคิดหนึ่งขึ้นมาทำให้เขาต้องคิดตาม

 

“แต่ลองคิดดูนะ ตอนนี้เธอมีเอกสารต้องทำ ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงและถ้าไปรับไลเธอก็จะปั่นเอกสารไม่ทันและก็คงไม่ได้กินข้าวเย็นเพราะทนปั่นงานจนอาจจะข้ามคืน ถ้าคิดแค่วันนี้พรุ่งนี้วัยอย่างเธอก็คงทนไหว แต่ในระยะยาวก็คงไม่แคล้วเป็นโรคกะเพาะจากการทำงานหักโหม ถึงตอนนั้นสุขภาพแย่ก็ทำงานได้น้อยลง ถ้าเข้าโรง’บาลขึ้นมารัฐก็ต้องเป็นฝ่ายช่วยออกเงิน แล้วถ้าไม่มีใครมาทำงานแทนส่วนของเธอล่ะก็งานของทั้งระบบก็จะช้าลง ทุกคนจะโหมงานหนักขึ้น และสุดท้าย…รัฐก็จะเสียผลประโยชน์ วิลเลินอาจจะหนีรอด และฮีโร่อาจจะทำงานกันไม่ทัน เพราะเธอไม่ยอมใช้สวัสดิการฮีโร่ที่รัฐมอบให้ไปรับไลมาทั้งๆ ที่รัฐจ่ายเงินค่าจ้างฮีโร่ไปแล้ว!”

 

อิซึกุหน้าเหวอ เขารู้สึกว่าเข้าใจแต่ก็รู้สึก ‘เอ๊ะ’ ในตอนจบ

 

“ดะ…เดี๋ยวก่อนนะครับ เอ่อ คือ เอ๊ะ…”

 

“พี่วิเคราะห์ผิดตรงไหนก็ชี้มาได้เลย!”

 

“เอ๊ะ…” ใครจะไปกล้าชี้ข้อผิดของรุ่นพี่ตัวเองกันเล่า!

 

อิซึกุนิ่งไป เขาไม่รู้จะพูดอะไรแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เพราะความจริงที่อีกฝ่ายว่ามาก็มีเหตุผล ว่าแต่จุดเริ่มต้นที่เขาควรทำมันคืออะไรนะ?

 

“เอ่อ…แล้วผมควรทำอะไรก่อนดีครับ”

 

“พูดแบบในเชิงวิเคราะห์เลยนะคุณมิโดริยะ…” เธอทำท่าทางจริงจังเหมือนเวลาวิเคราะห์อัตลักษณ์ “…คุณควรโทรให้บาคุชินจิไปรับไลเป็นอย่างแรกและทำงานให้เสร็จก่อนจะชิ่งไปกินข้าวเย็นค่ะ”

 

“อ่า…”

 

“เพื่อความคุ้มค่าที่รัฐบาลและประชาชนเสียภาษีให้กับแผนกของเรา”

 

อิซึกุรู้สึกเหมือนโดนสะกดจิต “กะ…ก็ได้ครับ แต่เดี๋ยวผมถามก่อนว่าคัตจังผ่านแถวนั้นมั้ย…”

 

แต่เขาก็ไม่ได้จะใช้งานอีกฝ่ายในฐานะของคู่หูซะทีเดียว อิซึกุเลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรถามความสมัครใจของอีกฝ่ายแทน เขาถือสายอยู่ไม่นาน เสียงจากอีกฝั่งก็ดังขึ้น

 

[มีไร?]

 

อีกฝ่ายถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ร้อนรนนักบ่งบอกว่าเขาคงไม่ได้กำลังต่อสู้อยู่

 

“เอ่อ…คือว่าวันนี้น่ะฉันต้องไปรับไลที่โรงเรียนแทนแม่ของเขา…”

 

[แกจะให้ฉันไปคุ้มกันแก?]

 

“เปล่าๆ ไม่ใช่ คือ…ฉันอยากรู้ว่าคัตจังอยู่ที่ไหนแล้วก็ว่างรึเปล่า ถ้าจะหะ ให้ไปรับไลให้หน่อย”

 

[หา?]

 

ทั้งสองฝ่ายต่างเงียบไป อิซึกุเงียบรอฟังคำสบถจากอีกฝ่ายส่วนคัตสึกิก็กำลังประมวลผลให้กับประโยคที่ดูไม่สัมพันธ์กันนั้นก่อนจะค่อยๆ คิดออก

 

[นี่แกหมายความว่าจะให้ฉั…]

 

“ฉะ ฉันไม่ได้สั่งหรอกนะ! แต่ว่าถ้าคัตจังผ่านแถวรร. ABC ฉันก็อยากจะขอร้อง คือฉันยังเคลียร์งานเอกสารเมื่อตอนเช้าไม่เสร็จเลย หลังจากนี้ก็ต้องไปดูแลเด็กๆ ถะ..ถ้าเป็นไปได้ ถ้าเป็นไปได้ก็..อยากจะถามว่าคัตจังสะดวกมั้ยน่ะ?”

 

[…]

 

“อ่า แต่ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้ตั้งใจจะใช้งานฮีโร่แบบนี้หรอกนะ ขอโท…”

 

[เจ้าเด็กนั่นคือใคร]

 

“เอ๊ะ…”

 

[ฉันถามว่ามันชื่ออะไร ฉันจะรู้มั้ยไม่ใช่ผู้ปกครองไปรับก็ต้องมีรหัสหรืออะไรไม่ใช่รึไง]

 

“คัตจังจะไปรับให้ฉันแล้วเหรอ!?”

 

[หรือแกจะไปเองเจ้างั่ง เร็วๆ ฉันเพิ่งเลิกงานต้องผ่านโรงเรียนที่ว่าอยู่แล้ว]

 

“อ๊ะ ขอบคุณนะ! ขอบคุณมาก เดี๋ยวฉันจะส่งรายละเอียดไปให้ทางไลน์แล้วกัน แต่คุณแม่เขาบอกไว้แล้วว่าจะมีคนมารับแทน ถ้าเป็นฮีโร่ไปน่าจะพอได้อยู่ คัตจังน่าจะเคยเจอไลแล้วนี่ เขาดูซนๆ ไปหน่อยแต่ก็นิสัยดี…”

 

อิซึกุเริ่มพูดจ้อได้อีกหนหลังจากดีใจที่มีคนรับหน้าที่รับเด็กแทนตัวเองไปแล้ว คุยอยู่ไม่นานรายละเอียดก็ถูกส่งมอบให้กับคัตจังจนครบถ้วนพร้อมกับรูปถ่ายยืนยันตัวตน ไม่นานทั้งสองฝ่ายก็วางสายลงโดยมีเสียงขอบคุณดังจนวินาทีสุดท้าย

 

“เฮ้อ”

 

เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังขึ้นในห้อง ในที่สุดอิซึกุก็รู้สึกสบายใจจนพร้อมจะกลับมาปั่นงานอีกครั้ง เขาเคลียร์งานไปด้วยพร้อมกับจับเวลาเดินทางของคัตจังไปพร้อมกัน ทุกอย่างดูจะเป็นไปด้วยดีถ้าหากคนช่างแพนิคไม่รู้สึกว่านี่มันชักจะนานเกินไปแล้วสำหรับการไปรับเด็กคนหนึ่งมาจากโรงเรียน

 

เขาควรจะติดต่อไปดีมั้ย เผื่อบางทีจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น

 

“มิสครับ คุณว่านี่มันใช้เวลานานไปหน่อยรึเปล่าจากรร.ที่ไลอยู่”

 

“หือ? งั้นเหรอ นี่ผ่านมานานแล้วเหรอ”

 

“ก็สักพักแล้วครับ”

 

“เดี่ยวก็มาน่ะใจเย็นๆ”

 

ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าคนที่ไปรับเป็นฮีโร่แต่ด้วยความขี้กังวลที่น่าจะมีมาในสายเลือดก็ทำให้เดกุเริ่มกระวนกระวายจนต้องต่อสายไปถึงฮีโร่ของตนอีกครั้ง

 

“ฮัลโหลคัตจัง”

 

[มีอะไรอีกห๊ะ]

 

“เปล่า แค่จะถามว่าถึงไหนแล้ว มีอะไรผิดปกติมั้ย”

 

อิซึกุคงไม่รู้ว่าคนปลายสายกำลังกรอกตามองบนให้กับคำถามของเขา ชายหนุ่มมองไปยังเด็กชายที่กำลังกินอาหารอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะก่อนจะมองข้าวกล่องสำหรับกลับบ้าน 1 ที่ในมือตนเองที่ซื้อมาด้วยความหงุดหงิดส่วนตัว(?)

 

[เจ้านี่กินข้าวอยู่ แกมีไร]

 

“เปล่า ไม่มีอะไร” คนฟังโล่งใจ “ฉันแค่โทรมาถามเฉยๆ ความจริงให้เขากินข้าวมาก่อนก็ดี” คนฟังพยักหน้ารับกับความคิดนั้นเพราะเขาก็เพิ่งนึกได้เช่นกันว่าไลคงยังไม่ได้กินอะไรมา

 

แล้วคัตจังล่ะ?

 

“คัตจังก็ไม่ต้องรีบก็ได้ หาอะไรทานก่อนเลย เรื่องวันนี้ก็ขอบคุณมากเลยนะ ไว้ฉันจะเลี้ยงตอบแทนให้”

 

“เหอะ ไม่ต้องเลย แกเลี้ยงตัวเองให้ดีก่อนเถอะ”

 

ว่าจบก็เหมือนจะมีเสียงเด็กจากปลายสายเข้ามา เขาได้ฟังเสียงไลพูดแปบนึงก่อนจะตัดสายกันไป อิซึกุถอนหายใจอย่างโล่งอกและกลับไปปั่นงานต่อ ท่ามกลางสายตายินดีของรุ่นพี่สาวที่ได้เห็นว่ารุ่นน้องตัวเองมีคนที่ฝากผีฝากไข้(?)ได้บ้างแล้ว

 

เวลาล่วงไปถึงตอนเย็นจนใกล้จะเลิกงานพอดี อิซึกุทำงานเสร็จก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงประตูห้องถูกเปิดขึ้นด้วยฝีมือของฮีโร่คู่หูที่กำลังจูงเจ้าตัวแสบเข้ามาในห้อง

 

“บาคุชินจิ ปล่อยฉันนะ บอกว่าไม่ได้จะหนีไงเล่า” เด็กชายตัวเล็กทำท่าทางอยากจะดึงมือตัวเองออกจากมือฮีโร่จนเต็มแก่ ภาพทั้งหมดนั้นทำให้คนที่กำลังบิดขี้เกียจด้วยอาการเนือยๆ ถึงกับเลิ่กลั่กจนต้องลุกออกจากโต๊ะมาดู

 

“ไล กลับมาแล้วหรอครับ”

 

“โอ้! กลับมาแล้ว บอกให้บาคุชินจิปล่อยมือฉันทีสิ”

 

“คัตจัง?” คนฟังหันไปถามร่างสูง

 

“เจ้านี่จะหนีไปเล่นเกม”

 

“บอกว่าไม่ได้หนีไงเล่าเจ้าบ้าคุชินจิ”

 

“หา!? แกว่าไงนะเจ้าเด็กบ้า”

 

อยู่ดีๆ สำนักงานก็ลุกเป็นไฟแบบไม่คาดคิด ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่าล้วนเป็นเพราะความหัวแข็งของผู้ใหญ่และเด็กตรงหน้า ก่อนที่สถานการณ์จะย่ำแย่เข้าไปอีกอิซึกุก็จัดการจับแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกันก่อนจะหันไปขอบคุณผู้ช่วยชีวิตของเขาในวันนี้

 

“ขอบคุณนะคัตจังที่ไปพาไลกลับมาอย่างปลอดภัย เดี๋ยววันหลังฉันจะตอบแทนให้นะ”

 

“เฮอะ ก็บอกว่าไม่ต้องไงเล่าเจ้าโง่”

 

อิซึกุยิ้มแห้งให้อีกฝ่าย รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองก็คงจะตอบแทนอะไรไม่ได้มากจริงๆ

 

“เอ้านี่”

 

พอบทสนทนาเงียบลงได้ไม่ทันไรอยู่ดีๆ เจ้าของดวงตาสีแดงก็ยื่นถุงบางอย่างมาตรงหน้า ตราร้านอาหารประดับอยู่บนถุงบ่งบอกได้ดีว่าข้างในนี้มีอะไร ที่ไม่เข้าใจก้คืออีกฝ่ายส่งให้เขาทำไมมากกว่า

 

“นี่คือ…?”

 

“เอาไปซะ แล้วหัดกินอาหารให้ครบ 3 มื้อเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ถ้าแกตายขึ้นมาเพราะโรคกระเพาะฉันจะซวยไปด้วย”

 

อาหารงั้นเหรอ….คัตจังซื้อมาให้เขา?

 

ถุงยังคงถูกยื่นมาให้ตรงหน้าท่ามกลางความสับสนของอิซึกุก่อนมือข้างนั้นจะรับมันมาด้วยความแปลกใจ เขาไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอีกฝ่ายรู้ได้ไงว่าเขายังไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เที่ยง แต่ก็รู้สึกดีใจขึ้นมานิดๆ เป็นความรู้สึกอุ่นๆ ในใจเหมือนกับ…เหมือนกับอะไรสักอย่างที่เคยรู้สึกเมื่อนานมาแล้ว

 

ไม่นานเขาก็ถูกดึงความสนใจไปที่ไลอีกหน เด็กชายทำหน้าไม่พอใจอยู่จนเข้าต้องพาออกมาจากห้องและบอกลาคัตจังที่ตรงนั้นโดยไม่ได้ไปส่ง

 

ในห้องกว้างเหลือฮีโร่อยู่หนึ่งคนกับผู้หญิงอีกคนที่คอยเฝ้ามองทุกเหตุการณ์อยู่จากอีกมุมหนึ่ง เขาหันไปมองเธอก่อนจะเอ่ยคำถามที่ค้างคามาตั้งแต่สัปดาห์ก่อน

 

“เธอรู้อยู่แล้วใช่มั้ยเรื่องเจ้านั่น ที่ในตรอกแถวโรงพยาบาล”

 

เสียงปากกาขีดเขียนหยุดกึกลง เธอเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มให้เขาเป็นการหยั่งเชิง

 

“เรื่องไหนล่ะ”

 

“เรื่องที่เจ้านั่นไม่ใช่วิลเลิน”

 

“…”

 

“…”

 

“นายรู้แล้วเหรอ”

 

“ตั้งแต่สัปดาห์ก่อน”

 

เธอถอนหายใจให้กับคำตอบนั้น แล้วค่อยๆ เล่าทุกอย่างออกมา

 

“นี่คงจะรู้แล้วใช่มั้ยว่าที่ฉันทำไปเพราะอะไร”

 

ไร้คำตอบ แต่ความเงียบก็คือคำตอบชั้นดีของคำว่า ‘ใช่’

 

“ขอโทษด้วยที่ไม่ได้บอกเธอทั้งหมด ฉันแค่อยากจะหาใครสักคนมาคอยดูแลเด็กคนนั้นก็เท่านั้น”

 

“โดยการทำให้คนอื่นต้องหัวหมุนกับงานที่ทำและผู้ร่วมงานไปพร้อมกัน?”

 

“…”

 

“…”

 

เธอลุกขึ้นก่อนโค้งตัวอย่างเป็นทางการ “ขอโทษถ้าหากว่านั่นทำให้เธอเครียดเกินไป ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นการจับตาดูที่ยาวนานขนาดนี้ ถ้าหากจะยกเลิกสัญญาเพราะเข้าใจผิดเรื่องวิลเลินก็ไม่เป็นไร”

 

เขานิ่งไป เป็นอย่างที่เธอบอก คำพูดไร้มูลนั่นดูยังไงก็คงเป็นแค่เรื่องล้อเล่นถ้าหากว่าเขาไม่ได้ข้อมูลจากทางฝั่งเจ้าไฟน้ำแข็ง และการจับตามองที่เธอว่าก็คงจะเกิดขึ้นอยู่วันยันค่ำเพราะในคดีของสำนักงานนั้นดูเผินๆ คนที่เกี่ยวข้องกับห้องเลี้ยงเด็กก็ดูจะต้องมีเอี่ยวไม่มากก็น้อย หรืออย่างน้อยเขาก็จำเป็นต้องจับตาดูเดกุในฐานะเหยื่อของเรื่องในวิดิโอนั่นบ้าง

 

เพราะกลับไปคิดมากว่า 1 สัปดาห์ความรู้สึกขุ่นหมองเลยจางลงกว่าตอนแรกลงไปหน่อย และดวงตาที่เฝ้ามองหาข้อจับผิดก็เหมือนจะเปิดกว้างขึ้นไม่มากก็น้อย

 

“เงยหน้าขึ้น”

 

เขาไม่ชอบกับการทำแบบนี้เลย ออกจะลำบากใจด้วยซ้ำ

 

“ฉันขอถามอีกครั้งได้มั้ยว่านายยังอยากจะทำงานนี้อยู่หรือเปล่าโดยที่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วว่ามันไม่มีอะไร”

 

“ฉันรู้เรื่องนั้นก่อนที่จะตกลงทำงานนี้ได้ 1 วัน”

 

“……”

 

เพียงแค่นั้นเธอก็เข้าใจความหมายที่เขาจะสื่อ

 

เขารู้อยู่แล้ว แต่ก็ยังจะอยู่ที่นี่ในสถานะนี้

 

คงไม่จำเป็นต้องถามให้มากความอีกต่อไป

 

“ขอบคุณนะ”

 

บาคุโกไม่ตอบอะไรกลับไป เขาเดินออกไปจากห้องทั้งอย่างนั้นโดยไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก

 

เขารู้ตัวเองดีว่ามันก็เป็นแค่ความรู้สึกที่ ‘ปล่อยไว้ไม่ได้’ เป็นความรู้สึกที่ไร้รูปร่าง ไร้ที่มาและไม่ได้น่าขอบคุณอะไรขนาดนั้น

 

มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เขาเลือกจะอยู่ตรงนี้ เขาเลือกที่จะทำมันเอง และถ้าหากเขาไม่อยากทำ…ก็ไม่มีใครมาบังคับบาคุโก คัตสึกิได้

 

 

 


 

// โอ้ มาต่อแล้วค่ะ เป็นไงบ้างคะ จากฮีโร่สู่พ่อบ้านที่ดี รับลูก ล้างจาน ทำอาหารให้เธอก็ได้ อีกนิดนี่น่าจะได้เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น You can become a hero’s wife แล้วนะคะ 5555 ไว้มาดูกันต่อค่ะว่าความรู้สึกที่ไม่มีรูปร่างมันจะมีรูปร่างขึ้นมาได้ยังไง ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ

ขอบคุณรูปภาพสวยๆ จาก Pexels from Pixabay นะคะ

ปล.หารูปยากมากเลยค่ะ ไข่ดาวกับขนมปัง หาไปก็หิวไป ทำนานพอๆ กับตรวจฟิค 1 รอบ

อีกนิด ช่วงนี้เรามีแพลนจะย้ายบางเรื่องไปลงใน ReadAwrite ค่ะ เราอาจจะได้เจอกันสาขา3 ที่นั่นก็ได้ 555

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 25

 

 

25

เพื่อนกันไม่ทำแบบนี้

 

 

ท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวส้มลอยอ้อยอิ่งคือภาพอันคุ้นตาเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะมารอรับตอนจบวัน…

 

ความสงบของผืนฟ้าที่ถูกตึกสีดำตีกรอบไว้ฉายชัดตรงหน้า…หากว่าอีกาที่กำลังเกาะอยู่บนรั้วด้านหนึ่งของมุมตึกแลตาลงมา…มันก็คงจะได้พบกับความหฤหรรยามเย็น…ที่ทาบทับบนสิ่งสกปรกโสโครกไม่ต่างจากขยะ

 

เสียงหัวเราะดังไปมาสลับกับเสียงกระทบกัน ดังขึ้น ดังขึ้น ดังจนทนไม่ไหว…!

 

.

.

.

.

 

เฮือก!

 

มิโดริยะ อิซึกุลืมตาขึ้นมาพบกับวันใหม่ ดวงตาเบิกโพลงมองรอบข้างอย่างต้องการพิสูจน์ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน จนเสียงหัวใจดังก้องสะท้อนบอกเขาว่ามันคือความจริง ร่างกายที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อค่อยๆ คลายตัว เขาพยายามจะลุกขึ้นแต่ก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างทับตัวไว้จนลุกไม่ขึ้น พอลองสังเกตดูดีๆ ถึงได้เห็นท่อนแขนแน่นที่กำลังรัดช่วงเอวของตัวเองอยู่

 

เจ้าของห้องผู้จำอะไรไม่ได้และยังคิดว่าตัวเองอยู่เพียงคนเดียวในห้องเงียบไป เขาไล่สายตาจากแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามไปเรื่อยๆ จนพบกับร่างของใครคนหนึ่ง ดวงตาไล่มา…ไล่มาใกล้ตัวมากขึ้น…จนหยุดลงที่ใบหน้ายามหลับของคนที่คุ้นเคย

 

“คะ คัตจัง!?”

 

นี่เขายังอยู่ในความฝันเรอะ!

 

อิซึกุขยับตัวออกห่างด้วยแรงมากกว่าเดิม เจ้าตัวพยายามตะเกียกตะกายดันแขนนั้นออกจนลุกขึ้นมาจากเตียงได้ในที่สุด

 

“คัตจังมานี่ได้ไง?”

 

อิซึกุเริ่มเค้นความคิด เท่าที่จำได้เขาเจอคัตจังเมื่อวานระหว่างไปสืบข่าว แล้วหลังจากนั้นก็ทะเลาะกัน แล้วก็ไปดื่ม…แล้วก็…

 

“อืม…”

 

แรงผลักเมื่อครู่ทำให้คนที่นอนอยู่รู้สึกตัว เจ้าของท่อนแขนแข็งแรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะเบ้หน้าเมื่อฤทธิ์เหล้าเมื่อวานเริ่มมา และอาการแฮงค์ทำให้หัวของบาคุโกแทบจะระเบิด

 

เสียงงึมงำเรียกความสนใจจากเจ้าของห้องให้หันมามอง ท่าทางไม่โอเคของอีกฝ่ายทำให้อิซึกุเริ่มจะจำได้ เมื่อวานอีกฝ่ายดื่มจนฟุบหลับไปและตัวเขาเองก็เป็นคนพามานอนที่นี่ พอสติเริ่มกลับมาและเห็นท่าทางไม่สู้ดีเขาถึงรู้ว่าอีกฝ่ายคงจะแฮงค์ไปแล้ว ท่าทางที่ดูแล้วคงเรียกว่าดีไม่ได้นั้นทำให้เจ้าของห้องเป็นฝ่ายเดินออกไปหยิบยากับน้ำที่นอกห้องนอน

 

อิซึกุกลับเข้ามาอีกครั้งในตอนที่คนในห้องเริ่มลุกขึ้นนั่งกุมหัว ท่าทางที่ดูย่ำแย่ทำให้เขาต้องไปพยาบาลถึงเตียง แต่ถึงจะพูดว่าพยาบาลก็เพียงแค่ยื่นน้ำกับยาให้เท่านั้น

 

“คัตจัง นี่ยา”

 

อีกฝ่ายรับมันไปอย่างว่าง่ายผิดกับเวลาปกติ พอกินเสร็จและเห็นผู้มาเยือนไม่พูดอะไร อิซึกุก็ตั้งใจจะออกไปจากห้อง ทำเหมือนเมื่อคืนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้นขัด

 

“แกมาอยู่นี่ได้ยังไง”

 

“นี่ห้องฉันต่างหาก”

 

อีกฝ่ายนิ่งไปราวกับกำลังประมวลผล

 

“เราไปกินเนื้อย่างด้วยกันเมื่อวานนะ”

 

รออยู่พักหนึ่งกว่าอีกฝ่ายจะจูนจนได้สติ “นี่กี่โมงแล้ว”

 

อิซึกุหันมองนาฬิกาและเขาก็รู้สึกโชคดีที่วันนี้ไม่ใช่วันทำงาน

 

“สิบโมงครึ่งแล้ว”

 

อีกฝ่ายไม่ได้ถามอะไรอีก เจ้าของห้องเลยปล่อยให้ผู้อาศัยพักต่อโดยการระเห็จตนเองไปอยู่ในครัว ทุกอย่างยังตึงๆ ตรงหน้าเดกุแม้ว่าจะน้อยกว่าอาการของคัตจังก็ตาม แต่ที่รู้สึกมากๆ คงเป็นการไม่รู้จะทำตัวยังไงดี

 

ปกติเขาอยู่ที่นี่คนเดียว ไม่ได้มีใครมาพักหรือค้างมาก่อน ความรู้สึกที่ตื่นขึ้นมาเจอใครอีกคนในบ้านทำให้รู้สึกประหม่าขึ้นมา

 

ปกติถ้ามีคนมาบ้านก็คงจะต้องต้อนรับ…ด้วยอาหาร? หรือในตอนเช้าแบบนี้ควรจะเป็นการอาบน้ำดี?

 

ไม่รู้ว่าคัตจังมีงานวันนี้รึเปล่าด้วยสิ…จะต้องใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ด้วยมั้ยนะ

 

มิโดริยะ อิซึกุผู้ไม่คุ้นชินกับสถานการณ์ตรงหน้านิ่งไปอย่างคิดไม่ตก จนในท่สุดเขาก็เลือที่จะไปอุ่นน้ำในอ่าง และเตรียมกับข้าวเท่าที่จะเรียกว่าอาหารได้ พอทุกอย่างเสร็จดีเขาก็เยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องอีกครั้ง ดวงตาสีเขียวมรกตมองตรงไปที่เตียงก่อนจะสะดุ้งนิดๆ เมื่อสายตาปะทะเข้ากับดวงตาสีแดงเข้าพอดี

 

“ตะ…ตื่นแล้วหรอ” เจ้าของบ้านพูดอย่างประหม่าโดยที่ยังยืนหลบอยู่ตรงกำแพงหน้าห้อง

 

“มีอะไร” อีกฝ่ายถามกลับเมื่อเห็นท่าทางลนลานเหมือนอยากจะบอกอะไรสักอย่าง

 

“เปล่า คือว่า…แค่จะถามว่าวันนี้คัตจังมีงานมั้ย”

 

“ไม่มี”

 

“อ้อ งะ…งั้นจะกินข้าวก่อนมั้ยหรือจะอาบน้ำก่อนดี”

 

“ห๊ะ?”

 

คำถามที่ไม่คิดว่าจะออกมาจากปากเจ้าของบ้านทำให้ผู้มาอาศัยนิ่งไป ดวงตาคู่คมมองไปยังคนตรงข้ามอีกหนก่อนจะสังเกตเห็นว่าในมือนั้นมีผ้าขนหนูอาบน้ำถูกกอดอยู่

 

“คือ…เอ่อ…คือว่า…หรือว่าจะทำอย่างอื่นก็ตามสบายได้เลยนะ วันนี้ฉันก็ว่างเหมือนกัน แค่มาถามน่ะเผื่อว่ามีอะไรก็เรียกแล้วกัน”

 

คำพูดที่ทำให้คิดไม่ตกว่าทำอย่างอื่นคือทำอะไรบวกกับท่าทางลนๆ ทำให้คนมาอาศัยต้องเดินไปใกล้ก่อนจะรับน้ำใจนั้นไว้

 

“ผ้าขนหนูนั่นอะไร”

 

“ห๊ะ อ้อ อันนี้เผื่อใช้ตอนอาบน้ำ”

 

พูดจบคนที่อาการดีขึ้นบ้างก็ยื่นมือออกไปเป็นเชิงให้อีกฝ่ายส่งผ้าขนหนูนั้นมาให้ อิซึกุนิ่งไปสามวิก่อนจะเข้าใจแล้วส่งมันไป อีกฝ่ายเดินผ่านออกไปนอกห้องแล้ว และทันทีที่เสียงประตูห้องน้ำถูกปิดลงเสียงถอนหายใจของเขาก็ดังขึ้น

 

 

ที่อีกด้าน บาคุโกเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเนือยๆ พอพบว่าทุกอย่างในนี้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วก็รู้สึกดีขึ้น เขาหวนคิดถึงท่าทางของเจ้าของห้องที่ดูไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวขึ้นมา ท่าทางลุกลนนั้นทำให้ร่างสูงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความขบขัน

 

จะกินข้าวก่อนดีหรืออาบน้ำก่อนดี ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วจะทำอะไร? ออกกำลังกายในร่มรึไงเจ้าเซ่อ

 

 

เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ที่ด้านในครัวอิซึกุก็กำลังจ้องมองอาหารเช้า (กลางวัน) ที่ไม่รู้จะเรียกว่าอาหารเช้าที่ดีได้หรือเปล่า

 

เพราะเขาไม่ค่อยอยู่บ้านเหมือนคนปกติ เลยไม่ค่อยมีอาหารสดติดบ้านนอกเสียจากขนมปังกับนม และนานๆ ทีปีหนถึงจะลุกขึ้นมาทำกับข้าวกินเอง ที่ทำบ่อยก็มีอาหารที่ควรเรียกว่าซีเรียลใส่นมกับขนมปังปิ้งเนย ดูไปก็ไร้โภชนาจนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะโอเคกับมันหรือเปล่า

 

อิซึกุมองขนมปังปิ้งกับโกโกร้อนและนมอย่างชั่งใจ ครู่หนึ่งก็เริ่มไขว้เขวว่าหรือจะโทรสั่งมากินดี แต่ตัวเลือกง่ายดายนั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง

 

“ทำอะไร”

 

คนที่ยืนเหม่อสะดุ้งโหยง อิซึกุหันไปอย่างตกใจก่อนจะตกใจยิ่งกว่าเมื่อเห็นภาพเพื่อนของตนกำลังยืนอยู่ไม่ห่างในสภาพเปลือยท่อนบน ดวงตาสีเขียวนิ่งไปเมื่อปะทะกับแผ่นอกและกล้ามท้องที่ดูดีจนน่าอิจฉา

 

“คัตจัง! มานี่ได้ไง”

 

“แกต่างหาก เอาเสื้อผ้าฉันไปไว้ไหน”

 

นิ่งไปนานก่อนเจ้าของห้องจะนึกได้ว่าตัวเองลืมเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้อีกฝ่าย

 

แต่ยังไม่ทันจะตอบออกไปเสียงออดจากประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น เจ้าของบ้านหันไปมองหน้าห้องของตัวเองอย่างกะทันหันโดยไม่รู้ว่าใครกันที่มาเอาป่านนี้ เขาคิดว่าบางทีคงสั่งอะไรไปจนลืมเลยได้แต่บอกให้คนที่ยังอยู่ในผ้าขนหนูตัวเดียวให้ไปเปลี่ยนชุด ในขณะที่เสียงกริ่งถูกกดเรียกซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกลัวว่าเจ้าของบ้านจะไม่ได้ยินทำให้อิซึกุรีบผละออกจากตัวห้องไปเซ็นรับของ

 

แกร็ก

 

ทันทีที่เปิดประตูออกมาเขาก็เจอกับกล่องลังใบใหญ่…แต่คนที่ถือมากลับไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์

 

“มิสโรส?!”

 

“อิซึกุถอยๆๆ” เธอพูดด้วยท่าทีรีบร้อนซึ่งก็ไม่แปลกเมื่อต้องแบกลังหนักๆ ท่าทางรีบเร่งทำให้คนที่มองอยู่ต้องเปิดทางให้เธอเอาลังเข้ามาวางบนตู้แถวนั้นอย่างรวดเร็ว แต่ทันทีที่เธอวางกล่องลงและกำลังจะก้มถอดรองเท้าเท่านั้นดวงตาเฉียบคมของหญิงสาวกลับหยุดชะงักลง เธอมองเห็นผู้ชายกึ่งเปลือยท่าทางคุ้นๆ คนหนึ่งยืนอยู่ไกลลิบๆ ตรงช่องทางเดิน ดวงตาเฉียบคมมองไปยังคนที่คุ้นตาในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จหมาดๆ สลับกับเจ้าของบ้านที่อยู่ในสภาพเสื้อผ้าหลุดรุ่ยเหมือนเพิ่งตื่นแล้วก็พอจะเข้าใจ

 

“ก็ไม่คิดหรอกนะว่าจะไปกันได้ดีถึงขั้นนี้” เจ้าหล่อนพูดเสียงอ่อนอย่างปลงใจ

 

“เอ๊ะ ครับ?” อิซึกุยังไม่รู้ตัว

 

“นั่นบาคุชินจิใช่มั้ย”

 

“เอ๊ะ…” อิซึกุมองตามสายตาของเธอ แล้วทันทีที่ได้เห็นว่าเพื่อนสมัยเด็กของตนยังอยู่ในสภาพเดิมกับเมื่อตอนก่อนหน้านี้เขาก็ตกใจจนหาเสียงพูดไม่เจอ

 

หญิงสาวไม่ทันให้รุ่นน้องของเธอได้กล่าวแก้ตัว คนนึงอยู่ในสภาพนุ่งลมห่มฟ้า ส่วนอีกคนก็เสื้อแสงหลุดรุ่ย ความจริงแล้วเธอคงจะเข้ามาผิดเวลาสินะ แต่น่าประทับใจกับพัฒนาการของพวกเขาจริงๆ

 

“เอ่อ คือ ก็ใช่ครับ แต่พวกเราแค่…”

 

หญิงสาวตบบ่ารุ่นน้องเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า

 

“ไม่เป็นไร พี่เข้าใจ” เธอยิ้ม “ยินดีด้วยนะอิซึกุ”

 

เข้าใจแบบไหนกันครับ!!

 

.

.

.

 

ใช้เวลาอยู่นานกว่ามิสโรสจะเข้าใจจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ที่แย่คือระหว่างนั้นเขาก็ต้องรับหน้าคัตจังที่ไม่คิดว่าจะมาเจอกันในลักษณะนี้ไปด้วย กว่าทุกอย่างจะลงตัวก็ตอนที่คัตจังเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกันความเข้าใจผิดแล้ว

 

“โธ่ ก็นึกว่า…”

 

“นึกว่าอะไรล่ะครับ พูดแบบนี้คัตจังเสียหายนะ”

 

อิซึกุเอ่ยดักบทสนทนาทันทีเมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อที่พวกเขาพูดถึงกำลังเดินเข้ามาทางนี้ อีกฝ่ายอยู่ในชุดเสื้อฮู้ดตัวเมื่อวานกับกางเกงสักตัวที่คงไปรื้อมาในห้อง ดูจากหน้าตาแล้วบอกได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในสภาพที่ดีกว่าตอนตื่นไม่น้อย

 

“พูดแบบนี้คิดว่าตัวเองไม่เสียหายรึไง” แต่เธอก็ยังแกล้งพูดต่อหน้าเขา พาให้เจ้าของห้องเขินจนต้องเปลี่ยนเรื่องอื่น

 

“แล้วกินข้าวมารึยังครับ ผมเพิ่งทำอาหารให้คัตจังเสร็จพอดี กินด้วยกันมั้ย”

 

“ทำอาหาร…?”

 

“ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

 

คนฟังนิ่งไป เธอไม่คิดว่าเด็กที่ทำอาหารไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไรจะลุกขึ้นมาทำอาหารให้ใคร  แถมดูจะทำมากกว่าอาหารด้วยซ้ำถ้าย้อนไปตั้งแต่ที่เธอเห็นฮีโร่คนนั้นอยู่ในสภาพเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

 

“ก็…ปกติก็ต้องต้อนรับคนที่มาค้างที่บ้านไม่ใช่เหรอครับ คือ…ถ้าไม่เตรียมกับข้าวกับอาบน้ำแล้วจะให้ทำยังไง…”

 

ในความหมายของอิซึกุก็คือจะให้ไล่กลับไปทั้งอย่างนั้นก็จะดูแปลกๆ แต่คนฟังที่ได้ยินกลับคิดไปอีกแบบ

 

 

นี่ถึงขั้นเตรียมน้ำเตรียมท่าเอาไว้ด้วย

 

 

หญิงสาวหลุดขำออกมาก่อนจะหันไปหาฮีโร่ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเธอ “จริงเหรอ?”

 

ชายหนุ่มพยักหน้าเหมือนจะไม่ใส่ใจแต่เธอก็เห็นว่าเขาในแววตาคู่นั้นมีแววขบขันอยู่ ภาพตรงหน้าทำให้อิซึกุต้องมองคนทั้งสองสลับไปมาก่อนอย่างไม่เข้าใจ

 

“เอ่อ มันผิดเหรอครับ?”

 

“เปล่า แต่นี่มันเหมือนมากเลยนะรู้มั้ย”

 

คนฟังนิ่งไปก่อนจะเริ่มเดาเอาจากท่าทางของทั้งสองฝ่าย แล้วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

 

“จะบอกว่าเหมือนคุณแม่อีกแล้วสินะครับ”

 

“เปล่า เหมือนสามีภรรยาต่างหาก”

 

“…”

 

“…”

 

คงจะมีแต่มิสโรสที่ยิ้มอยู่ได้

 

“พะ…พอเลยครับ เดี๋ยวเขาก็หาว่าแผนกเราเป็นพวกเซกุฮาระ*หรอก”

 

อิซึกุอึกอักอยู่พักใหญ่ก่อนจะขอตัวออกไปหยิบของมารับแขกผู้มาเยือนอย่างไม่ได้คาดหมาย เขาไม่ได้หันกลับไปมองบุคคลที่ถูกพาดพิงอีกคนเลยสักนิดว่ากำลังทำหน้าแบบไหนอยู่ แต่คิดว่าคงไม่ใช่ใบหน้าพอใจแน่ๆ

 

คงจะมีแต่หญิงสาวที่เห็นว่าอีกฝ่ายก็ดูไม่ยี่หระอะไรกับคำพูดเล่นของเธอ

 

“ขอโทษทีนะ แล้วก็เขาคงยังไม่ชินกับอะไรแบบนี้ ก็เลยติดนิสัยมาจากตอนอยู่ที่แผนก”

 

เพราะในแผนกส่วนใหญ่ก็เต็มไปด้วยเด็กๆ คนที่ทำหน้าที่ดูแลรุ่นของอิซึกุก็มีแต่ผู้หญิงอย่างอายะกับชิกิ (ที่ย้ายไปแผนกอื่นแล้ว) ไปๆ มาๆ เด็กตรงหน้าก็เติบโตมาโดยซึมซับหลายๆ อย่างมาจากคนที่ได้พบ แม้แต่แนวทางปฏิบัติที่ดูอ่อนโยนต่อคนรอบข้างจนทำให้รู้สึกแปลกๆ นั่นก็เช่นกัน

 

“มันก็เป็นแบบนี้ตลอด”

 

“นั่นสินะ”

 

เจ้าของบ้านเดินเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับชาร้อนๆ และหน้าตางอนๆ

 

“โอ๊ะ กลับมาเป็นคุณแม่แล้ว”

 

“พอเลยครับมิสโรส”

 

อิซึกุดักเธอไว้ก่อนสาวเจ้าจะเผยรอยยิ้มและเข้าเรื่อง เธอเล่าที่มาที่ไปว่าที่มากะทันหันเพราะรถไฟที่โดยสารมาหยุดชะงักจากวิลเลินอาละวาด เลยจะมาขอฝากวางของที่ขนกลับไม่ไหวไว้ก่อน

 

แน่นอนว่าอิซึกุก็ให้ความช่วยเหลือในทันที

 

“มีแต่ของกินทั้งนั้นแหละ ถ้าอันไหนมันจะเสียก็เอาไปกินก่อนหรือทิ้งไปเลยก็ได้”
“ครับ” อิซึกุตอบรับ

 

“ว่าแต่…พวกเธอนี่ก็ดูสนิทกันดีนะ”

 

“อ่า…” เขาไม่รู้จะตอบรับดีมั้ย

 

“ไม่ลองจับคู่เป็นคู่หูกันดูล่ะ!”

 

อยู่ดีๆ คำแนะนำที่ไม่มีที่มาก็ถูกยกขึ้นอย่างกะทันหัน ถ้อยคำนั้นทำให้คนทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างกันเปลี่ยนไปมีสีหน้ากันคนละแบบ เมื่อคนหนึ่งงงกับความหมายของคำพูด ส่วนอีกคนก็ยังตกใจไม่หาย

 

เมื่อคู่หูในแบบของแผนกซอมบี้คือคู่หูที่ฝ่ายฮีโร่จะคอยเข้าช่วยเหลือตอนที่คนในสำนักงานซึ่งเป็นคู่ของตนตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าจะเวลาใดก็ตาม ไม่ต่างจากงานคราวก่อนที่ต้องใช้เครื่องส่งสัญญาณเชื่อมต่อเลยสักนิด เพียงแต่เปลี่ยนเป็น 1 ต่อ 1

 

แต่เขากับคัตจังเนี่ยนะจะจับคู่กันได้ แค่คิดก็เตรียมพับแพลนแล้ว

 

“เอ่อ…ไม่ต้องถึงขนานนั้นก็ได้มั้งครับ ผมดูแลตัวเองได้”

 

“แน่ใจหรอว่าจะเป็นแบบนั้นไปตลอดน่ะ ยิ่งทำงานไปเยอะๆ เธอก็ยิ่งกลายเป็นเป้าหมายที่วิลเลินอยากกำจัดนะ”

 

เรียกว่ามากขึ้นตามอายุการทำงานเลยก็ว่าได้

 

“ก็…เดี๋ยวค่อยหาก็ได้มั้งครับ ขนาดด็อกเตอร์ยังไม่มีเลย” คนฟังเถียงข้างๆ คูๆ

 

“โธ่ คนๆ นั้นน่ะเอาตัวรอดเร็วยิ่งกว่าปลาไหล เธอจะไปเทียบอะไรกับเขาได้ ไม่รีบหาตอนนี้แล้วจะรอให้เกิดเรื่องก่อนหรือไง เธอกับบาคุชินจิเคยทำงานด้วยกันมาก่อนไม่ใช่เหรอ น่าจะเข้าขากันมากกว่าที่คิดนะ”

 

เข้าขา…นี่พวกเขาดูเป็นแบบนั้นเหรอ

 

คนฟังเริ่มหาทางเถียงไม่ออก จนต้องโบ้ยไปทางอีกฝั่ง “ถึงจะพูดแบบนั้นแต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความสมัครใจของอีกฝ่ายด้วยไม่ใช่เหรอครับ”

 

เขามั่นใจว่าคัตจังเองก็กำลังคิดปฏิเสธอยู่แน่ๆ

 

“งั้นเหรอ…แล้วบาคุชินจิล่ะ? เนี่ย อิซึกุอายุจะ 30 แล้วยังไม่มีคนดูแลอยู่เลย”

 

คนฟังสำลักชากับถ้อยคำเชิญชวนที่ดูสองแง่สามง่าม

 

ถามแบบนี้แล้วใครเขาจะตอบตกลงกันเล่า!

 

ต้องปฏิเสธแล้วโกรธกลับมาแหงๆ

 

“แล้วไอ้คู่หูที่ว่ามันคืออะไร”

 

เอ๊ะ…

 

“โอ๊ะ…” หญิงสาวมองอย่างประหลาดใจ จากตอนแรกที่เธอคิดจะถามเล่นๆ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะสนใจขึ้นมาจริงๆ  ด้วยเหตุนั้นเธอจึงอธิบายให้เขาฟังคร่าวๆ ไปยกหนึ่ง

 

อิซึกุเองก็แปลกใจ ก็จนถึงเมื่อวานอีกฝ่ายยังบอกเองว่าไม่อยากจะตัวติดกับเขาแล้ว แถมยังอยากจะไปทำภารกิจตระกูลทาคาฮาชิอีกต่างหาก ที่สำคัญเมื่อวานเรายังมีปากเสียงกันอยู่เลยด้วย ดูยังไงคนที่ชอบเข้าไปยุ่งกับเรื่องนู้นเรื่องนี้อย่างเขาก็ไม่ใช่คนที่ฮีโร่อยากจะปกป้องเลยสักนิด

 

“…ช่วงก่อนหน้านี้นายทำงานที่นี่แล้วก็ดูจะรับผิดชอบภารกิจได้ดี แบบนี้ไม่ต้องฝึกงานให้เสียเวลาก็ทำได้เลย ไม่กระทบกับงานฮีโร่หลักด้วยถ้าตกลงกันไว้ก่อน แน่นอนว่าค่าแรงไม่ใช่เล่นๆ ไม่เชื่อลองถามมิดไนท์ดูได้” เธอลดเสียงลงตอนพูดถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ โดยมีรุ่นน้องคอยปรามอย่างลำบากใจ

 

“อย่าทำให้เขาลำบากใจสิครับ เขาไม่ตอบก็รู้อยู่แล้วนี่ว่าปฏิเสธ”

 

“ฉันบอกเหรอว่าจะปฏิเสธ”

 

“…”

 

“…”

 

ทันทีที่คำนั้นหลุดออกจากปากอิซึกุก็ห้ามตัวเองไม่ให้ตกใจไม่ได้ เขาหันไปมองหน้าอีกฝ่าย รอคอยการตอบกลับมาว่า ‘ล้อเล่น’ แต่ในดวงตาคู่นั้นกลับไม่มีการล้อเล่นเลยสักนิด

 

“นั่นไงล่ะ! เห็นมั้ยอิซึกุ คราวนี้เหลือแค่เธอแล้วนะ!” เสียงเชียร์ดังมาจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างกัน ข้อเสนอที่ผุดขึ้นมากะทันหันทำให้คนฟังตั้งตัวไม่ติด

 

“ห๊ะ อะ ครับ เดี๋ยวก่อน คือ…ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ”

 

คนพูดเสตาหลบ ไม่รู้ทำไมเวลาที่พูดถึงเรื่องคนดูแลถึงได้เกิดความรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา ยิ่งกับเพื่อนสมัยเด็กของตนยิ่งรู้สึกแปลกจนวางตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ แปลกยิ่งกว่าตอนไม่รู้ว่าจะต้อนรับคัตจังเมื่อตอนเช้าซะอีก!

 

“ไม่เร็วไปหรอก ถึงเวลามันก็ต้องมี เตรียมไว้ดีกว่าแก้ หรือว่าพวกเธอมีปัญหาอะไรกันรึเปล่า”

 

“เปล่าครับ แค่ไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้”

 

“มันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้นหรอก พวกเธอก็ผ่านอะไรกันมาตั้งเยอะแล้วนี่ ตกลงว่าไม่มีใครปฏิเสธใช่มั้ย”

 

“…”

 

“…”

 

ไม่มีใครตอบ

 

“งั้นถ้าไม่ตอบฉันจะถือว่าไม่ปฏิเสธแล้วส่งเรื่องให้ตำรวจเลยนะ”

 

“…”

 

“…”

 

เหมือนเดิม เมื่อต่างคนต่างมีเหตุผลที่เงียบ งั้นเธอก็จะนับว่าความเงียบนั้นคือคำตอบ

 

“งั้นก็ตกลงตามนี้!”

 

 

 


 

*ยินดีด้วย おめでとう ใช้พูดเวลามีเรื่องน่ายินดีของผู้อื่นเกิดขึ้น เช่น วันเกิด วันจบการศึกษา วันแต่งงาน รวมถึงการได้พบว่าอีกฝ่ายเป็นแฟนกันก็สามารถพูดได้ (ด้วยความรู้สึกยินดี ไม่ได้ประชดเด้อ (ยกเว้นถ้าคนพูดพูดด้วยอารมณ์ประชด))

*เซกุฮาระ มาจาก Sexual Harassment คือ การคุกคามทางเพศ ซึ่งอาจครอบคลุมถึงแม้แต่การพูดสองแง่สามง่าม(ในญี่ปุ่นจะค่อนข้างเซนซิทีฟ) ก็จัดอยู่ในการคุกคามได้

// โอ้สสสสส มาเร็วบ้างอะไรบ้าง ไหนๆ ก็หยุดแล้ว หุๆๆ จากคุณแม่สู่ภรรยา น้องร้องไห้แล้ว แค่ใจดี(เป็นพิเศษ)กับคัตจังนิดเดียวเอง

ช่วงหน้าฝนดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะทุกคน ขอให้อ่านอย่างมีความสุขน้าา

 

[Fic MHA] You can become a hero ~My Little Devil~ [KatsuDeku] 24

 

 

24

เรื่องเล่าบนโต๊ะเนื้อย่าง

 

 

ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ ด้วยสถานะและหลายๆ อย่างที่เขาก็รู้ดีว่าทางแยกนี้ยากจะบรรจบ

.

.

.

                “รอบนี้ถ้าแกเมาเหมือนหมาอีกฉันจะปล่อยแกนอนข้างถนนนี่แหละ”

“ระ รู้แล้วล่ะน่า”

 

อิซึกุรับคำพลางเทเบียร์ลงไปในแก้ว ตอนนี้เขาอยู่ในร้านเนื้อย่างกับคัตจัง ที่อีกฟาก คนที่มาด้วยกันก็กำลังเอาเนื้อที่สั่งมาลงเตาอย่างไม่รีบร้อน เป็นภาพที่ไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้เห็นเลยจริงๆ

 

“นี่แกจะมอมเหล้าฉันรึไง” ร่างสูงบ่นตอนที่ส่งเบียร์เต็มแก้วไปให้

 

“มาฉลองทั้งทีก็ต้องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ว่าแต่แอ็บแซ็ง 70 ดีกรีรสชาติเป็นไงบ้างล่ะ”

 

คนฟังพูดเปลี่ยนเรื่อง พาให้ร่างสูงทำหน้าเบ้ก่อนจะตอบ

 

“ก็ไม่เท่าไหร่ แต่ไม่อร่อย”

 

อิซึกุพยักหน้าอย่างคิดไว้แล้ว ท่าทางที่ดูไม่ตื่นตาตื่นใจเหมือนคนรู้รสอยู่แล้วทำให้ร่างสูงต้องถามกลับ

 

“แกเคยกินรึไง”

 

“เคย แต่ไม่ใช่ที่ร้านนั้น” อิซึกุคีบเนื้อกลิ่นหอมพลิกขณะตอบ “ด็อกเตอร์เคยให้ลองกินเพราะเดี๋ยวโดนมอม”

 

“หึ ฝึกกันเป็นขบวนการ”

 

ร่างเล็กยกยิ้มแทนคำตอบก่อนจะยกเบียร์จิบแรกของวันที่มักจะอร่อยที่สุดเสมอขึ้นดื่ม ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ปิดไม่อยู่ทำให้คนที่อยู่อีกฝั่งบ่นไม่ออก ได้แต่มองคนตรงหน้าที่หลับตาพริ้มอย่างมีความสุขเสียเต็มประดา

 

“สุดยอดไปเลยน้า”

 

เจ้าของดวงตาสีแดงยกเบียร์ขึ้นดื่มก่อนจะมองไปยังคนอีกฟากที่กำลังพลิกเนื้อสลับจิบเบียร์อย่างมีความสุข ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่พวกเขามาหยุดอยู่ที่ร้านนี้ มันอาจจะเพราะเขายังไม่สร่างเมา หรืออาจจะแค่หิวขึ้นมาเฉยๆ แต่พอได้มาเห็นคนที่ไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีกตรงหน้า มันก็ทำให้รู้สึกประหลาด จะว่าคิดถึงวันเก่าก็คงไม่มีทาง เพราะคืนวันเหล่านั้นมีแต่ภาพของการทะเลาะกันที่พอจะจำได้

 

ตอนนี้…เขาเลยไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้มานั่งดื่มกับมัน

 

“คัตจัง” เสียงทักดังขึ้นเรียกสติคนที่ยังคิดไม่ตกให้หันไปมอง “เหนื่อยบ้างมั้ย”

 

“หา? นี่คิดจะดูถูกกันรึไง”

 

“เปล่าสักหน่อย ก็แค่อยากรู้ว่าเป็นฮีโร่เนี่ย…จะเหนื่อยมากมั้ยนะ” คนพูดเอ่ยก่อนจะคีบเนื้อเข้าปากด้วยท่าทางเหมือนกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ

 

“แล้วไม่ลองมาเป็นเองดูล่ะ” คนพูดยกยิ้ม

 

คำถามจี้ใจดำทำให้ทั้งโต๊ะเงียบไปพัก ใบหน้าของคนฟังหวนคิดไปถึงอดีตก่อนจะสลัดมันออกและกลับมาที่คนตรงหน้าอีกหน

 

“ถ้าเป็นได้ก็คงเป็นไปนานแล้ว”

 

ในแววตาสีมรกตหวนระลึกถึงคืนวันในอดีตเพียงครู่เดียวเท่านั้นก็กลับมายกยิ้มขึ้นได้อีกครั้งเหมือนไม่มีอะไร

 

“ถึงจะเป็นไม่ได้แต่ที่นี่ก็เป็นที่ๆ ดีนะ”

 

‘ที่นี่’ ไม่ใช่ร้านเนื้อย่าง หากแต่เป็นแผนกวิเคราะห์ที่อีกฝ่ายทำงานอยู่ พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็ยกยิ้มหยันให้กับมัน

 

“เหอะ ที่ๆ มีคนทิ้งงานไว้ให้ลูกน้องเนี่ยนะ”

 

“เพราะต้องออกภาคสนามต่างหาก บางครั้งก็โดนวิลเลินไล่ตามเพราะอยากได้ไปเป็นพวกด้วยนะ”

 

คัตสึกิพอรู้มาบ้าง เขาเคยได้ยินเรื่องแผนกที่มีความเสี่ยงนี้มาก่อน แต่ก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะไปได้ถึงขั้นนั้น คงเพราะพวกรัฐบาลเฮงซวยที่ทำเหมือนไม่มีอะไร

 

“จริงๆ นะ ฉันยังเคยโดนเลย ช่วงหลังภารกิจแรก…”

 

“…”

 

“…แต่ด็อกเตอร์ก็มาช่วยให้แกล้งดีลไปก่อนก็เลยเอาตัวรอดมาได้”

 

“…”

 

“ทันเวลาฉิวเฉียดเลยล่ะ”

 

ภาพในวิดิโอที่เคยดูฉายชัดขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นก็เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตรงกันพอดี แม้แต่ภาพเหตุการณ์กับคำบอกเล่าก็คล้ายคลึงกัน

 

หรือว่า…

 

“โดนใกล้ๆ กับโรงพยาบาลเลยล่ะ ดีนะรอดมาได้ไม่งั้นป่านนี้คงเหลือแต่ชื่อไปแล้ว” คนพูดเอ่ยพลางยกรอยยิ้มขึ้น เหมือนไม่กลัวเลยว่าได้เฉียดเข้าไปมีเรื่องกับวิลเลินเสียแล้ว แถมไม่ได้สำนึกเลยว่าเรื่องที่พูดมานั่นก็เป็นเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง

 

“ทำไมแกถึงไม่เรียกฮีโร่ให้ช่วย”

 

“หือ?” อิซึกุเงยหน้าขึ้นก่อนจะตอบไปตรงๆ “มาไม่ทันหรอก มันเกิดขึ้นเร็วมาก แล้ววิลเลินก็ไม่ใช่น้อยๆ ตอนนั้นฉันอยู่ในตรอกมืดด้วยก็เลยต้องทำแบบนั้น”

 

ไม่มีทางเป็นอื่นได้อีกแล้ว…เรื่องที่เจ้านี่เล่าคงจะเป็นเรื่องเดียวกับในคลิปที่เขาเห็น แต่เป็นอีกด้านหนึ่ง

 

 

แล้วเธอรู้ได้ไงว่าสิ่งที่เห็นมันจะเป็นความจริง

 

 

คำที่ยัยผู้หญิงชุดแดงพูดไว้นั่นอีก ให้คิดดุจากท่าทางที่เหมือนรู้อะไรมาก็บอกได้ว่าอีกฝ่ายคงจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว  แต่ก็ยังไม่บอกกัน ให้ตามสืบ ตามจับตามองและเฝ้าระวังเจ้านี่ทุกฝีก้าว ถ้าบอกว่าแค่แกล้งก็คงบ้าเกินไปหน่อย

 

ต้องการอะไรบางอย่าง?

 

เขาไม่คิดว่าเรื่องที่สงสัยมาเกือบเดือน พาให้หัวร้อนเหมือนมีอัตลักษณ์ไฟอยู่บนหัวนั้นจะมาคลี่คลายลงง่ายๆ ด้วยปากคำของวิลเลินกำมะลออย่างเจ้านี่

 

บาคุโกลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก โล่งอก? ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงโล่งอกกับเรื่องนี้ ทั้งที่มันก็มีปัญหาเรื่องความปลอดภัยที่ไม่ทั่วถึงอยู่ในนั้น

 

ส่วนเจ้าคนพูดก็ยิ่งน่าโมโหเข้าไปใหญ่ เพราะมันกำลังจิบเบียร์กินเนื้อหน้าระรื่นอย่างไม่รู้สึกรู้สา ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าตัวเองทำอะไรลงไป ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่คนในแผนกนี้หรือเจ้านี่จะถูกตามล่าจากวิลเลิน เพราะทุกครั้งที่ทำสัญญาเอาตัวรอด เจ้าพวกนี้ก็มักจะไปผูกใจเจ็บให้คนร้ายไปทั่ว ทำตัวให้น่าฆ่าเข้าไปอีก

 

ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด

 

“บางทีออกภาคสนามก็เจอ ฉันเคยแอบตามด็อกเตอร์ไปปฏิบัติภารกิจอยู่ก็เลยเห็นน่ะ…”

 

ร่างสูงขมวดคิ้วมุ่นเมื่อในประโยคมีข้อความทะแม่งๆ

 

“อา…ก็ใช่แหละว่ามันผิด ตอนนั้นนึกว่าจะโดนสวดยับเพราะทำให้คนในสำนักงานเดือดร้อน แต่กลายเป็นว่าทำให้ทุกคนเป็นห่วงแทนแล้วก็โดนบ่นมานิดหน่อยเอง สุดท้ายกลายเป็นว่ารู้สึกผิดกว่าเดิมอีก ไม่กล้าเข้าสำนักงานไปหลายวันเลยล่ะ”

 

เป็นการกระทำที่โคตรสมกับเป็นเดกุ

 

“สมควร”

 

คนพูดปลงใจกับคนฟังผู้ไร้เมตตา แต่เขาก็ยังเล่าต่อ

 

“กว่าจะกลับไปที่สำนักงานอีกได้ก็ตอนที่ด็อกเตอร์มาหา เขาถามว่าคนอื่นให้อภัยฉันหมดแล้ว เมื่อไหร่ฉันจะให้อภัยตัวเองแล้วกลับไปซะที” คนพูดเงยหน้าขึ้นมามองคนฟัง “ตอนนั้นก็เลยรู้สึกตัวว่า…ฉันกดดันตัวเองมากไปรึเปล่านะ”

 

“…”

 

“ทั้งที่คนเราเกิดมาก็ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ทุกคนต้องแก้ไขกันอยู่ตลอดแท้ๆ…”

 

“…”

 

ดวงตาสองคู่ประสานกัน อิซึกุเพียงแค่เล่าเรื่องราวของเขาที่คล้ายกับอีกฝ่ายให้ฟังเท่านั้น ทันทีที่มันจบลง ดวงตาสีเขียวก็ก้มลงมองเนื้อที่อยู่ในเตาราวกับว่าเรื่องที่พูดไปนั้นไม่ได้สลักสำคัญอะไร

 

เขาแค่เล่ามันออกไป…โดยที่รู้ว่าอาชีพฮีโร่มีความกดดันมากแค่ไหน ต้องแบกรับชีวิตคนมากมายเพียงใด และต้องแบกรับความผิดพลาดไม่ต่างกัน

 

หนักหนา…แต่ไม่อาจกล่าว

 

อ่อนแอ…แต่ไม่อาจแสดงออก

 

“ถ้าไม่มีคำนั้นฉันคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วล่ะนะ”

 

อิซึกุคีบเนื้อที่สุกกำลังดีใส่จานให้อีกฝ่ายสลับกับของตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าเขาทำถูกมั้ยที่พูดมันขึ้นมา

 

“หึ อะไรของแกเอาแต่พูดพล่ามอยู่ได้…”

 

แต่ถ้าอีกฝ่ายจะเกลียดเขาอีกครั้ง ก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

 

“ก็แค่กลัวขาดคนทำงานไปคนนึงไม่ใช่รึไง”

 

“ห๊ะ?”

 

อึซึกุเงยหน้าขึ้นจากเตา ทันเวลาที่เขาเห็นอีกฝ่ายคีบเนื้อที่วางไว้ให้เข้าปากพอดิบพอดี ทันทีที่เห็นแบบนั้นร่างเล็กก็หลุดหัวเราะออกมา

 

“คงงั้นล่ะมั้งนะ”

 

คนพูดหัวเราะก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดแก้วให้กับความรู้สึกเล็กๆ ที่ได้รับการตอบกลับของตน ท่าทางดังกล่าวพาให้บทสนทนาของพวกเขาวนลูปกลับมาจุดเดิม

 

“ถ้าแกเมาขึ้นมาฉันไม่แบกแกแน่”

 

“รู้แล้วล่ะน่า”

……

…..

..

.

เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับร่างหนึ่งที่แบกใครอีกคนเข้ามาในห้อง คนแบกพาคนที่เมาจนไม่ได้สติเข้าไปในห้องนอนก่อนจะทิ้งร่างนั้นลงบนเตียงอย่างทุลักทุเล เจ้าของห้องมองซากเพื่อนสมัยเด็กที่เขาแบกกลับมาอย่างเหนื่อยใจ

 

สุดท้ายแล้วใครต้องแบกใครกันแน่หือ?

 

อิซึกุบ่นกับตัวเองในใจก่อนจะจัดการถอดถุงเท้ากับฮู้ดตัวหนาออกให้อีกฝ่ายนอนสบายขึ้นมาหน่อย ผ้าห่มถูกดึงขึ้นมาทับ ก่อนจะปรับฮีทเตอร์ให้อยู่ในอุณหภูมิที่กำลังพอดี เจ้าของห้องมองคนเมาที่ไม่ได้สติก่อนจะนั่งลงแอบมองใบหน้ายามหลับของอีกฝ่ายที่ข้างเตียง

 

พอหลับแล้วก็ดูเป็นเด็กดีขึ้นมาหลายส่วน

 

ที่สำคัญคือหน้าตาดีชะมัด

 

อิซึกุแอบบ่นในใจ

 

เสียก็แต่ใบหน้านั้นยังมีแววขมวดมุ่นอยู่ไม่หาย พอเห็นแบบนั้นปลายนิ้วของคนมองก็แตะลงตรงหว่างคิ้วที่ขมวดมุ่น ปลายนิ้วไล้วนให้ผ่อนคลาย จนคิ้วที่ขมวดเข้าหากันผ่อนลง คนมองยกยิ้มขึ้น ปลายนิ้วละออกไป แทนที่ด้วยฝ่ามือที่ตบเบาๆ ลงตรงผ้าห่มที่คลุมตัวอีกฝ่ายไว้

 

แต่ไหนแต่ไรมาคนๆ นี้ก็ไม่ยอมเผยความอ่อนแอให้ใครเห็นอยู่แล้ว ยิ่งกับคนที่ตามหลังตนเองเช่นเขา จะให้พูดอะไรไปก็คงไม่มีทางรู้สึกดีได้แน่ เพราะแบบนั้นการปลอบโยนที่คิดออกจึงออกมาในรูปแบบของการสัมผัส

 

ส่วนคำบอกเล่าเมื่อเย็นนั้น ไม่รู้ว่าเพราะอีกฝ่ายยังไม่สร่างหรือใจดีกันแน่ถึงได้ยอมรับมันไปโดยไม่ก่นด่าอะไรมากมาย

 

“หึๆ” อิซึกุหลุดหัวเราะออกมาในลำคอยามที่มองไปยังคนที่นอนหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

 

คนที่ชอบล้อเขาว่าเป็นแม่บ่อยๆ แต่ตอนนี้กลับมานอนหลับให้เขาดูแลเหมือนลูกไปแล้ว

 

ดวงตาสีมรกตเฝ้ามองอีกฝ่ายถึงแค่นั้นก็ตัดสินใจละมือออกไป

 

แต่ในจังหวะนั้นแรงดึงก็มาจากด้านหลัง รวบตัวของเขาให้ตกลงไปบนเตียงข้างๆ คนที่นอนอยู่ เจ้าของห้องเกร็งตัวอย่างตกใจเมื่อรู้สึกถึงแรงขยับจากด้านหลัง พอหันไปมองก็เห็นคนที่นอนหงายอยู่เมื่อครู่พลิกตัวตะแคงข้างมาทางเขา พร้อมกับแขนที่โอบรัดตัวเอาไว้

 

“คะ…คัตจัง?”

 

คนที่ถูกกอดแน่นิ่งไปหลายนาที หัวใจเต้นถี่อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาไม่แน่ใจว่าคนด้านหลังหลับไปแล้วหรือยังไม่หลับกันแน่ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ขานตอบ อิซึกุพยายามจะงัดแขนข้างนั้นออก แต่ก็ดูเหมือนคนนอนจะไม่พอใจ

 

“อืม”

 

เสียงเด็กถูกขัดใจดังขึ้นข้างหู อิซึกุรู้สึกราวกับในหัวกำลังเกิดเสียงวิ้งๆ คล้ายสัญญาณขาดหาย ใบหน้าขึ้นสีในขณะที่ตัวเองก็กำลังถูกคนด้านหลังรัดรวบเอาไว้

 

“คะ…คัตจัง เอ่อ…”

 

คนในอ้อมแขนทำอะไรไม่ถูก ร่างกายรู้สึกอุ่นสบายจากอ้อมกอด แต่ในใจก็กลัวว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกแย่ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเขามานอนด้วย

 

นอนคิดอยู่นาน พยายามหาทางออกแบบเงียบๆ จนเหนื่อย รอเวลาให้อีกฝ่ายหลับลึก จนไม่ทันได้รู้ตัว…เจ้าของห้องก็เผลอหลับไปด้วยกัน

 

ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้ ด้วยสถานะและหลายๆ อย่างที่เขาก็รู้ดีว่าทางแยกนี้ยากจะบรรจบ

.

.

.

แต่ก็มีเหมือนกันที่เผลอคิดว่า…ถ้าเรากลับมาเป็นเหมือนเดิมกันได้อีกครั้งก็คงดี

 

bed-linen-1149842_1280

 


 

 

มีใครบอกพวกเขารึยังคะว่าถ่าน(ไฟเก่า)มันร้อนนน ระวังกันด้วย 5555 สุดท้ายแล้วจะไปกันได้ถึงขั้นไหนกันนะ สุดท้ายก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ  

Picture by Free-Photos on Pixabay