[Fic MHA] In Relationship [KamiJiro]

Title: In Relationship

Pairing: Kaminari Denki x Jirou Kyouka

Rate: PG

Note: เป็นฟิคที่แต่งลงในกิจกรรม #SecretMHA ค่ะ เป้นคู่ชิปที่ทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูเลยล่ะค่ะ และฟิคนี้ก็เป้นฟิคแรกในรอบหลายปีที่กลับมาเขียนนอร์มอลด้วยค่ะ มีความแปลกไปจากเดิมนิดหน่อยแต่ก้สนุกดีค่ะ สุดท้ายนี้ก็ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ


 

 

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ ‘ความสัมพันธ์’ ของพวกเรามันกลายเป็นแบบนี้

 

ในห้องเรียนยามกลางวันที่คนเริ่มไปทานอาหารที่โรงอาหารกันบ้างแล้วนั้นกลับมีร่างของคนกลุ่มหนึ่งยืนดูบางอย่างด้วยความสนใจ สายตาของคนเหล่านั้นล้วนจับจ้องไปยังร่างของคนสองคนที่กำลังเผชิญหน้ากันอยู่

 

ร่างสูงค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้อีกฝ่ายขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่คนที่ถูกต้อนให้จนมุมก็ขยับถอยไปจนชิดติดผนังหลังห้องด้วยหน้าตาที่เหรอหรา…

 

ปัง!

 

!!!

 

 

เสียงฝ่ามือตบไปบนกำแพงทำให้คนที่ถูกล้อมกรอบไว้ในวงแขนข้างนั้นต้องสะดุ้งตกใจเข้าไปใหญ่

 

 

เหตุการณ์ที่ราวกับหลุดมาจากการ์ตูนโชโจนี้คงจะสมบูรณ์ยิ่งถ้าหากคนที่แสดงอยู่…ไม่ใช่ผู้ชายทั้งคู่…

 

 

ดวงตาสีครามเข้มสบ’ลง’ไปบนดวงตาสีอำพันที่มองมาจากด้านล่าง และในตอนที่ร่างสูงเห็นใบหน้านั้นเปลี่ยนไปเหรอหราอย่างทำตัวไม่ถูกเจ้าตัวก็กลั้นขำกับใบหน้าตลกๆ นั่นไม่ไหวจนต้องยกมือขึ้นปิดปากขำออกมาจนได้

 

“ฮ่าๆ หน้า หน้า…ฮ่าๆๆ”

 

เสียงขำของจิโร่ดังขึ้นก่อนที่มือข้างนั้นของเธอ…ไม่สิ ตอนนี้คงต้องเป็นเขา จะละออกจากกำแพงนั้นมากุมท้องตัวเอง ส่วนคนที่กำลังทำหน้าเหรอหราอยู่ก็โวยวายขึ้นมา

 

“หน้าฉันมันไม่ขำขนาดนั้นซะหน่อย!” ก่อนจะตะปบไปบนหน้าตัวเองแล้วมองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอีกครั้ง “พอเป็นผู้ชายแล้วเธอก็สูงกว่าฉันไม่เท่าไหร่หรอกน่า!!?”

 

“ก๊ากกกก”

 

เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้นด้วยความสะใจนั้นดังมาจากจิโร่ เคียวกะ อดีตหญิงสาวที่ปัจจุบันโดนอัตลักษณ์ทำให้ร่างกายของตัวเองสลับเพศไป ด้วยเหตุการณ์ที่ไม่ทันตั้งตัวในตอนเช้าทำให้วันนี้เธอต้องมาเรียนในสภาพนี้ สภาพ…ที่มีหลายๆ อย่างเปลี่ยนไปโดยเฉพาะส่วนสูงที่ตอนนี้เธอมีมากกว่าคามินาริเสียอีก

 

คนถูกขำใส่ตีหน้ายักษ์เมื่อถูกคนเส้นตื้นแกล้ง เขาพยายามมองไปทางกลุ่มเพื่อนด้านหลังที่ยืนมองอยู่…ด้วยความสนุกสนานบ้างและรำคาญบ้างก่อนจะรู้สึกสิ้นหวังไม่ต่างกับในตอนแรก

 

“จำไว้เลยนะ ครั้งหน้าฉันจะต้องเป็นฝ่ายหัวเราะบ้าง” คามินาริหันไปเอ่ยกับอีกฝ่าย

 

จิโร่ที่เริ่มได้สติกลับมายืนตรงได้อีกครั้ง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่ดูภาคภูมิใจจากมุมมองด้านบนของคนที่สูงกว่า

 

“พยายามเข้าล่ะ”

 

ก็นั่นแหละ…ถ้าถามว่าความสัมพันธ์ของเรามันกลับตาลปัตรแบบนี้เมื่อไหร่ก็คงเริ่มตั้งแต่ที่จิโร่ถูกอัตลักษณ์สลับเพศเล่นงานเข้าในวันนั้น…

 

 

วันนั้น…มันเป็นวันในฤดูใบไม้ผลิที่ค่อนข้างร้อน

 

อาจจะเพราะความร้อนทำให้ตื่นแต่เช้าหรืออะไรก็ไม่ทราบได้จิโร่ที่ออกไปซื้อของข้างนอกหอในตอนเช้าจึงได้กลับมาในสภาพผู้ชาย โชคดีที่อาจารย์ไอซาว่ารับรู้เรื่องราวนั้นแล้วตั้งแต่ก่อนที่เธอจะมาโรงเรียนทำให้ไม่มีอะไรน่าตกใจมากไปกว่าความแปลกตาในเช้าวันนั้น

 

“อ๊ะ จิโร่จัง ไปทำอะไรมาน่ะ!?” เป็นเสียงจากอุราระกะที่เดินมาพร้อมกับมิโดริยะและอิดะ เธอเอ่ยขึ้นอย่างตกใจก่อนจะเดินเข้ามาที่โต๊ะของจิโร่ที่อยู่ข้างกันกับเขา

 

“ฮะๆ มันดูแปลกๆ สินะ” เจ้าตัวที่โดนอัตลักษณ์สลับเพศมาเอ่ยออกไปก่อนจะค่อยๆ อธิบายให้เจ้าของอัตลักษณ์ที่ทำให้ของลอยได้ฟัง และทันทีที่ฟังจบหัวหน้าห้องผู้มีความรับผิดชอบสูงยิ่งของห้องก็เอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง

 

“เป็นวิลเลินรึเปล่าครับ แบบนี้จะมีผลกระทบอื่นๆ ด้วยมั้ย”

 

“อ๊ะ ไม่ใช่หรอก เหมือนว่าจะเป็นพนักงานบริษัทธรรมดาๆ แล้วก็อัตลักษณ์คงจะอยู่อีกไม่เกิน 3 วันเป็นอย่างมาก”

 

“อ้อ” อิดะทำหน้าเข้าใจ

 

“เฮ้อ ดีไปนะที่ไม่เป็นไร” อุราระกะว่า

 

“นั่นสิครับไม่งั้นล่ะก็แย่เลย” ตามมาด้วยมิโดริยะ

 

ปึง

 

เสียงประตูเปิดกระแทกผนังด้านหนึ่งของห้องดังขึ้นก่อนจะปรากฏร่างอึมครึมของอาจารย์ประจำชั้น สายตาคมกริบที่ตวัดมาพาให้เด็กๆ ที่กำลังยืนจับกลุ่มคุยกันอยู่ต้องรีบกลับไปนั่งประจำที่ตัวเองอย่างว่าง่าย

 

และหลังจากคาบโฮมรูมที่ไม่เร็วไม่ช้าไปนั้น อาจารย์ไอซาว่าที่อธิบายเรื่องทั่วไปและอุบัติเหตุของจิโร่เสร็จเรียบร้อยก็ออกจากห้องนั้นไป

 

แค่เพียงเวลาไม่กี่คาบในช่วงเช้านั้นก็พาให้หลายๆ คนเริ่มคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงของจิโร่ได้แล้ว ยกเว้นก็แต่…

 

“อืม…”

 

ดวงตาสีอำพันเท้าคางพลางมองออกไปด้านหลังในช่วงเปลี่ยนคาบที่อาจารย์ยังไม่เข้ามา ดวงตาคู่นั้นหันมองไปทางคนที่เปลี่ยนไปในวันนี้กับรองหัวหน้าห้องยาโอโมโมะที่กำลังคุยกันอย่างสนิทสนมไม่เปลี่ยนจนคนนั่งอยู่ข้างหลังอย่างคิริชิม่าต้องมองตามด้วยความงุนงงก่อนจะเอ่ยออกไป

 

“ยังไม่ชินอีกเหรอไง” เสียงดังมาจากด้านหลังทำให้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้าต้องหันไปมอง

 

“หือ? อะไร ฉันต้องถามมากกว่าว่าทำไมพวกนายชินกันได้เร็วขนาดนี้น่ะ”

 

และยังไม่ทันที่เพื่อนผมแดงจะได้ถามอะไรไปมากกว่านั้นเจ้าของประเด็นอย่างจิโร่ก็เดินกลับมานั่งที่โต๊ะด้านข้างของคามินาริอีกครั้ง คราวนี้ดวงตาที่มองอยู่จึงได้แต่เก็บความสงสัยกับความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างเอาไว้

 

แต่ไม่ว่าจะพยายามเก็บมากเท่าไหร่มันก็มักจะเผลอชอบเหลือบไปมองอยู่เรื่อยๆ จนในที่สุดคาบพักวันนั้นที่บางคนเริ่มออกไปกินข้าวกันบ้างแล้วจนเหลือแค่กลุ่มของเขากับกลุ่มผู้หญิงบางส่วนนั้นคามินาริก็เผลอหันไปสบตากับจิโร่เข้าอย่างจังราวกับนัดหมายกันไว้

 

และหลบไม่ทันแล้ว

 

“ฉันเห็นนะ!”

 

เจ้าของร่างที่ถูกทำให้กลายเป็นผู้ชายเอ่ยขึ้นก่อนจะล็อกสายตามาที่เขาไว้จนคนที่แอบมองอยู่หลบไม่ทัน

 

“อะ..อะไรของเธอ!?” เขาลนลานตอบไปแบบนั้น

 

“ก็นายมองฉันมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้วใครจะไม่สงสัยกันล่ะ”

 

“สงสัย?”

 

“ก็ที่นายเอาแต่มองอยู่ได้น่ะสิ มันแปลกนักรึไง”

 

“เอ่อ…ก็…”

 

ใช่ แปลก แปลกไปอยู่อย่าง

 

ใจจริงคามินาริมีคำตอบแบบนั้นอยู่ แต่จะให้ตอบไปอย่างนั้นก็คงจะเสียมารยาทเกินไป (แม้ว่าความจริงจะเสียมาตั้งแต่ตอนที่แอบมองแล้วก็ตาม)

 

เขาพยายามจะปฏิเสธไปแต่เหมือนสุดท้ายก็หนีไม่พ้นความจริงที่ว่าตัวเขารู้สึกถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไปของจิโร่คนปัจจุบันที่ประสบอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์กับจิโร่คนเก่า

 

“คุณจิโร่ใจเย็นๆ ก่อนนะคะ บางทีอาจจะมีบางอย่างที่ผิดปกติจนคุณคามินาริรู้ตัวก็ได้นะคะ” คราวนี้เป็นยาโอโมโมะที่เดินเข้ามาเกลี้ยกล่อมจนอีกฝ่ายเริ่มใจเย็นลง

 

คามินาริแอบถอนหายใจแต่ก็ได้เพียงชั่วครู่เพราะรองหัวหน้าห้องหญิงของเขาดันเป็นฝ่ายโยนคำถามนั้นมาให้ซะเอง “ว่าแต่คุณคามินาริคิดว่ามีอะไรผิดปกติไปหรอคะ”

 

“เอ่อ…”

 

คราวนี้คนถูกถามเริ่มไปไม่ถูก เขาพยายามหาตัวช่วยแต่เพื่อนรอบโต๊ะที่พอจะช่วยได้ก็กลับทำหน้าสนใจใคร่รู้คำตอบนั้นไม่ต่างกัน

 

“คือ…”

 

บรรยากาศกดดันแผ่ปกคลุมเข้ามาจนคนที่ถูกหันมองราวกับกำลังอยู่บนเวทีที่มีผู้คนรอฟังเขากล่าวอะไรสักอย่าง ทำให้คนถูกถามต้องจำยอมพูดออกไปในที่สุด

 

“มันก็ไม่มีอะไรผิดไปหรอก ตะ..แต่…” คราวนี้คนพูดเริ่มงึมงำก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดออกไปเสียงดังฟังชัด “ทำไมจิโร่ถึงสูงกว่าฉันล่ะ!?”

 

…. … . . .

 

“เอ้ะ…”

 

นอกจากเสียง ‘เอ๊ะ’ จากจิโร่แล้วก็คงจะมีเสียง ‘เอ๊ะ’ ในใจของคนในห้องอีกหลายคนที่ดังขึ้นไม่ต่างกัน แล้วหลังจากนั้นทุกสายตาในห้องก็หันไปจับจ้องที่เจ้าของส่วนสูงที่เปลี่ยนไปเป็นตาเดียวกัน ก่อนจะทำหน้าเหมือนจะอุทานว่า ‘จริงด้วย’ ออกมา

 

“โอ้ะ จริงด้วยแฮะ” และคนที่พูดออกมาเป็นคนแรกก็คือเจ้าของประเด็นอย่างจิโร่ เจ้าคนที่หน้าตาดูสงบขึ้นกว่าตอนแรกเดินเข้ามาใกล้เขาจนต้องลุกออกจากโต๊ะด้วยความไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรนั้นกำลังทำท่าวัดส่วนสูงของตัวเองที่สูงเลยหัวของเขาไป

 

“จะว่าไปฉันก็สูงขึ้นจริงๆ ด้วยแฮะ”

 

“เพราะงั้นไงล่ะมันถึงรู้สึกแปลกๆ น่ะ”

 

บางคนในห้องพยักหน้าตามก่อนที่บางส่วนจะเลิกสนใจเรื่องราวตรงหน้าแล้วเอาเวลาไปกินข้าวแทน แต่ก็มีบางคนที่กลับรอดูเรื่องสนุกอยู่ในห้องแบบนั้น

 

“จริงด้วยแฮะ ไม่ทันสังเกตเลย” มินะเดินเข้ามาบ้าง “ว่าแต่ตอนนี้ส่วนสูงต่างกันเท่าไหร่ล่ะ”

 

“อืม น่าจะประมาณ…10เซน” จิโร่พูดอย่างขอไปที ทำให้คนที่ถูกเปรียบเทียบอีกคนต้องเอ่ยขึ้นบ้าง

 

“ไม่ถึง ดูยังไงก็ไม่ถึงสักนิด” คามินาริขัดพลางยืนขึ้นเหมือนจะเทียบ

 

“มันก็แค่ประมาณมั้ย”

 

“เรื่องแบบนี้จะมาประมาณได้ยังไงล่ะ!”

 

“หา? ทีนายยังประมาณส่วนสูงตัวเองกับฉันตอนร่างปกติไว้ตั้ง 15 เซนทั้งที่ห่างกันจริงแค่ 14 เซนเลยจำไม่ได้รึไง!”

 

“ห๊ะ ฉันก็แค่ประมาณ…!”

 

“เรื่องแบบนี้จะมาประมาณได้ยังไงล่ะ…เนี่ยเมื่อกี้ใครพูดฮะ!”

 

“มันก็แค่เซนเดียวมั้ย”

 

“ก็นายพูดเองนี่ว่า…”

 

แล้วหลังจากนั้นทั้งห้องก็กลายเป็นสงครามน้ำลายไปชั่วครู่ก่อนที่เสียงหัวเราะของใครคนหนึ่งจะขัดขึ้นในบรรยากาศนั้น

 

“ฮุๆ ทั้งสองคนดูสนิทสนมกันเหมือนในบีแอลเลยนะคะ”

 

“โมโมะ!” และคนที่ตกใจมากที่สุดในคำกล่าวของรองหัวหน้าห้องก็คืออาชิโด้ มินะ ตามมาด้วยฮางาคุเระและจิโร่ และหน้าตาที่เหรอหราของเพื่อนสาวบางคนในห้องก็ทำให้คุณรองหัวหน้าห้องต้องเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

 

“อ้าว ก็บีแอลเนี่ย…ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชายหรอคะ”

 

สิ้นสุดคำกล่าวภายในห้องก็มีความเห็นแตกออกไปสองส่วน หนึ่ง…คือคนที่เข้าใจตามแบบที่ยาโอโมโมะเข้าใจและอีกหนึ่งก็กำลังทำหน้าลำบากใจพร้อมรอยยิ้มเอ็นดูส่งไปให้ยาโอโมโมะอยู่อย่างเช่นอาชิโด้ จิโร่และฮากาคุเระ (ที่ถึงแม้จะล่องหนอยู่ก็ตาม)

 

“ยาโอโมโมะ ฮือ…”

 

“เอ๊ะ มันไม่ใช่หรอคะคุณอาชิโด้”

 

อาชิโด้เงยหน้าที่กุมขมับขึ้นมาพลางมองไปทางเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงทำหน้าเหมือนค้นพบสิ่งมหัศจรรย์ในความสัมพันธ์ที่ไม่เคยรู้มาก่อน ในบรรดาคนที่ไม่เข้าใจหลายๆ คนนั้นคงจะมีแต่สาวล่องหนฮากาคุเระที่กำลังลูบหลังเธออย่างเข้าใจและจิโร่ที่ทำหน้าตาเหมือนว่าจะเข้าใจมากกว่าที่ยาโอโมโมะเข้าใจ

 

“จะว่ายังไงดีล่ะ”

 

อาชิโด้เริ่มไม่รู้ว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดีจนจิโร่ต้องเป็นฝ่ายเข้ามาแก้สถานการณ์นี้เอง

 

“เอ่อ…ความจริงถ้าจะเข้าใจในความหมายนั้นไปก่อนก็ได้น่ะนะ”

 

ในขณะที่ทางฝั่งผู้หญิงกำลังไปกันได้ด้วยดีแม้ว่าจะยังไม่ได้อธิบายให้รองหัวหน้าห้องได้เข้าใจความจริงของคำก็ตามนั้น จู่ๆ อีกด้านเสียงของคามินาริก็ดังขึ้นเสียก่อน

 

“มาวัดความสูงกันให้รู้แล้วรู้รอดเลยเถอะจิโร่!”

 

“ห๊ะ…”

 

เจ้าของชื่อหันไปหาคนที่เรียกชื่อตนอีกครั้งก่อนจะเห็นแววตามุ่งมั่นมองสบขึ้นมา

 

 

ต้องจริงจังขนาดนี้เลยเรอะ

 

 

ถ้าหากจะอธิบายใบหน้าของจิโร่ก็คงจะได้คำพูดมาประมาณนั้น

 

และก่อนที่จะได้ถามกันต่อหลายๆ คนที่เริ่มสนใจ (ในเรื่องไม่น่าสนใจ) ก็เริ่มอยากรู้ว่าอัตลักษณ์ที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเพศไปนี้จะทำให้ส่วนสูงเพิ่มขึ้นกี่เซนกัน และก็มีบางคนที่เสนอเรื่องสนุกๆ ขึ้นมา

 

“ทำไมไม่ลองวัดส่วนสูงแบบบีแอลล่ะ” สาวล่องหนกล่าว

 

“หา?” คราวนี้คนที่เหลืออยู่ในห้องพากันทำหน้างง

 

“แบบไหนน่ะฮางาคุเระจัง” อาชิโด้ถามขึ้น ทำให้ฮางาคุเระยกโทรศัพท์ขึ้นส่งภาพให้อาชิโด้ดู ทั้งสองคนหัวเราะคิกคักก่อนจะเรียกจิโร่ให้มาดูวิธีการในโทรศัพท์ของพวกเธอ และเมื่อเห็นเจ้าตัวก็ตกใจไปแวบนึง ก่อนจะมองกลับไปยังใบหน้าของคามินาริหลายๆ ครั้ง รอยย่นบนหัวคิ้วบอกว่าเธอกำลังลังเล แต่เมื่ออาชิโด้เอื้อมตัวไปกระซิบบางอย่างคิ้วที่ย่นอยู่นั้นก็ค่อยๆ คลายออกแล้วกลายไปเป็นใบหน้าที่พยักขึ้นลงราวกับได้รู้เรื่องราวที่น่าสนใจบางอย่าง

 

“ตามนั้นก็ได้” จิโร่ว่า “นายล่ะว่าไง”

 

“ฉันยังไงก็ได้อยู่แล้ว ก็แค่วัดส่วนสูงเองนี่”

 

 

และเพราะความประมาทเลินเล่อของคามินาริ ภาพเหตุการณ์ถัดจากนั้นจึงเป็นไปตาม ‘ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชาย’ หรือคาเบด้งตามด้านบนที่กล่าวไปแล้ว (และเขาจะไม่เอ่ยถึงมันอีกเด็ดขาด) นั่นเอง

 

 

เย็นวันนั้น

 

ที่หอพักโรงเรียนยูเอย์ที่นักเรียนห้อง 1-A สาขาฮีโร่กำลังพักผ่อนกันอยู่ในห้องพักตามอัธยาศัย คนที่ดูจะป็อปปูล่าในหมู่สาวๆ วันนี้ก็คงจะหนีไม่พ้นจิโร่ เคียวกะที่ทำเอามิเนตะรู้สึกอยากจะลองโดนอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์ดูบ้าง

 

“ทั้งที่เป็นผู้ชายแล้วแท้ๆ แต่กลับมีหญิงมารุมล้อมเต็มไปหมด” เจ้าตัวพูดประมาณนั้นก่อนจะเดินไปที่ไหนสักแห่ง

 

ในห้องนั่งเล่นใหญ่ของหอพักนั้นเวลาได้ดำเนินไปเรื่อยๆ บางคนที่เคยนั่งอยู่ก็ขึ้นห้องไปบ้าง บางคนก็เดินลงมาทำนู่นนี่ตามแต่ละคนจะใช้เวลายามว่างของตัวเองบ้าง เช่นเดียวกับคามินาริที่เดินผ่านห้องนั่งเล่นที่จิโร่กำลังนั่งคุยบางอย่างกับยาโอโยโระสึอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่หลายต่อหลายครั้งนั้นคามินาริก็ไม่มีทีท่าจะตอบรับสายตาที่มองมาเหมือนกับจะเข้ามาทักของจิโร่เลย จนกระทั่งในตอนดึกที่คนเริ่มซาลงจากห้องนั่งเล่นแล้วนั้น คามินาริก็ลงมาที่ครัวอีกครั้งเพื่อต้มน้ำ

 

ในระหว่างที่รอน้ำเดือดอยู่นั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นฆ่าเวลา ระหว่างที่ปล่อยให้ความคิดไหลไปตามไทม์ไลน์บนหน้าจอนั้นจู่ๆ เขาก็คิดถึงคำๆ หนึ่งที่ได้รู้จักเมื่อตอนกลางวันจากยาโอโมโมะได้ และเร็วเท่าความคิดที่มือคู่นั้นใส่คีย์เวิร์ดภาษาอังกฤษสองคำที่เขาพอจะจำได้ลงไป เวลาผ่านไปไม่นานหน้าข้อมูลหลังกดค้นหาก็ปรากฏขึ้นให้เขากดเข้าไปอ่านได้ไม่ต่ำกว่าพันหน้า แต่ที่ดึงดูดสายตาของเขาอย่างรวดเร็วกลับเป็นภาพที่ปรากฏขึ้นต่างหาก

 

ไหนยาโอโมโมะบอกว่ามันเป็น ‘ความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกลมเกลียวกันของผู้ชาย’ ไงล่ะ

 

“โอ้ะ นี่นายอ่านอะไรแบบนี้ด้วยหรอ”

 

และไม่ทันที่เขาจะได้ตกใจไปมากกว่านี้เสียงทักอันคุ้นเคยก็ดังขัดขึ้นจากทางด้านหลังพาให้คนฟังตกใจจนโทรศัพท์ในมือแทบร่วง เขาหันไปด้านข้างอย่างรวดเร็วก่อนจะปรากฏใบหน้าของจิโร่ที่ดูจะตกใจนิดหน่อยเพราะเขาที่หันหน้าไปมองอีกฝ่ายอย่างกะทันหัน ระยะห่างที่แคบจนพาให้ใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกรอบนั้นพาให้คนทั้งสองดีดตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว

 

“เธอ! มาตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ตั้งแต่ที่นายเสิร์ชคำว่า ‘BL คือ’  นั่นแหละ”

 

“หา!? นี่แอบดูงั้นเหรอ”

 

“เปล่าสักหน่อย บังเอิญต่างหาก” คนโดนจับได้เริ่มโมเมและเสตาไปทางอื่น

 

และตอนนั้นเองที่กาน้ำส่งเสียงร้องเตือนให้คามินาริหันไปใส่ใจมันอีกครั้ง ด้วยความกลัวว่าจะถูกถามว่าสนใจคำที่เสิร์ชหานั่นด้วยหรอคามินาริจึงตั้งหน้าตั้งตากรอกน้ำร้อนใส่กระบอกน้ำเก็บความร้อนอย่างรวดเร็ว เมื่อทำความสะอาดมันเสร็จเขาก็ตั้งท่าจะเดินออกไปจากครัวนี้ให้เร็วที่สุด แต่ก็ถูกเสียงของใครอีกคนในที่นั้นรั้งไว้ก่อน

 

“เดี๋ยวก่อน”

 

“อะไรอีกเล่า ฉันบอกเลยว่าไม่ได้ชื่นชอบเรื่องแบบนั้นแต่แค่สงสัยเฉยๆ ต่างหา…”

 

“เปล่าๆ คือ…นาย…เอ่อ…นายโกรธฉันเรื่องเมื่อตอนเที่ยงรึเปล่า”

 

“?”

 

“ก็…นายดูแปลกๆ ไป”

 

คำตอบที่ได้ทำให้บรรยากาศระหว่างคนทั้งสองเงียบไป และแม้ว่าจิโร่จะเป็นคนเปิดประเด็นถามก่อนหรืออยู่ในรูปลักษณ์ของชายหนุ่มตัวสูงก็ตามแต่ในใจนั้นก็ยังมีความกล้าๆ กลัวๆ เหมือนทุกครั้งที่เป็นเวลาไม่มั่นใจในตัวเอง และนั่นทำให้เธอกังวลกับสิ่งที่ทำไปเมื่อตอนเที่ยง ท่าทางสำนึกผิดและดวงตาที่สบมองบ้างแล้วไหวผ่านไปเหมือนรอคำพูดจากเขาทำให้ภาพของจิโร่คนเดิมค่อยๆ ซ้อนทับอีกครั้ง และคามินาริเองก็ต้องใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์

 

“ใช่ ฉันโกรธ”

 

คำพูดนั้นทำให้เธอหันหน้ามาสบกับเขาอีกครั้ง ใบหน้าของคนทั้งสองตอนนี้ต่างกันอย่างสุดขีด เมื่อฝ่ายหนึ่งกำลังทำหน้าเหวอและอีกฝ่ายกำลังยิ้มอย่างสะใจ

 

“เพราะงั้นครั้งหน้าฉันจะเอาคืนแบบที่เธอทำกับฉันเลยคอยดู จำไว้ให้ดีล่ะ”

 

พูดจบเจ้าของคำพูดก็เดินจากไป ทิ้งให้คนฟังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นด้วยนอกจากจะไม่ได้ขอโทษแล้วยังต้องมาโดน คนแบบนั้นผูกใจเจ็บอีก

 

 

สองวันถัดมาคือวันที่จิโร่ตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับร่างกายเดิมของเธอและความรู้สึกที่น่าจะเหมือนเดิม ยกเว้นว่าถ้าเธอจะไม่เดินไปเจอคามินาริที่กำลังเดินไปโรงเรียนเหมือนกันระหว่างทางในเช้าวันนั้น

 

“โอ้ะ เธอกลับเป็นเหมือนเดิมแล้วนี่”

 

“อะ…อืม” เธอตอบรับก่อนจะรีบเดินเลี่ยงไปทางหนึ่งแต่ก็ถูกเจ้าหมาโกลเด้นพันธุ์ร่าเริงเป็นพิเศษเดินตามขนาบข้างซะงั้น

 

“14 เซน!”

 

“รู้แล้วๆ เงียบๆ หน่อยสิ นายจะให้คนอื่นเขาหันมามองรึไง” เธอว่าก่อนจะมองไปรอบข้างที่ยังเช้าอยู่และไม่ใช่เวลาหลักของเด็กนักเรียนในหอยูเอย์ที่มักจะไปเรียน แต่เพราะวันนี้เธอต้องรีบไปแจ้งเรื่องอุบัติเหตุทางอัตลักษณ์จึงทำให้ต้องไปเช้ากว่าเดิมหน่อย “วันนี้นายตื่นเช้าจริงๆ เลยนะ”

 

“แค่วันนี้เท่านั้นแหละ เพราะฉันรู้สึกว่าจะมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นก็เลยมาแต่เช้าไงล่ะ”

 

 

 

สัญชาตญาณสินะ…

 

 

 

จิโร่คิดแต่ไม่ได้พูดออกไป เธอพยายามเดินเลี่ยงคามินาริเพราะยังจำได้ว่าเมื่อสองวันก่อนตัวเองไปทำอะไรอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ก็ได้แค่นั้นเมื่ออีกฝ่ายยังคงตามติดเป็นหมาตามเจ้าของอยู่ข้างเธอแบบนั้น จนในที่สุดเธอต้องเป็นฝ่ายหยุดแล้วหันไปทางเขา

 

“คือ ฉันขอโทษกับเรื่องเมื่อสองวันก่อนด้วยนะ” คำพูดรัวเร็วหลุดออกมาจากปากของจิโร่ ส่วนคำตอบที่เธอได้ก็คือความเงียบที่ทำให้เธอต้องรู้สึกใจคอไม่ดี

 

จนกระทั่ง…

 

“เรื่องอะไรนะ…?”

 

“…” (กำลังรู้สึกเสียใจที่พูดเตือนมันออกไป)

 

“…สองวันก่อน…อ้อ อ๋อ~ จำได้แล้วๆ”

 

“อืม นั่นแหละ” คนพูดลังเลว่าจะพูดเรื่องที่อีกฝ่ายบอกว่าจะเอาคืนแบบที่เธอทำด้วยวิธีเดียวกันออกไปดีมั้ย แต่เธอก็ไม่ได้พูดมันออกไปเมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาก่อน

 

“ความจริงตอนนั้นเธอก็น่ารักดีอ่ะ”

 

คำพูดที่ออกมาจากปากอีกฝ่ายทำให้คนฟังที่กำลังคิดนู่นนี่นั่นอยู่ถึงกับชะงักก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างงุนงง

 

“…”

 

“…เอ้ย ฉันหมายถึงตอนนั้นที่เธอเป็นผู้ชายมันน่ารั…ไม่ๆ ฉันหมายถึงหน้าเหวอๆ ของเธอตอนมาถามว่าฉันโกรธมั้ยน่ะ…เอ่อ…มันก็ดู…น่ารักแล้วก็ตลกดี”

 

“…”

 

“ธะ…เธอโอเคนะ”

 

ไม่โอเค

 

“โอเค ฉันโอเคมาก แปลว่านายก็จะไม่คาเบด้งใส่ฉันแล้วใช่มั้ย”

 

“คาเบด้ง…อ้อ ไอ้แบบนั้นกับกำแพงอ่ะนะ” อีกฝ่ายว่าพลางยกมือเลื่อนเข้าออกแทนความหมายของคำที่ว่า

 

“อื้อ นาย…ไม่ไหวล่ะมั้งฉันว่า ฮะๆ” จิโร่หัวเราะเฝื่อนๆ เป็นความเฝื่อนสุดๆ เท่าที่จะเรียกว่าเฝื่อนได้

 

“นั่นสินะฉันก็ว่างั้น ฮะๆ” และคามินาริก็หัวเราะแบบเดียวกัน

 

“ใช่มั้ยล่ะ ฮะๆ ถ้าไม่มีอะไรไปโรงเรียนต่อดีมั้ย”

 

“โอ้ ทางไหนนะ”

 

“ทางนี้ๆ”

 

และมือไม้เองก็พัลวันจนเป็นปาท่องโก๋

 

“ฮะๆ ลืมซะได้”

 

สถานการณ์แย่สุดๆ…คือคำอธิบายความรู้สึกของจิโร่ที่ไม่รู้ว่าคามินาริเองก็กำลังรู้สึกแบบนั้น

 

ความรู้สึกแปลกๆ แบบที่ยากจะสบตาอีกฝ่ายอยู่ดีๆ ก็เข้าจู่โจมคนทั้งคู่ แม้ว่าจะทำเหมือนกับมันเป็นเรื่องตลก กลบเกลื่อนด้วยเสียงหัวเราะเฝื่อนๆ แค่ไหนแต่ก็ดูจะไปไม่รอด โดยเฉพาะจิโร่ที่กำลังรู้สึกแปลกๆ ให้กับคำนั้นของคามินาริจนต้องขอตัวกลับมาที่หอระหว่างทางด้วยเหตุผลที่ดูไม่เป็นเรื่องก่อนจะตรงขึ้นห้องมานั่งกุมขมับตัวเองและไล่ความตื่นตระหนก(?)ที่ขึ้นสีแดงอยู่บนใบหน้า

 

ก็อกๆ

 

เสียงเคาะประตูดังขึ้น เจ้าของห้องสะดุ้งก่อนจะตั้งสติได้แล้วเดินไปเปิด ที่หน้าประตูห้องคือร่างของมินะที่เพิ่งจะแต่งตัวเสร็จ

 

“อ้ะ จิโร่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วสินะ” เธอทัก

 

“อ้ะ อื้ม น่าจะนะ” เธอว่าก่อนจะยิ้มอย่างลำบากใจ

 

“เอ๊ะ เป็นอะไรงั้นเหรอ หรือยังไม่หายดี! ให้บอกอาจารยืไอซาว่ามั้ย”

 

“เปล่าๆ ไม่ใช่ คือ…ฉันแค่รู้สึกเหมือน….กำลังจะหลงผิด”

 

“ละ…หลงผิด?!”

 

จิโร่รู้สึกเหมือนว่าวิญญาณเธอจะหลุดออกจากร่าง บางทีนี่อาจจะเป็นการเอาคืนในแบบของคามินาริก็ได้

 

“ฉันไม่น่าเล่นเยอะเลยมินะ”

 

“เฮ้ะ ตกลงเป็นอะไรกันแน่บอกฉันที!?”

 

 

 

แล้ววันนั้นจิโร่ก็ไปโรงเรียนเกือบสายด้วยเหตุผลที่ไม่อาจจะบอกใครได้

 

 

 

 

END


 

 

[Fic MHA] You can become a hero ~ My Little Devil ~ [KatsuDeku] 11

 

 

11

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครต้องพักกันแน่

 

 

เย็นวันนั้น…หลังจากที่เดกุกลับไปข่าวผลการช่วยเหลือคนไข้ที่ถูกลักพาตัวและการจับกุมวิลเลินก็ถูกประกาศออกมาตามหน้าเว็บไซต์ข่าว ผลการจับกุมเป็นไปด้วยดีจากผลงานของฮีโร่บาคุชินจิที่เสี่ยงชีวิตเข้าสู้กับวิลเลิน แต่ที่ดูจะโดดเด่นก็คือการปรากฏตัวของลูมิลเลี่ยนที่เข้าช่วยเหลือคนในที่นั้นไว้ได้ในตอนที่ฮีโร่คนอื่นๆ เกือบจะเสียท่า

 

                สำหรับเดกุเขามองว่าภารกิจผ่านไปด้วยดี แต่สำหรับคัตจัง…เขาคิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกว่าตัวเองทำได้ไม่ดีพอ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของลูมิลเลี่ยนที่บังเอิญสู้กับวิลเลินอีกพวกจนเข้าไปในพื้นที่นั้นและช่วยคนเจ็บไว้ได้พอดีเช่นกัน

 

                ลูมิลเลี่ยน…

 

                คนๆ นี้…เขาเคยเจออยู่ห่างๆ ในตอนเด็กที่ตามด็อกเตอร์ไปทำภารกิจ…เป็นคนที่มักจะปรากฏตัวพร้อมกับรอยยิ้มและท่าทางเป็นมิตร เขาคิดว่าอาจจะเป็นความสดใสที่พอมองเห็นแล้วก็รู้สึกสบายใจนั้นก็ได้ ที่ทำให้ในสถานการณ์วิกฤติแค่เขาปรากฏตัวขึ้นก็ทำให้คนมองรู้สึกปลอดภัยและวางใจขึ้นได้แล้ว

 

ไม่แปลกเลยที่เขาคนนั้นจะเป็นที่นิยมในหมู่เด็กๆ และเข้าไปอยู่ในใจคนได้อย่างง่ายดาย

 

ถ้าจะกล่าวล่ะก็คงเหมือนกับ…

 

                “คล้ายกับออลไมท์”

 

                เสียงผู้หญิงอีกคนในห้องดังขึ้น

 

                “เอ๊ะ ครับ”

 

                อิซึกุเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียงที่อยู่อีกฝั่งของห้อง

 

                “กำลังวิเคราะห์ลูมิลเลี่ยนอยู่ใช่มั้ยล่ะ”

 

                “อ่ะ…ใช่ครับ” อิซึกุพยักหน้า สงสัยว่าเขาจะเผลอพูดออกมาจนมิสโรสได้ยินเข้า “ผมว่าเขาเป็นคนที่มองแล้วให้ความรู้สึกสบายใจ”

 

                “อืม เป็นความรู้สึกเหมือนจะได้รับการปกป้อง บางทีก็ให้ความรู้สึกคล้ายกับออลไมท์”

 

                “อัตลักษณ์เขาก็คล้ายกับออลไมท์นะครับ”

 

                “อืม อย่างกับพ่อลูกกันเลยล่ะ ไม่แน่อาจจะเป้นว่าที่สัญลักษณ์แห่งสันติภาพคนต่อไปก็ได้ ตั้งแต่ออลไมท์เกษียณไปก็ยังไม่มีใครให้ความรู้สึกแบบนี้เลยนี่นะ”

 

                อิซึกุนิ่งฟัง เขาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ในใจเขายอมรับลูมิลเลี่ยนแต่ก็กลับกังวลถึงความรู้สึกของใครอีกคนที่อยู่ที่โรงพยาบาลซะงั้น

 

                เย็นวันนั้นโรงพยาบาลเริ่มปิดกั้นคนเข้าออกอีกครั้งเพื่อกันความเสียหายที่จะมีต่อคนไข้ที่ถูกลักพาตัว หากไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องที่ได้รับการตรวจสอบแล้วก็ยากจะได้เข้าพบ นักข่าวถูกกันอยู่ด้านนอกและไม่ได้รับอนุญาตเช่นเดียวกัน บาคุโกจึงได้พักอยู่ในห้องพักของเขาอย่างสงบและคงจะเป้นแบบนั้นต่อไปถ้าหากว่า…

 

                ครืด

 

                เสียงประตูจากหน้าห้องเปิดออก เสียงฝีเท้าก้าวดังเข้ามาเรื่อยๆ ใบหน้าแต้มกระของคนไม่ได้นอนเผยให้เห็นพร้อมกับรอยยิ้มประหม่าและของเยี่ยมอีกครั้ง

 

                “อ่ะ ฉันไม่ได้มารบกวนใช่มั้ย” อีกฝ่ายว่าพลางเดินมาหยุดอยู่ข้างเตียง

 

                “ก้เข้ามาแล้ว…จะทำอะไรก็ทำ” บาคุโกกล่าว จบคำพูดอิซึกุก็นั่งลงพร้อมกับส่งกล่องของเยี่ยมให้อีกฝ่าย

 

                “นี่ของพ่อกับแม่เคียวคุง พวกเขาดีใจที่นายปลอดภัย”

 

                “พวกเขาคงดีใจมากกว่าที่อัตลักษณ์ของลูกตัวเองประสบความสำเร็จในภารกิจ” บาคุโกพูดเมื่อคิดถึงเรื่องเด็กชายเลือดยา

 

                “ฮะๆ เรื่องนั้นมันแน่อยู่แล้วไม่ใช่เหรอ พ่อแม่ที่ไหนก็ต้องดีใจทั้งนั้นแหละถ้าลูกตัวเองเป็นที่ต้องการ”

 

                คัตสึกิมองคนพูดประโยคนั้น

 

“หึ…แต่ก็ปิดข่าวไว้ ไม่ได้เชิดหน้าชูตาเลยนี่”

 

“เรื่องนั้นเป็นคำแนะนำของด็อกเตอร์ร่วมกับการตัดสินใจของพ่อแม่เคียวคุงที่จะไม่เปิดต่างหาก”

 

“ไอ้ด็อกเตอร์ว่างงานนั่นกลับมาแล้วเรอะ”

 

“ก็อยู่ตลอดนั่นแหละ แล้วก็อย่ามาเรียกว่าด็อกเตอร์ว่างงานนะด็อกเตอร์ทำงานอยู่ตลอดนั่นแหละ” อิซึกุปรามอีกฝ่ายพลางปกป้องอาจารย์ของตัวเอง

 

บาคุโกมองท่าทางที่ดูปกป้องเกินเหตุจนแม้แต่คำพูดก็แตะไม่ได้อย่างหงุดหงิดจนเอ่ยออกไป “ก็ฉันจะพูดแกจะทำไม ทนฟังไม่ได้ก็กลับไป”

 

“งั้นฉันก็กลับเลยละกันจะได้ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของคัตจัง”

 

เดกุทำท่าจะลุกจากไป แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นแบบนี้

 

“นี่แกมาแค่เอาของเยี่ยมมาให้เนี่ยนะ”

 

“ใช่” เดกุตอบพลางลุกขึ้น

 

“แค่นี้?”

 

“อืม ความจริงก็แค่นี้แหละ” เดกุว่าพลางหยิบกระเป๋าของตัวเองขึ้นมา “พักผ่อนเยอะๆ นะคัตจัง ฉันไปก่อนล่ะ”

 

“ฮะ…”

 

คัตสึกิมองความมาเร็วไปเร็วของเดกุที่ผิดกับครั้งก่อน เสียงปิดประตูเงียบลงทิ้งไว้เพียงห้องพักคนป่วยและคนป่วยที่ไม่รู้จะสบถด่าตัวเองหรือคนที่จากไปดี

 

ความหงุดหงิดงุ่นง่านใจทำให้คนที่ควรจะพักนอนหลับไม่ลง มือเอื้อมคว้ารีโมทเปิดทีวีให้ห้องไม่เงียบเกินไป ทางหน้าจอทีวีฉายข่าวการแอบเข้ามาในโรงพยาบาลของนักข่าวกลุ่มหนึ่งแต่เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะฟังเท่าไหร่ จนกระทั่งเสียงประตูเปิดดังขึ้น

 

                ร่างในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากออกไปได้ไม่ถึง 5 นาที ใบหน้าที่ดูลำบากใจนั้นเดินกลับเข้ามาอย่างเก้ๆ กังๆ ก่อนจะหยุดลงที่กลางห้อง พาให้คนป่วยที่อารมณ์ขุ่นหมองเมื่อครู่หันมามองด้วยอารมณ์ที่แจ่มใสขึ้นนิดนึง

 

                “มีอะไร แกลืมอะไรไว้รึไง” แต่น้ำเสียงของเจ้าของห้องก็ยังแข็งกร้าวราวกับสอบปากคำนักโทษอย่างไม่ยอมเปลี่ยน

 

                “เอ่อ…” คนที่เข้ามาอีกครั้งหลบตาที่มองมาอย่างคาดคั้นนั้น

 

                เดกุจะไม่มีทางรู้เลยว่ามุมปากของคนป่วยนั้นมันแอบยกขึ้นนิดๆ แม้จะไม่เข้าใจก็ตามว่าอีกฝ่ายกลับมาเพราะอะไร

 

                “ไหนแกว่าจะไปแล้วไง”

 

                “เอ่อ…” เดกุเริ่มเหงื่อตก

 

                “…”

 

                “คือ…” เดกุอ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยเสียงเบาไม่สู้หน้าอีกฝ่าย “…ที่ข้างนอก…มีนักข่าวเต็มไปหมดเลย คือฉันขออยู่ที่นี่แปบนึงได้มั้ย”

 

                สิ้นสุดคำพูดบาคุโกก็เริ่มจะเข้าใจ เขาเหลือบมองข่าวที่เปิดทิ้งไว้นั้นครู่หนึ่งก่อนจะปิดมันลงเพิ่มบรรยากาศกดดันเข้าไปอีก

 

                “นี่แกเห็นห้องฉันเป็นที่หลบนักข่าวหรอ”

 

                “ปละ…เปล่านะ คือ…ถ้าคัตจังไม่โอเคฉันไปก็ได้ ไม่รบกวนแล้ว” เดกุว่าพลางหมุนตัวจะเดินออกไปอีกแต่ก็เร็วไม่เท่าคำพูดของเจ้าของห้อง

 

                “ล็อกห้อง”

 

                “ห๊ะ” เดกุหันกลับมามอง

 

                “แกออกไปเขาก็รู้กันพอดี อยู่นี่แหละแล้วล็อกห้องให้ฉันด้วย”

 

                “อ่า…โอเค” เดกุว่าพลางเดินไปล็อกห้องให้ตามที่เจ้าของห้องขอไว้ก่อนจะกลับมายืนตรงโซฟาข้างเตียง “ฉันขอเอางานมาทำได้มั้ย สัญญาว่าจะไม่รบกวน”

 

                บาคุโกมองดวงตาสีเขียวใสที่สะท้อนแววอ้อนวอนนั้นอย่างพึงพอใจก่อนจะเอ่ยอนุญาต

 

“จะทำไรก็เรื่องของแกเถอะ”

 

                เดกุยิ้มออกมา “ขอบคุณนะ”

 

                แล้วเย็นนั้นในห้องของพักผู้ป่วยของบาคุโก คัตสึกิก็มีเสียงคีบอร์ดและโทรทัศน์ดังสลับกันไป ในขณะที่เดกุกำลังนั่งอยู่กับกองเอกสารและหน้าจอโน้ตบุ๊คนั้นบาคุโกก็เปิดทีวีทิ้งไว้โดยข้ามข่าวที่ว่านักข่าวที่บุกเข้าไปในโรงพยาบาลถูกจับได้และพาออกไปหมดแล้วให้ได้มากที่สุด

 

                หลายๆ ครั้งดวงตาสีแดงคู่นั้นก็เลื่อนจากหน้าจอโทรทัศน์มายังอีกคนที่ทำงานอยู่ในห้อง ฝ่ามือที่กดลงไปบนแป้นอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนนักเปียโนที่บรรเลงบทเพลงอยู่ ดวงตาสีเขียวหลังกรอบแว่นจ้องมองข้อความในกระดาษที่กางอยู่บนโต๊ะสลับกับหน้าจอ ครู่หนึ่งจึงใช้ปลายนิ้วดันแว่นทรงเหลี่ยมนั้นขึ้น มองได้ไม่นานที่หางคิ้วก็ขมวดกันเป็นปมเหมือนเจอปัญหาบางอย่างก่อนที่ใบหน้าจะหันไปมองกระดาษหลายๆ ใบสลับกับจอโน้ตบุ๊ค ปลายนิ้วขยี้ดวงตาที่คล้ำเข้มแล้วหันกลับไปรัวแป้นพิมพ์อีกครั้ง

 

                ดูตลกแต่ก็มองได้ไม่เบื่อ อาจจะเพราะไม่ว่าจะเป็นความผิดพลาดหรือความยินดีทุกอย่างมันก็ฉายออกมาหมดบนใบหน้านั้นล่ะมั้ง

 

                บาคุโกหันกลับมาเปลี่ยนช่องทีวีอีกครั้ง

 

                “คัตจัง”

 

                “หือ?” เขาตอบรับในลำคอแทนคำว่า ‘มีอะไร?’

 

                “เมื่อกี้แอบมองฉันรึเปล่า”

 

                “เปล่า ฉันจะมองแกทำไม น่าเบื่อจะตายวันๆ กดแต่แป้นพิมพ์”

 

                “งั้นเหรอ”

 

                เดกุรับคำก่อนจะหายไปจมอยู่กับหน้าจออีกครั้ง บาคุโกเองก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกฝ่ายอีกเพราะรู้ว่าเดกุคงเริ่มรู้ตัว จนกระทั่งในตอนที่เขาไม่ทันได้สังเกตนั้นเวลาก็ผ่านเลยไปจนถึงทุ่มกว่า ดวงตาสีแดงตวัดกลับไปมองทางโซฟาที่เสียงแป้นพิมพ์เงียบลงภาพตรงหน้าทำให้ดวงตาที่แข็งกร้าวนั้นอ่อนลง

 

                เดกุหลับไปแล้ว

 

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เดกุหลับไปแต่บนใบหน้านั้นยังคงสวมแว่นไว้อยู่ บาคุโกถอนหายใจพลางก้าวลงจากเตียงอย่างเงียบเชียบไปหยุดอยู่ข้างโซฟาตัวยาวที่ถูกร่างตรงหน้ายึดครองไปแล้ว

 

                ภาพตรงหน้าทำให้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใครที่ต้องพักผ่อนกันแน่

 

                คนป่วยถอนหายใจก่อนจะย่อตัวลงตรงหน้าของอีกฝ่าย เมื่อมองดูก็เห็นใบหน้าที่กำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขราวกับเด็กน้อยนั้นหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัว ฝ่ามือจึงเอื้อมไปค่อยๆ ดึงแว่นตาที่ตกลงมาบนจมูกออกอย่างเบามือแล้ววางมันไว้บนโต๊ะใกล้ๆ ลมหายใจนั้นก็ยังคงเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเช่นเดิม

 

                ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ดวงตาสีแดงจับจ้องไปบนใบหน้าที่หลับเป็นสุขนั้น อาจจะนาน…และนานมากพอที่จะเผยรอยยิ้มขึ้นมาได้อีกครั้ง

 

แต่มันก็มืดเกินกว่าที่จะมองเห็นและหายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าจะทันสังเกต

 

                บาคุโกมองดูอยู่สักพักก่อนจะลุกเดินไปเปิดไฟให้ห้องที่มืดนี้สว่างขึ้น เขาเดินกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่วายมองลงมายังคนที่นอนไม่รู้เรื่องรู้ราวด้านล่างอีกที

 

                “สว่างขนาดนี้ยังนอนอยู่ได้อีก”

 

                เจ้าของห้องกล่าวพลางกำลังจะเดินจากไป แต่สายตานั้นก็ดันไปสังเกตเห็นรอยบางอย่างที่แลบออกมาจากหลังคอเสื้อของคนที่นอนไม่รู้เรื่อง

 

                หืม?

 

                ร่างสูงค่อยๆ ย่อตัวลงอีกครั้งก่อนจะมองไปยังใต้คอเสื้อของอีกฝ่ายที่ปรากฏรอยดำขึ้นเป็นทาง แม้ว่าจะยังมองได้ไม่ชัดแต่เขาที่คุ้นเคยกับการต่อสู้ก็รู้ดีว่ารอยคล้ำน่ากลัวแบบนั้นมันไม่มีทางเกิดกับคนธรรมดาที่วันๆ ทำแต่งานอยู่แต่หน้าคอมฯ แน่ๆ ความกังวลเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวทำให้คนที่มองอยู่เอื้อมมือออกไปเลิกคอเสื้อด้านหลังออกช้าๆ …

 

                เพี๊ยะ!

 

                แต่ฝ่ามือที่ยังไม่ทันจะเลิกคอเสื้อออกดีก็ถูกหลังมือของคนที่นอนอยู่ปัดออกอย่างแรง

 

                “จะทำอะไรน่ะ!?”

 

                ตามมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอย่างตกใจ ทั้งๆ ที่คนที่ต้องตกใจมันควรจะเป็นเขาที่ถูกปัดมือออกเสียมากกว่า บาคุโกมองอีกฝ่ายที่ขยับตัวหนีไปจนชิดผนังโซฟาด้านหลังก่อนเอ่ยตอบ

 

                “แกต่างหากที่เป็นอะไรกันแน่”

 

                “ห๊ะ ฉะ…ฉันเป็นอะไร…หมายความว่าไง”

 

                “ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าแกไปได้รอยด้านหลังนั้นมาจากไหน”

 

                “รอย…รอยอะไร?”

 

                “ก็รอยตรงด้านหลังนั้นไงล่ะ” บาคุโกเอ่ยอย่างรำคาญกับท่าทีตกใจเกินเหตุราวกับว่าเขากำลังจะจับมันไปเชือดอย่างนั้นแหละ

 

                “ดะ…ด้านหลังเหรอ” เดกุเสียงแผ่วลง “ตรง…ตรงไหนนะ”

 

                “ก็ด้านหลังนั่นไง! จะถามอะไรซ้ำซาก รึแกเป็นตรงอื่นอีก!?”

 

                “อึก…”

 

                “….”

 

                เดกุเงียบไป ไม่รู้ว่าทำไมบาคุโกถึงเห็นอีกฝ่ายขยับถอยหลังมากขึ้น ก่อนที่คำถามจะดังขึ้นอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง

 

                “ตะ…ตรงนี้น่ะเหรอ?” ฝ่ามือยกจับตรงคอเสื้อด้านหลัง

 

                “เออ ก็ตรงนั้นไง จะมีตรงอื่นอีกรึไง”

 

                เดกุส่ายหัว “เปล่า ไม่มีแล้ว”

 

                พอเห็นอีกฝ่ายเริ่มเข้าใจและมีท่าทีเหมือนปกติเจ้าของห้องจึงยืนขึ้นก่อนจะถามพลางเดินกลับไปที่เตียงตัวเอง

 

“แล้วแกไปได้มาได้ยังไง”

 

“อ่า รอยช้ำนี่น่ะเหรอ อืม…น่าจะได้มาตอนที่ช่วยเคียวคุงหนีล่ะมั้ง”

 

คนฟังนิ่งไปจนเจ้าของรอยช้ำต้องกล่าวเสริม

 

“ตอนนั้นฉันโดนจับกระแทกกำแพง ตะ..แต่ก็ใกล้หายแล้วล่ะแค่รอยมันยังดูน่ากลัวอยู่บ้าง”

 

คนฟังใบหน้านิ่งไป เหตุการณ์ที่โรงพยาบาลนั้นเป็นเรื่องที่เหมือนทุกๆ ครั้งที่เขาเข้าไปช่วยคน โชคดีที่ไม่มีคนเจ็บจึงไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ แต่พอได้เห็นรอยช้ำไปทั้งหลังนั่นเขาก็เริ่มคิดว่าหากไปช้าอีกแค่นิดเดียวมันคงจะไม่ใช่แค่นั้น

 

“เอ่อ นี่ฉันหลับไปงั้นเหรอถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับก่อนละกันนะ คัตจังพักผ่อนเยอะๆ ล่ะ” เดกุเริ่มเก็บเอกสารที่กระจายบนโต๊ะทั้งๆ ที่เจ้าของห้องยังไม่ได้ตอบรับคำลานั้น

 

“แกไปหาหมอบ้างรึยัง”

 

“ห๊ะ อ้อ…ก็…กินยาแล้วล่ะ”

 

“แค่นั้น?”

 

“อ่า…” คนฟังไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่หลบเลี่ยงไปพลางเก็บของบนโต๊ะไปด้วย ท่าทางหลีกเลี่ยงนั่นเห็นได้ชัดเจน และบาคุโกก็รู้ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงตอบไม่ได้

 

เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเจ้านั่นทำงานคดีลักพาตัวอยู่ตลอดไงล่ะ

 

ตั้งแต่วันที่รับเด็กชายเลือดยามานอกจากสองวันที่เดกุหายไปทดลองยาแล้วทุกวันเจ้านั่นก็จะส่งความคืบหน้าผ่านมาทางเมลของเขา เป็นความคืบหน้าทีไม่ว่าจะแบ่งเวลายังไงก็คงจะหาเวลาไปหาหมอไม่เจอ

 

“นี่แกเป็นพวกมาโซคิสรึไง”

 

“หะ..หา?” เดกุเงยหน้าขึ้นจากโน้ตบุ฿คที่เพิ่งเก็บลงกระเป๋าอย่างตกใจ “เปล่าซะหน่อย”

 

                “แผนกแกนี่ถ้าเกิดตายกะทันหันไปคงต้องมาส่งงานต่อด้วยมั้ยเดกุ” คนพูดจิกกัดอีกครั้งเมื่อยิ่งคิดไปถึงเหตุการณ์ตลอดสัปดาห์ที่เหมือนจะไม่มีอะไรนั่น

 

                “มันก็ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกน่ะ ฉันไปแล้ว คัตจังพักผ่อนไปเถอะ”

 

                “ห๊ะ เดกุ…”

 

                แต่ยังไม่ทันที่จะพูดจบเจ้าของชื่อก็เดินออกไปจากห้องเสียแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะคำที่เอ่ยประชดเรื่องแผนกใช้แรงงานทาสนั่นมันกระแทกใจอีกฝ่ายหรือเปล่าถึงได้รีบไปขนาดนั้น

 

                แต่บาคุโกก็คิดว่าเขาไม่ได้พูดผิดไป

 

 

                เดกุเดินออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว มือของเขาจับคอเสื้อที่ติดไม่ครบจนด้านหลังเปิดให้เห็นแผลไว้แน่น และคิดว่าในตอนที่ไปถึงสถานีรถไฟคงจะมีเวลาได้ติดมันกลับอีกครั้ง แต่ก็เหมือนว่าวันนี้เขาจะไปไม่ถึงที่หมายง่ายๆ

 

                ท้องฟ้ายามกลางคืนโอบล้อมสองข้างทางที่เปล่าเปลี่ยวเอาไว้ เพราะวันนี้เขากลับช้ากว่าปกติทางที่มักจะมีร้านค้าเปิดอยู่ในตอนกลางวันจึงเริ่มปิดลงในตอนกลางคืนบ้างแล้ว และมันก็นำพาสิ่งไม่พึงประสงค์มาด้วย

 

                ตึก ตึก

 

                เสียงฝีเท้ามากกว่าหนึ่งดังมาจากอีกด้านของซอยที่ไม่น่าจะมีคนนี้ แสงไฟจากร้านเหล้าที่อยู่ด้านบนส่องลงมาแต่ก็เหมือนจะไม่ได้ทำให้คนที่ต้องเดินผ่านสบายใจเสียเท่าไหร่ อิซึกุหันหลังเตรียมจะเดินกลับแต่ก็ถูกใครบางคนชนเข้าจนกระเป๋าเอกสารกระเด็นไปตกบนพื้น

 

                “เฮ้ อยู่คุยกันก่อนสิ”

 

                พอเงยหน้าขึ้นที่ปากทางเข้าที่เขากำลังจะเดินย้อนกลับนั้นแสงไฟริมทางก็สาดสะท้อนเงาร่างสูงใหญ่ของคนที่ดูจะไม่ได้มาอย่างเป็นมิตรอยู่ตรงนั้น

 

                “ได้ข่าวมาว่าแกเป็นคนมาช่วยไอ้เด็กเลือดยานั่นไปจากลูกน้องฉันสินะ ตอนนี้มันเป้นยังไงล่ะถูกทดลองจนพรุนรึยัง”

 

                เดกุยืนนิ่งเขาไม่สามารถขยับไปด้านหลังได้เพราะไม่รู้ว่ามีใครอยู่ในมุมมืดนั้นบ้างและด้านหน้าเองก็เหมือนจะถูกปิดล้อมไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน

 

                “ตามข่าวนี่แกเป็นถึงลูกศิษย์ของไอ้ด็อกเตอร์นั่นด้วยนี่หว่า ได้อะไรมาบ้างก็แบ่งกันบ้างดิเฮ้ย”

 

                “อึก ถอยไป ฉันไม่มีอะไรจะให้หรอก”

 

                “แล้วแกคิดว่าฉันจะให้แกไปเหรอวะ” ชายร่างสูงใหญ่หันไปทางลูกน้องด้านหลังก่อนจะเอ่ย “จับมันไป”

 

                เดกุหันไปด้านหลังอย่างรวดเร็วฝ่ามือปล่อยกระเป๋าทิ้งก่อนจะเอ่ย

 

                “ก็อย่าคิดว่าฉันจะอยู่เฉยละกัน”

 

 

 


 

 

//โอ้ เดกุคุงงงงงง จะรอดมั้ยนะ 5555

อ่านตอนนี้จบแล้วเป็นไงบ้างคะ ตอนนี้ในใจเราเหมือนกำลังแกล้งคนอ่านให้คิดเยอะอยู่เลยค่ะ 555

แต่เดกุคุงนี่ก็เป้นคนที่ชีวิตมีสีสันดีนะคะ ไปเยี่ยมคนป่วยแค่แปบเดียวตอนกลับยังโดนวิลเลินดักได้ ว่าแต่เดกุคุงเป็นเอ็มรึเปล่านะ (ถามตัวเองสิริน) 555 ไว้เจอกันใหม่ค่ะ ><