Title: In Relationship
Pairing: Kaminari Denki x Jirou Kyouka
Rate: PG
Note: เป็นฟิคที่แต่งลงในกิจกรรม #SecretMHA ค่ะ เป้นคู่ชิปที่ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูเลยล่ะค่ะ และฟิคนี้ก็เป้นฟิคแรกในรอบหลายปีที่กลับมาเขียนนอร์มอลด้วยค่ะ มีความแปลกไปจากเดิมนิดหน่อยแต่ก้สนุกดีค่ะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ ‘ความสัมพันธ์’ ของพวกเรามันกลายเป็นแบบนี้
ในห้องเรียนยามกลางวันที่คนเริ่มไปทานอาหารที่โรงอาหารกันบ้างแล้วนั้นกลับมีร่างของคนกลุ่มหนึ่งยืนดูบางอย่างด้วยความสนใจ สายตาของคนเหล่านั้นล้วนจับจ้องไปยังร่างของคนสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่
ร่างสูงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ถูกต้อนให้จนมุมก็ขยับถอยไปจนชิดติดผนังหลังห้องด้วยหน้าตาที่เหรอหรา…
ปัง!
!!!
เสียงฝ่ามือตบไปบนกำแพงทำให้คนที่ถูกล้อมกรอบไว้ในวงแขนข้างนั้นต้องสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่
เหตุการณ์ที่ราวกับหลุดมาจากการ์ตูนโชโจนี้คงจะสมบูรณ์ยิ่งถ้าหากคนที่แสดงอยู่…ไม่ใช่ผู้ชายทั้งคู่…
ดวงตาสีครามเข้มสบ’ลง’ไปบนดวงตาสีอำพันที่มองมาจากด้านล่าง และในตอนที่ร่างสูงเห็นใบหน้านั้นเปลี่ยนไปเหรอหราอย่างทำตัวไม่ถูกเจ้าตัวก็กลั้นขำกับใบหน้าตลกๆ นั่นไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดปากขำออกมาจนได้
“ฮ่าๆ หน้า หน้า…ฮ่าๆๆ”
เสียงขำของจิโร่ดังขึ้นก่อนที่มือข้างนั้นของเธอ…ไม่สิ ตอนนี้คงต้องเป็นเขา จะละออกจากกำแพงนั้นมากุมท้องตัวเอง ส่วนคนที่กำลังทำหน้าเหรอหราอยู่ก็โวยวายขึ้นมา
“หน้าฉันมันไม่ขำขนาดนั้นซะหน่อย!” ก่อนจะตะปบไปบนหน้าตัวเองแล้วมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “พอเป็นผู้ชายแล้วเธอก็สูงกว่าฉันไม่เท่าไหร่หรอกน่า!!?”
“ก๊ากกกก”
เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นด้วยความสะใจนั้นดังมาจากจิโร่ เคียวกะ อดีตหญิงสาวที่ปัจจุบันโดนอัตลักษณ์ทำให้ร่างกายของตัวเองสลับเพศไป ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวในตอนเช้าทำให้วันนี้เธอต้องมาเรียนในสภาพนี้ สภาพ…ที่มีหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปโดยเฉพาะส่วนสูงที่ตอนนี้เธอมีมากกว่าคามินาริเสียอีก
คนถูกขำใส่ตีหน้ายักษ์เมื่อถูกคนเส้นตื้นแกล้ง เขาพยายามมองไปทางกลุ่มเพื่อนด้านหลังที่ยืนมองอยู่…ด้วยความสนุกสนานบ้างและรำคาญบ้างก่อนจะรู้สึกสิ้นหวังไม่ต่างกับในตอนแรก
“จำไว้เลยนะ ครั้งหน้าฉันจะต้องเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง” คามินาริหันไปเอ่ยกับอีกฝ่าย
จิโร่ที่เริ่มได้สติกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่ดูภาคภูมิใจจากมุมมองด้านบนของคนที่สูงกว่า
“พยายามเข้าล่ะ”
ก็นั่นแหละ…ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ของเรามันกลับตาลปัตรแบบนี้เมื่อไหร่ก็คงเริ่มตั้งแต่ที่จิโร่ถูกอัตลักษณ์สลับเพศเล่นงานเข้าในวันนั้น…
วันนั้น…มันเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่ค่อนข้างร้อน
อาจจะเพราะความร้อนทำให้ตื่นแต่เช้าหรืออะไรก็ไม่ทราบได้จิโร่ที่ออกไปซื้อของข้างนอกหอในตอนเช้าจึงได้กลับมาในสภาพผู้ชาย โชคดีที่อาจารย์ไอซาว่ารับรู้เรื่องราวนั้นแล้วตั้งแต่ก่อนที่เธอจะมาโรงเรียนทำให้ไม่มีอะไรน่าตกใจมากไปกว่าความแปลกตาในเช้าวันนั้น
“อ๊ะ จิโร่จัง ไปทำอะไรมาน่ะ!?” เป็นเสียงจากอุราระกะที่เดินมาพร้อมกับมิโดริยะและอิดะ เธอเอ่ยขึ้นอย่างตกใจก่อนจะเดินเข้ามาที่โต๊ะของจิโร่ที่อยู่ข้างกันกับเขา
“ฮะๆ มันดูแปลกๆ สินะ” เจ้าตัวที่โดนอัตลักษณ์สลับเพศมาเอ่ยออกไปก่อนจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าของอัตลักษณ์ที่ทำให้ของลอยได้ฟัง และทันทีที่ฟังจบหัวหน้าห้องผู้มีความรับผิดชอบสูงยิ่งของห้องก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง
“เป็นวิลเลินรึเปล่าครับ แบบนี้จะมีผลกระทบอื่นๆ ด้วยมั้ย”
“อ๊ะ ไม่ใช่หรอก เหมือนว่าจะเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ แล้วก็อัตลักษณ์คงจะอยู่อีกไม่เกิน 3 วันเป็นอย่างมาก”
“อ้อ” อิดะทำหน้าเข้าใจ
“เฮ้อ ดีไปนะที่ไม่เป็นไร” อุราระกะว่า
“นั่นสิครับไม่งั้นล่ะก็แย่เลย” ตามมาด้วยมิโดริยะ
ปึง
เสียงประตูเปิดกระแทกผนังด้านหนึ่งของห้องดังขึ้นก่อนจะปรากฏร่างอึมครึมของอาจารย์ประจำชั้น สายตาคมกริบที่ตวัดมาพาให้เด็กๆ ที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ต้องรีบกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองอย่างว่าง่าย
และหลังจากคาบโฮมรูมที่ไม่เร็วไม่ช้าไปนั้น อาจารย์ไอซาว่าที่อธิบายเรื่องทั่วไปและอุบัติเหตุของจิโร่เสร็จเรียบร้อยก็ออกจากห้องนั้นไป
แค่เพียงเวลาไม่กี่คาบในช่วงเช้านั้นก็พาให้หลายๆ คนเริ่มคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงของจิโร่ได้แล้ว ยกเว้นก็แต่…
“อืม…”
ดวงตาสีอำพันเท้าคางพลางมองออกไปด้านหลังในช่วงเปลี่ยนคาบที่อาจารย์ยังไม่เข้ามา ดวงตาคู่นั้นหันมองไปทางคนที่เปลี่ยนไปในวันนี้กับรองหัวหน้าห้องยาโอโมโมะที่กำลังคุยกันอย่างสนิทสนมไม่เปลี่ยนจนคนนั่งอยู่ข้างหลังอย่างคิริชิม่าต้องมองตามด้วยความงุนงงก่อนจะเอ่ยออกไป
“ยังไม่ชินอีกเหรอไง” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าต้องหันไปมอง
“หือ? อะไร ฉันต้องถามมากกว่าว่าทำไมพวกนายชินกันได้เร็วขนาดนี้น่ะ”
และยังไม่ทันที่เพื่อนผมแดงจะได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเจ้าของประเด็นอย่างจิโร่ก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้านข้างของคามินาริอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาที่มองอยู่จึงได้แต่เก็บความสงสัยกับความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างเอาไว้
แต่ไม่ว่าจะพยายามเก็บมากเท่าไหร่มันก็มักจะเผลอชอบเหลือบไปมองอยู่เรื่อยๆ จนในที่สุดคาบพักวันนั้นที่บางคนเริ่มออกไปกินข้าวกันบ้างแล้วจนเหลือแค่กลุ่มของเขากับกลุ่มผู้หญิงบางส่วนนั้นคามินาริก็เผลอหันไปสบตากับจิโร่เข้าอย่างจังราวกับนัดหมายกันไว้
และหลบไม่ทันแล้ว
“ฉันเห็นนะ!”
เจ้าของร่างที่ถูกทำให้กลายเป็นผู้ชายเอ่ยขึ้นก่อนจะล็อกสายตามาที่เขาไว้จนคนที่แอบมองอยู่หลบไม่ทัน
“อะ..อะไรของเธอ!?” เขาลนลานตอบไปแบบนั้น
“ก็นายมองฉันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วใครจะไม่สงสัยกันล่ะ”
“สงสัย?”
“ก็ที่นายเอาแต่มองอยู่ได้น่ะสิ มันแปลกนักรึไง”
“เอ่อ…ก็…”
ใช่ แปลก แปลกไปอยู่อย่าง
ใจจริงคามินาริมีคำตอบแบบนั้นอยู่ แต่จะให้ตอบไปอย่างนั้นก็คงจะเสียมารยาทเกินไป (แม้ว่าความจริงจะเสียมาตั้งแต่ตอนที่แอบมองแล้วก็ตาม)
เขาพยายามจะปฏิเสธไปแต่เหมือนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าตัวเขารู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไปของจิโร่คนปัจจุบันที่ประสบอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์กับจิโร่คนเก่า
“คุณจิโร่ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ บางทีอาจจะมีบางอย่างที่ผิดปกติจนคุณคามินาริรู้ตัวก็ได้นะคะ” คราวนี้เป็นยาโอโมโมะที่เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมจนอีกฝ่ายเริ่มใจเย็นลง
คามินาริแอบถอนหายใจแต่ก็ได้เพียงชั่วครู่เพราะรองหัวหน้าห้องหญิงของเขาดันเป็นฝ่ายโยนคำถามนั้นมาให้ซะเอง “ว่าแต่คุณคามินาริคิดว่ามีอะไรผิดปกติไปหรอคะ”
“เอ่อ…”
คราวนี้คนถูกถามเริ่มไปไม่ถูก เขาพยายามหาตัวช่วยแต่เพื่อนรอบโต๊ะที่พอจะช่วยได้ก็กลับทำหน้าสนใจใคร่รู้คำตอบนั้นไม่ต่างกัน
“คือ…”
บรรยากาศกดดันแผ่ปกคลุมเข้ามาจนคนที่ถูกหันมองราวกับกำลังอยู่บนเวทีที่มีผู้คนรอฟังเขากล่าวอะไรสักอย่าง ทำให้คนถูกถามต้องจำยอมพูดออกไปในที่สุด
“มันก็ไม่มีอะไรผิดไปหรอก ตะ..แต่…” คราวนี้คนพูดเริ่มงึมงำก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกไปเสียงดังฟังชัด “ทำไมจิโร่ถึงสูงกว่าฉันล่ะ!?”
…. … . . .
“เอ้ะ…”
นอกจากเสียง ‘เอ๊ะ’ จากจิโร่แล้วก็คงจะมีเสียง ‘เอ๊ะ’ ในใจของคนในห้องอีกหลายคนที่ดังขึ้นไม่ต่างกัน แล้วหลังจากนั้นทุกสายตาในห้องก็หันไปจับจ้องที่เจ้าของส่วนสูงที่เปลี่ยนไปเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะทำหน้าเหมือนจะอุทานว่า ‘จริงด้วย’ ออกมา
“โอ้ะ จริงด้วยแฮะ” และคนที่พูดออกมาเป็นคนแรกก็คือเจ้าของประเด็นอย่างจิโร่ เจ้าคนที่หน้าตาดูสงบขึ้นกว่าตอนแรกเดินเข้ามาใกล้เขาจนต้องลุกออกจากโต๊ะด้วยความไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรนั้นกำลังทำท่าวัดส่วนสูงของตัวเองที่สูงเลยหัวของเขาไป
“จะว่าไปฉันก็สูงขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ”
“เพราะงั้นไงล่ะมันถึงรู้สึกแปลกๆ น่ะ”
บางคนในห้องพยักหน้าตามก่อนที่บางส่วนจะเลิกสนใจเรื่องราวตรงหน้าแล้วเอาเวลาไปกินข้าวแทน แต่ก็มีบางคนที่กลับรอดูเรื่องสนุกอยู่ในห้องแบบนั้น
“จริงด้วยแฮะ ไม่ทันสังเกตเลย” มินะเดินเข้ามาบ้าง “ว่าแต่ตอนนี้ส่วนสูงต่างกันเท่าไหร่ล่ะ”
“อืม น่าจะประมาณ…10เซน” จิโร่พูดอย่างขอไปที ทำให้คนที่ถูกเปรียบเทียบอีกคนต้องเอ่ยขึ้นบ้าง
“ไม่ถึง ดูยังไงก็ไม่ถึงสักนิด” คามินาริขัดพลางยืนขึ้นเหมือนจะเทียบ
“มันก็แค่ประมาณมั้ย”
“เรื่องแบบนี้จะมาประมาณได้ยังไงล่ะ!”
“หา? ทีนายยังประมาณส่วนสูงตัวเองกับฉันตอนร่างปกติไว้ตั้ง 15 เซนทั้งที่ห่างกันจริงแค่ 14 เซนเลยจำไม่ได้รึไง!”
“ห๊ะ ฉันก็แค่ประมาณ…!”
“เรื่องแบบนี้จะมาประมาณได้ยังไงล่ะ…เนี่ยเมื่อกี้ใครพูดฮะ!”
“มันก็แค่เซนเดียวมั้ย”
“ก็นายพูดเองนี่ว่า…”
แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็กลายเป็นสงครามน้ำลายไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งจะขัดขึ้นในบรรยากาศนั้น
“ฮุๆ ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเหมือนในบีแอลเลยนะคะ”
“โมโมะ!” และคนที่ตกใจมากที่สุดในคำกล่าวของรองหัวหน้าห้องก็คืออาชิโด้ มินะ ตามมาด้วยฮางาคุเระและจิโร่ และหน้าตาที่เหรอหราของเพื่อนสาวบางคนในห้องก็ทำให้คุณรองหัวหน้าห้องต้องเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง
“อ้าว ก็บีแอลเนี่ย…ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชายหรอคะ”
สิ้นสุดคำกล่าวภายในห้องก็มีความเห็นแตกออกไปสองส่วน หนึ่ง…คือคนที่เข้าใจตามแบบที่ยาโอโมโมะเข้าใจและอีกหนึ่งก็กำลังทำหน้าลำบากใจพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูส่งไปให้ยาโอโมโมะอยู่อย่างเช่นอาชิโด้ จิโร่และฮากาคุเระ (ที่ถึงแม้จะล่องหนอยู่ก็ตาม)
“ยาโอโมโมะ ฮือ…”
“เอ๊ะ มันไม่ใช่หรอคะคุณอาชิโด้”
อาชิโด้เงยหน้าที่กุมขมับขึ้นมาพลางมองไปทางเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงทำหน้าเหมือนค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในความสัมพันธ์ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ในบรรดาคนที่ไม่เข้าใจหลายๆ คนนั้นคงจะมีแต่สาวล่องหนฮากาคุเระที่กำลังลูบหลังเธออย่างเข้าใจและจิโร่ที่ทำหน้าตาเหมือนว่าจะเข้าใจมากกว่าที่ยาโอโมโมะเข้าใจ
“จะว่ายังไงดีล่ะ”
อาชิโด้เริ่มไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีจนจิโร่ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาแก้สถานการณ์นี้เอง
“เอ่อ…ความจริงถ้าจะเข้าใจในความหมายนั้นไปก่อนก็ได้น่ะนะ”
ในขณะที่ทางฝั่งผู้หญิงกำลังไปกันได้ด้วยดีแม้ว่าจะยังไม่ได้อธิบายให้รองหัวหน้าห้องได้เข้าใจความจริงของคำก็ตามนั้น จู่ๆ อีกด้านเสียงของคามินาริก็ดังขึ้นเสียก่อน
“มาวัดความสูงกันให้รู้แล้วรู้รอดเลยเถอะจิโร่!”
“ห๊ะ…”
เจ้าของชื่อหันไปหาคนที่เรียกชื่อตนอีกครั้งก่อนจะเห็นแววตามุ่งมั่นมองสบขึ้นมา
ต้องจริงจังขนาดนี้เลยเรอะ
ถ้าหากจะอธิบายใบหน้าของจิโร่ก็คงจะได้คำพูดมาประมาณนั้น
และก่อนที่จะได้ถามกันต่อหลายๆ คนที่เริ่มสนใจ (ในเรื่องไม่น่าสนใจ) ก็เริ่มอยากรู้ว่าอัตลักษณ์ที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเพศไปนี้จะทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นกี่เซนกัน และก็มีบางคนที่เสนอเรื่องสนุกๆ ขึ้นมา
“ทำไมไม่ลองวัดส่วนสูงแบบบีแอลล่ะ” สาวล่องหนกล่าว
“หา?” คราวนี้คนที่เหลืออยู่ในห้องพากันทำหน้างง
“แบบไหนน่ะฮางาคุเระจัง” อาชิโด้ถามขึ้น ทำให้ฮางาคุเระยกโทรศัพท์ขึ้นส่งภาพให้อาชิโด้ดู ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักก่อนจะเรียกจิโร่ให้มาดูวิธีการในโทรศัพท์ของพวกเธอ และเมื่อเห็นเจ้าตัวก็ตกใจไปแวบนึง ก่อนจะมองกลับไปยังใบหน้าของคามินาริหลายๆ ครั้ง รอยย่นบนหัวคิ้วบอกว่าเธอกำลังลังเล แต่เมื่ออาชิโด้เอื้อมตัวไปกระซิบบางอย่างคิ้วที่ย่นอยู่นั้นก็ค่อยๆ คลายออกแล้วกลายไปเป็นใบหน้าที่พยักขึ้นลงราวกับได้รู้เรื่องราวที่น่าสนใจบางอย่าง
“ตามนั้นก็ได้” จิโร่ว่า “นายล่ะว่าไง”
“ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ก็แค่วัดส่วนสูงเองนี่”
และเพราะความประมาทเลินเล่อของคามินาริ ภาพเหตุการณ์ถัดจากนั้นจึงเป็นไปตาม ‘ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชาย’ หรือคาเบด้งตามด้านบนที่กล่าวไปแล้ว (และเขาจะไม่เอ่ยถึงมันอีกเด็ดขาด) นั่นเอง
เย็นวันนั้น
ที่หอพักโรงเรียนยูเอย์ที่นักเรียนห้อง 1-A สาขาฮีโร่กำลังพักผ่อนกันอยู่ในห้องพักตามอัธยาศัย คนที่ดูจะป็อปปูล่าในหมู่สาวๆ วันนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นจิโร่ เคียวกะที่ทำเอามิเนตะรู้สึกอยากจะลองโดนอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์ดูบ้าง
“ทั้งที่เป็นผู้ชายแล้วแท้ๆ แต่กลับมีหญิงมารุมล้อมเต็มไปหมด” เจ้าตัวพูดประมาณนั้นก่อนจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง
ในห้องนั่งเล่นใหญ่ของหอพักนั้นเวลาได้ดำเนินไปเรื่อยๆ บางคนที่เคยนั่งอยู่ก็ขึ้นห้องไปบ้าง บางคนก็เดินลงมาทำนู่นนี่ตามแต่ละคนจะใช้เวลายามว่างของตัวเองบ้าง เช่นเดียวกับคามินาริที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นที่จิโร่กำลังนั่งคุยบางอย่างกับยาโอโยโระสึอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่หลายต่อหลายครั้งนั้นคามินาริก็ไม่มีทีท่าจะตอบรับสายตาที่มองมาเหมือนกับจะเข้ามาทักของจิโร่เลย จนกระทั่งในตอนดึกที่คนเริ่มซาลงจากห้องนั่งเล่นแล้วนั้น คามินาริก็ลงมาที่ครัวอีกครั้งเพื่อต้มน้ำ
ในระหว่างที่รอน้ำเดือดอยู่นั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ระหว่างที่ปล่อยให้ความคิดไหลไปตามไทม์ไลน์บนหน้าจอนั้นจู่ๆ เขาก็คิดถึงคำๆ หนึ่งที่ได้รู้จักเมื่อตอนกลางวันจากยาโอโมโมะได้ และเร็วเท่าความคิดที่มือคู่นั้นใส่คีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษสองคำที่เขาพอจะจำได้ลงไป เวลาผ่านไปไม่นานหน้าข้อมูลหลังกดค้นหาก็ปรากฏขึ้นให้เขากดเข้าไปอ่านได้ไม่ต่ำกว่าพันหน้า แต่ที่ดึงดูดสายตาของเขาอย่างรวดเร็วกลับเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นต่างหาก
ไหนยาโอโมโมะบอกว่ามันเป็น ‘ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชาย’ ไงล่ะ
“โอ้ะ นี่นายอ่านอะไรแบบนี้ด้วยหรอ”
และไม่ทันที่เขาจะได้ตกใจไปมากกว่านี้เสียงทักอันคุ้นเคยก็ดังขัดขึ้นจากทางด้านหลังพาให้คนฟังตกใจจนโทรศัพท์ในมือแทบร่วง เขาหันไปด้านข้างอย่างรวดเร็วก่อนจะปรากฏใบหน้าของจิโร่ที่ดูจะตกใจนิดหน่อยเพราะเขาที่หันหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน ระยะห่างที่แคบจนพาให้ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกรอบนั้นพาให้คนทั้งสองดีดตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว
“เธอ! มาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่ที่นายเสิร์ชคำว่า ‘BL คือ’ นั่นแหละ”
“หา!? นี่แอบดูงั้นเหรอ”
“เปล่าสักหน่อย บังเอิญต่างหาก” คนโดนจับได้เริ่มโมเมและเสตาไปทางอื่น
และตอนนั้นเองที่กาน้ำส่งเสียงร้องเตือนให้คามินาริหันไปใส่ใจมันอีกครั้ง ด้วยความกลัวว่าจะถูกถามว่าสนใจคำที่เสิร์ชหานั่นด้วยหรอคามินาริจึงตั้งหน้าตั้งตากรอกน้ำร้อนใส่กระบอกน้ำเก็บความร้อนอย่างรวดเร็ว เมื่อทำความสะอาดมันเสร็จเขาก็ตั้งท่าจะเดินออกไปจากครัวนี้ให้เร็วที่สุด แต่ก็ถูกเสียงของใครอีกคนในที่นั้นรั้งไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกเล่า ฉันบอกเลยว่าไม่ได้ชื่นชอบเรื่องแบบนั้นแต่แค่สงสัยเฉยๆ ต่างหา…”
“เปล่าๆ คือ…นาย…เอ่อ…นายโกรธฉันเรื่องเมื่อตอนเที่ยงรึเปล่า”
“?”
“ก็…นายดูแปลกๆ ไป”
คำตอบที่ได้ทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเงียบไป และแม้ว่าจิโร่จะเป็นคนเปิดประเด็นถามก่อนหรืออยู่ในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มตัวสูงก็ตามแต่ในใจนั้นก็ยังมีความกล้าๆ กลัวๆ เหมือนทุกครั้งที่เป็นเวลาไม่มั่นใจในตัวเอง และนั่นทำให้เธอกังวลกับสิ่งที่ทำไปเมื่อตอนเที่ยง ท่าทางสำนึกผิดและดวงตาที่สบมองบ้างแล้วไหวผ่านไปเหมือนรอคำพูดจากเขาทำให้ภาพของจิโร่คนเดิมค่อยๆ ซ้อนทับอีกครั้ง และคามินาริเองก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์
“ใช่ ฉันโกรธ”
คำพูดนั้นทำให้เธอหันหน้ามาสบกับเขาอีกครั้ง ใบหน้าของคนทั้งสองตอนนี้ต่างกันอย่างสุดขีด เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังทำหน้าเหวอและอีกฝ่ายกำลังยิ้มอย่างสะใจ
“เพราะงั้นครั้งหน้าฉันจะเอาคืนแบบที่เธอทำกับฉันเลยคอยดู จำไว้ให้ดีล่ะ”
พูดจบเจ้าของคำพูดก็เดินจากไป ทิ้งให้คนฟังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยนอกจากจะไม่ได้ขอโทษแล้วยังต้องมาโดน คนแบบนั้นผูกใจเจ็บอีก
สองวันถัดมาคือวันที่จิโร่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างกายเดิมของเธอและความรู้สึกที่น่าจะเหมือนเดิม ยกเว้นว่าถ้าเธอจะไม่เดินไปเจอคามินาริที่กำลังเดินไปโรงเรียนเหมือนกันระหว่างทางในเช้าวันนั้น
“โอ้ะ เธอกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่”
“อะ…อืม” เธอตอบรับก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไปทางหนึ่งแต่ก็ถูกเจ้าหมาโกลเด้นพันธุ์ร่าเริงเป็นพิเศษเดินตามขนาบข้างซะงั้น
“14 เซน!”
“รู้แล้วๆ เงียบๆ หน่อยสิ นายจะให้คนอื่นเขาหันมามองรึไง” เธอว่าก่อนจะมองไปรอบข้างที่ยังเช้าอยู่และไม่ใช่เวลาหลักของเด็กนักเรียนในหอยูเอย์ที่มักจะไปเรียน แต่เพราะวันนี้เธอต้องรีบไปแจ้งเรื่องอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์จึงทำให้ต้องไปเช้ากว่าเดิมหน่อย “วันนี้นายตื่นเช้าจริงๆ เลยนะ”
“แค่วันนี้เท่านั้นแหละ เพราะฉันรู้สึกว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็เลยมาแต่เช้าไงล่ะ”
สัญชาตญาณสินะ…
จิโร่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เธอพยายามเดินเลี่ยงคามินาริเพราะยังจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนตัวเองไปทำอะไรอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็ได้แค่นั้นเมื่ออีกฝ่ายยังคงตามติดเป็นหมาตามเจ้าของอยู่ข้างเธอแบบนั้น จนในที่สุดเธอต้องเป็นฝ่ายหยุดแล้วหันไปทางเขา
“คือ ฉันขอโทษกับเรื่องเมื่อสองวันก่อนด้วยนะ” คำพูดรัวเร็วหลุดออกมาจากปากของจิโร่ ส่วนคำตอบที่เธอได้ก็คือความเงียบที่ทำให้เธอต้องรู้สึกใจคอไม่ดี
จนกระทั่ง…
“เรื่องอะไรนะ…?”
“…” (กำลังรู้สึกเสียใจที่พูดเตือนมันออกไป)
“…สองวันก่อน…อ้อ อ๋อ~ จำได้แล้วๆ”
“อืม นั่นแหละ” คนพูดลังเลว่าจะพูดเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าจะเอาคืนแบบที่เธอทำด้วยวิธีเดียวกันออกไปดีมั้ย แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกไปเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาก่อน
“ความจริงตอนนั้นเธอก็น่ารักดีอ่ะ”
คำพูดที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คนฟังที่กำลังคิดนู่นนี่นั่นอยู่ถึงกับชะงักก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง
“…”
“…เอ้ย ฉันหมายถึงตอนนั้นที่เธอเป็นผู้ชายมันน่ารั…ไม่ๆ ฉันหมายถึงหน้าเหวอๆ ของเธอตอนมาถามว่าฉันโกรธมั้ยน่ะ…เอ่อ…มันก็ดู…น่ารักแล้วก็ตลกดี”
“…”
“ธะ…เธอโอเคนะ”
ไม่โอเค
“โอเค ฉันโอเคมาก แปลว่านายก็จะไม่คาเบด้งใส่ฉันแล้วใช่มั้ย”
“คาเบด้ง…อ้อ ไอ้แบบนั้นกับกำแพงอ่ะนะ” อีกฝ่ายว่าพลางยกมือเลื่อนเข้าออกแทนความหมายของคำที่ว่า
“อื้อ นาย…ไม่ไหวล่ะมั้งฉันว่า ฮะๆ” จิโร่หัวเราะเฝื่อนๆ เป็นความเฝื่อนสุดๆ เท่าที่จะเรียกว่าเฝื่อนได้
“นั่นสินะฉันก็ว่างั้น ฮะๆ” และคามินาริก็หัวเราะแบบเดียวกัน
“ใช่มั้ยล่ะ ฮะๆ ถ้าไม่มีอะไรไปโรงเรียนต่อดีมั้ย”
“โอ้ ทางไหนนะ”
“ทางนี้ๆ”
และมือไม้เองก็พัลวันจนเป็นปาท่องโก๋
“ฮะๆ ลืมซะได้”
สถานการณ์แย่สุดๆ…คือคำอธิบายความรู้สึกของจิโร่ที่ไม่รู้ว่าคามินาริเองก็กำลังรู้สึกแบบนั้น
ความรู้สึกแปลกๆ แบบที่ยากจะสบตาอีกฝ่ายอยู่ดีๆ ก็เข้าจู่โจมคนทั้งคู่ แม้ว่าจะทำเหมือนกับมันเป็นเรื่องตลก กลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะเฝื่อนๆ แค่ไหนแต่ก็ดูจะไปไม่รอด โดยเฉพาะจิโร่ที่กำลังรู้สึกแปลกๆ ให้กับคำนั้นของคามินาริจนต้องขอตัวกลับมาที่หอระหว่างทางด้วยเหตุผลที่ดูไม่เป็นเรื่องก่อนจะตรงขึ้นห้องมานั่งกุมขมับตัวเองและไล่ความตื่นตระหนก(?)ที่ขึ้นสีแดงอยู่บนใบหน้า
ก็อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจ้าของห้องสะดุ้งก่อนจะตั้งสติได้แล้วเดินไปเปิด ที่หน้าประตูห้องคือร่างของมินะที่เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ
“อ้ะ จิโร่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสินะ” เธอทัก
“อ้ะ อื้ม น่าจะนะ” เธอว่าก่อนจะยิ้มอย่างลำบากใจ
“เอ๊ะ เป็นอะไรงั้นเหรอ หรือยังไม่หายดี! ให้บอกอาจารยืไอซาว่ามั้ย”
“เปล่าๆ ไม่ใช่ คือ…ฉันแค่รู้สึกเหมือน….กำลังจะหลงผิด”
“ละ…หลงผิด?!”
จิโร่รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณเธอจะหลุดออกจากร่าง บางทีนี่อาจจะเป็นการเอาคืนในแบบของคามินาริก็ได้
“ฉันไม่น่าเล่นเยอะเลยมินะ”
“เฮ้ะ ตกลงเป็นอะไรกันแน่บอกฉันที!?”
แล้ววันนั้นจิโร่ก็ไปโรงเรียนเกือบสายด้วยเหตุผลที่ไม่อาจจะบอกใครได้
END