28
นกที่ไร้ปีก
วันนั้นเป็นวันหนึ่งของช่วงเปลี่ยนฤดู เมฆครึ้มก่อตัวเป็นสัญญาณการเข้าสู่ฤดูร้อน ดวงตาสีแดงมองไปยังฟ้าสีหม่นของยามเย็นวันนั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงเวลาประชุม ตอนนี้เขาเลิกจากงานลาดตระเวนแล้วและกำลังจะไปที่ห้องประชุมโดยกะเวลาว่าเดกุน่าจะผ่านแถวนั้นในเวลานี้พอดี
คงไม่มีใครรู้ว่าหน้าที่ที่บาคุโกรับมานั้นเขาจริงจังมากแค่ไหน ถึงจะดูเหมือนไม่มีอะไรแต่จากคำพูดของเดกุตั้งแต่ก่อนจะจับคู่กันก็ทำให้เขารู้ว่าเจ้านั่นกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งคงจะมีแต่ตัวมันเองเท่านั้นที่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถูกปองร้าย
และเพราะแบบนั้นคนทำงานคุ้มกันอย่างเขาถึงต้องจับตาดูเจ้านั่นเป็นพิเศษ
บาคุโกไม่คิดว่าชีวิตนี้จะได้จับตาดูชีวิตประจำวันของเดกุมาก่อน หากเอาไปพูดใส่เขาเมื่อปีก่อน ตัวเขาเมื่อปีก่อนก็คงจะตอบกลับมาว่าเพ้อหรือไงไปแล้ว
และผลจากการจับตาดูเดกุที่มากกว่าแค่ในฐานะผู้ต้องสงสัยก็ทำให้คัตสึกิได้ค้นพบภัยร้ายที่มากกว่าวิลเลินในการใช้ชีวิตของเดกุ นั่นก็คือการดำเนินชีวิตของตัวมันเอง เจ้านั่นทำเหมือนกับว่าจะอุทิศชีวิตให้กับงานจนแทบไม่เป็นอันกินอันนอน บางทีหากปล่อยให้เป็นแบบนั้นสัก 10 ปี ก็คงจะไปจบด้วยปัญหาสุขภาพในโรงพยาบาล
แต่ฮีโร่บาคุชินจิจำเป็นต้องสนใจด้วยหรอ?
คำตอบคือไม่ ไม่เลยสักนิด
ต่อให้เจ้านั่นจะเป็นจะตายด้วยปัญหาสุขภาพก็ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงของเขาอยู่แล้ว
แต่ถามว่าบาคุโก คัตสึกิคอยส่งข้าวส่งน้ำและช่วยเจ้านั่นรักษาสุขภาพไปเพื่ออะไร?
จริงๆ แล้วก็คงเพราะมันขัดหูขัดตาก็พอได้ ทั้งห้องครัวที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าของสำเร็จรูปและเครื่องครัวที่พอดูแล้วเหมือนมีคราบฝุ่นจากการไม่ใช้งานนั่น ดูอย่างไรก็ให้รู้สึกน่าหงุดหงิด
น่าหงุดหงิด…ก็แค่นั้น
ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เจ้านั่นเข้ามาในความคิดของเขาอยู่บ่อยๆ บางทีก็เหมือนขึ้นมาเป็นคำถามในชีวิตประจำวันที่ดูเหมือนคนปกติเช่นเขาว่าเจ้านั่นกำลังทำอะไรอยู่ นั่นทำให้บาคุโกหงุดหงิดจนต้องเข้าไปจัดการหลายๆ อย่างเอง
เขาคิดว่าเพราะหน้าที่นี้ยังใหม่สำหรับตัวเอง และสักวันคงจะปล่อยเจ้านั่นออกไปจากสายตาได้
แต่คงยังไม่ใช่ในตอนนี้ที่เขากำลังมองหาเจ้านั่นอยู่
เดกุควรจะต้องมาได้แล้วจากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานเจ้านั่นที่เขาได้มา
แต่สิ่งที่รอบาคุโกอยู่กลางทางกลับมีแต่ผู้คนที่เดินสวนทางเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากเมฆฝนที่เริ่มชัด
กริ๊งๆ
แล้วเสียงที่เขาไม่ควรจะได้ยินก็ดังขึ้น มันไม่ใช่เสียงโทรศัพท์เหมือนทุกครั้งที่แอบส่งข้อมูลกับคนในสำนักงาน แต่กลับเป็นเสียงส่งสัญญาณเตือนของเครื่องส่งสัญญาณ
เขากดรับสายก่อนจะกรอกเสียงลงไป
“เดกุ แกเป็นอะไร”
ยังไม่มีเสียงตอบรับแต่คัตสึกิก็ได้ยินเสียงหอบหายใจสลับกับเสียงฝีเท้าของคนที่อยู่ปลายสาย นั่นทำให้เขาคิดได้ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังอยู่ในสภาพที่ไม่อาจพูดได้ และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่คัตสึกิก็เริ่มออกวิ่งไปยังทิศทางที่ขึ้นอยู่ในหน้าจอที่ระบุที่อยู่
เขาวิ่งย้อนกลับไปจากทางที่เดกุควรจะเดินมาก่อนจะเลี้ยวออกนอกเส้นทางไปยังตรอกเส้นหนึ่ง มันมืดครึ้มและชื้นจากสภาพอากาศ เขาวิ่งไปจนทะลุไปเจอกับอาคารเก่าๆ ที่กำลังจะถูกรื้อ นั่นคือจุดที่เจ้านั่นอยู่ มันคือตึกร้างที่กำลังจะถูกทุบ
บาคุโกแน่ใจว่าเจ้านั่นอยู่ในตึกนี้แน่ๆ แต่เขาไม่อาจจะกะได้จากชั้นที่อยู่ได้ นั่นทำให้เขาต้องส่งเสียงเบาๆ ถามเจ้าตัวกลับไป
“เดกุ แกอยู่ตรงไหน”
ทุกอย่างเงียบไป เงียบมากกว่าตอนที่วิ่งจนไม่มีแม้แต่เสียงฝีเท้า แล้วเสียงเล็กๆ ก็ตอบมาเบาๆ ราวกับกระซิบ
[คัตจัง…]
“ฉันกำลังจะเข้าไป”
[ฉัน…ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว ฉันวิ่งขึ้นมาสูงจน…จนมองไม่เห็นตึกด้านนอกแล้ว]
ไม่เห็นตึกด้านนอก?
บาคุโกนิ่งไป เขาค่อยๆ หันไปรอบตัวแล้วพบว่าตึกนี้ถูกล้อมทางเข้าด้วยตึกอื่นๆ เหมือนกับว่ามันเคยเป็นอดีตคอนโดที่เรียงรายกันอยู่ เขามองความสูงของตึกที่รายรอบตึกนั้นอยู่ก่อนจะพบว่ามีตึกหนึ่งที่ดูจะเตี้ยกว่าอยู่ไม่ไกลกันเพียงตึกเดียว มีแค่ตึกนี้เท่านั้นที่สูงกว่าและพอจะทำให้มองเห็นท้องฟ้าด้านนอกได้
บาคุโกมองกะจากระยะแล้วก็รู้ว่าอีกเพียงไม่กี่ชั้นเดกุก็จะขึ้นไปถึงดาดฟ้า ที่ตรงนั้นไม่มีลูกกรงล้อม
“เฮ้ แกเชื่อฉันมั้ย”
ไม่มีเสียงตอบรับแต่บาคุโกคิดว่าคนที่อยู่อีกฟากได้ยิน
“ไปที่ดาดฟ้า ฉันจะรออยู่ที่นั่น”
[…]
ไม่มีเสียงตอบรับใดอีก แต่คัตสึกิก็ได้ยินเสียงฝีเท้าออกวิ่งอีกครั้ง เขามองดูตำแหน่งของบันไดและกะจุดที่เจ้านั่นจะขึ้นไปถึงก่อนจะรอเวลาให้เสียงสัญญาณดังขึ้น
[พลั้วะ!]
[ถึงแล้ว!]
เสียงนั้นราวกับสัญญาณออกตัว บาคุโกใช้อัตลักษณ์ของตนพุ่งขึ้นไปจากด้านล่างจนทะยานขึ้นมาถึงชั้นบนในเวลาอันสั้น ก่อนจะพุ่งตัวลงบนพื้นดาดฟ้าต่อหน้าเจ้าของเสียงเรียกและวิลเลิน
“คัตจัง!”
“ไอ้เวรเนิร์ดแกนี่มันตัวล่อวิลเลินรึไงห๊ะ”
ถึงจะบ่นแบบนั้นแต่ใบหน้ากลับแสดงออกถึงความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะได้อย่างเต็มเปี่ยม
คัตสึกิขึ้นมาจากตรงมุมที่คาดว่าเดกุจะอยู่ก็จริงแต่บนดาดฟ้าก็ยาวมากตามสไตล์การสร้างคอนโด พอขึ้นมาอีกทีเขาก็เห็นเดกุไปอยู่ที่อีกมุมหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขา ตรงนั้นมีคนร้ายอยู่ 2 คน ที่ดูแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งดูท่าทางผอมซีดจัดการไม่น่ายาก ส่วนอีกคนกลับเผยให้เห็นอัตลักษณ์ใบเลื่อยตรงแขนที่ดูท่าจะจัดการยากอยู่ ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับที่ฮีโร่ปรากฏกาย วิลเลินพวกนั้นก็พากันหันกลับมามองผู้มาใหม่ด้วยความตกใจ
”เฮ้ย ชิบหายแล้ว! ”
การปรากฏตัวของฮีโร่ทำให้คนที่มีอัตลักษณ์ใบเลื่อยหันไปตั้งท่าเตรียมสู้กับคัตจัง เดกุหันมามองคนอีกคนที่ดูแล้วเหมือนคนธรรมดาที่แม้แต่เขาก็น่าจะเอาชนะได้ แต่อิซึกุยังไม่รู้อัตลักษณ์ของอีกฝ่าย นั่นทำให้เขายังไม่ได้ลงมืออะไรไป และยังคงคอยดูเชิงอีกฝ่ายอยู่ว่าจะแสดงอัตลักษณ์ออกมาเมื่อไหร่
“ฮีโร่มาได้ไงวะ!” คนที่ดูผอมแห้งดูจะแตกตื่นอย่างรวดเร็ว อิซึกุจับสัมผัสความกลัวของอีกฝ่ายได้ก็คิดว่าคนตรงหน้าน่าจะไม่อยากรับมือกับฮีโร่สักเท่าไหร่
หรือบางที…
กริ้ก
ปืนถูกชักออกมาจากฝ่ามือของวิลเลินตรงหน้าเขา
…ก็อาจจะเป็นเพราะอัตลักษณ์ของคนคนนี้ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้รับมือกับการต่อสู้
คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อดูจากเสียงตะโกนของคนร้ายที่ดูถนัดการต่อสู้มากกว่า
“แกรีบจัดการมันซะ ตรงนี้น่ะฉันจะจัดการเอง”
อา…อิซึกุหายใจได้ทั่วท้องมากขึ้น ถ้าหากว่าเป็นแบบนี้บางทีเขาอาจจะเอาชนะได้ก็ได้
อิซึกุกระชับปืนในกระเป๋าของเขายามที่คนอื่นกำลังจับจ้องกันอยู่
บาคุโกเองก็เห็นการกระทำเล็กๆ นั้นเช่นกันเขาจึงได้ยังพูดจาต่อไปอย่างต้องการยื้อเวลาให้อีกฝ่าย
ความจริงเขาสามารถต่อสู้กับคนสองคนได้อย่างไม่มีปัญหาแม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอัตลักษณ์ที่ใช้ต่อสู้ได้ก็ตาม แต่ประสบการณ์คราวก่อนก็สอนให้เขาต้องคิดถึงตัวประกันหรือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ แน่นอนว่าเขาอาจจะพุ่งเข้าใส่เจ้าคนตรงหน้าได้สำเร็จ แต่ปืนในมือของวายร้ายอีกคนก็อาจจะไปจ่ออยู่ที่ขมับของเดกุไปแล้วถ้าเขาไม่คิดให้ดี
ต้องทำโดยระมัดระวัง
ชนะและช่วยมาให้ได้
หรืออาจจะช่วยตัวประกันไว้และเอาชนะวิลเลินกลับในภายหลัง
สุดท้ายก็อยู่ที่ช่วงเวลาเล็กๆ นี้ที่จะเป็นตัวตัดสิน
“เฮ้ พวกแกต้องการอะไรห๊ะ”
“ใครจะไปบอกให้โง่ฟระ”
“นั่นสินะ”
บาคุโกสูดหายใจเขาเห็นแล้วว่าเดกุกำลังยกปืนขึ้น
“งั้นก็ไปคุยกันในนรกแล้วกัน!”
เปรี้ยง!
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมกับเสียงปืน วายร้ายที่กำลังจดจ่ออยู่กับการกระทำของฮีโร่อยู่ไม่มีใครคาดคิดว่าคนไร้อัตลักษณ์ที่ตัวเองตามจับจะใช้ช่องว่างยกปืนขึ้นมายิงมือของวายร้ายที่ถือปืนอยู่จนมันกระเด็นตกไปอีกทาง ท่ามกลางฝุ่นควันที่ค่อยๆ จางลงเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นก่อนจะเผยให้เห็นข้อมืออาบเลือดและใบหน้าเหยเกของคนร้าย
“เชี่ย ไอ้เวรเอ๊ย!!!”
วิลเลินที่ใช้ใบเลื่อยกันเศษระเบิดกำลังจะพุ่งเข้ามาเมื่อเห็นเพื่อนร่วมขบวนการล้มลงไป แต่ก็ถูกฮีโร่ที่รอจังหวะนั้นใช้ช่องว่างเข้าโจมตี
แรงระเบิดอัดใส่ใบหน้า
“ไม่มีใครบอกรึไงว่าอย่าหันหลังให้ศัตรู!”
ร่างสูงในชุดฮีโร่หักมือจนเกิดเสียงดังกร็อบ สร้างความรู้สึกกดดันให้วิลเลินได้อีกหลายเท่า แต่ถ้อยคำนั้นกลับเหมือนไม่ได้ส่งมาให้แค่วิลเลิน ถ้อยคำนั้นทำให้อิซึกุเองก็รู้ตัวว่าเขากำลังสู้กับวิลเลินอยู่ และถ้าพลั้งพลาดเพราะคิดว่าตัวเองเป็นต่อแล้วก็คงจะกลายเป็นแบบเดียวกับวิลเลินคู่นี้แน่ๆ ถึงจะอดดีใจที่ได้สู้ร่วมกับฮีโร่ที่ตัวเองใฝ่ฝันถึงมาตลอดก็เถอะ แต่ก็ต้องมีสติ เข้าใจไหมมิโดริยะ อิซึกุ!
อย่ายอมให้ใครรังแกได้อีก!
เปรี้ยง!
“อ๊าก!!!”
เสียงร้องโอดโอยดังขึ้นจากวิลเลินตรงหน้า หลังจากที่เขาลั่นไกเข้าใส่ขาของอีกฝ่าย อิซึกุพยายามเล็งให้โดนตรงหัวเข่าตัดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายแต่มันก็พลาดไป
“แก๊ โธ่เว้ย!”
วิลเลินพยายามมองหาทางหนี ท่ามกลางความกลัวนั้นไม่มีใครช่วยได้อีก เพราะอีกคนที่มาด้วยกันก็กำลังสู้กับคัตจังอย่างเอาเป็นเอาตาย อิซึกุเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ รองเท้าหนังเหยียบย่ำไปบนหยดเลือดที่พื้นก่อนจะจ่อปืนไปตรงหน้าของวิลเลินที่ล้มอยู่
“มันจบแล้ว”
ดวงตาเคียดแค้นมองขึ้นมาด้านบน แล้วตอนนั้นเองที่เขาคิดจะโทรหาตำรวจเพื่อส่งข่าว วิลเลินตรงหน้าก็ใช้แรงขาเท่าที่มีพุ่งตัวเข้าใส่จนล้มลงมาพร้อมกัน การตะลุมบอนเพื่อแย่งปืนก็เกิดขึ้น เสียงปืนจากสถานการณ์ไม่คาดฝันดังสนั่นไปทั่ว ไม่ทันได้ตั้งตัวมือของวิลเลินก็เอื้อมมาจับที่หัวของเขา แล้วภาพความทรงจำก็ถูกฉายขึ้นมาในหัว
“อ๊าาาา !!!”
อิซึกุร้องลั่นด้วยความทรมาน ภาพเหตุการณ์ทั้งดีและเลวร้ายสุดกู่โผล่ในเวลาไม่กี่วิ…ซึ่งนั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุการณ์ในชีวิตของเขา อิซึกุพยายามปัดป้องเอามือนั้นออกไป จนเสียทีให้กับวิลเลินที่รอจังหวะอยู่ เจ้านั่นปัดปืนออกจากมือของเขาและเอามันไปเป็นของตน
“ฮะ ฮ่าๆ ๆ ๆ !”
เสียงหัวเราะน่าขยะแขยงดังขึ้น พาให้คนฟังที่นั่งกุมหัวอยู่บนพื้นต้องหันมองอย่างเจ็บใจ เขาพยายามประคองสติแต่ปืนที่จ่อมาตรงหน้าก็ทำให้จิตใจสั่นไหว
และที่มากไปกว่านั้น…
“ความจริงแกนี่มันก็น่าขยะแขยงไม่น้อยเลยนี่หว่า! เป็นความทรงจำที่โคตรน่าสนใจเลย”
คนฟังกัดฟันแน่น
“อัตลักษณ์ของฉันสุดยอดเลยมั้ยล่ะ? เปิดฉายภาพความทรงจำของแกออกมาได้ด้วย แต่ก็ไม่คิดเลยว่ะว่าความทรงจำของแกนี่มันจะสุดเหวี่ยงขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ ๆ ว่าจะขอข้อมูลเรื่องยาไปสักหน่อย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วก็ขอดูความทรงจำของคนไร้อัตลักษณ์อย่างแกหน่อยเถอะ!”
“อย่าเข้ามา!”
อิซึกุตะโกนลั่นด้วยความตกใจก่อนจะถอยร่นไปเรื่อยๆ ฝ่ามือนั้นใกล้เข้ามาพร้อมกับปืนในมืออีกข้าง ความกลัวแล่นขึ้นมาจับใจ มันพลุ่งพล่านจนทำให้คนที่เคยอยู่ในจุดที่สูงกว่ากำลังถอยหลังไปเรื่อยๆ
เปรี้ยง!
ลูกปืนยิงแฉลบไหล่ข้างหนึ่งของเขาไป ความเจ็บปวดแล่นขึ้นมาจนต้องกุมไปที่บาดแผล เขาถอยร่นไปจนสุดขอบอาคาร
สายลมหวีดหวิวบ่งบอกว่าหากถอยอีกนิดเขาคงเหลือเพียงร่างไร้วิญญาณ
แต่ถ้าเทียบกับภาพความทรงจำนั่นแล้ว…บางทียอมตกลงไปตายยังดีซะกว่า
“มันจบแล้วโว้ย!”
แต่ว่า…
‘จะมาตายตรงนี้ไม่ได้นะ’
ถ้าจะตายทั้งทีแล้วละก็…!
อิซึกุกระโดดพุ่งขึ้นใส่อีกฝ่าย มือจับปืนไว้อย่างต้องการหลีกเลี่ยงการถูกจับตัว แต่มันก็ยากเหลือเกินเมื่อการตะลุมบอนเกิดขึ้นอีกครั้ง ภาพความทรงจำถูกเปิดขึ้นมาอีกหน
ท้องฟ้าสีครามปกคลุมไปด้วยเมฆสีขาวส้มลอยอ้อยอิ่งคือภาพอันคุ้นตาเสมือนเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะมารอรับหลังเลิกเรียนเสมอ…
หากว่าอีกาที่กำลังเกาะอยู่บนรั้วด้านหนึ่งของมุมตึกแลตาลงมา…
“ฮ่าๆ ๆ ไม่ร้องแล้วหรอวะ ทำไมล่ะ ฮะ!”
ปั้ก ปั้ก ปั้ก
“ทำไมไม่ร้องล่ะวะ”
พลั่ก!
“อ๊อก…”
“ฮ่าๆ ๆ ๆ ตลกชิบ”
“ฮ่าๆ ดูแม่งดิ…”
หากว่าอีกาแลตาลงมา…
“เดกุ!!!”
เสียงนั้นราวกับว่าจะดึงเขาออกมาจากภาพในความทรงจำอีกหน แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อทันทีที่ลืมตาออกมาจากในความฝัน เขาก็พบว่าตัวเองกำลังจะถูกพลิกให้ตกลงไปกลางอากาศ
บึ้ม!!!
ฝ่ามือของอิซึกุจับขอบพื้นไว้ได้ทัน ในหัวปวดร้าวจากเรื่องราวมากมายที่ถูกฉายซ้ำในเวลาสั้นๆ ดวงตาข้างหนึ่งลืมขึ้นมามองได้ก็เห็นว่าวิลเลินที่เคยจับตัวเขาไว้ถูกแรงระเบิดอัดตรงเข้าใส่จนกระเด็นไปอีกฝั่ง การต่อสู้เหมือนจะจบลงโดยที่เขาไม่ทันได้รู้ตัว เสียงฝีเท้าดังเข้ามาใกล้ก่อนจะเผยให้เห็นใบหน้าของฮีโร่บาคุชินจิที่ยื่นมือเข้ามาจับ
ทันทีที่จับข้อมือนั้นความทรงจำของอิซึกุก็ถูกเปิดขึ้นอีกหน
“บาดเจ็บไม่ใช่รึไง เอาไปสิ”
ภาพตรงหน้ามืดเหมือนเป็นเวลากลางคืน หมวกฮู้ดที่เจ้าของสายตาสวมใส่อยู่บังสายตาไว้จนเห็นเพียงแค่มือและพลาสเตอร์สีดำลายคุ้นของคนที่ยื่นมาให้ ตอนที่ขยับใบหน้าและพอเห็นลายเสื้อ คนที่ได้เห็นความทรงจำนั้นก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเข้าไปใหญ่ แม้จะไม่อยากเชื่อถือภาพที่เห็นแต่บาคุโกก็รู้สึกว่ามันคุ้นมาก ถ้าหากว่าใบหน้านั้นเงยขึ้นมาอีกนิด คนที่อีกฝ่ายคุยด้วย…เด็กที่อีกฝ่ายคุยด้วยนั่นมันก็คือ…
เพี๊ยะ!!!
อิซึกุสะบัดมือออกจากการจับของอีกฝ่าย เขาไม่รู้ว่าคัตจังเห็นอะไรไปมากน้อยแค่ไหนเพราะอัตลักษณ์นี้ทำให้เขาที่ถูกเปิดความจำได้รับผลกระทบจนไม่อาจจะมองภาพที่ไหลผ่านตัวได้ แต่ทันทีที่เขาสะบัดมือออก ใบหน้าที่มักจะมั่นใจอยู่ตลอดนั่นกลับปรากฏแววตกตะลึงและสงสัย
“นั่นมัน…อะไร”
“มันไม่ใช่เรื่องที่น่ารู้เท่าไหร่”
เจ้าของความทรงจำเอ่ยขณะพยายามเกาะขอบดาดฟ้าไว้ สภาพแบบนั้นแม้แต่คนสงสัยก็ยังต้องช่วยขึ้นมาก่อน แต่เดกุกลับไม่ต้องการให้เขาช่วย
“ส่งมือขึ้นมา”
“ไม่ เดี๋ยวฉันขึ้นไปเอง”
“เดกุ แกกำลังจะตกลงไป”
“ก็บอกว่าไม่ไงล่ะ!!!”
นั่นเป็นครั้งแรกที่เดกุตวาดใส่เขาแบบนั้น…ด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้
คัตสึกิคิดว่าอาจจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่อยากจะเปิดเผยความทรงจำให้เขารู้ แต่สถานการณ์ตอนนี้มันจำเป็น เพราะฝ่ามือที่เกาะไว้นั้นดูท่าจะไม่ไหวแล้วและวิลเลินที่ถูกซัดไปเมื่อกี้ก็ดูเหมือนจะยังตายยาก
“นกที่ไม่มีปีก แต่กระเสือกกระสนจะบิน…มันก็ต้องตกลงไปตายแบบนั้นแหละ…”
“…”
“แก…ไม่มีทางหนีจากอดีตของตัวเองพ้น ตัวแกจะฉายความฟอนเฟะเบื้องหลังออกมาจนหมด”
“…”
“ยกเว้นเสียแต่แกจะปล่อยมือข้างนั้นออก…”
“หุบปาก!”
คัตสึกิตวาดใส่วิลเลินที่นอนอยู่ตรงนั้น เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้านั่นเห็นคืออะไร แต่เขาไม่เชื่อว่าเดกุจะยอมแลกชีวิตตามคำที่มันว่า
“ขึ้นมาซะ! แขนแกมันไม่ไหวแล้ว”
มือของคนด้านบนกำลังจะจับลงมาอีกหน แต่ความไม่มั่นใจก็ทำให้อิซึกุเลือกจะปล่อยมือข้างนั้นออกจากการช่วยเหลือ
ไม่เอา
ดวงตาสีเขียวอ่อนแสงลง
ถ้าหากว่าเป็นคนอื่นเขาคงพอจะรับไหว แต่ถ้าหากเป็นคัตจังละก็…
ขยะแขยง
“ไม่”
“เดกุแกจะทำอะไรโง่ๆ ห๊ะ” แม้ว่าคัตสึกิจะพยายามเอื้อมมือไปจับแต่มันกลับยิ่งทำให้เดกุปัดป้องมากกว่าเดิมจนเขาอ่อนใจ จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจยื่นมือออกไปแทน
มันเป็นคำขอ…
“จับมือฉันซะ”
แต่คนฟังก็ยังไม่นำพา ยิ่งนานเข้าแผลถลอกจากการต่อสู้และแผลจากปืนที่ถากแขนไปก็ยิ่งทำให้แขนทั้งสองข้างอ่อนแรงลง คัตสึกิเริ่มคิดว่าจะกระชากเจ้านั่นขึ้นมาแทน แต่อิซึกุก็เปิดปากขึ้นก่อน
“คัตจัง…ฉันน่ะ…”
ถ้าจะต้องเอาบาดแผลมาแผ่ออกแล้วตีซ้ำล่ะก็…
“ฉันน่ะ…แบบนี้ก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
พูดจบเจ้าของมือก็ปล่อยมือออกจากดาดฟ้า
ปล่อยร่างให้ดิ่งลงสู่พื้นอย่างไม่คิดชีวิต
ท่ามกลางความตกใจที่ราวกับจะกระชากหัวใจของฮีโร่ออกมาจากอก
“เดกุ!!!”
หากว่าอีกาแลตาลงมา…มันก็คงจะได้พบกับความหฤหรรยามเย็น…บนร่างที่สกปรกโสโครกไม่ต่างจากขยะ
หากว่าอีกาแลตาลงมา…