[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 60

 

 

60

ดอกทานตะวันในฤดูใบไม้ร่วง (2)

 

 

ท้องฟ้าสีครามสุดลุกหูลูกตาทอดยาวออกไป แสงแดดในเวลากลางวันส่องตรงลงมายังพื้นโลก ดอกทานตะวันชูช่อออกดอกและหันไปในทิศทางเดียวกันราวกับสวนสวรรค์ หากแต่คนมองนั้นรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงภาพโฮโลแกรมเท่านั้น

 

               ท้องฟ้าเปิดกว้างที่ไร้สายลมกับพื้นนุ่มที่เหมาะกับเด็กๆ ถ้าเดาดูก็พอจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน

 

               แกร็ก

 

               เสียงปืนดังขึ้นจากด้านหลังก่อนเสียงเรียบๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยจะสั่งให้เขาหันหลังกลับมา

 

               อิซึกุทำตามที่เธอว่าก่อนจะไม่แปลกใจที่ได้เห็นเจ้าของเสียงนั้น

 

               “พี่อายะ”

 

               “ยังดีที่จำได้”

 

               ไม่รู้ว่าคำนั้นหมายความตามจริงหรือตั้งใจจะประชดแต่อิซึกุก็ไมได้ว่าอะไรออกไป เขาแค่มองดูเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา เพราะระยะเวลาที่จากกันแม้จะดูสั้นแต่ก็นานในความรู้สึก หญิงสาววัยกลางคนผู้นี้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ยามนี้เธอดูอิดโรย ดวงตามีแววของความเจ็บปวด ชุดแจ็กเก็ตเพื่อความคล่องตัวทำให้รู้ว่าเธอคงเตรียมตัวมาอย่างดี  รอบกายคล้ายปกคลุมด้วยความมืดมน เป็นพลังงานแง่ลบที่ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นไปอีกเมื่อเธอกำลังยืนอยู่ในห้องนี้

 

               ห้องที่มีทุ่งทานตะวันมาบบรรจบกับแสงอาทิตย์ และยังมีร่องรอยการเว้นที่ไว้เพื่อก่อสร้างสนามเด็กเล่นอีกฝั่งหนึ่ง

 

               เธอยืนอยู่ในที่เดิมของตัวเอง แต่ไม่ใช่ตัวเองในวันวานอีกต่อไป

 

               “เป็นยังไงบ้างล่ะกับชีวิตที่ได้รับ ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอใช้เคียวมาช่วยแล้วหลอกฉันด้วยภาพโฮโลแกรมว่ามีคนตายไปมากมาย คงจะเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ”

 

               หัวใจดวงน้อยสั่นไหวกับคำพูดของคนตรงหน้า ทั้งที่ไม่เคยคิดจะจริงจังกับคำพูดของคนทำผิดที่เข้ามาด้วยความสงสาร ดูถูก หรือยั่วให้โกรธ แต่กับคำพูดของคนที่ทำให้ตนหยัดยืนได้อีกครั้ง เขากลับไม่อาจฟังมันโดยตัดความรู้สึกทิ้งได้เลย

 

               “มอบตัวเถอะครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามตามผมอยู่ แต่อีกไม่นานฮีโร่ก็จะตามมาที่นี่แล้ว” เขาว่าพลางพยายามจะยกกำไลส่งสัญญาณให้ดู แต่พอจับที่ข้อมือตนก็พบว่ามันหายไปแล้ว

 

               “ขอโทษด้วยนะที่ฉันปิดมันไปตั้งแต่ที่มันร้องครั้งแรกแล้ว แล้วก็ถอดมันทิ้งไว้ระหว่างที่พาเธออ้อมไปมาก่อนจะมาถึงที่นี่ด้วย”

 

               เธอว่าพลางยกยิ้ม อิซึกุอ้าปากจะถามเธอว่าเธอทำได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงสถานะของตน เขาควรคิดซะก่อนว่าทำไมเธอถึงเลือกพาเขามาที่นี่ ที่ใต้จมูกและมีความสลับซับซ้อนแบบนี้เธอย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แล้วมันก็คงเป็นสถานที่สำหรับใช้เวลาต่อรองได้ดีด้วย รวมถึงคงไม่มีฮีโร่คนไหนเข้ามาถึงส่วนนี้และคงไม่มีคนในแผนกคนใดที่ไม่มีงานให้ทำจนว่างมาเดินเที่ยวเล่น

 

               ที่นี่คือแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ในส่วนห้องที่กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่

 

               “แต่ทุกอย่างมันก็จบไปแล้ว”

 

               พออิซึกุพูดแบบนั้น ปืนที่อยู่ไม่ไกลก็ขยับเข้ามาใกล้

 

               “มันจะไม่จบถ้าเธอไปกับฉัน เราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าครั้งนี้เธอเลือกที่จะอยู่ข้างฉันจริงๆ แม้แต่คนที่อยู่ในจุดที่ควบคุมระบบฉันก็จะจัดการให้เธอได้”

 

               เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เธอไม่เคยยอมแพ้

 

               “เธอรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เหรอ? แล้วเรื่องภาพนั่นล่ะ …อ้อ โกหกสินะ…”

 

               คนตรงหน้ากำลังพูดเองตอบเอง แต่เขารู้ว่าเธอใช้อัตลักษณ์รับรู้ความรู้สึกของเขาแทนคำตอบแล้ว

 

               ใช่ ภาพแบล็กเมล์นั่นมันก็แค่ภาพปลอมที่เขาตัดต่อขึ้นเพื่อเพิ่มหลักฐานสนับสนุนความรู้สึกคับแค้นใจของตนเอง จริงๆ มันก็มีภาพที่ถูกถ่ายไว้จริงแต่ไม่ใช่ในมุมที่เห็นหน้าซึ่งถูกลบทิ้งไปหมดแล้ว แต่เขาก็ขอให้คนที่มีความสามารถตัดต่อช่วยทำขึ้น แล้วมันก็ได้ใช้ทำให้คัตจังและหญิงสาวตรงหน้าเชื่อว่าผมถูกกระทำจนไร้หนทางหนีได้จริงๆ

 

               “เธอ…ทั้งที่เคยถูกหลอกให้เชื่อใจแต่ก็ยังทำแบบนั้นกับฉัน…”

 

               “….”

 

               ใช่ ถ้าหากพูดแบบนั้นมันก็ใช่

 

               เขากำลังหลอกใช้ความเชื่อใจของทั้งอายะและคัตจัง ใช้คัตจังเพื่อให้อายะเชื่อ ใช้อายะเพื่อแทรกแซงเข้าไปในองค์กร

 

               “แต่ก็ยังถูกเรียกว่าฮีโร่ได้อีก”

 

               “….”

 

               “นับวันเธอยิ่งเหมือนพวกฮีโร่ที่ทำเพื่อชื่อเสียงเงินตราพวกนั้นเข้าไปเรื่อยๆ เลยนะรู้มั้ย”

 

               ในเวลานั้นมีเพียงความเงียบ แต่ผมรู้ว่าเธอคงเข้าใจว่าหลังได้ยินคำนั้นแล้วตัวผมกำลังรู้สึกอย่างไร

 

               “แม้แต่เด็กที่มีอัตลักษณ์เลือดรักษาคนนั้น…เธอก็ช่วยเขามาเพื่อใช้เขาทำงานอีกที จะว่าไปแล้วเรานี่ก็เหมือนกันเลยนะ”

 

               อิซึกุหลับตาลง

 

               “ไม่มีใครสูญเสียแต่ว่าเธอก็ลงทุนไปเยอะ แล้วยังไง สุดท้ายฉันก็หนีไปได้พร้อมกับเครื่องมือทดลองยาอีกจำนวนหนึ่งอยู่ดี”

 

               “แล้วคุณคิดจะทำอะไรกันแน่” เขาถามด้วยความกังวล

 

               “หึ มันก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกของเธอนั่นแหละว่าเธอจะละทิ้งชื่อเสียงในฐานะฮีโร่แล้วมาช่วยฉันแก้ไขระบบที่เน่าเฟะนี่ด้วยกันต่อไหม”

 

               “แล้วถ้าผมไม่ไป?”

 

               “….”

 

               “….”

 

               “เธอก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองดี”

 

               เธอว่าด้วยเสียงเบาลงเพียงน้อยนิดแบบที่แทบสัมผัสไม่ได้

 

               อิซึกุมองสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ในดวงตาสีเทาหม่นที่ดูสว่างคู่นั้นยามนี้เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ปืนแบบเก็บเสียงจ่ออยู่ตรงอกของเขา แม้จะมีระยะห่างระหว่างปืนกับอก แต่ก็ไม่พอให้วิ่งหนีโดยไม่โดนลูกหลง แม้จะมีต้นทานตะวันที่ไหวไปมาอยู่ในระดับต้นขา แต่ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้น หากยิงโดนลูกปืนก็จะทะลุมายังตัวคนที่แอบอยู่ได้อยู่ดี

 

               แทบไม่มีทางเลือกอื่นเลย

 

               “เอาไงดีล่ะอิซึกุ พี่น่ะพร้อมจะรับเธอกลับไปร่วมทีมอยู่นะ…” ดวงตาคู่นั้นไหววูบ “…เพราะคาโอริก็คงจะอยากให้เธออยู่ต่อมากกว่าตายเหมือนกัน”

 

               อิซึกุสะอึก เขาไม่คิดว่าเธอจะหยิบยกชื่อของเด็กผู้หญิงที่นิ่งเงียบผู้นั้นขึ้นมาในยามนี้ ในใจจึงเหมือนมีก้อนตะกั่วถ่วงเอาไว้

 

               เป็นแบบนี้เสมอ เธอมักพูดอะไรออกมาโน้มน้าวใจเขา ให้กำลังใจได้สำเร็จ แล้วพอถูกใช้ในทางชักจูงมันก็เหมือนจะได้ผลเช่นเดียวกัน

 

               ทั้งถูกความรู้สึกผิดเข้ามาถาโถม ทั้งถูกปลอบประโลมว่ายังมีทางออก ทั้งเด็ดขาดแล้วใช้ความรู้สึกของผู้คนให้เป็นประโยชน์ เธอรู้อยู่เสมอว่าก้นหลุมของความรู้สึกอันมืดมิดของใจคนอยู่ตรงไหน เธอดึงมันขึ้นมาแล้วชี้ให้เขาเห็นความโหดร้ายของตัวเอง เปรียบเทียบตัวเขากับเรื่องเลวร้ายในอดีต แล้วก็ลูบปลอบด้วยคำพูดอันอ่อนโยนว่ามันจะไม่มีอะไรหากเชื่อเธอ

 

               มันคงจะดีมากถ้าเธอไม่กลายเป็นวิลเลินไปแล้ว

 

               “ผม…ไม่เหมือนกับอิชิอิ”

 

               “เธอคิดแบบนั้นแล้วบาคุชินจิล่ะ เขาคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า”

 

               “…..”

 

               “เธอบอกพี่เองนี่ว่าก่อนหน้านี้เขาเกลียดเธอ แล้วเธอมาหลอกใช้เขาแบบนี้…เธอจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ผูกใจเจ็บ”

 

               ราวกับคำพูดนั้นเป็นเสียงกระซิบของปีศาจ มันคืบคลานเข้ามาในจุดอ่อนของจิตใจ จุดที่หากแทงเข้าไปแล้วสามารถหวังผลได้ สามารถสั่นคลอนได้ และผลักให้เจ้าของความรู้สึกจมลงไปในความหวาดกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ

 

               “สมมติว่าตอนนี้เขาหลอกเธออยู่โดยที่ไม่รู้ตัวล่ะ แล้วพอวันที่เธอให้ใจเขาเขาก็จะบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อกันเล่น เธออาจจะได้ไปอยู่ในหัวข้อข่าวกับเขาสักช่วงหนึ่ง แต่พอเขาได้ทุกอย่างที่พอใจ ทั้งชื่อเสียง ความสามารถ แม้แต่ร่างกายของเธอเขาก็อาจจะเบื่อและจากไป เธอไม่มีทางรู้ได้ เธอไม่มีวันรู้ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก่อน และถ้าเธอกันเขาออกไปมากๆ ในวันหนึ่งเขาก็จะเบื่อหน่ายและรำคาญ เขาจะไปหาอะไรที่มอบความสุขได้มากกว่าคนขี้กังวลเกินเหตอย่างเธอ…”

 

               “พอสักที!”

 

               “เธอต่างหากที่กำลังคิดแบบนั้น!”

 

               “เลิกเข้ามาในความรู้สึกของผมได้แล้ว!”

 

               “แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกฝันลมๆ แล้งๆ แล้วเลือกที่จะมีชีวิตสงบสุขแบบที่เคยบอกกับพี่ไว้ล่ะ! เมื่อไหร่กัน…ทั้งที่เธอเคยมั่งคงในตัวเองมากกว่านี้ ถ้าเชื่อพี่เธอก็ไม่ต้องหวาดกลัวแล้วไม่ใช่เหรอ!”

 

               ในดวงตาสีเขียวมีประกายน้ำที่กำลังเอ่อขึ้นทีละนิด แต่ก็ถูกเปลือกตาที่ปิดลงกลบหายไปในเวลาเพียงชั่วครู่

 

               หัวใจนั้นกำลังสั่นไหว

 

               มือเรียวยาวสีขาวกำเข้าหากันอย่างสับสน

 

               ใบหน้าของหญิงสาวเองก็กำลังปรากฏอารมณ์เช่นเดียวกับคนที่รู้สึก เธอเหมือนภาพสะท้อนที่กำลังยื่นมือมาให้คนที่อยากหลีกหนีจากความรู้สึกมากมายที่กลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดเมื่อครู่

 

               “มาสิ มาอยู่กับพี่อีกครั้ง เราจะไม่ต้องผิดหวังและเจ็บปวด…”

 

               ดวงดาสีเขียวมองไปที่คนพูด แล้วทันทีที่เห็นหัวใจของเขาก็กระหวัดคิดถึงครั้งแรกที่เธอแอบออกไปร้องไห้นอกห้องพยาบาลตอนที่เจอเขาครั้งแรก เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่รู้ว่าเธอมีอัตลักษณ์แบบใด แต่พออยู่ไปๆ เขาก็เริ่มเข้าใจ แววตานั้นอ่อนโยนมาจากใจ มือที่ยื่นมาให้ก็เป็นมือเปล่า พอเห็นแล้วภาพในอดีตมันก็ทับซ้อนกัน ถ้าหากเป็นสมัยก่อนเขาก็คงจะยื่นมือออกไปหาเธอแล้ว…

 

               “พี่…”

 

               มือของชายหนุ่มกระตุก เขายกมือขึ้นคล้ายกับจะเอื้อมเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม

 

               หากเข้าไปในโลกนั้นก็จะไม่ต้องเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดของผู้คน…

 

               หากเข้าไปรับมือนั้นไว้ก็ไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำๆ กับความเชื่อใจอีก เพราะเขาทำลายมันไปหมดแล้ว…

 

               …จริงๆ งั้นเหรอ?

 

               อิซึกุดึงมือตัวเองเก็บกลับไปไว้ที่เดิม ในดวงตามีแววเสียใจที่ไม่อาจจะตอบรับคำพูดนั้นได้

 

               “อิซึกุ…” เสียงหวานเอ่ยเรียกคล้ายอ้อนวอน

 

               “พี่…ผมไม่สามารถกลับไปได้อีกแล้ว”

 

               “แต่เธอยัง…”

 

               “ผมอยากลองก้าวไปข้างหน้า…ไม่ใช่กลับไป”

 

               ดวงตานั้นมีแววประหลาดใจอยู่ในที

 

               “แล้วผมก็อยากช่วยคนมากกว่าฆ่า”

 

               “แต่โลกใบนี้ก็จะไม่ยอมรับว่าเธอเป็นฮีโร่อยู่ดี”

 

               แม้ในช่วงเวลาหนึ่งจะถูกจดจำว่าเป็นผู้เสียสละ แต่หากไม่ใช่ผู้เสียสละหรือได้รับความสนใจมากพอเขาก็จะเป็นได้เพียงเงาที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น ในช่วงเวลาหนึ่งจะมีบางคนที่จดจำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะถูกชื่อของฮีโร่คนอื่นที่ตายไปทับถมจนหายไปอย่างเงียบงัน

 

               “แต่แบบนั้นก็เหมาะกับผมดีไม่ใช่เหรอ”

 

“ไม่ได้อยู่ท่ามกลางแสงที่สว่างเกินไป พึ่งพากันและกันเพื่อผลลัพธ์ที่วางแผนไว้ สมกับเป็นคนของแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์”

 

               ในตอนที่พูดชื่อแผนกออกมาเจ้าของคำพูดก็พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม มันราวกับในก้นหลุมความรู้สึกเจ็บปวดของตัวเองมีแสงเล็กๆ ส่องลงมาถึง เหมือนห้องแห่งนี้ที่ปกคลุมด้วยฟ้ากระจ่าง เมื่อรวมกับความรู้สึกว่าตนคือคนของที่นี่ สถานที่ที่เขาจะได้ใช้ความสามารถของตนและเป็นตัวเองได้ ไม่ว่าจะถูกมองเป็นข้าราชการ ซอมบี้ หรือฮีโร่ สิ่งนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยน เป็นสถานที่ที่ผลักดันให้เขาเป็นในหลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ แม้จะไม่ใช่แบบที่คาดหวังไว้แต่ต้น แต่ก็เป็นสถานที่ที่…ใช่

 

               “การเป็นฮีโร่มันคงหอมหวานมากสินะ”

 

               “มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับเวลาที่เราช่วยคนไว้ได้ทัน และผมจะไม่เป็นเหมือนคุณ ไม่ใช่การฉกชิงให้ได้มา ไม่ใช่การยื่นมือมามือหนึ่งแล้วถือกระบอกปืนไว้อีกมือแบบนี้”

 

               ความรู้สึกที่เอื้อมมือไปถึงนั้นเธอต้องรู้จักมันแน่ เพราะเธอก็คือคนที่เอื้อมมือมาหาเขา

 

               อิซึกุกอบกู้ความรู้สึกตัวเองขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะตอบเธอออกไป

 

               “ผมมีหลายอย่างที่อยากลองทำในชีวิตนี้ อยากจะยอมรับตัวเองในแบบที่ตัวผมเป็น คุณไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ผมแบกไว้ในการพยายามไม่เชื่อใจใครเลยเหรอ ผมน่ะ…ตอนที่ความจำเสื่อมก็รู้ว่ามันเบาแค่ไหนที่ได้วางมันลงไป ตอนนี้ถึงอยากจะลองวางมันลงบ้างแล้วยอมรับความเสี่ยงจากความเชื่อใจที่อาจจะเกิดขึ้น และถ้าวันหนึ่งจะมีคนผูกใจเจ็บและทำร้ายผมอีกครั้งผมก็จะพยายามทำความเข้าใจว่านั่นคืออารมณ์หนึ่งของมนุษย์ที่ผมอาจจะมีส่วนสร้างขึ้น และผมเองก็จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มันเป็นไปด้วยเหมือนกัน”

 

               ไม่ใช่การแบกรับความรู้สึกของคนอื่นไว้ พยายามรักษาความรู้สึกของอีกฝ่ายตามมารยาท จัดวางความสัมพันธ์ไว้ในส่วนที่ควรจะเป็น ถ้าเขาอยากตัดรอนก็ต้องทำใจ ถ้าเขาเข้ามาใกล้ก็ขยับห่าง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ปล่อยมันให้เป็นไปไม่ใช่ขีดเส้นแบ่งตั้งแต่แรกพบ

 

               อยากจะเชื่อใจดูอีกสักครั้ง

 

               โดยเฉพาะในเวลาที่ได้รับความรู้สึกมากมายจากคนรอบกายแบบนี้ แต่เขากลับขีดเส้นมันและตอบกลับเป็นสิ่งของ มันก็สมควรแล้วที่คัตจังจะอยากบ่นว่า

 

               “เหอะ มั่นใจในตัวเองซะละเกินนะ”

 

               “คุณเป็นคนบอกผมเองนี่ครับว่าให้เชื่อมั่นในตัวเอง”

 

               “….”

               อิซึกุกำลังสงสัยว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ จนกระทั่งในตอนนั้นที่เธอยกปืนขึ้นพลางก้าวขาเข้ามาใกล้  อีกเพียงไม่ถึง 3 ฝ่ามือกระบอกปืนนั้นก็จะจ่อเข้ากับผิวเนื้อของเขาโดยตรงแล้ว เป็นระยะยิงที่หวังผลได้อย่างไม่ต้องสงสัย

               “งั้นเธอก็ตัดสินใจแล้วสินะ”

 

               ความเงียบคือคำตอบ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเธอจึงหยักขึ้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมา

 

               “ทั้งที่พูดจาอวดดีแบบนั้นแท้ๆ แต่ก็ยังกลัวอยู่เลยนี่”

 

               เธอว่าพลางเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว

 

               “คงต้องฝากไปขอโทษคาโอริด้วยแล้วล่ะนะ อิซึกุ”

 

               จนปากกระบอกปืนมาจ่ออยู่ที่กลางอก

 

               “ถ้าเธอเลือกพี่ มันคงไม่กลายเป็นแบบนี้…”

               เพล้ง!

               เสียงกระจกแตกดังขึ้นพร้อมเสียงระเบิด สายลมแรงจากฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกพัดเข้ามาภายในจนรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ในเวลานั้นหญิงสาวที่เตรียมตัวมาอย่างดีก็ไม่เปิดช่องว่าง เอ่ยสั่งการออกไปในความโกลาหล

 

“จัดการซะ!!!”

 

               เธอว่าก่อนที่ห้องซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควันจะปรากฏเงาของวิลเลินกลุ่มหนึ่งกระโจนเข้าไปต่อสู้กับฮีโร่ที่บุกเข้ามาทางหน้าต่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยทั้งสองฝ่ายต่างก็วางแผนมาแล้ว

 

               เดกุคิดไว้แล้วว่าคนที่เป็นเหตุให้เขายังต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และคนที่ต้องการเขามากที่สุดนั้นคือใคร ตั้งแต่ที่คุยกับคัตจังครั้งแรกแล้ว

 

               “เพราะงั้นแกคิดว่าที่ถูกตามอยู่…มีแค่เจ้าพวกนั้นสินะ”

 

            “…ใช่ ผมก็เลยคิดว่าอาจจะไม่เป็นอะไรมากเพราะเราต่างก็รู้จุดอ่อนกันดี…”

 

 

            เพราะงั้นก่อนที่เขาจะออกมาจากบ้านและระหว่างนั่งรถมาโรงพยาบาลก็คิดไว้แล้วว่าเวลาที่อีกฝ่ายสะดวกแก่การจู่โจมน่าจะมาถึงแล้ว เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่นอกทาร์ทารัสและยังอยู่ไกลหูไกลตาจากคนคุ้มกัน รวมถึงที่โรงพยาบาลเองก็มีบางจุดที่มีคนพลุกพล่าน เวลาที่อ่อนไหวเช่นนี้เหมาะแก่การลักพาตัวตัวเขาที่สุด แต่ที่ผิดคาดคงจะเป็นการที่อายะยังมีคนที่ยอมช่วยเหลือเธอมากถึงขนาดนี้

 

               แต่นั่นก็ไม่คณามือของฮีโร่สายต่อสู้อย่างบาคุชินจิอย่างที่เดกุคิด เพราะไม่นานเขาก็จัดการวิลเลินให้ลงไปหมอบกับพื้นและพร้อมจะช่วยอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่…

 

               “อย่าเข้ามา!”

 

               อายะที่ไปไหนได้ไม่ไกลยกปืนขึ้นจ่อขมับของอิซึกุแทนตัวประกัน มือข้างหนึ่งของเธอล็อกคอของเขาไว้พร้อมกับปุ่มอะไรบางอย่างในมือที่น่าอันตราย

 

               “ถ้าเข้ามาฉันจะระเบิดมันให้หมดนี่แหละ!”

 

               อิซึกุที่ยืนอยู่ถึงกับนิ่งงัน ดูเหมือนนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่คาดเอาไว้ ดูเหมือนในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านเธอคนนี้คงจะพบเจออะไรมามากมายจนตัดสินใจแบบนี้ไปเสียแล้ว

 

               “ชิ นี่แก…!”

 

               คัตจังเองก็พูดลำบาก ในแววตาของเขามีความโกรธเกรี้ยวและประกายสับสนที่อิซึกุไม่คิดจะได้เห็น มันคือความลำบากใจของเขาที่ตระหนักถึงการช่วยคน และอะไรอีกอย่างที่ทำให้คนใจร้อนสงบจนบรรยากาศเย็นเยียบผิดจากปกติที่เคยเจอมา

 

ในวินาทีนั้นคล้ายสลักในใจบางอย่างถูกกระทบ

 

               …ความสงสารกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอก…ทั้งที่พูดไปแบบนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจเสียแล้วว่านั่นคือความรู้สึกสงสารอย่างที่มั่นใจหรือไม่

 

               “หึ รักกันมากสินะ งั้นก็เลือกมาสิ เธอสองคนเลือกมาเลยว่าจะให้ใครตาย ถ้าเลือกได้ฉันก็จะยอมมอบตัว!”

 

               “ห๊ะ!”

 

               คนทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันและกันอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ ดวงตาสีเขียวและสีแดงเบิกกว้างอย่างพร้อมเพรียงกันในทันทีที่ได้ฟังข้อเสนอนั้น

 

               ถ้าหากบอกว่าไม่รักตัวกลัวตายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ในตัวมนุษย์นั้นสมองมักจะพยายามหาทางยื้อให้เรามีชีวิตอยู่จนถึงที่สุดที่มันจะทำได้ ทำให้ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกนี้มันยาก และในขณะเดียวกันมันก็จะเผยสัญชาตญาณในตัวออกมา

 

อายะอยากเห็นมัน เธออยากเห็นวิธีเอาตัวรอดในแบบของฮีโร่บาคุชินจิและเด็กชายที่อยากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างอิซึกุ อยากรู้ว่าพวกเขาจะทำร้ายกันแบบไหน และสุดท้ายในหัวใจของอีกฝ่ายที่ถูกกระทำจะกลายเป็นรูโบ๋อย่างไร ความหวังของพวกเขาที่ถูกทำลายลงเพราะความเชื่อจะเป็นเช่นเดียวกับเธอในตอนที่คิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นดั่งหวัง…

 

               …แต่สุดท้ายมันก็พังทลายในน้ำมือคนที่เธอเชื่อมั่น

 

               “ถ้ากล้าก็เอาสิ”

 

               “คัตจัง!”

 

               เธอมองไปที่ฮีโร่ที่เอ่ยปากก่อนด้วยความรู้สึกสมเพช

 

               “ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี แน่ใจเหรอว่าพร้อมจะเอาชีวิตมาทิ้งจริงๆ”

 

               ทำไมถึงไม่เดินออกไปแล้วทิ้งเด็กคนนี้ไปซะล่ะ เท่านั้นก็จบแล้ว

 

               “ไม่ได้นะครับ คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้!”

 

               “แล้วจะให้ฉันทิ้งแกหรือไงวะ!”

 

               หญิงสาวอยากจะขบขันกับบทโศกที่น่าอ้วกตรงหน้า เธออยากจะให้พวกเขาถอดหน้ากากออกเสียที

 

               “ไม่เป็นไร…”

 

               เสียงทุ้มดังจากคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ ในเวลานั้นเสียงหัวใจที่เต้นตุบอยู่ในอกคนตรงหน้าราวกับเชื่อมเข้ามาถึงหัวใจของเธอ เธอรับรู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังค่อยๆ คลายผนึกของจิตใจตัวเองอย่างช้าๆ มันคือความรู้สึกของมิโดริยะ อิซึกุ

 

               “ที่ผมมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็เป็นเพราะพี่ช่วยเอาไว้ มีชีวิตที่เริ่มเข้ารูปเข้ารอยได้ก็เพราะการปลอบประโลมที่ได้รับมา…”

 

               เธอรู้สึก…ว่าอะไรบางอย่างกำลังค่อยๆ หายไปจากจิตใจ บางอย่างที่เคยถ่วงลึกในนั้น

               ไม่ ฉัน…ช่วยเธอไว้ไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เธอเป็นหลาน เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉัน

               “พี่ช่วยผมไว้ได้สำเร็จจนกลายเป็นผมที่ช่วยคนไว้ได้มากมายเหมือนกับพี่”

               ไม่ ไม่ ไม่! ฉันช่วยใครไว้ไม่ได้เลย!

               “หยุดพูดได้แล้ว!”

               “แต่ผมทำร้ายความเชื่อใจของพี่ใช่ไหม ขอโทษนะครับที่ผมเลือกจะทำแบบนั้นเพื่อจุดประสงค์ที่ตรงกันข้าม”

               ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งโอบล้อมในใจ มันมาจากคำขอโทษที่ไม่จำเป็นนั้น และมาพร้อมกับความรู้สึกที่ราวกับจะโอบกอดใจของเธอเอาไว้ ไม่ใช่ นั่นคือความรู้สึกอยากจะปกป้องใครสักคนต่างหาก

 

เขาเติบโตขึ้นมาก

 

ในขณะที่เธอเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอดีต

 

               บางครั้งเธอเคยคิดว่าเขาจะเลือกความตายไหมหลังจากที่เสียคาโอริที่เป็นเพื่อนสนิทในห้องบำบัด เธอไม่กล้าตั้งความหวังว่าเขาจะไม่เลือกจบชีวิตตัวเองลง บางครั้งก็แอบกังวลว่าที่เขายังคงอยู่คือการทนอยู่หรือไม่และวันไหนเขาจะสิ้นหวังและเลือกจบชีวิตที่ไม่สวยงามดั่งดอกกุหลาบลง แต่ยิ่งนานวันเขาก็กลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเองก็ประหลาดใจกับพลังชีวิตและความเข้มแข็งของเด็กคนนี้

 

บางทีอาจเข้มแข็งมากกว่าเธอที่ผิดหวังกับการจากไปของคาโอริจนไม่อาจจะก้าวเดินไปในทางเดิมได้อีกก็ได้

               “ผมคิดว่าโลกที่ผมอยากเห็นและพี่อยากเห็นมีบางอย่างที่คล้ายกัน แต่วิธีการของพี่ไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่โลกที่ต้องกลับไปไร้อัตลักษณ์แต่เราก็แค่อยู่ด้วยกันโดยเข้าใจคนที่ต่าง แต่วิธีของผมมันคงไม่ทำให้โลกเป็นแบบที่พี่คาดหวังไว้ในพริบตา แต่มันน่าจะ…ไม่โหดร้ายแบบในอดีต ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงชีวิตผมจะจบลงตรงนี้ในวันหน้าก็จะมีคนแบบผมขึ้นมาอีก”

               “อย่า…”

               “พี่…จะฆ่าผมจริงๆ หรือเปล่า”

               เพราะอยู่ใกล้กันมากและเธอก็เปิดใช้อัตลักษณ์ตลอดเวลาเพื่อจับความรู้สึกของคนที่อยู่ในห้องว่ามีใครกำลังต่อต้านเธอหรือมีใครเข้ามาเพิ่มหรือไม่ แต่เพราะแบบนั้นมันจึงเหมือนดาบสองคมที่นอกจากจะให้ค่าแก่คนใช้แล้วยังถ่ายทอดความรู้สึกของคนใกล้ตัวเข้าไปในใจเธออีกด้วย

 

               บางครั้งเธอก็เกลียดอัตลักษณ์ของตัวเอง มันทำให้เธอได้รับรู้และรับผลกระทบจากความรู้สึกของผู้อื่นไปพร้อมๆ กันด้วย

               แกร็ก

               “แล้วถ้าฉันเลือกเขาเล่า”

               ในมือของเธอมีปืนที่ยื่นออกไปยังฮีโร่ที่ยืนคุมเชิงอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาในยามนี้เงียบมาตลอดจนเธอแอบคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่ก็ได้

 

               แต่เธอคิดผิด

 

               “เอาเลยสิ”

 

               “คัตจัง!”

 

               “เงียบไปซะเดกุ!!”

 

               “คัตจังนั่นแหละที่เงียบไปเลย!!”

 

               แต่ถึงจะถูกห้ามไว้ฮีโร่ตรงหน้าก็ยังเดินเข้ามาหามือของเธอจนปากกระบอกปืนประทับอยู่ตรงอกของเขา มือของบาคุชินจิจับมือของเธอไว้ มันสั่นไหว ไม่ มือของเธอต่างหากที่กำลังสั่นไหวในความรู้สึกที่ของเขาที่ตรงตามคำที่พูดออกมาว่าจะยอม…

 

               แล้วในตอนนั้นเองที่เหมือนกับความรู้สึกสองสายจากคนสองคนที่จับตัวเธอไว้แทรกเข้ามาในใจของตัวเอง มันคือความรู้สึกเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอสับสน

 

               ความรู้สึกที่ไม่อยากให้มีใครต้องเป็นอะไรไป ความเป็นห่วง ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องเอาไว้ และเธอคิดว่ามันอาจจะ…เป็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง

               ยังมีอีกความรู้สึก…ความรู้สึกที่ไม่เชื่อว่าเธอจะสามารถฆ่าได้ ความรู้สึกที่ยังเชื่อในตัวของเธอ คนที่เธอโอบกอดเอาไว้กำลัง…คาดหวังในคนที่ล้มเหลวเช่นเธอ

               มือนั้นสั่นไหวมากขึ้นจากความรู้สึกที่ไหลผ่านอัตลักษณ์เข้ามาสู่ใจ มันไม่ได้แข็งกร้าวกดดันให้เธอต้องยอมศิโรราบ แต่มันมีอำนาจปลุกความรู้สึกเก่าๆ ที่เธอฝังมันไว้หลังก้าวเข้าสู่เส้นทางของวิลเลินให้กลับคืนมา

 

               จะทำร้ายเขาไม่ได้

 

               “หยุดนะ!!”

 

               ปัง!!!

 

               เธอไม่อาจจะยอมให้ความรู้สึกนั้นเข้ามามีผลกับตนเองได้ ด้วยความทนไม่ได้นั้นเองเธอจึงต้องหยุดการใช้อัตลักษณ์ของตัวเองลง แล้วก็ยิงสิ่งที่อยู่ในมือออกไปตามความรู้สึกที่สับสน แล้วในวินาทีที่ลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าไม่มีใครอยู่ตรงข้ามกับเธอแล้ว

 

               เกิดอะไรขึ้น!?

 

               คำตอบมาพร้อมแรงกระแทกที่มาจากทางด้านหลังหัว ความมึนงงทำให้ตั้งตัวไม่ติด ร่างที่เคยอยู่ในฝ่ามือกำลังจะหลุดออกไปจากอ้อมแขน แต่ตอนนี้ที่ในมือมีแต่อาวุธทำให้เธอไม่สามารถจะคว้าตัวเขากลับมาได้อีกต่อไปแล้ว ร่างของเธอถูกกดให้คว่ำลงด้วยฝ่ามือใหญ่ก่อนจะถูกชิงเอาระเบิดปลอมนั้นไปจากตัว เช่นเดียวกับปืนที่ถูกปลดออกในเวลาต่อมาเช่นกันด้วยฝีมือของเด็กที่เธอเคยบอกว่าให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้

 

               ในยามนั้นเมื่อสิ้นหนทางและจิตใจเองก็อ่อนไหว แม้จะถูกจับให้นั่งลงโดยไม่มีมือของฮีโร่จับอยู่เธอก็ไม่คิดสู้อีก เพราะขนาดความรู้สึกของตัวเธอ มันยังเหมือนไม่ใช่ของเธอเลย

 

               อิซึกุหันไปมองร่างที่ยังก้มหน้าอยู่บนพื้นคล้ายเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดคำนึง

 

               “ทำไม…ถึงคิดว่าฉันฆ่าเธอไม่ได้”

 

               เธอก้มมองไปที่สองมือของตัวเอง ก่อนจะรู้สึกถึงร่างของเด็กในวันวานที่ยามนี้แม้จะย่อตัวลงจนอยู่ในระดับสายตาแต่ก็เติบโตสูงใหญ่ไม่เหลือเค้าความมืดมนที่ปกคลุมดั่งวันวาน

 

               มือของร่างนั้นจับที่มือทั้งสองของเธอ

 

               “เพราะผมเชื่อว่าถ้าเป็นคุณในอดีตจะต้องไม่ทำร้ายผมแน่ๆ”

 

               เพราะแม้แต่ในตอนที่เธอทิ้งเขาไว้ในฐานลับ ระเบิดนั่นก็ยังถูกตั้งเวลาไว้ให้ระเบิดช้าที่สุด มันเหมือนกับว่านั่นคือความปราณีที่ไม่อยากเห็นเขาต้องตายไปต่อหน้า หรือแม้แต่ในตอนนี้เองก็เช่นกัน เพราะเขาเชื่อว่าอายะที่ตัวเองรู้จักจะไม่ทำ ในเวลาเหล่านั้นที่เธอใช้อัตลักษณ์มันจึงส่งต่อความรู้สึกนั้นไปยังผู้ใช้และความรู้สึกนั้นก็คงไปปลุกช่วงเวลาที่เธอยังคง ‘อยากให้เขามีชีวิตที่ดี’ ที่เคยมีในอดีตให้กลับมาอีก แม้คนตรงหน้าจะเปลี่ยนไปแต่อดีตของเธอจะไม่เปลี่ยน

 

               ที่เธอทำทุกอย่างนี้ไปก็เริ่มจากความรักและความรู้สึก เธออุทิศทุกอย่างเพื่อเด็กๆ ในห้องบำบัด แต่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม และหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหญิงคาโอริที่เป็นหลานและญาตเพียงคนเดียวที่เธอคิดว่าตัวเองใส่ใจมากพอแล้ว แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ความรับผิดชอบ การโหยหาหนทางที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้นให้ได้ 100% พาเธอไปยังเส้นทางสีหม่น เขาไม่รู้ว่าในนั้นมีความโกรธตัวเอง โกรธโลกใบนี้ และสิ้นหวังอยู่มากแค่ไหน แต่มันก็คงจะมากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งยอมเดินทางผิดเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่อำนาจของคนธรรมดาไม่สามารถทำได้

 

               ที่เธอเว้นช่องว่างของเวลาเพื่อทำยาขึ้นมาก็เพราะอยากให้มันมีทางเลือก ทางเลือกที่จะเป็นคนะรรมดา ทางเลือกที่ทำให้คนในสังคมคิดว่าเป็นคนธรรมดาดีและปลอดภัยกว่า เธอสร้างทางเลือกเพราะถ้าเธอเลือกได้ก็คงไม่อยากให้มีใครตาย แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

 

               “อิซึ…กุ”

 

“พักเถอะนะครับพี่ หลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันทำความเข้าใจนะ”

 

หลังจากที่ได้ฟังคำนั้นร่างที่เคยห่มคลุมด้วยความรู้สึกผิด ความรับผิดชอบ ความปรารถนาอันแรงกล้าก็ราวกับได้รับการปลดปล่อย เธอหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับจับมือของเขาไว้แน่นท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวันที่ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง และภาพท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกที่กำลังสว่างขึ้นหลังฝนผ่านไป

 

 


 

 

// ไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจผู้หญิงคนนี้ไหมว่าทำไมเธอถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้ คำใบ้คงเป็นอัตลักษณ์ของเธอและความรู้สึก เราว่าความรู้สึกเป็นอีกตัวผกผันในชีวิตคนเราเลยนะคะ ถ้าให้เห็นชัดก็คงเป็นความรัก ในหนังเวลาพระเอกเย็นชารักนางเอกบางทีเขาก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่คิดว่าเขาจะเป้นใช่มั้ยล่ะคะ เราคิดว่าความรู้สึกอื่นก็คงพาเราไปได้ไกลในหลายๆ ทางเช่นกัน

 

เรียกได้ว่าจากคดีลักพาตัวคุณทาคาฮาชิก็มาบรรจบลงที่ตรงนี้เอง หลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของความรักของใครบางคนสองคน? ที่ต้องไปเคลียร์กันแล้วล่ะ เย่! หลังจากนี้พูดได้เลยว่าคนเขียนก็ไม่แน่ใจว่ามันจะไปในทางไหนกันแน่ ก็ตอนเขียนตอนแรกน่ะไม่คิดเลยว่านาย K (นามสมมติ) จะดูคลั่งรัก (ในบางมุม) ขนาดนี้ ‘^’

 

ขอให้พบกับวันที่ดีและมีความสุขนะคะ UwU

 

ปล.ขี้เกียจรวมเล่มจังทุกคน ต้องรีไรท์ตรวจอักษรตั้ง 60+ ตอนแน่ะ //ซื้อแผ่นแปะแก้ปวดรอ/// แต่เราจะพยายามนะ

Leave a comment