[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 61

 

 

61

โปรดอ่านรายละเอียดก่อนทำสัญญา

 

 

หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง ตำรวจที่รออยู่ก็เข้าจับกุมวิลเลินร่วมกับฮีโร่บาคุชินจิ ในที่สุดสาธารณชนก็ได้รู้ถึงเรื่องที่อายะวางแผนเอาไว้รวมถึงแรงจูงใจ เป็นอีกครั้งที่เรื่องของอัตลักษณ์กลายเป็นที่ถกเถียงกันในสังคม อาจจะเพราะมันครอบคลุมถึงความปลอดภัยในชีวิตจึงมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันในสังคมทั้งในโลกอินเตอร์เน็ตและโลกแห่งความเป็นจริงอย่างกว้างขวาง แม้จะยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้โดยเด็ดขาดได้อย่างไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดผู้คนก็ได้รับรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากอัตลักษณ์อยู่บนโลก

 

ส่วนเรื่องของเขาที่เคยมีชื่ออยู่ช่วงนึงว่าเป็นคนตายในเหตุการณ์ก็ค่อยๆ จางหายไปภายใต้เรื่องที่ใหญ่กว่า อิซึกุจึงเริ่มกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมอีกครั้ง…ท่ามกลางท่าทางงอนๆ ของใครหลายคนที่ถูกหลอก

 

“ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน ยังไงให้ผลเลี้ยงขอโทษและขอบคุณเถอะนะครับมื้อนี้”

 

อิซึกุกล่าวท่ามกลางเพื่อนร่วมงานแผนกวิเคราะห์ที่นั่งอยู่ในร้านเนื้อย่างเจ้าประจำ มีมิสโรสเป็นหัวโจกในการงอน (?) ตามมาด้วยซากิที่ถูกย้ายมาทำงานแผนกเก่านี้แทนที่ตัวเขาตามแผนที่วางไว้ และประชากรเหล่าซอมบี้ที่ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางงานมากมาย ซึ่งถ้ารวมการซ่อมแซมห้องที่ถูกทำลายเพราะการบุกของบาคุชินจิด้วยแล้วตัวเขาก็ใช้พื้นที่ไปเยอะในการปิดเรื่องนี้เลยทีเดียว

 

“เฮ้อ วันหลังน่ะจะทำอะไรก้บอกกันบ้างนะ อิซึกุคุง พี่น่ะใจหายใจคว่ำหมดเลย”

 

“ใช่ๆ รู้อีกทีก็ต้องไปงานศพรุ่นน้องนี่มันโหดร้ายไปมั้ย”

 

เสียงตัดพ้อดังระงม มีเพียงมิสโรสที่นั่งยิ้มๆ คอยผสมโรงเพราะตัวเธอเองพอจะเดาความผิดปกติของเขากับดอกเตอร์ได้อยู่แล้ว

 

“มิสโรสช่วยผมด้วยสิครับ”

 

“อะไรกัน นี่พี่ก็เป็นผู้เสียหายนะ” ว่าจบก็หันไปสั่งเบียร์มาเพิ่มหน้าตาเฉย

 

“แต่บาคุชินจิก็จริงๆ เลยนะ ห้องพังไปทั้งแถบเลย”

 

ในเวลานั้นพนักงานกลุ่มนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองจะบังเอิญเลือกมากินเลี้ยงร้านเดียวกับฮีโร่ที่ถูกตนพูดถึง โดยที่ฮีโร่ที่ว่าเพิ่งจะเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ นั้นเอง แต่หลายๆ คนคงจะไม่สังเกตเพราะเจ้าตัวและกลุ่มคนบนโต๊ะนั้นต่างก็อยู่ในชุดลำลองกันทั้งสิ้น จะมีก็แต่เจ้ามือโต๊ะนี้อย่างอิซึกุที่ร้อนๆ หนาวๆ กับดวงตาสีแดงที่ตวัดมามองทางนี้นั่นแหละ โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเจ้าของชื่อฮีโร่บาคุชินจิกำลังถูกเพื่อนร่วมโต๊ะหัวเราะและส่งสายตาล้อเลียนมาให้ด้วย

 

แล้วไหงมาเลือกร้านเดียวกันได้ละเนี่ย

 

อิซึกุได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ เพราะตั้งแต่วันที่ภารกิจจบลงเขาก็ไม่ค่อยได้เจอคัตจังอีกจึงไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็คงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเพิ่งมามีเวลาให้กับชีวิตของตัวเองกัน เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องทำรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนอิซึกุนั้นยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากรายงานเขายังต้องไปตรวจเช็คสภาพร่างกาย รวมถึงไปขอบคุณคนหลากหลายฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านอัตลักษณ์ ประสานงาน และรักษาจนภารกิจทุกอย่างจบลงโดยมีผู้เสียหายและบาดเจ็บไม่มากอย่างที่คิด

 

เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยคนคนเดียว

 

แต่เมื่อมันจบลงแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนกับความเหนื่อยยากของตัวเองแล้วล่ะนะ

 

กลุ่มพนักงานแผนกวิเคราะห์ฯ กินเลี้ยงสังสรรค์กันในร้านอยู่พักหนึ่งก่อนจะมีบางคนไปต่อที่ร้านสอง ส่วนอิซึกุที่อยากจะกลับไปพักแล้วก็ขอแยกตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างที่เดินอยู่เขาก็รู้สึกถึงคนที่เดินตามตนมาอีกครั้งเหมือนในวันวาน

 

แค่หันไปด้านข้างก็จะเห็นไหล่หนาและใบหน้าด้านข้างนั้นอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

 

“คัตจัง ผมหายเป็นปกติแล้วนะครับ”

 

ร่างสูงนิ่งไป ทำให้อิซึกุต้องทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้งว่าเมื่อครู่ที่เขาพูดไปมันเป้นประโยคบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบเท่านั้น

 

“ไม่ต้องตามมาดูแลเหมือนแต่ก่อนก็ได้”

 

อิซึกุเอ่ยเสียงเบา ด้วยเจ้าตัวรู้สึกว่าพอพูดแบบนั้นไปแล้วก็แอบรู้สึกว่าตัวเองจะสำคัญตัวไปหน่อยมั้ยนะที่อีกฝ่ายจะตามมาดูแลเนี่ย

 

บางทีอาจจะแค่ตามมาบ่นเรื่องที่ร้านเนื้อย่าง หรือในอีกแง่ก้อาจจะบังเอิญเดินมาทางเดียวกันเฉยๆ ก็ได้

 

“พูดอะไรของแก ฉันจะเดินกลับบ้านต่างหาก”

 

นั่นไงล่ะ

 

“อ่ะ งะ งั้นเหรอ ฮะๆ”

 

อิซึกุหัวเราะแก้เก้อพลางยกมือลูบหัวแก้เก้อ ใบหน้าแต้มกระแอบขึ้นสีนิดๆ กับความคิดเข้าข้างตัวเองของตน เขาก้มหน้าลงต่ำคล้ายว่าหากแทรกตัวลงไปในทางเท้านั้นได้ก็คงจะทำไปแล้ว

 

สุดท้ายเขาจึงได้แต่เดินไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะมีสักแยกนึงที่ตนกับคัตจังจะแยกกันไปโดยที่คัตจังไม่พูดขึ้นมาเหน็บเขาซะก่อน แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่าคัตจังไม่มีทีท่าจะเดินแยกจากเขาไปเลย อิซึกุที่เริ่มฉงนกับเหตุการณ์นี้จึงหยุดที่ข้างทางก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพทางเดินไปยังอพาร์ตเมนต์ใหม่ของตนขึ้นมา

 

เขาจำได้อยู่ว่าคัตจังพักอยู่แถวนี้ แต่ถ้าเดินมาถึงนี่แล้วมันก็ไม่มีเขตที่อยู่อาศัยอื่นแล้ว อิซึกุไม่อยากจะคิดว่าการย้ายที่อยู่ใหม่ของเขาจะเป็นที่อยู่ที่ใกล้คัตจังขนาดนี้

 

จริงๆ เขาไม่คิดว่าตนจะต้องย้ายที่อยู่เลยเพราะอพาร์ตเมนต์เดิมก็ไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้ แต่หลังจากเขาแกล้งย้ายไปอยู่ฝั่งวิลเลินแล้วย้ายออกจริงๆ โดยไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้ใครตามได้อีกก็กลายเป็นว่ามีคนมาเช่าห้องต่อจากเขาไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเขาก็ไม่โทษเจ้าของอพาร์ตเมนต์เลยเพราะตัวเองก็หายตัวไปตั้ง 4 เดือนกว่าโดยไม่ได้บอกว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ เขาทำเรื่องย้ายออกจริงๆ เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องปล่อยห้องนั้นให้คนที่ต้องการต่อไปเช่นกัน

 

ด้วยเหตุนั้น หลังออกจากทาร์ทารัสเขาก็ต้องอยู่ที่ห้องพักในสำนักงานไปก่อน จนได้รับห้องที่ทางรัฐช่วยหาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ห้องนั้นเป็นห้องที่ได้รับการสรรหาโดยอ้างอิงจากฐานเงินเดือน ความเหมาะสม และความปลอดภัยที่เขาควรได้รับ อิซึกุตกลงทันทีหลังจากได้เห็นห้องใหม่ที่มีพื้นที่กำลังพอดีและเงินเดือนของเขาสามารถรับได้ ของของเขาก้ถูกส่งไปที่นั่นเรียบร้อยพร้อมกับแม่บ้านที่มาทำความสะอาดห้องให้จนพร้อมอยู่ในระดับหนึ่ง อิซึกุจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะลองไปพักที่นั่นดูแทนห้องของสำนักงานที่รบกวนมาหลายสัปดาห์แล้ว

 

ร่างเล็กกว่าก้มดูแผนที่ในหน้าจอมือถือที่ส่งแสงจ้าออกมาท่ามกลางยามค่ำคืน ทำใหคนที่อยู่ข้างๆ ต้องชะโงกตัวแอบเข้าไปดูด้วยพร้อมดวงตาที่ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่อิซึกุก็ไม่มีโอกาสได้เห็นมันเพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับการนับซอยบ้านของตน

 

“แกต้องเดินไปอีกสองซอย”

 

“เหวอ คัตจัง!” อิซึกุสะดุ้งด้วยนึกว่าอีกฝ่ายจะเดินเลยตนไปแล้ว เพราะเขาหยุดอยู่ตรงนั้นนานสักพักแล้ว แน่นอนว่าอิซึกุอยากจะถามด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง แต่พอคิดว่าคงได้อายเพราะเข้าข้างตัวเองร่างเล็กก็เลือกจะปัดคำถามนั้นออกแล้วถามเรื่องอื่นแทน

 

“คัตจังก็อยู่แถวนี้เหรอครับ”

 

“เออ รีบตามมาได้แล้วถ้าไม่อยากหลง”

 

“เอ่อ อ่า ครับ”

 

พอได้ยินว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่แถวนี้เขาก็ใจชื้นขึ้น อิซึกุเดินไปอีกสองซอยก่อนจะเลี้ยวเข้าไปตามที่อีกฝ่ายบอก ที่แถวนี้มีย่านที่อยู่อาศัยมากมายเขาเองก็ไม่คิดอะไรในตอนที่คัตจังเดินเลี้ยวเข้ามาในซอยเดียวกัน

 

แต่ก็เริ่มข้องใจนิดหน่อยตอนที่อีกฝ่ายเดินตามเขาเข้ารั้วอพาร์ตเมนต์ใหม่

 

แล้วก็ข้องใจมากกว่าเดิมเมื่อตนเองขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกัน

 

และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะว่าอีกฝ่ายตามมาเมื่อเจ้าตัวเดินออกจากลิฟต์ชั้นเดียวกับเขา

 

พวกเราเดินไปทางเดียวกันก่อนจะหยุดอยู่กับที่ อิซึกุมั่นใจว่าตัวเองหยุดอยู่หน้าห้องของตน แต่กับคัตจังนั้น…อีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ห้องของเขาเอง

 

“คัตจัง…” เขาหันไปมองอีกฝ่าย

 

“อะไร”

 

“ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไงครับ”

 

ในตอนนั้นเองที่รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมค่อยๆ วาดผ่านใบหน้าคมเหมือนรอให้เขาถามคำถามนี้อยู่แล้ว

 

“ก็นี่แหละบ้านฉัน”

 

“…..”

 

อิซึกุอ้าปากและทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อลองชะโงกหน้าไปยังหน้าประตูห้องข้างๆ ที่ปกติจะมีป้ายชื่อเจ้าของติดไว้เขาก็ไม่เห็นอะไร คิ้วมุ่นขมวดกันเป็นปมเหมือนจะมีคำว่า ‘ไม่เห้นจะมีชื่อปิดไว้เลย ใช่จริงเหรอ?’ ติดไว้ตรงหน้า ทำให้เจ้าของห้องที่เห็นแบบนั้นพลิกป้ายหน้าห้องเอาด้านชื่อออกมาแทนด้านขาว

 

“ก็แล้วทำไมฉันต้องบอกชื่อด้วยล่ะว่าตัวเองอยู่ที่นี่”

 

พูดจบปุ๊บก็ไขกุญแจห้องจนเกิดเสียงปลดล็อกตอกย้ำคนฟังเข้าไปอีก

 

“ทำไมคัตจังถึง…”

 

อิซึกุไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาอยู่ห้องข้างๆ ของตัวเองเลยสักนิด

 

“ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว แกต่างหากที่ย้ายมาทีหลังน่ะ”

 

“แล้วบ้านนั้นล่ะ”

 

“แกคิดว่าฉันต้องนั่งรถกี่ชั่วโมงจากที่นั่นมาทำงานที่นี่กันห๊ะ นั่นมันก็แค่บ้านเอาไว้พักผ่อนกับครอบครัว”

 

“ครอบ…” ครอบครัว

 

ไม่รู้ทำไมพอได้ฟังแบบนั้นแล้วอิซึกุก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะ ใจนึงก็กำลังนึกถึงความหมายที่อีกฝ่ายพาตัวเองไปที่บ้านนั้น แต่อีกใจก็ปฏิเสธในเวลาเดียวกันว่ามันไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรแบบนั้นหรอก

 

ที่สำคัญในตอนนี้คือนี่เขาย้ายมาอยู่ข้างห้องของคัตจังจริงๆ งั้นเหรอ

 

ปกติก็แทบไม่กล้าสู้หน้าตั้งแต่สร้างเรื่องไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่นี่เราต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกันงั้นเหรอ…อิซึกุทำหน้าไม่อยากจะเชื่อในขณะที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงส่งยิ้มมุมปากมาก่อนจะเดินเข้าบ้านไปต่อหน้าต่อตาเขา

 

 

 

Photo by Luis Quintero from Pexels

 

 

 

“มิสโรสรู้รึเปล่าครับว่าทำไมผมถึงได้อยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกับคัตจัง”

 

“เปล๊า ไม่นะ”

 

อิซึกุเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงสูงผิดปกติของคนที่อยู่อีกฝั่ง เขาส่งเสียงเรียกชื่อไปอีกครั้งอยากจริงจังก่อนหญิงสาวจะตอบกลับ

 

“ไม่รู้จริงๆ แต่ว่าก็พอเดาได้น่ะ ก็เธอสองคนเป็นคู่หูกันอยู่นี่นาก็น่าจะต้องได้อยู่ใกล้ๆ กันเหมือนฉันกับมิดไนท์ไง”

 

อิซึกุขมวดคิ้วมุ่น ก็จริงว่าเขายังไม่ได้ปลดกำไลข้อมือส่งสัญญาณที่ว่านั่นเลย แต่…

 

“แต่มันจะไม่ใกล้กันเกินไปหน่อยหรอครับ”

 

“ยิ่งใกล้ฮีโร่ก้ยิ่งดูแลสะดวกนะอิซึกุ”

 

“แล้วถ้าผมยกเลิกการเป็นคู่หูล่ะครับจะเป็นยังไง”

 

“ถ้าตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะเพราะเธอเซ็นสัญญาเช่าอยู่ไปแล้ว แล้วก็อีกอย่างอพาร์ตเมนต์อื่นที่เราไปดูๆ มาก็ไม่สะดวกเท่าที่นี่ไม่ใช่เหรอ”

 

จะพูดไปแล้วมันก็ใช่ ก่อนหน้านี้ที่เขาเลือกที่นี่เพราะเมื่อเทียบกับที่อื่นแล้วอพาร์ตเมนต์นี้ถือว่าดีที่สุดในราคาที่เขารับไหว แถมสภาพแวดล้อมยังปลอดภัยมากกว่าที่เก่าของเขาทำให้อิซึกุเลือกที่จะอยู่ที่นี่ แต่…

 

“ผมไม่รู้เลยว่าคัตจังก็อยู่ที่นั่นด้วย”

 

“อะไรกัน พี่นึกว่าเรามีความสัมพันธ์อันดีกันแล้วซะอีกนะ”

 

“ก็ดีแหละครับ แต่ว่าช่วงนี้คัตจังดูแปลกๆ ไป ผมไม่ค่อยชินเลย”

 

“เขาชอบเราแล้วรึเปล่า”

 

คราวนี้อิซึกุที่กำลังจะดื่มโกโก้ถึงกับสำลัก เปิดช่องให้คนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้องได้พูดต่อ

 

“พี่รู้นะว่าเราก็ชอบเขา ไม่งั้นคงไม่กันเขาออกจากภารกิจโดยให้อยู่ในสถานะคนตายชั่วคราวหรอก”

 

คราวนี้คนฟังไม่พูดอะไร เขาได้แต่ให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าบังใบหน้าที่ขึ้นสีของตัวเองเอาไว้

 

“แล้ว…” อิซึกุเคลียร์ลำคอและปรับเสียงที่ไม่นิ่งสงบของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย “…แล้วมันยังไงล่ะครับ เรื่องนี้ถึงผมจะรู้สึกแต่เขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรหรือแค่สงสารกันเพราะเรื่องในอดีตที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้”

 

เขายังคงสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าถ้าหากคัตจังไม่ได้เห็นแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าเขาถูกทำอะไรบ้างอีกฝ่ายจะยังเป็นแบบทุกวันนี้ไหม แน่นอนว่าเขามีความตอบของตัวเองอยู่ในใจไว้แล้วว่ามันไม่น่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ผิดที่คัตจังจะรู้สึกแบบนี้ แค่เพียงเขาไม่มั่นใจ…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรต่อกันกันแน่ ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้เลยดูแปลกๆ แบบที่เขาไม่รู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหน

 

“เธอไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกแบบไหนงั้นเหรอ”

 

“…..”

 

อิซึกุไม่ได้ตอบออกไป แต่นั่นก็มากพอจะทำให้เธอรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร

 

“แล้วเขาเคยพูดอะไรรึเปล่า”

 

“เขาแค่บอกว่า…อย่าไป…”

 

คนทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง

 

“ช่างมันเถอะครับ ผมก็คิดอยู่แล้วว่าคัตจังคงไม่พูดอะไรแบบนั้น ผมก็ไม่ได้อยากบังคับเขาด้วยเพราะส่วนหนึ่งก็เพราะตัวผมเองที่ขี้กลัว”

 

หญิงสาวหยุดมือก่อนจะเริ่มเข้าใจว่าอะไรที่เป็นกำแพงขวางกั้นคนทั้งสองไว้จากกันและกัน

 

ต้องบอกว่าคนทั้งสองนั้นเปลี่ยนไปมากแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะละทิ้งนิสัยเดิม อิซึกุที่ไม่เคยไว้ใจใคร แม้แต่เรื่องงานก็สบายใจที่จะแบกรับไว้คนเดียว เมื่อต้องมาทำงานเป็นทีมและเจอฮีโร่ที่พึ่งพาได้เขาก็ค่อยๆ ปล่อยวางและไว้ใจคนอื่นมากขึ้น และตอนนี้ก็ยังได้พบคนที่จะรองรับตัวเขาไว้ในเวลาที่ร่วงหล่น แต่กับเรื่องความรักนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่…เขาไม่อยากจะเข้าใจผิดไปคนเดียวอีก

 

ส่วนบาคุชินจิที่ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่น พอรู้ว่ามีคนที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดและการกระทำของตัวเองอยู่เขาก็พยายามปรับตัวมากขึ้น ใส่ใจมากขึ้น พอมาจับคู่ดูแลอิซึกุเขาก็ต้องเรียนรู้เรื่องการปกป้องมากขึ้น ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพแต่รวมไปถึงความรู้สึกด้วย เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินการใช้คำพูดก็มีผลกับผู้ประสบภัยเช่นกัน…แต่จะให้คนที่ไม่เคยมาก่อนมาพูดหรือทำให้คนขี้กังวลอย่างอิซึกุเชื่อมั่นนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมทำถึงขนาดนั้นไหม

 

เธอเคยได้ยินมิดไนท์เล่าให้ฟังว่าตอนที่บาคุชินจิถูกช่วยไว้ในเหตุการณ์คามิโนะ เขาก็ยื่นเงินค่ากล้องส่องทางไกลให้กับเพื่อนตัวเองที่เอาเงินไปซื้อมาเพื่อความสะดวกในการหาตัวของเขา เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่าเอาไปซะ ในสถานการณ์นั้นเธอคิดว่ามันก็แปลได้หลายแบบทั้งอยากจะขอโทษ ขอบคุณ หรือตอบแทนค่ากล้องเฉยๆ ซึ่งถ้ามาทำอะไรคลุมเครือแบบนั้นกับอิซึกุของพวกเธอล่ะก็ เธอคิดว่าอิซึกุอาจจะไม่ตีความเป็นสองอย่างแรกแน่ๆ

 

อิซึกุกำลังต้องการความเชื่อมั่น

 

ในขณะที่บาคุโกก็ต้องเรียนรู้ที่จะมอบความรู้สึกนั้นให้อีกฝ่าย

 

ถ้าความต้องการมาบรรจบกันจนถึงระดับที่พอดีมันก็คงจะพัฒนาไปต่อได้ แต่กับคนของฝั่งเธอที่ขี้กลัวนี้อาจจะทำให้ฮีโร่คนนั้นต้องทุ่มเทให้สักหน่อย ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะเหนื่อยและยอมแพ้ไปก่อนหรือไม่

 

“ถ้ามีอัตลักษณ์แบบพี่อายะก็คงดีนะครับ ผมจะได้รู้ว่าเขากำลังรู้สึกแบบเดียวกันอยู่รึเปล่า หรือว่าแค่รู้สึกผิดและอยากชดใช้ให้กันแค่นั้น”

 

ความรักก็เป็นแบบนั้น มันมีความเสี่ยงไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม แต่กับคนขี้กังวลแล้วมันเหมือนเสี่ยงเป็นสองเท่า เธอเข้าใจดีว่าเขามีสิทธิที่จะกังวลว่ามันจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่า…

 

 

‘ฉันรับรู้ความรู้สึกของคนได้ก็จริง แต่รู้มั้ยเรย์ความรู้สึกรักน่ะไม่เคยเหมือนกันเลยสักคน แต่ความรู้สึกนี้น่ะมันไม่ใช่ความคลุมเครือ…’

 

 

“มันจะไม่คลุมเครือหรอกนะถ้าพวกเธอจริงจังกันจริงๆ”

 

อิซึกุชะงัก ในตอนนั้นเองที่คนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะกลางห้องพูดขึ้นมากลางความเงียบของเธอและอิซึกุ

 

“เพราะเขาจะทำให้เธอเชื่อมั่นในความรู้สึกนั้นจนได้นั่นแหละ”

 

นั่นสินะ

 

แต่เดี๋ยวก่อน…

 

“ถ้าตื่นแล้วก็มาช่วยกันทำงานต่อได้แล้วค่ะ ดอกเตอร์”

 

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากดอกเตอร์ที่ท่านเรียก เหลือเพียงเสียงถอนหายใจของมิสโรสและความประหลาดใจของอิซึกุ นั่นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาไม่มั่นใจในคำพูดของดอกเตอร์

 

 


 

// โปรดอ่านรายละเอียดก่อนทำสัญญาเช่าซื้อบ้าน เพราะคุณอาจจะได้คนที่แอบชอบมาอยู่ข้างบ้านแบบไม่ได้เตรียมใจ UwU

บางคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย มันหวานไปรึเปล่า ซึ่งเราก็อยากจะบอกว่า…เราอยากเขียนคัตเดฟีลกู้ดมานานแล้วค่า~ 555 และเรื่องนี้ก็รวมหลายๆ อารมณ์เอาไว้ ทุกคนอาจจะไม่ชินที่จู่ๆ ดราม่าสุดแล้วก็มาแบบนี้ แต่ก้อยากจะให้เปิดใจลองอ่านดูนะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ให้กำลังใจและการโดเนททาง ReadAWrite นะคะ บางคนอาจจะเปิดเรียนกันแล้วก็สู้ๆ นะคะ ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะ

Photo by Luis Quintero from Pexels

Leave a comment