[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] END

Epilogue

ท่ามกลางลมหนาวที่พัดผ่านกลางเดือนธันวา ความหนาวเหน็บทำได้เพียงล้อมกรอบนอกห้องอุ่นที่ถูกปรับอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศ ม่านสีขาวที่ไม่อาจบดบังแสงอาทิตย์ของยามเช้าได้ปล่อยให้แสงลอดเข้ามาในห้องเพื่อปลุกคนที่กำลังหลับให้ตื่นจากในนิทรา แพขนตาสีเข้มขยับไปมาราวขนนกที่โบกสะบัดอย่างผะแผ่ว ก่อนจะโผบินในยามที่เจ้าของเปลือกตาสีเข้มลืมตาตื่น

            ดวงตาสีมรกตมองไปยังหน้าต่างซึ่งฉายภาพยามเช้าตรู่ แต่เมื่อนึกได้ว่าวันนี้ตนเองไม่ต้องไปทำงาน เจ้าของร่างก็ขยับพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่งเพื่อกลับไปนอนต่อ แต่มันก็ยากลำบากเหลือเกินราวกับมีอะไรที่หนักกว่าผ้าห่มมาทับตัวเองไว้

            มิโดริยะ อิซึกุกำลังจะกลับเข้าสู่ดินแดนแห่งความฝันอีกครั้งแต่เขาก็ต้องรู้สึกแปลกๆ เมื่อพยายามขดตัวเข้าใกล้หมอนข้างเท่าไหร่เจ้าหมอนข้างนั้นก็ยิ่งดูอุ่นขึ้นๆ เกินกว่าจะเป็นอุณหภูมิของผ้าห่มไปได้…

            เขางัวเงียยกมือขึ้นขยี้ตาก่อนจะตวัดตัวลุกขึ้นมานั่งบนเตียงนอน ในตอนนั้นเองที่มองไปอีกฟากแล้วไม่เห็นชั้นวางเอกสารสูงเป็นตั้ง ตู้เสื้อผ้าแบบเก่าที่เขามักจะใช้ และโต๊ะทำงานที่น่าจะรกระเนระนาด

            ไม่ใช่ห้องเรานี่นา

            หัวคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากัน ใบหน้าของคนเพิ่งตื่นมองไปรอบห้องก่อนจะมาหยุดอยู่ที่เตียงซึ่งใหญ่กว่าปกติ

            จำได้ว่าเมื่อวานกลับมาดึกมากแล้วระหว่างที่รอให้ฮีทเตอร์ทำงาน เขาก็ถูกคัตจังชวนมานั่งที่ห้องก่อน แต่ดูเหมือนเขาจะเผลอหลับไปรอบ พอตื่นขึ้นมาก็เพลียเกินกว่าจะแบกตัวเองกลับห้องแล้วจึงได้นอนต่อจนถึงเช้า

            พอคิดได้ดังนั้นคนที่หลับไปในบ้านคนรัก (อีกแล้ว) ก็คิดจะกลับห้อง แต่ทันทีที่ลุกขึ้น เอวบางก็ถูกแขนหนารั้งเข้าไปในอ้อมแขน

            “คัตจัง?”

            อิซึกุเรียกเบาๆ เพราะไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายตื่นมาตั้งแต่เมื่อไหร่

            “จะไปไหน”

            ใบหน้างัวเงียเอ่ยด้วยเสียงเครือแหบตามประสาคนเพิ่งตื่น ชายเจ้าของห้องที่ใบหน้าถูกปิดด้วยผ้าห่มหนามาตลอดยามนี้โผล่หน้าออกมาจากใต้ผ้าห่ม เขาอ้าปากหาวก่อนจะยิ่งกระชับเอวบางของคนที่นอนด้วยกันเข้ามาในอ้อมแขนใกล้เข้าไปอีก

            “ผมจะกลับห้องแล้ว” อิซึกุว่าพลางพยายามจะแกะมือปลาหมึกออก แต่ขึ้นชื่อว่ามือปลาหมึกแล้วจะยอมปล่อยง่ายๆ เสียที่ไหน

            “ทำที่นี่ก็ได้”

อีกฝ่ายพูดทั้งที่ตายังปิด แล้วยังขยับมาใกล้จนใช้จมูกคลอเคลียข้างเอวเขาเหมือนจะแกล้งกันอีก

            เหมือนเด็กไม่มีผิด

            อิซึกุเห็นแล้วก็ต้องถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเด็กตัวเล็กๆ จะยังจัดการง่ายกว่าเด็กไม่ยอมโตข้างๆ เขามากนัก

            “คัตจัง ผมต้องไปอาบน้ำ กินข้าว แล้วก็ทำงานที่ค้างอยู่นะ”

            เขายกแผนการทั้งหมดมาพูดเพื่อให้อีกฝ่ายยอมปล่อย คราวนี้ดูเหมือนคนเอาแต่ใจจะยอมลืมตามามองแต่ก็ไม่ยอมปล่อยแขนอยู่ดี แถมยังยื่นข้อเสนอที่เขาปัดทิ้งไปหลายรอบขึ้นมาอีกจนได้

            “จะยากอะไร แกก็ย้ายมาอยู่ที่นี่ดิ”

            อิซึกุถอนหายใจออกมาเบาๆ อีกรอบ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากอยู่กับอีกฝ่ายหรอกนะ แต่เขาเช่าห้องนั้นไว้แล้ว แถมราคาก็ไม่ใช่น้อยๆ จะคืนก็ไม่ได้ จะไว้เก็บของอย่างเดียวก็กระไรอยู่ ในนั้นมีเอกสารสำคัญมากมาย ถ้าเอาของของสองห้องมาไว้รวมในห้องเดียวยังไงก็น่าจะสร้างความอึดอัดให้เจ้าของบ้านแน่ๆ รวมถึงเขาเป็นพวกกลับดึก ดูแล้วคงจะมารบกวนอีกฝ่ายซะมากกว่า

            “อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง เดี๋ยวก็เจอกันแล้ว”

            ใช่ ใกล้กันแค่นี้เขาก็หัวใจจะวายแล้ว ถ้าต้องมาอยู่ด้วยกัน เจอกันทุกวันแล้วถูกมือปลาหมึกกอดได้ตลอดละก็สักวันนาฬิกาส่งสัญญาณคงต้องร้องขึ้นมาได้เองอีกแน่

            เป็นเวลาหลายเดือนแล้วที่เราคบกันมา ไม่ใช่อิซึกุไม่อยากอยู่กับอีกฝ่าย เพราะจริงๆ เขาก็ชอบเวลาที่ได้ถูกรักและถูกกอดเอาไว้ ยิ่งหน้าหนาวยิ่งกอดอุ่นเขาก็รู้สึกดีทุกครั้งที่ถูกคัตจังกอด แต่พวกเขาต่างคนก็ต่างมีงานที่ต้องทำ เวลาเลิกงานของเราบางครั้งก็ไม่สัมพันธ์กันเกินไป เขาไม่อยากให้คัตจังต้องรอเขากลับตอนดึก หรือต้องตื่นเพราะเขากลับบ้านดึกไม่ก็เช้าเกินไป

            มีแต่เจ้าของบ้านนี่แหละที่ไม่เข้าใจความรู้สึกของเขาบ้างเลย

            “เลิกกังวลได้แล้วน่า”

            ไม่รู้ว่าเพราะอยู่ด้วยกันนานพอสมควรแล้วไหม จากที่ไม่เข้าใจกันก็เหมือนจะรู้ใจกันมากขึ้น

            ร่างสูงค่อยๆ ยันตัวด้วยมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นมาจนแผ่นอกเปลือยเปล่าขยับพ้นผ้าห่มสีขาวขึ้นมา ใบหน้าคมมองไปยังคนที่นั่งจ๋องอยู่ข้างๆ อย่างรู้ทันจนคนที่ถูกจ้องต้องหาข้ออ้างอื่นมาเปลี่ยนเรื่อง

            “อ๊ะ หิมะแรกตกแล้วล่ะครับ”

            อิซึกุเอ่ยขึ้นพลางหันหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ซึ่งยามนี้ฉายภาพปุยหิมะสีขาวที่กำลังตกลงมาช้าๆ ตามฤดูกาลของมัน แต่คัตสึกิที่นอนด้วยกันกลับรู้ดีว่าอีกฝ่ายพยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องเขาจึงไม่ได้คลายอ้อมแขนนั้นออกตามที่อิซึกุคาดหวัง

            “ก็แค่หิมะ”

            แม้จะพูดแบบนั้นแต่ดวงตาสีทับทิมก็หันไปมองภาพที่ฉายอยู่ทางหน้าต่างนั้นเช่นกัน

            “แต่แค่แปบเดียวก็จะวันคริสต์มาสแล้ว ทั้งที่ตอนที่ผมได้เจอกับคัตจังเหมือนผ่านมาไม่กี่วันเอง”

จากวันที่ซากุระบานมาถึงวันที่หิมะแรกตก ระยะเวลาไม่ถึง 1 ปีได้พาพวกเขาไปเจอเรื่องต่างๆ มากมาย ทั้งผลักและดึงกันไปมาจนท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่ข้างกันได้อย่างไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาจะถูกโอบกอดไว้ด้วยอ้อมกอดของใครสักคนที่มองเขาอย่างที่เขาเป็นและรับมันไว้ทั้งหมด

“อย่ามาเปลี่ยนเรื่องให้ยาก เมื่อวันก่อนแกยังบอกเลยว่าจะย้ายมาอยู่ก็ได้”

“ตอนนั้นผมง่วงอยู่”

“แต่แกพูดแล้ว”

อิซึกุหันไปอีกทางอย่างจนแต้ม ส่วนคัตสึกิก็ไม่ยอมแพ้ เขาใช้ศอกยันตัวขึ้นมาแล้วใช้มือที่กอดเอวอีกฝ่ายไว้จับใบหน้าอุ่นนั้นให้หันมามองตน

อิซึกุยอมหันไปมองอีกฝ่าย แต่เพียงแค่วูบเดียวที่เขาได้สบกับดวงตาที่เว้าวอนคู่นั้นหัวใจชายหนุ่มก็อ่อนยวบ เมื่อรวมเข้ากับสัมผัสนุ่มนวลจากผ้าห่มอุ่นๆ และอ้อมกอดที่ปลอดภัยก่อนหน้านี้ เขาก็รู้ได้ทันทีเลยว่าตัวเองไม่อาจเอาชนะอีกฝ่าย

บางทีอาจเพราะฤดูหนาวนี้มันหนาวเกินไปเมื่อต้องอยู่เพียงลำพัง

“ก็ได้ครับ…” เขาพูดเสียงเบาอย่างยอมแพ้แก่ใจตัวเอง

“อะไรนะ” แต่คนขี้แกล้งก็ยังทำเหมือนไม่ได้ยินทั้งที่ในห้องก็มีกันอยู่แค่สองคนแท้ๆ

“ผมบอกว่าตกลง ผมจะย้ายมาอยู่ที่นี่…จนกว่าจะหมดฤดูหนาว”

“ห๊ะ เดี๋ยว เมื่อกี้แกยังไม่ได้บอกแบบนี้นี่หว่า!” อีกฝ่ายยันตัวลุกขึ้นมา

“ไหนว่าคัตจังไม่ได้ยินไง เมื่อกี้ผมพูดแบบนี้จริงๆ” อิซึกุอ้าง

            เพราะมิโดริยะ อิซึกุจะไม่ยอมให้บาคุโก คัตสึกิรังแก (ในหลายๆ ความหมาย) ได้อีกต่อไป

“หนอย…ชิ เออ”

อิซึกุแอบยกยิ้มเมื่อคนข้างๆ ยอมตกลง อย่างน้อยเวลา 1 ฤดูกาลก็เหมาะจะเป็นช่วงทดลองอยู่ด้วยกันดี แต่คนข้างๆ นั้นกลับไม่คิดเช่นนั้น ในใจคัตสึกิเก็บเรื่องราวในวันนี้ทบต้นทบดอกเจ้าคนแผนสูงไว้เรียบร้อย และตั้งมั่นว่ามันจะไม่จบแค่ 1 ฤดูกาลแน่  

“น่าจะถึงช่วงเดือน 3 ก็สัก 3 เดือนกว่าน่ะครับ” อิซึกุทวน

“เออ รู้แล้ว ไอ้เนิร์ดนี่ย้ำอยู่ได้”

ว่าจบอ้อมแขนนั้นก็ดึงอิซึกุให้ลงมานอนอีกครั้งอย่างไม่ให้ตั้งตัว อ้อมแขนนั้นยึดตัวอีกฝ่ายเอาไว้แน่นราวกับจะระบายความหมั่นเขี้ยวที่ถูกกลั่นแกล้ง แต่มันก็เป็นกรงจากผิวเนื้อที่อบอุ่นจนทำให้คนโดนกอดไม่อยากจะหนีไปไหนด้วยเช่นกัน

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่กว่าที่พวกเขาจะได้มีวันหยุดตรงกันแบบนี้ เพราะงั้นวันนี้จึงเป็นอีกวันหนึ่งที่พิเศษกว่าปกติเมื่อหิมะแรกของปีตกลงมาพอดี อากาศที่เริ่มจะเย็นตัวลงทำให้แพลนที่มีของอิซึกุค่อยๆ ถูกพับเก็บ เช่นเดียวกับบาคุโกที่ยังไม่คิดจะทำอะไรในเวลาเช้าๆ แบบนี้ แต่พอช่วงสายพวกเขาก็ได้เวลาลุกจากเตียงไปทำธุระของตน และเพราะนี่เป็นวันแรกที่เดกุจะมาอยู่กับเขา เพื่อกันการเปลี่ยนใจในภายหลังเจ้าของบ้านจึงรีบพาอีกฝ่ายไปย้ายของใช้ในชีวิตประจำวันมาไว้ที่ห้องของตน พอตกช่วงเย็นก็พากันออกไปซื้ออาหารสำหรับสองคนมาตุนเป็นเสบียง

ระหว่างทางที่เดินไปร้านสะดวกซื้อนั้นอิซึกุก็นึกถึงอะไรขึ้นมา

“มาซื้อของด้วยกันเหมือนตอนนั้นเลยนะครับ”

            เขาเอ่ยขึ้นขณะกำลังเดินไปเรื่อยๆ ในย่านการค้าที่มีทั้งห้างสรรพสินค้าและร้านขายของเฉพาะแต่ละอย่างตั้งเรียงรายอยู่ตามทาง บางร้านก็เป็นร้านที่ขายเฉพาะผลไม้ ร้านชา ร้านบุฟเฟต์ขนมเค้ก และที่เขาจำได้ดีก็มีร้านเนื้อย่างเจ้าเดียวกับร้านที่เคยไปกินกับคัตจังแต่เป็นสาขาใหม่ก็ตั้งอยู่แถวนั้น

            “อา…ตอนนั้นแกน่าร…”

            คัตสึกิกำลังจะหลุดปากไปว่าตอนนั้นแกน่ารักชะมัด แต่เขาก็หยุดคำเอาไว้ก่อน

            “ตอนนั้นผมยังความจำเสื่อมอยู่เลย แล้วก็เรียกคัตจังว่าคุณบาคุโกกับคุณคัต…”

            คุณคัตสึกิ

            อา…อิซึกุกำลังจะพูดแล้วก็ต้องหยุดพูดไปกลางอากาศเมื่อคำพูดที่เคยพูดได้บัดนี้น่าอายเกินไปที่จะพูดออกมา

            คนทั้งสองต่างนิ่งเงียบไปด้วยเหตุผลของแต่ละคนที่ต่างกัน แต่บรรยากาศรอบกายกลับเริ่มอุ่นจนร้อนเมื่อคิดถึงเรื่องในอดีต

            เป็นอดีตที่เกิดอะไรขึ้นมากมายจนไม่รู้จะเล่าจากตรงไหนดี มันเหมือนไม่ใช่แค่ 1 ปี แต่คลับคล้ายจะต้องย้อนไปถึงเมื่อ 20 ปีก่อนตอนพวกเขายังอายุ 5 ขวบ เรื่องราวของการพบเจอ แยกจาก แล้วก็วนมาอีกครั้งนี้ดูเหมือนไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้ว จากวันนั้นที่ไม่สามารถจับมือกันได้ ในที่สุดวันที่พวกเขาจับมือเดินไปด้วยกันก็มาถึง

            ฟึ่บ

            อิซึกุทำท่าจะล้มหน้าคว่ำลงไปเมื่อบริเวณหิมะที่ตนเหยียบลงเตี้ยกว่าที่คาดไว้ ทำให้คนที่เดินอยู่ข้างๆ ต้องจับมือนั้นเอาไว้แล้วพยุงตัวขึ้นมา

            “แกนี่นะ”

            “ฮะๆ ขอโทษนะ”

            แม้จะบ่นแบบนั้นแต่ก็ช่วยดึงกันและกันกลับมาเดินต่อไปได้ ส่วนมือทั้งสองที่จับกันอยู่ก็ถูกดึงไปไว้ในกระเป๋าเสื้อโค้ทของร่างสูงกว่าเพื่อป้องกันลมหนาวที่พัดผ่าน โดยที่ไม่มีใครแย้งเรื่องมือที่จับกันอยู่นี้

            ความหวาดกลัวจากน้ำมือกันและกันค่อยๆ มลายจางไปจนสามารถวางมือลงบนนั้นได้อย่างอุ่นใจ ยิ่งมือนั้นอบอุ่นอยู่เป็นทุนเดิมก็ทำให้คนขี้กังวลที่ถูกจับมืออยู่เป็นฝ่ายขยับไปใกล้ๆ เพื่อให้มือนั้นสอดประสานกันได้อย่างสนิท

            ท่ามกลางบรรยากาศช่วงก่อนคริสต์มาสที่เริ่มมีของประดับประดาหน้าร้านเรียงรายอยู่เต็มทาง อิซึกุมองทัศนียภาพที่เหมือนวันวานแต่ความรู้สึกกลับต่างไปนี้ด้วยรอยยิ้มอันส่งไปถึงดวงตา

            “ไม่คิดเลยนะครับว่าไม่ถึงปีเราจะกลายเป็นแบบนี้กันได้”

            “หา พูดเหมือนกลายเป็นอะไรแย่ๆ งั้นแหละ”

            “เปล่าสักหน่อย ไม่แย่เลย…”

            อิซึกุยังคงเดินไปข้างหน้า พวกเขายังจับมือจูงกันเดินไป แม้จะไม่รู้ว่าจะสามารถจูงกันไปได้จนถึงเวลาไหน แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันแล้วเขาก็จะถนอมวันเวลาในทุกวันไว้ให้มันดีที่สุด

            ถ้าอยู่กันได้ตลอดไปก็คงดี แต่ถ้าวันที่ต้องแยกจากมาถึงเขาก็จะเก็บมันไว้ในฐานะความทรงจำที่มีความสุข

            “มันก็มีทั้งที่ดีและไม่ดี แต่ว่า…ผมคิดว่าผมดีใจนะที่ได้เจอคัตจังอีกครั้ง”

            มือเล็กที่อ่อนนุ่มจากหน้าที่การงานที่ต้องใช้แป้นพิมพ์ซะส่วนใหญ่จับกระชับมือหนาที่ด้านจากการต่อสู้เอาไว้แน่น ทุกคำที่เขาพูดนั้นเอ่ยออกไปจากใจจริง เพราะเขาก็ไม่คิดเหมือนกันว่าระยะเวลาเพียงไม่กี่ฤดูกาลจะพาให้เขาและคนข้างๆ มากันได้ไกลขนาดนี้ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องงาน และความรัก ทุกแผนการที่แน่นอนของอิซึกุเปลี่ยนไปเมื่อมีคนข้างๆ เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตของเขา

            แต่มันไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีหรอกนะ

            เช่นเดียวกับคัตสึกิ ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไรแต่มือนั้นกลับกระชับแน่นเข้าหามือของอีกฝ่าย ความอบอุ่นจากฝ่ามือส่งผ่านไปยังคนที่จะเดินด้วยกันต่อจากนี้ไปเรื่อยๆ

            ในฤดูหนาวที่แสงอาทิตย์ทอลอดม่านเมฆอย่างอ่อนโยน คนสองคนที่พบเจอกัน แยกจาก และกลับมาพบกันอีกครั้งกำลังเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคงโดยมีมือของกันและกันจับกันไว้ เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเท้าสองคู่ที่เดินเคียงกันไปอย่างมั่นคง

END


Talk & Thanks

จบแล้วค่ะ ใจหายจัง เคยคิดมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะเขียนจบน้า แต่พอจบจริงๆ แล้วเหมือนมีอะไรหายไปเลยค่ะ แต่ก็ดีใจมากที่สามารถเดินทางมาถึงตอนจบของเรื่องยาวได้ รู้สึกว่าตัวเองพิชิตเรื่องยาวได้อีกครั้งแล้ว เย่ 

เรื่องนี้เขียนขึ้นช่วงเดือนมิถุนายน 2018 

เขียนจบในวันที่ 8 กันยายน 2020 

ตีคร่าวๆ ก็ราว 2 ปี 

นานจริงๆ เลยค่ะ เพราะงั้นเราจึงอยากขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาตั้งแต่ตอนแรก บางคนก็ติดตามตั้งแต่เราเปิดเรื่องทั้งที่ไม่รู้ว่าเราจะพาไปเจอเรื่องแบบไหน ขอขอบคุณทุกคนมากจริงๆ นะคะ ทุกคอมเมนต์ที่เขียนให้เรา คือแรงใจชั้นดีที่ทำให้เราทำเรื่องนี้จนจบได้ เรารับรู้ในกำลังใจของทุกคนที่ส่งผ่านมาทางตัวหนังสือและอยากขอบคุณจากใจจริงที่เปิดใจรับฟังเรื่องราวของเรามาจนถึงตอนนี้ไม่ว่าคุณจะติดตามกันมาตั้งแต่ตอนไหนก็ตาม 

สำหรับนักอ่านที่เราจะได้เจอกันในอนาคต ถ้าหากว่าได้มาอ่านเรื่องนี้หลังจากที่เราเขียนจบไปแล้ว เราก็ขอขอบคุณที่เลือกจะเดินทางไปกับเรื่องราวของเราเช่นกันนะคะ ถ้าคอมเมนต์ไว้ให้เราก็ขอบคุณมากเลยค่ะ 

เศร้าจังเลย ;-; อะไรกันเดี๋ยวก็เขียนฟิคยาวคัตเดอีกนั่นแหละ บอกลายาวจริง 55555 แต่ก็คิดว่าอาจจะปีหน้าเลยค่ะกว่าจะได้เขียนเรื่องยาวอีก ช่วงนี้เป็นช่วงเปลี่ยนผ่านหลายๆ อย่างในชีวิตเราค่ะ คือเราเรียนจบแล้วนะ ดูสิ เขียนตั้งแต่ยังเรียนไม่จบจนจบอ่ะ เราอยู่กันมานานจังเลย 555 


About Plot


อยากเขียนให้เป็นเรื่องที่กลับมาอ่านในครั้งที่ 2 ไม่เหมือนครั้งแรก

เดกุที่ไร้อัตลักษณ์จะไปต่อยังไงนะ

ถ้าไม่มีอัตลักษณ์คัตเดจะรักกันยังไง

เมื่อ 2 ปีก่อน มีนักอ่านบางท่านกลับมาอ่านเรื่อง Nebbia ของเราอีกครั้งแล้วคอมเม้นทิ้งไว้ว่ากลับมาอ่านอีกแล้ว เราจึงอยากเขียนเรื่องที่คุณอ่านครั้งที่ 2 แล้วอาจจะรู้สึกต่างออกไป ด้วยการเอาอดีตไปไว้ตรงกลางเรื่องให้ทุกคนรู้พร้อมคัตจังค่ะ บางทีถ้าย้อนกลับไปอ่านตอนแรกอาจจะรู้สึกต่างจากเดิมก็ได้ เราจึงวางพล็อตไว้แบบนี้ค่ะ ไม่รู้ว่าจะทำให้คนที่อ่านครั้งที่ 2 รู้สึกว่ามู้ดครึ่งแรกมันต่างไปมั้ย แต่ถ้าทำได้ก็จะดีใจมากเลยค่ะ 

ในอนาคตหากคุณและเรานึกครึ้มใจ (?) กลับมาที่นี่อีกครั้ง อ่านมันและพบจุดดีจุดแย่ มุมมองอาจต่างออกไป เราอยากรู้ว่าระยะเวลาจะทำให้เราและคุณมองฟิคเรื่องนี้เปลี่ยนไปด้วยไหม และต่อให้คุณจะไม่กลับมาอ่านมันอีก เราก็รู้สึกดีใจค่ะที่เราสร้างมันสำเร็จแล้ว

แด่คุณที่ยังเข้ามาอ่านฟิคฉันซ้ำๆ …


Pre-Order Zone

และสำหรับนักอ่านที่อยากอ่านแบบกระดาษ เราขอนำเสนอแบบรูปเล่ม !!

Video by Joel Dunn from Pexels Edit on Canva | ไม่ใช่ภาพปก

สามารถสั่งจองเล่มได้ทาง Link สั่งจองเล่ม <

ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2020

ภาพปกจริงมาวันที่ 22 กันยายน 2020


สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณทุกคนที่ตามกันมาจนถึงตอนนี้ 

หลังจากนี้จะมีตอนพิเศษสั้นๆ มาบ้าง และอาจจะมีการอัพเดตหนังสือ

ขอฝากด้วยนะคะ //โบกผ้าเช็ดหน้า


Contact

Facebook | Twitter | ReadAWrite


[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 63

 

 

63

กลับบ้านกัน

 

 

หลังจากฟังคำนั้นจบโลกทั้งโลกของอิซึกุก็ราวกับจะหยุดหมุน ถ้อยคำของอีกฝ่ายพาเขาเข้าไปในโลกที่เรียบง่ายแต่ชัดเจน ภาพการใช้ชีวิตประจำวันที่ธรรมดาจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น และเมื่อเขาได้สัมผัสกับมันครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่สามารถจะปฏิเสธว่าไม่ต้องการมันอีก

 

เขาก็…เห็นภาพแบบเดียวกับคัตจัง

 

แต่เขาก็ไม่สามารถตอบออกไปได้ในทันที เพราะแม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะพูดออกมาได้แบบนี้ พอถึงทีที่ต้องตอบ อิซึกุกลับพบว่าในใจของเขามีความกลัวบางอย่างซ่อนอยู่ ทั้งรู้สึกดี ตกใจ และกังวล ความรู้สึกทั้งหมดเหมือนกับจะระเบิดออกมาในใจของเขา

 

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

 

ในเวลาที่เงียบงันนั้นเองเสียงบางอย่างก็ดังขึ้นเรียกสายตาของคนทั้งสองให้มองมาในทางเดียวกัน ต้นเสียงนั่นก็คือกำไลสีดำบนข้อมือของคัตสึกิ

 

บาคุโก คัตสึกิยกเครื่องรับสัญญาณรูปนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจะพบว่าหน้าจอของมันกำลังแจ้งเตือนอัตราการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของคนที่เขาดูแลอยู่ พอเห็นดังนั้นร่างสูงก็กระตุกยิ้มมุมปากพลางมองไปที่อีกฝ่าย

 

“มีอะไรเหรอ ผม…ผมไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

 

อิซึกุสำรวจตัวเองก็ไม่พบว่าจะมีอะไรผิดปกติไป จนเขาต้องยกเครื่องส่งสัญญาณของตัวเองขึ้นมาดูเผื่อว่าจะเจอต้นตอเสียงที่ว่า แล้วตอนนั้นเองเขาก็ได้เห็นว่าหน้าจอกำลังแจ้งเตือนว่าอัตราการเต้นของหัวใจของเขาเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน ด้วยเหตุนั้นมันจึงส่งการแจ้งเตือนไปยังฝั่งผู้รับให้แล้ว และขอให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง

 

อิซึกุมุ่นคิ้วเข้าหากัน

 

เขาอยากจะบ่นความแสนรู้ของเจ้าเครื่องนี้ที่มีมากเกินไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่พยายามควบคุมตัวเองให้ใจเย็นลงมากกว่านี้

 

“ใจเต้นขนาดนี้เชียวเหรอ”

 

คนพูดเอ่ยพร้อมกับกดรับอะไรบางอย่างจนทำให้สัญญาณหยุดลง แต่เสียงกึ่งเย้ากึ่งหยอกที่เอ่ยมาจากอีกฟาก ก็ทำให้อิซึกุที่แก้มเป็นสีแดงอยู่แล้วยิ่งแดงเข้าไปใหญ่

 

นี่เขาขอยกเลิกสัญญาได้มั้ย ยกเลิกสัญญาเลยได้รึเปล่า

 

อิซึกุก้มหน้างุดไม่รู้จะตอบกลับยังไง คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามที่รู้สึกว่าตัวเองคงแกล้งอีกฝ่ายมากไปเลยตัดสินใจเอ่ยต่อ

 

“แล้วแกจะไม่ตอบอะไรฉันหน่อยหรือไง”

 

“ผม…ยังไม่แน่ใจ”

 

เขาตอบตามจริง แม้ว่าจะรู้สึกดีกับคำที่อีกฝ่ายพูดมาแต่เขากลับไม่แน่ใจว่าแบบนี้ดีแล้วหรือไม่ มีบางอย่างในใจเขาถ่วงเอาไว้ให้ไม่สามารถตอบไปตามความรู้สึกได้อยู่ และเขารู้ว่าตัวเองควรจะกลับไปทบทวนความรู้สึกนั้นก่อนจะมอบคำตอบให้อีกฝ่าย

 

เขาเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายช้าๆ พยายามหาว่ามีอะไรแปลกไปในคำพูดนั้นหรือไม่ แต่สุดท้ายยิ่งมองใบหน้าหล่อเหล่าที่กำลังมองเขาอย่างจริงจังแล้วใจของอิซึกุก็หวาดหวั่นอีกรอบ

 

“แล้วแกเกลียดสิ่งที่ฉันพูดไปมั้ย”

 

“ไม่”

 

เขาตอบได้ในทันที และแน่แท้แก่ใจว่าเขาไม่ได้เกลียดสิ่งนั้นจริงๆ แต่ถ้าถามว่าเขารู้สึกแบบไหนมันก็คงมีทั้งความกังวล ดีใจ เครียด เหมือนหัวใจจะระเบิด

 

ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ ติ๊ดๆ

 

คราวนี้เสียงนาฬิกาสีดำฝั่งตรงข้ามดังขึ้นอีกรอบ และอิซึกุก็คิดว่าเขาไม่มีหน้าจะอายไปมากกว่านี้แล้วจึงได้ลุกขึ้นเตรียมจะเผ่นออกไปจากสถานการณ์นี้ซะ

 

“มะ ไม่ไหว ผมขอไป…”

 

แต่ก็ถูกคนที่เร็วกว่าคว้ามือเอาไว้ได้ทัน แรงมือที่จับไว้นั้นไม่ทำให้เจ็บแต่อย่างใด แต่มันก็แน่นมากจนคนที่ถูกจับต้องหันหน้ามามองอีกฝ่ายทั้งใบหน้ากังวลใจ

 

ตอนแรกคัตสึกิก็อยากจะหัวเราะออกมา แต่พอเห็นใบหน้าแดงกับดวงตาที่สั่นไหวราวกับจะมีน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อแล้วก็ได้แต่กลืนความรู้สึกนั้นลงไปแล้วตีหน้านิ่งเอ่ยอธิบายให้อีกฝ่ายได้รับทราบ

 

“ก่อนหน้านี้ฉันเปลี่ยนระดับการแจ้งเตือนให้มันอ่อนไหวกว่าปกติเอง มันก็แค่ส่งมาเพราะอัตรามันเปลี่ยนอย่างฉับพลันเท่านั้นแหละน่า”

 

“แต่ว่า…”

 

“เดี๋ยวแก้กลับก็เป็นปกติแล้วนั่นแหละ แล้วแกจะไปไหนห๊ะ เจ้าเนิร์ดงั่งนี่”

 

อิซึกุนิ่งไป พอคิดตามแล้วเขาก็เข้าใจว่าตัวเองไม่ได้แปลกไปจริงๆ แล้วอีกอย่างก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนอีกด้วย ยังไงนี่ก็บ้านของเขา ไปไกลแค่ไหนก็ต้องกลับมา สุดท้ายเขาจึงยอมกลับไปนั่งลงที่เดิมตามที่อีกฝ่ายว่า

 

“คัตจังไปเปลี่ยนระดับการแจ้งเตือนตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ แบบนั้นมันจะทำให้ส่งสัญญาณบ่อยขึ้นไม่ใช่เหรอ” เขาถามสิ่งที่คาใจออกไป

 

“ก็เพราะแกชอบเอาตัวไปเสี่ยงแล้วไม่ยอมบอกนั่นแหละ ชิ ปรับให้แล้ว คราวนี้แกตอบคำถามฉันได้แล้วสินะ”

 

ชายหนุ่มกดอะไรมากมายในหน้าจอก่อนจะหันมามองคนตรงหน้า แต่อิซึกุก็ยังคิดอยู่ดีว่าเขายังไม่พร้อมจะตอบ

 

“ผมขอเวลาอีกหน่อยได้ไหม”

 

คนฟังนิ่งไปพักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมรับข้อเรียกร้องของเขา

 

 

 

ในวันนั้นคัตจังก็ช่วยเขาจัดบ้านจนเสร็จ หลังจากนั้นก็มีบางทีที่เราได้เจอกันบ้างเวลาที่ผ่านถนนเส้นเดียวกันตอนกลับหรือเริ่มงาน ตลอดเวลานั้นอิซึกุยังจดจำคำสารภาพรักที่อีกฝ่ายมอบให้กับเขาได้เป็นอย่างดี มันดีมากจนทำเขาเผลอใจลอยไปหลายวัน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรใจของเขาก็ยังคงหนักอึ้ง เหมือนมีหินก้อนหนึ่งดึงรั้งคำตอบที่ควรจะบอกออกไปได้นานแล้วเอาไว้

 

เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคำตอบรับมันจะพูดออกไปยากขนาดนี้ และถ้าให้พูดตามจริงเขาอยากจะบอกออกไป แต่พอจะพูดเสียงก็กลับเบาหวิว เหมือนมันไม่มั่นใจว่าจะพูดออกไปได้ และเขาก็จำได้ดีถึงคำที่ดอกเตอร์เคยบอกไว้ว่าถ้าเขารู้สึกเหมือนกันก็จะมั่นใจกับความรู้สึกนั้น แต่เมื่อลองถามใจตัวเองดูเขากลับยังมีความรู้สึกไม่แน่นอนซ่อนอยู่

 

ตลอดหลายวันที่ผ่านมาบางครั้งคัตจังก็จะแบ่งขนมหรืออาหารที่ทำมาให้เขาบ้าง ต่อให้ไม่ได้เจอกันเขาก็จะยังเห็นมันถูกแขวนไว้ที่หน้าห้อง เมื่อมองไปที่ของเหล่านั้นแล้วเขาก็จะจำได้อีกครั้งว่าอีกฝ่ายพูดอะไรไว้กับเขาไว้

 

            …เวลาที่ฉันทำอาหารมันก็จะมีส่วนของแกเกินมาตลอด…

 

พอคิดถึงคำพูดเหล่านั้นเขาก็รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันในหัวสมองของเขาก็ย้ำเตือนว่าตัวเองยังมีคำตอบรับที่ยังไม่ได้มอบให้อีกฝ่ายติดค้างไว้อยู่ ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากเท่าไหร่เขาก็กังวลกับมันมากขึ้นเท่านั้น จากที่ไม่เคยหลบเลี่ยงอีกฝ่ายเขาก็เลือกที่จะหลบหน้าบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

 

อิซึกุพยายามคิดว่าอะไรกันที่ดึงตัวเขาเอาไว้ให้ไม่อยากก้าวออกไปข้างหน้าตามคำที่เคยว่าไว้กับอายะ แต่เขาก็พบเพียงความกังวลที่รวมหลายความรู้สึกไว้ข้างในจนไม่อาจแยกมาพิจารณาเป็นส่วนๆ ได้

 

พอเป็นเรื่องของตัวเองแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ง่าย

 

ถ้าหากเขาไม่ใช่ตัวเองแล้วมองตัวเองจากสายตาของคนนอก ตอนนี้เขาก็คงไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมคนรักกันสองคนจึงยังไม่ตกลงคบกันอีก

 

อิซึกุไม่เข้าใจตัวเองเลยสักนิดจนกระทั่งวันหนึ่งที่เขาออกมาทำงานนอกสถานที่ ในระหว่างทางกลับบ้านที่ถนนทั้งเส้นมีผู้คนหนาแน่นจนเดินไปได้อย่างเชื่องช้า เขาเดินมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ทางข้ามม้าลายขนาดใหญ่ที่มีคนรออยู่คราคร่ำ ในตอนนั้นเองที่เขาสะดุ้งขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงชัตเตอร์ข้างๆ ตัว

 

“อุ้ย ขอโทษค่ะ”

 

เด็กหญิงในชุดนักเรียนสองคนหันมาขอโทษเขาทันทีที่เขาหันมองไป เธอเดินออกห่างไปข้างหลังนิดหน่อยเพื่อไม่ให้ตัวเองไปรบกวนคนที่ยืนอยู่ ส่วนอิซึกุก็มองตามองศาโทรศัพท์ของเธอจนไปเห็นป้ายโฆษณาเสื้อผ้าที่มีนายแบบเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตาของเขาเอง

 

คัตจัง…

 

ในตอนนั้นเหมือนกับว่าอิซึกุจะเข้าใจตัวเองขึ้นมาได้

 

เขายกมือขึ้นกำสายกระเป๋าสะพายข้างก่อนจะเริ่มเข้าใจว่าอะไรที่ทำให้ตัวเองหวาดหวั่นกับความสัมพันธ์เหล่านี้

 

อย่างแรกที่อิซึกุได้รู้และรู้มาโดยตลอดก็คือตัวเองกำลังหลบอยู่หลังประตูอันปลอดภัย หลังประตูนั้นมีสิ่งต่างๆ ที่เขาเก็บรักษาและดูแลตัวเขาให้กลายเป็นเขาในทุกวันนี้ นั่นก็คือครอบครัว คนในสำนักงานวิเคราะห์ฯ และหน้าที่การงานที่เหมาะสมกับตัวเขา ที่ด้านหลังนั้นเป็นสถานที่ที่สามารถอยู่ได้อย่างสบายไปตลอดชีวิต ต่างจากด้านนอกที่เต็มไปด้วยความเสี่ยงและมีหลุดระเบิดยักษ์อย่างอิชิอิที่เคยมีเรื่องกับเขาซ่อนอยู่

 

ถ้าไม่ออกไปก็จะไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง แต่นานวันเข้าเมื่อคนเราเติบโตขึ้นความรู้สึกที่อยากจะลองออกไปเผชิญกับเรื่องต่างๆ อีกครั้งก็ทำให้ประตูที่เคยปิดค่อยๆ แง้มเปิดออกมาให้ได้มองด้านนอกทีละนิด

 

ตอนแรกก็ควรจะต้องค่อยๆ ก้าวไปอย่างมั่นคงทีละก้าวๆ อิซึกุคิดแบบนั้น แต่ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน อิซึกุยังอยู่ที่เดิมของตัวเองแต่วันหนึ่งเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เจอกันมากว่า 10 ปีก็เดินเข้ามาในโซนปลอดภัยของเขา

 

ด้วยหน้าที่การงานและนิสัยของอีกฝ่าย ไม่ทันได้รู้ตัวอิซึกุก็ออกมาไกลกว่าโซนเดิมของตัวเองแล้วมากนัก ในระหว่างที่เผชิญความเสี่ยงต่างๆ ที่มีทั้งดีและร้ายปะปนกันไป เขาก็ไม่ทันได้รู้ตัวว่าความรู้สึกชอบที่มีอยู่นั้นมันขยับไปมากกว่าที่คิด โดยเฉพาะเวลาที่ได้เจอเรื่องต่างๆ และได้ผ่านมันไปด้วยกัน โลกที่เคยน่ากลัวก็เหมือนจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิดไว้

 

อยากจะอยู่ข้างๆ กันต่อ

 

เขาแน่ใจในความรู้สึกนั้น แต่เมื่อมองไปที่อีกฝ่ายเขาก็ค้นพบว่าระหว่างเรานั้นแตกต่างกันมาก และเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะดีพอหรือไม่

 

ความรู้สึกว่าหวาดกลัวว่าตัวจะดีไม่พอนี้จะอีกกี่ปีก็ยากจะแก้ไข

 

ยิ่งมองไปที่อีกฝ่ายซึ่งถูกจับจ้องจากสังคมรอบข้างเขาก็กังวลว่าตัวเองจะสามารถไปยืนเคียงข้างอีกฝ่ายได้จริงหรือไม่

 

เขาไม่ชอบสถานการณ์ที่ต้องถูกจับจ้อง อิซึกุคิดว่าตัวเองน่าจะไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคัตสึกิ มันเกิดขึ้นตั้งแต่ที่เขาถูกถ่ายภาพไว้บนดาดฟ้าวันนั้น แม้ว่าภาพจะถูกลบไปหมดแล้วด้วยประโยชน์ของเขาและคู่กรณีแต่เขาก็ยังไม่ชอบการเป็นที่จับตามองของคนที่ไม่รู้จัก ไม่ชอบเวลาที่มีสายตามองมา เพราะไม่รู้ว่าในใจของคนเหล่านั้นกำลังคิดอะไรอยู่ ทำให้ในหัวของเขาจินตนาการถึงคำพูดแย่ๆ แบบที่เคยโดนมาตลอด

 

แต่ถ้าจะเคียงข้างอีกฝ่ายก็อาจจะมีบางครั้งที่ต้องรับแสงแฟลช เขาจะถูกพูดถึงบ้างหรือไม่ จะถูกวิจารณ์หน้าตา หน้าที่การงาน อัตลักษณ์ เพศ หรือความเหมาะสมโดยสายตาผู้อื่นหรือไม่ เขากลัวว่าถ้าตอนนั้นมาถึงเขาจะไม่เข้มแข็งพอจนเป็นภาระให้กับคัตจัง

 

เดกุรู้ว่าตัวเองอยากไปยืนอยู่ในจุดที่อีกฝ่ายยื่นมือมาให้ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองดีพอหรือไม่ ยิ่งอีกฝ่ายยังมีโอกาสที่จะได้เลือก เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถเลือกคนที่ดีกว่าเขาได้อีกมากมายนัก

 

เขาอยากคว้ามือของอีกฝ่ายไว้ แต่ก็รู้ว่าตัวเองอ่อนแอจนอาจจะเผลอเป็นฝ่ายปล่อยมือจากอีกฝ่ายเสียเอง

 

ยิ่งเวลาผ่านไปนานมากขึ้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะตอบอีกฝ่ายว่าอย่างไร จะให้บอกว่าเขารู้สึกแบบนี้ช่วยจับมือเขาให้แน่นๆ หน่อยแม้ว่าเขาจะอ่อนแอจนเผลอปล่อยมือในบางครั้งแบบนั้นก็ดูจะเห็นแก่ตัวเกินไป แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้เขาก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไปแล้ว

 

คนเห็นแก่ตัว

 

อยากเดินหน้าแต่ก็ไม่กล้า จะถอยหลังก็ไม่อยาก หยุดนิ่งยื้อเวลาไปวันๆ อย่างไม่รู้ว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน

 

อิซึกุละสายตาจากหน้าจอขนาดยักษ์ย่านการค้านั้นแล้วเดินข้ามถนนไปยังอีกฟาก ทุกย่างก้าวที่เดินผ่านนั้นเต็มไปด้วยความคิดมากมาย จิตใจที่หนักอึ้งแม้จะได้เข้าใจแล้วก็ไม่อาจหาข้อสรุปได้อยู่ดีว่าจะทำอย่างไรต่อ ดังนั้นคืนนั้นเมื่อกลับจากที่ทำงานเขาจึงออกไปหาอะไรดื่มก่อนจะกลับบ้าน

 

 

 

คัตสึกิรู้สึกว่าเดกุแปลกๆ ไป

 

ตอนแรกที่เขาพูดประโยคนั้นออกไปและอีกฝ่ายเอ่ยปากขอเวลา เขาก็คิดว่าเจ้านั่นต้องการเวลาในการกลับไปเรียบเรียงความคิดตัวเองเพื่อตอบกลับก็เท่านั้น ในตอนที่เห็นอีกฝ่ายดูจะเก้ๆ กังๆ ใส่ก็เห็นว่ามันเป็นเป็นเรื่องปกติที่เจ้านั่นจะแตกตื่น แต่เขาไม่คิดว่าใบหน้าอิดโรยและคร่ำเคร่งจนไม่สังเกตเห็นเขาของเจ้านั่นจะเป็นอาการปกติอีกต่อไป

 

ตอนแรกคัตสึกิก็เข้าไปทัก แต่หลังจากที่เห็นความพยายามในการตัดบทของอีกฝ่ายเขาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่เรื่อง ‘แค่นั้น’ อีกต่อไป

 

เดกุดูเหมือนจะหลบหน้าเขาจริงๆ แม้แต่เวลาที่ซื้อขนมมาให้เขาเพื่อตอบแทนอาหารที่เขาทำเกินจนเป็นเรื่องปกติก็ยังมาแบบเงียบๆ ซึ่งคัตสึกิรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่กับปฏิกิริยาแบบนี้

 

ชายหนุ่มขมวดคิ้วมุ่นเข้าหากัน เขาไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้เจ้านั่นดูเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หรือจะมีอะไรในคำพูดของเขาที่มันไม่ถูกต้องอย่างนั้นหรือ

 

เขามองออกไปรอบกายภายในห้องที่ห่างกับอีกฝ่ายแค่ผนังกั้น มองเฟอร์นิเจอร์ที่ใกล้เคียงกับที่เคยอยู่ในบ้านหลังเก่าที่เคยพาเจ้านั่นไปแล้วก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา เพราะสิ่งที่เขาพูดไปมันเป็นความจริง มันอยู่ตรงหน้าทั้งหมดแล้ว และทำไมเจ้านั่นจะต้องคิดมากอีกด้วย

 

 

แต่เมื่อคิดถึงนิสัยของเดกุกับประสบการณ์ที่เจ้านั่นประสบพบเจอแล้วเขาก็ได้แต่ถอนหายใจ พลางคิดว่าหรือจะมีอะไรที่เขายังไม่รู้อีก

 

ในเวลานั้นเองที่เสียงเรียกจากนาฬิกาส่งสัญญาณดังขึ้น เจ้าของห้องรีบเด้งตัวขึ้นมาจากโซฟาอย่างรวดเร็วก่อนจะเห็นว่าครั้งนี้เขาตั้งค่าแจ้งเตือนไว้ในระดับปกติ แปลว่านี่น่าจะเกิดเรื่องแล้วจริงๆ

 

 

 

ย้อนไปก่อนหน้านั้นไม่นานนัก อิซึกุที่ดื่มไปกินไปก็ตัดสินใจจะกลับบ้าน เขาคิดว่าตัวเองยังมีสติครบทุกประการณ์จนกระทั่งรู้สึกถึงเสียงชัตเตอร์ที่ดังขึ้นในมุมหนึ่งของซอยที่เดินผ่าน ซึ่งตรงจุดนั้นแทบจะไม่มีใครเลยนอกจากเขาและคนที่เดินห่างออกไปไกลๆ

 

อิซึกุไม่ชอบความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนี้เลย

 

แต่ใจหนึ่งเขาก็คิดว่าตัวเองคิดไปเองหรือเปล่า

 

อิซึกุลือกจะเชื่อข้อหลัง เขาจึงสะบัดความคิดแล้วเดินต่อมาเรื่อยๆ พอมาอยู่ในจุดที่มีคนเยอะๆ เสียงชัตเตอร์ที่ได้ยินก็ไม่มีอีก แต่มันดันมาพร้อมความรู้สึกที่เหมือนมีสายตาจับจ้องแทนซะงั้น

 

หรือตัวเราจะเริ่มเมาแล้ว

 

แต่พอเดินมาถึงจุดที่คนบางตาเขาก็รู้สึกว่ามีเสียงกดชัตเตอร์ดังขึ้น

 

อิซึกุรีบหันไปทางต้นเสียงอย่างเร่งรีบและก็บังเอิญที่ครั้งนี้เขาเห็นแสงแฟลชลอดออกมาจากในตรอกได้พอดี ใจของคนที่ถูกถ่ายไหวหวั่นจนตั้งตัวไม่ทันว่าอะไรเป็นอะไร ไม่แน่ใจว่าควรไล่ตามไปหรือรีบหนีไปจะดีกว่า ในตอนนั้นเองที่ปีศาจในความคิดโผล่ออกมาเพ่นพ่านท่ามกลางความมืดยามราตรี

 

ถ้าหากว่ามันเป็นการจัดฉากล่ะ

 

อิซึกุปัดปีศาจในความคิดแง่ลบของตนออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ามันเป็นความจริงเขาคงรับไม่ไหว

 

เจ้าของร่างไม่ทันได้รู้ตัวว่าในตอนนั้นเองก็มีอะไรบางอย่างเข้ามาจับตัวเขาไว้จากด้านหลัง พอหันไปเขาก็เห็นชายร่างใหญ่กว่าตัวเองหลายเท่า ร่างกายของอีกฝ่ายสูงใหญ่และเต็มไปด้วยรอยแผล ใบหน้าที่แสยะยิ้มนั้นเชื่อได้ว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะมาดี

 

ในฐานะตำแหน่ง ‘ลูกศิษย์ของดอกเตอร์เอที่พอใช้ได้’ ที่เคยชินกับการตามล่าหาตัว เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเองจำต้องหนี

 

แต่ว่า…

 

“อย่าร้องดีกว่า เพราะแค่แชะเดียวแกก็จะหายไปทั้งตัวแล้ว”

 

มือใหญ่จับใบหน้าของเขาให้หันเข้าไปทางตรอก ในนั้นเองที่เขาได้สังเกตว่ามีร่างเล็กๆ ที่เหมือนคนที่มีใบหน้าเป็นกล้องตั้งยืนอยู่ อิซึกุพยายามฝืนตัวหนี แต่สุดท้ายเสียงกดชัตเตอร์ก็ดังขึ้น…

 

พร้อมกับเสียงระเบิด

 

ตรอกตรงหน้าที่มีเพียงความมืดเต็มไปด้วยแสงสว่างและกล่มควันจากแรงระเบิด เขาถูกดึงตัวถอยห่างจากตรอกตรงนั้น แต่เพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้นที่ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้นและมือของคนที่ยืนอยู่ก็ปล่อยตัวเขาออก อิซึกุที่เป็นอิสระจึงวิ่งหลบฉากการต่อสู้ออกไป เขารู้ได้ทันทีเลยว่าใครที่มาช่วยเขาไว้ได้ทันเวลาในยามนี้

 

เสียงระเบิดดังขึ้นไม่นานก็สงบลงเพราะการจัดการวิลเลินของบาคุชินจิ ไม่นานรถตำรวจก็เข้ามาพร้อมกับนักข่าวที่ตามดูเหตุการณ์กับอยู่ประปราย

 

ส่วนอิซึกุที่ไม่ชอบที่ที่มีคนเยอะๆ ก็หลบไปนั่งอยู่ตรงม้านั่งในซอยหนึ่งที่พอจะมีแสงไฟส่องถนนเข้ามาให้แสงสว่าง เขาไม่รู้ว่านั่งอยู่นานแค่ไหน เพราะตลอดเวลานั้นมีเพียงเสียงหัวใจที่เต้นระทึกและอดรีนาลีนที่สูบฉีด เขาไม่ชอบสถานการณ์นี้เลย

 

อยากจะโยนความกังวลนี้ให้ออกไปจากหัวให้หมดในทีเดียว

 

ที่ด้านนอกนั่นมีเสียงรถตำรวจและเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เขารู้เลยว่าผู้คนกำลังรุมล้อมคัตจังอยู่ แล้วพอมองมาที่ตัวเองซึ่งไม่ระวังตัวจนเป็นต้นเหตุ เขาก็เริ่มกังวลกับเรื่องที่คิดได้เมื่อตอนเย็น

 

แม้แต่เวลาที่เขาเห็นแก่ตัว คัตจังก็ยังต้องมาช่วยเขา

 

เขาที่แม้จะได้คำว่ารักไปแล้วก็ยังวงวัยในตัวของอีกฝ่าย

 

อิซึกุรู้สึกว่าตนนั้นเห็นแก่ตัว เขาอยากจะมอบความรู้สึกของตนให้กับอีกฝ่ายเช่นเดียวกับที่อีกฝ่ายทำ แต่เขาก็ไม่แน่ใจกับอะไรเลย แล้วเมื่อครู่นี้ก็เพิ่งคิดไปด้วยซ้ำว่านี่เป็นเรื่องจัดฉากหรือไม่

 

อิซึกุนั่งอยู่ตรงนั้นอยู่นาน เขาทั้งโกรธตัวเอง ทั้งกังวล ทั้งเครียด จนกระทั่งไม่รู้ตัวว่าคัตจังที่จัดการวิลเลินเสร็จได้เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว

 

ชายหนุ่มตามหาอีกฝ่ายทันทีหลังจากรู้สึกว่าอิซึกุหายไปจากระยะสายตา โชคดีที่นาฬิกาส่งสัญญาณระบุตำแหน่งที่อยู่จนรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ที่นี่ เขาจึงผละจากพวกนักข่าวและปล่อยให้ตำรวจจัดการเรื่องทางด้านหน้าไปแทน แล้วเดินมาหาคนที่ยังนั่งอยู่เพียงลำพัง

 

ฮีโร่ที่ตอนนี้อยู่ในชุดลำลองย่อตัวลง เขาเห็นมือของอีกฝ่ายที่กำลังกำเข้าหากันได้อย่างชัดเจน เช่นดียวกับใบหน้านิ่วที่อีกฝ่ายกำลังทำอยู่

 

“เฮ้ เป็นอะไรรึเปล่า”

 

อิซึกุเพิ่งจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมาอยู่ตรงหน้าก็ตอนที่เสียงนั้นดังขึ้น

 

ในยามค่ำคืน ความมืดมิดรอบกายมักชักจูงให้จิตใจดำดิ่งลงไปในความสิ้นหวัง ความเงียบจะทำให้คนฟุ้งซ่าน ความหนาวเย็นจะทำให้ใจอ่อนไหว และบางครั้งเพื่อจะตั้งหลักให้ได้ใหม่ มนุษย์ก็เผลอทำอะไรที่ไม่น่าทำออกไปในเวลาแบบนี้ โดยเฉพาะเมื่อมีแอลกอฮอล์ผสมโรงด้วยแล้ว ความรู้สึกที่ปิดเอาไว้ก็ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น

 

อิซึกุแค่อยากหลุดออกจากความคิดแง่ลบนี้เสียที

 

คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งยกสองมือขึ้นจับใบหน้าของคนที่ย่อตัวอยู่ตรงหน้าขึ้น ในตอนที่เขายกใบหน้านั้นขึ้นมาความรู้สึกในใจก็ถูกถามออกไป

 

“คัตจัง นี่มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นใช่ไหมครับ”

 

“หา?” คนฟังไม่เข้าใจคำถาม

 

“คำสารภาพในตอนนั้นคัตจังรู้สึกกับผมแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหมครับ”

 

“…..”

 

เมื่อเริ่มเข้าใจแล้วบาคุโกก็รู้สึกโกรธขึ้นมาที่อีกฝ่ายมองคำพูดของเขาเป็นแบบนั้น

 

“ฉันไม่ใช่พวกที่เคยทำร้ายแกแบบสมัยก่อน!”

 

“ผมไม่ได้จะบอกว่าคัตจังจะเป็นแบบนั้น! แต่ทำไมล่ะ ทำไมถึงได้รักผมล่ะ ผมสร้างเรื่องให้คัตจังตั้งเยอะ โกหกหลอกลวง ไม่ได้น่ารักเหมือนกับผู้หญิง ทำอาหารก็ไม่เก่ง ดูแลคัตจังก็ไม่ได้ ไม่มีเวลาให้คัตจัง เป็นคนไร้อัตลักษณ์! แล้วทำไมถึงยังเลือกผมอยู่ล่ะ!”

 

ยิ่งพูดไปก็เหมือนกับความรู้สึกในใจของอิซึกุค่อยๆ พรั่งพรูออกมา ความกังวลที่เคยถูกใช้อธิบายแบบกว้างๆ กำลังแตกออกเป็นส่วนๆ และเมื่อได้พูดมันออกไปเขาก็ยิ่งแน่ชัดแก่ใจว่าตัวเองห่างไกลกับคัตจังมากแค่ไหน เขาเป็นภาระให้กับอีกฝ่ายมากแค่ไหน

 

มือที่เคยจับบนใบหน้าอีกฝ่ายค่อยๆ อ่อนปวกเปียกและเลื่อนลงจากใบหน้านั้นทีละนิด อิซึกุก้มหน้าลงไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

 

“ทั้งที่คัตจังคอยช่วยผมอยู่ตลอด คอยรับอะไรต่างๆ จากนายตลอด แบบนี้มันจะไปกันยืดได้จริงๆ เหรอ แบบนี้มันเหมือนผมเอาเปรียบคัตจังอยู่รึเปล่า…?”

 

พอได้พูดออกมาแล้วเรื่องหนึ่ง เรื่องต่างๆ ก็เหมือนจะทยอยพากันออกมาทีละเรื่อง ความกังวลที่สะสมไว้หลายวันรวมกับความรู้สึกที่ทำไม่ได้ปะทุออกมาเหมือนภูเขาไฟที่ได้เวลาของมัน อิซึกุยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าที่ไม่พร้อมจะเผชิญกับอีกฝ่ายพลางก้มหน้า เขาคิดว่าตัวเองจะเก็บความกังวลนี้ต่อไปได้ แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นอย่างที่หวัง สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เคยบอกอายะไว้เลย

 

“กลับบ้านก่อนแล้วค่อยคุยกัน”

 

แม้จะโมโหอยู่แต่พอได้ฟังคำพูดถัดมาของอีกฝ่ายคัตสึกิก็เริ่มเย็นลง เขาเริ่มเข้าใจมากขึ้นแล้วว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหลบหน้ากันมาเกือบสัปดาห์ แต่จะให้มานั่งพูดเรื่องแบบนี้ในสถานที่เย็นๆ มืดๆ ยามค่ำคืนเขาก็คิดว่ามันคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่

 

แต่อิซึกุที่จมปลักลงไปกับความคิดของตนแล้วนั้นไม่อาจจะลุกออกไปไหนได้

 

“ขอโทษนะ ผมขอคิดอะไรอีกสักพัก คัตจังกลับไปก่อนเถอะ”

 

เขาปฏิเสธออกไปและแนะนำให้อีกฝ่ายกลับไปก่อนแทนที่จะต้องมายืนรออย่างไร้จุดหมาย ในความเงียบแบบนี้ อิซึกุค่อยๆ ก้มหน้าและจมจ่อมอยู่กับความคิดที่เต็มไปด้วยความกังวลของตนในตอนที่เสียงฝีเท้าดังห่างออกไปเรื่อยๆ เงาของอีกฝ่ายที่ตกกระทบลงบนพื้นก็หายไปจากพื้นที่เขามองอยู่เช่นกัน

 

แต่ทั้งที่เงียบแบบนั้น อิซึกุกลับไม่รู้สึกว่าจะจัดการตัวเองได้ ความรู้สึกเดียวที่ปรากฏขึ้นหลังจากอีกฝ่ายเดินกลับไปก็คือความเหงา

 

ฟึ่บ

 

อะไรบางอย่างคลุมทับลงมาทางด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้ใจที่ลอยไปไหนต่อไหนของอิซึกุถูกดึงกลับมา ดวงตาสีมรกตหันไปมองทางด้านหลังก่อนจะเห็นว่าสิ่งที่ทาบทับอยู่คือเสื้อคาร์ดิแกนตัวหนึ่ง และคนที่ยืนอยู่ไม่ห่างไปไกลก็คือคนที่น่าจะกลับไปตั้งแต่เมื่อครู่

 

“คัตจัง…?”

 

อีกฝ่ายยัดขวดน้ำเข้ามาในมือของเขาก่อนจะเลื่อนมือไปจับแขนเสื้อทั้งสองข้างมามัดกันตรงคอของเขา

 

“ฉันไม่เคยขอให้แกทำอะไรให้ฉันเลยเดกุ ฉันแค่อยากให้แกมาอยู่กับฉัน ให้ฉันได้ดูแลแกเหมือนเวลาที่แกคอยดูแลฉันก็เท่านั้น” อีกฝ่ายพูดด้วยใบหน้าดุ

 

“แต่แบบนั้นมันก็เหมือนผมเอาเปรียบคัตจังอยู่”

 

“แล้วตอนที่แกช่วยฉันที่ฐานลับวิลเลินแกคิดว่าฉันเอาเปรียบแกงั้นสิ”

 

อิซึกุอยากจะตอบกลับไปว่าไม่ใช่แต่ก็ถูกอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นเสียก่อน

 

“เลิกคิดเองเออเองอยู่คนเดียวได้แล้วว่าฉันจำเป็นต้องทำอะไร คนรักกันมันต้องมีสองคน ถ้าฉันปล่อยแกให้เผชิญหน้ากับปัญหาคนเดียวแล้วจะเป็นคนรักกันไปทำไม หรือแกไม่เคยมองว่าฉันก็เป็นคนรักของแกกันแน่!”

 

“ไม่…! วะ เหวอ!!”

 

อิซึกุยังไม่ทันจะตอบรับ ร่างทั้งร่างก็ถูกคนข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้อุ้มตัวเขาเข้าไปในอ้อมแขน ทำเอาคนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเผลอเอ่ยปากเสียงดังอย่างตกใจ

 

จะทำอะไรน่ะคัตจัง?!”

 

“เข้าใจแล้วก็กลับบ้าน”

 

“เข้าใจอะไรกัน ปล่อยผมลงเลยนะ!”

 

“อย่าดื้อดิ! เลิกดิ้นด้วยไอ้เนิร์ดนี่”

 

ถึงระยะทางจากที่นี่กลับไปถึงบ้านจะอีกไม่ไกล แต่อิซึกุก็ไม่คิดว่าการที่อีกฝ่ายอุ้มตัวเองไปด้วยแบบนี้จะเป็นเรื่องเบาสักนิด แถมเขายังเป็นผู้ชายอายุ 25 ปีเช่นเดียวกับอีกฝ่ายด้วย ถึงขนาดตัวจะต่างกันแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมาอุ้มกันได้ง่ายๆ แบบนี้สักนิด เพราะงั้นเขาจึงออกแรงดิ้นให้อีกฝ่ายยอมวางตัวเองลง

 

แต่คนที่อุ้มอยู่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เพราะมือนั้นก็ยังไม่ยอมผละออกและพาคนที่ไม่กลัวเป็นไข้เดินต่อไปยังถนนอีกเส้นเพื่อเข้าสู่ย่านที่พักอาศัย ในจุดนี้แม้ว่าคนจะบางตาและบางจุดก็ค่อนข้างมืด แต่เขาก็ยังเห็นใบหน้าที่หันมองมาทางตนอย่างประหลาดใจของคนที่ผ่านไปผ่านมาได้อย่างชัดเจน ทำเอาอิซึกุอยากจะมุดหน้าลงในดิน แต่ที่ใกล้กับตัวเขาที่สุดก็เห็นจะเป็นท่อนแขนของคนที่อุ้มเขาอยู่ ซึ่งอิซึกุกำลังรู้สึกไม่พอใจอีกฝ่ายขึ้นทีละนิด

 

“ปล่อยได้แล้วคัตจัง ผมเดินเองได้นะ”

 

“ไม่ปล่อย ปล่อยแล้วแกก็ชอบหนี”

 

“ไม่อายคนอื่นหรือไง โดนมองหมดแล้วนะ”

 

“อยากมองก็มองไปสิวะ”

 

อิซึกุมองอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจเมื่อคนตรงหน้าไม่ยอมฟังที่เขาพูดบ้างเลย ก็ใช่ที่คัตจังเป็นฮีโร่อุ้มคนมันไม่แปลกอยู่แล้ว แต่เขาเป็นคนธรรมดา แล้วยังเป็นคนที่ถูกอุ้มอีก แบบนี้จะให้ไม่แคร์สายตาคนมองได้ยังไงกัน

 

“แทนที่จะพูดเสียงดังให้คนอื่นได้ยิน แกควรจะเงียบไปดีกว่านะ”

 

คนพูดว่าพลางพาเจ้าของร่างเลี้ยวเข้าอพาร์ตเมนต์

 

“นายมันเอาแต่ใจ”

 

แต่อิซึกุก็พยายามตอกกลับอีกฝ่ายด้วยคำพูดที่ถูกลดเสียงลงอย่างที่อีกฝ่ายเสนอไว้โดยไม่รู้ตัว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นคำพูดบ่นว่าที่เขายังคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะนึกรำคาญจนยอมวางเขาลงเสียที

 

แต่คนอุ้มก็ยังไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านใดๆ กลับกันคัตสึกิกลับชอบเวลาที่อีกฝ่ายแสดงความรู้สึกออกมาตรงๆ แบบนี้ได้มากกว่า ซึ่งจากกลิ่นแอลกอฮอลแล้วชายหนุ่มก็คิดว่าคงจะมีแต่ช่วงเวลาที่เหล้าเข้าปากแล้วเท่านั้นที่เดกุจะยอมพูดออกมาตรงๆ

 

“หน้าไม่อายที่สุด”

 

อิซึกุไม่รู้ว่าคนฟังไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เลยสักนิด กลับกันคัตสึกิคิดด้วยซ้ำว่าคำด่านั้นมันเหมือนเด็กไม่มีผิด และเมื่อคิดให้ดีก็คงเป็นผลจากการที่อีกฝ่ายอยู่กับเด็กมากเกินไป

 

“ผมจะเกลียดนายแล้ว”

 

และแทนที่จะทำให้คนฟังไม่พอใจ คัตสึกิกลับรู้สึกสนุกที่จะยอกย้อนเสียงั้น

 

“ไหนคนแถวนี้บอกว่ามองฉันเป็นคนรักเหมือนกันไง”

 

เขาว่าพลางพาอีกฝ่ายขึ้นมาถึงห้องตัวเองได้สำเร็จ ส่วนอิซึกุที่ถูกแหย่ก็เริ่มไม่พอใจมากขึ้น หลังถูกวางลงบนเตียงอย่างอ่อนโยนก็ยิ่งรู้สึกทั้งเขินทั้งโกรธกับความเอาแต่ใจของอีกฝ่าย คราวนี้พอเจ้าของห้องนั่งลงข้างๆ เขาจึงหันไปทำหน้าดุใส่

 

“แล้วยังไงล่ะ สุดท้ายนายก็ชอบทิ้งผมไปแล้วก็ให้อยู่คนเดียวอยู่ดี”

 

อิซึกุไม่ได้ตั้งใจจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เขาก็หลุดปากพูดมันออกไปแล้ว แค่นั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อพูดด้วยเสียงไม่พอใจเช่นนี้แล้วคำพูดเมื่อครู่กลับทำให้ดูเหมือนตัดพ้อเข้าไปอีก เขาไม่อยากตัดพ้อ เพราะถ้าทำแบบนั้นรอบตัวเขาคงมีหลายเรื่องให้ตัดพ้อจนเลือกไม่ถูก และเพราะแบบนั้นเขาจึงเลือกจะเปลี่ยนเรื่อง

 

“ยังไงผมก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าทำไมถึงเป็นผม”

 

“ที่แกหลบหน้าฉันมาตลอดสัปดาห์ก็เพราะมัวแต่คิดเรื่องนี้งั้นเหรอ”

 

คนฟังไม่ได้ตอบแต่มันก็เหมือนจะเป็นคำตอบกลายๆ ในตัวเอง พอเห็นแบบนั้นคนถามก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะเอื้อมมือไปจับใบหน้าของอีกฝ่ายให้เงยขึ้นมองตนเช่นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายทำกับตนเมื่อครู่ ราวกับจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายได้มองเข้าไปในดวงตาสีทับทิมนั้นให้ลึกเท่าที่อยากมอง

 

“ฟังนะ แกทำอาหารไม่ได้ก็ไม่ต้องทำ แกดูแลตัวเองไม่ได้ฉันก็จะดูแลเอง แกยุ่งวุ่นวายกับงานฉันก็ยุ่งวุ่นวายกับงานเหมือนแก แกก็เป็นในแบบของแกไปแล้วฉันจะรับมันไว้…เพราะฉันอยากอยู่กับแกไม่ใช่คนอื่น”

 

จิตใจของอิซึกุสั่นไหวเมื่อถูกดวงตาคู่นั้นจ้องอย่างแน่วแน่ซะจนเหมือนเขาเป็นฝ่ายถูกมองมากกว่าฝ่ายมอง

 

เช่นเดียวกับคำพูดนั้นที่ทำให้ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้น

 

ในเวลานั้นราวกับว่าตัวเขาไม่ได้เดินไปข้างหน้าอยู่ฝ่ายเดียวและคัตจังเองก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิมเฉยๆ รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็มาอยู่ข้างๆ เขาแล้ว แค่เพียงบอกว่าตัวเขากำลังกังวลกับอะไรอยู่เท่านั้น ทางที่ต้องเดินไปเพื่อให้เท่าเทียมกับอีกฝ่ายก็เปลี่ยนไปมีใครบางคนหยุดยืนอยู่ข้างๆ แทน และเขาสามารถเห็นอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน

 

สิ่งนั้นไม่ใช่ความคลุมเครือ

เขาจะทำให้เรามั่นใจ

 

อา…เหมือนว่าอิซึกุจะได้เข้าใจมันแล้วว่าความรู้สึกรักของพวกเขาเป็นอย่างไร

 

ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกัน ในช่วงเวลานั้นอิซึกุค่อยๆ รู้สึกถึงน้ำตาที่เอ่อคลอรอบดวงตา

 

จะรับตัวเขาเอาไว้

 

“จริงเหรอ…?”

 

“ฉันใช้เวลาตามหาแกที่ไร้ตัวตนมาจนถึงตอนนี้ เทียบกับสิ่งที่แกเป็น…มันง่ายกว่าตอนนั้นมาก”

 

คนฟังรู้สึกเหมือนก้อนหินที่เคยถ่วงอยู่ในใจของตนค่อยๆ มลายหายไป หรืออย่าน้อยมันก็ถูกทิ้งไปทางอื่นจนตัวเขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกครั้ง

 

“แล้วแกล่ะรับตัวฉันได้มั้ย”

 

เจ้าของนัยน์ตาสีแดงเอ่ยถามอีกครั้ง พอได้ฟังคำถามนั้นอิซึกุก็ยกมือขึ้นจับมือใหญ่ที่โอบใบหน้าของเขาเอาไว้อีกที สัมผัสที่จับลงบนหน้าอย่างอ่อนโยนทำให้เขาได้รู้ว่ามีคนอีกคนกำลังรอคำตอบของเขาอยู่ตรงนี้

 

“ถ้าเป็นคัตจังก็ต้องได้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไง”

 

ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี ถึงจะห่างกันไปเป็น 10 ปีแต่นั่นก็ยังน้อยกว่าเวลาที่เขาได้ใช้กับคนตรงหน้ามาตลอดช่วงชีวิตด้วยซ้ำ ไม่จำเป็นต้องถามเลยว่าคัตจังเป็นแบบไหน ทั้งข้อดี ข้อเสีย สิ่งที่ต้องแก้ไข สิ่งที่ชอบ ทั้งหมดนั่นน่ะถ้ารับไม่ได้คงจะไม่อยากไปยืนข้างๆ ด้วยกันตั้งแต่แรกแล้ว

 

พอคนฟังได้ยินแบบนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา

 

“ตกลงว่าไม่ได้เกลียดฉันอย่างที่พูดแล้วสินะ”

 

คนพูดเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มเย้าหยอก เพราะเมื่อกี้อีกฝ่ายเพิ่งจะพูดไปแท้ๆ ว่าเกลียดเขาอยู่ ทำให้คนพูดที่จำได้ว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายทำอะไรไว้ก็ค่อยๆ เอาใบหน้าตัวเองออกมาจากฝ่ามือนั้นคล้ายพยายามต่อต้านเงียบๆ

 

แม้ว่าอารมณ์จะแปรปรวนไปมาแต่มันก็เป็นไปตามความรู้สึกจริงๆ คัตสึกิชอบที่จะได้มองอีกฝ่ายแบบนี้ และหวังว่าสักวันเขาจะได้เห็นมันในเวลาปกติบ่อยมากขึ้น เขาอยากจะเห็นอีกฝ่ายแสดงความรู้สึกที่ตัวเองเป็น ไม่ใช่เดกุที่บอกว่าไม่เป็นไรแล้วยิ้มรับกับทุกสิ่ง แต่เป็นเดกุที่ยอมให้ตัวเองโกรธเหมือนตอนเป็นวิลเลิน เดกุที่ยอมให้ความเกลียดจากสิ่งที่เขากระทำพรั่งพรูออกมาเป็นคำตัดพ้อ เดกุที่ยอมพูดความรู้สึกที่ซับซ้อนของตัวเองออกมายามที่หวั่นไหว…โดยมีเขาที่มีสิทธิรับฟังร่วมกันกับอีกฝ่าย

 

ในเวลานั้นบาคุโก คัตสึกิกับมิโดริยะ อิซึกุเหมือนสลับนิสัยยามปกติของกันและกัน คนหนึ่งที่ปกติร้อนเป็นไฟก็ยอมเย็นลงรอฟังอีกฝ่าย ส่วนคนที่เคยเป็นผู้ฟังอย่างห่างเหินเย็นชาก็ได้พรั่งพรูคำพูดออกมาตามแรงอารมณ์ที่ครุกรุ่น

แม้จะแตกต่างแต่สามารถเติมเต็มกันและกันได้พอดี

 

อิซึกุหน้ามุ่ยเมื่อถูกคัตสึกิพูดเตือนถึงเรื่องก่อนหน้านี้ แถมยังพูดถึงเรื่องความรู้สึกของเขาที่อีกฝ่ายควรจะเข้าใจได้แล้วนั่นอีก

 

“นายมันไม่เคยรู้อะไรเลย” คนพูดทำหน้างอพลางหันไปทางอื่น

 

“ก็คนแถวนี้ไม่บอกแล้วฉันจะรู้ได้ไง”

 

คัตสึกิย้อนเกล็ดคำพูดของอิซึกุ ในตอนนั้นเองที่ร่างเล็กกว่าหันมาพร้อมคิ้วที่ผูกกันเป็นโบว์ก่อนจะพูดออกไปด้วยความไม่พอใจ

 

“ผมชอบนายมาตลอด มีแต่นายนั่นแหละที่ไม่เคยหันมาสนใจผมเลย นายชอบทิ้งผมไว้ตั้งแต่เด็ก…” พอคิดถึงเรื่องเมื่อตอนเด็กคนพูดก็หยุดไป ความรู้สึกเสียใจที่เคยเก็บไว้ยามนี้ก็ทำให้ใบหน้ากลมดูหมองลงไปอีกส่วน แม้จะไม่มีน้ำตาแต่คนที่มองอยู่ก็ดึงอีกฝ่ายเข้ามาในอ้อมแขน

 

“อย่าร้องน่า ฉันอยู่นี่แล้วไง บอกแล้วว่าจะไม่ทิ้งแกไปไหนอีก”

 

“นายมันนิสัยไม่ดี ชอบทิ้งผมไว้ข้างหลัง”

 

“เออๆ”

 

คัตสึกิยอมเออออกับอีกฝ่ายจนร่างเล็กยอมโอนอ่อนเข้ามาในอ้อมกอดของเขา

 

“ฉันบอกว่าจะอยู่กับแกไปเรื่อยๆ แกลืมไปแล้วรึไงวะ”

 

“ไม่ลืม นายต่างหากที่ห้ามลืม”

 

คัตสึกิกอดอีกฝ่ายแน่นขึ้น เขารู้สึกว่าอิซึกุยามนี้ดูน่ารักน่าชังจนอยากจะเก็บไว้ที่บ้านตัวเองไม่ให้กลับห้องอีกเลย แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมปล่อยเมื่ออีกฝ่ายประท้วงจะเอาตัวออกจากอ้อมแขนของเขาให้ได้ เขาจึงถือโอกาสยื่นน้ำไปให้คนที่อยู่ตรงหน้าเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวดูจะเย็นลงอยู่

 

“มีอะไรที่แกยังกังวลอีกมั้ย เดกุ”

 

เดกุนิ่งไปเมื่อถูกถามแบบนั้น เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะใส่ใจเขาแม้แต่ในยามนี้ ทำให้ใจคนฟังรู้สึกเต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกว่าตัวเองคือคนพิเศษของกันและกันอยู่

 

เขาส่ายหน้าตอบกลับไป

 

เมื่อเรื่องในใจเบาลงไป เรื่องรอบกายก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัดมากขึ้น ดวงตาสีมรกตเริ่มสังเกตถึงสิ่งรอบตัวอีกครั้ง ในตอนนั้นเองที่เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กลับมาในห้องของตัวเอง

 

“ที่นี่ไม่ใช่ห้องของผมนี่”

 

“เพิ่งจะรู้ตัวรึไง”

 

อิซึกุฟังคำคัตสึกิแล้วก็ตระหนักว่าตนเพิ่งจะรู้สึกตัวจริงๆ ว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในห้องของอีกฝ่าย แต่มันก็ไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่ไม่ทันรู้ตัว เพราะรูปแบบของห้องไม่ต่างจากห้องของเขาเลย ยกเว้นแค่ว่าห้องนี้มีฟอร์นิเจอร์หลายอย่างคล้ายห้องที่เขาเคยอยู่ในช่วงความจำเสื่อม แต่พอคิดถึงคำสารภาพของอีกฝ่ายแล้วเขาก็คิดว่าตัวเองอาจจะเดาออก และนั่นก็น่าอายเกินกว่าจะถามออกไป

 

อิซึกุไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นเมื่อเห็นว่าสไตล์การจัดห้องของคัตสึกิเหมือนห้องที่เคยอยู่กับตัวเอง ใบหน้าของเขาเป็นสีชมพูระเรื่อโดยที่คนข้างๆ ยังเข้าใจว่าอีกฝ่ายอาจจะยังโกรธอยู่ คนที่เห็นรอยกระที่แต่งแต้มพื้นหลังด้วยสีชมพูเหมือนสตรอว์เบอร์รี่นั้นจึงอดใจไม่อยู่แกล้งจับแก้มอีกฝ่ายเหมือนตอนที่อีกฝ่ายตัวเล็กลงเพราะอัตลักษณ์

 

“มองอยู่ได้ จะย้ายมาอยู่ที่นี้เลยมั้ย”

 

“ไม่”

 

อิซึกุตอบได้ในทันที เขาพยายามเอาใบหน้าออกจากมือของอีกฝ่ายด้วย แต่ก็ยังโดนตามมาจิ้มแก้มเรียกร้องความสนใจอีกจนเขาต้องยอมหันไป

 

“เลิกแกล้งผมซะที ไหนบอกว่าจะไม่แกล้งแล้วไงล่ะ”

 

“ไม่ได้แกล้ง แค่อยากจิ้มแก้มแฟนไม่ได้รึไง”

 

“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะคบกับนาย”

 

คัตสึกิขมวดคิ้วมุ่น เขาเพิ่งจำได้ว่าเดกุจริงๆ แล้วก็เป็นพวกรับมือยากเหมือนกัน

 

ก็ไม่ใช่เดกุตอนเด็กๆ ที่จะยอมให้ใครรังแกเอาเปรียบได้ง่ายๆ แล้วนี่นะ

 

“แล้วจะคบมั้ยล่ะ”

 

เจ้าของห้องถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เมื่อคนข้างๆ ได้มองใบหน้าของเจ้าตัวแล้วก็สังเกตเห็นความกังวลซ่อนอยู่ ทำให้คนมองไม่อาจใจแข็งทำเป็นเฉไฉใส่อีกฝ่ายได้ลงคอ

 

“คบครับ”

 

“ชิ ก็แค่นี้”

 

ว่าจบคนตัวใหญ่กว่าก็โถมตัวเข้ามาหาร่างเล็ก ตอนแรกอิซึกุตั้งใจจะตะโกนบอกว่าข้างหลังนี้มันไม่มีที่แล้วนอกจากพนักพิงด้านหลังโซฟา แต่พอล้มเอียงลงไปทางด้านหลังเขากลับพบว่ามันกลายเป็นเตียงที่ปรับขนานไปกับห้องได้ และแผ่นหลังของเขาก็ตกลงมาบนเตียงนุ่มฟูนี้ได้พอดี

 

“โซฟานี่ปรับได้ด้วย”

 

อิซึกุประหลาดใจกับโซฟาที่ตนนอนอยู่ ส่วนคัตสึกิก็กำลังพอใจกับการตัดสินใจซื้อโซฟาตัวที่ว่า เขายังจำตอนที่เดกุนอนขดอยู่บนเตียงตัวก่อนได้ดี ตอนที่เขากลับมาอยู่ที่บ้านนี้จึงตัดสินใจเปลี่ยนโซฟาเป็นแบบใหม่ แม้จะไม่รู้ว่าจะได้ใช้มั้ยแต่เพราะไม่อาจปล่อยวางภาพนั้นได้เขาจึงตัดสินใจซื้อมันมา และก็โชคดีที่วันนี้ได้ใช้จนได้

 

“คราวนี้ก็นอนที่นี่ได้แล้วสินะ เนิร์ดคุง”

 

คำถามดังมาจากเจ้าของบ้านที่พลิกตัวนอนข้างๆ ในระดับสายตา ทั้งที่ก่อนหน้านี้อิซึกุโกรธอยู่และอยากจะตอบปฏิเสธไปแท้ๆ แต่พอเห็นดวงตาสีแดงที่แสดงออกถึงความคาดหวังมากกว่าน้ำเสียงของเจ้าของมันแล้วเขาก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ และอีกอย่างก็คือทันทีที่เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงนี้เขาก็พบว่าตัวเองไม่อยากลุกเดินกลับไปนอนที่เตียงตัวเองอีกเช่นกัน ไม่อยากแม้แต่จะอาบน้ำเลยด้วยซ้ำ

 

“ถ้าผมไม่อาบน้ำคัตจังจะยอมให้นอนมั้ย”

 

อิซึกุถามออกไปราวกับจะแกล้งคนที่รักความสะอาดมากกว่าเขา

 

“หึ ก็ถ้ายอมให้กอดเหมือนตอนนั้นก็คงจะได้อยู่”

 

ฟังที่อีกฝ่ายว่าจบอิซึกุก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายยังคงเป็นคัตจังผู้ไม่ยอมแพ้หรือยอมเสียเปรียบคนเดิม และเขาก็ยังคงเป็นเดกุที่ยอมคัตจังอีกครั้งจนได้

 

ร่างสูงค่อยๆ โอบกอดร่างนั้นไว้เมื่ออิซึกุขยับเข้ามาอยู่ในระยะอ้อมแขน เขาขยับขึ้นไปด้านบนนิดหน่อยเพื่อให้อีกฝ่ายฝังตัวลงมาในอ้อมกอดได้อย่างสบาย ทันทีที่ร่างนั้นยินยอมให้เขาโอบสองแขนไว้รอบกายคัตสึกิก็จรดใบหน้าลงบนกลุ่มผมนุ่มฟูของอิซึกุอย่างคิดถึง ความรู้สึกจากสัมผัสทำให้หัวใจเต็มตื้น และตระหนักได้ว่าอิซึกุได้กลับมาหาตนเองแล้วทั้งตัวและใจ

 

 


 

 

// ยังไม่จบค่ะ แต่ตอนหน้าก็จบแล้ว ตอนสุดท้ายของเราต้องมีคำว่า Epilouge ค่ะ เป็นเคล็ด 555

 

ริน1 : ทำไมตอนนี้มันยังดราม่า

ริน2 : แต่น้องเดน่ารักนะ

ริน1 : แต่มันดราม่าอีกแล้ว

ริน2 : น้องเดน่ารักมากลูก

ริน1 : จะเขียนดราม่าจนจบไม่ได้

ริน2 : แต่น้องเดเกรี้ยวกราดนิดๆ นี่น่ารักดีอ่ะ

 

แล้วตอนนี้ก็ออกมาประมาณนี้แหละค่ะ เป็นตอนที่คิด 1 สัปดาห์ว่าจะเรียบเรียงยังไง เขียนอีก 4 วัน คิดว่าต้องจบให้ดีกว่าเรื่องก่อนๆ ให้ได้ หวังว่าจะมีความสุขตอนที่อ่านกันนะคะ


สำหรับคนที่ต้องการเล่ม You can become a hero #คัตเด Pre-Order เปิดแล้วค่ะ !!

Open for Pre-Order (2)

แบบฟอร์ม Pre-Order <

เปิดจองตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2563

ตัวอย่างปกมาวันที่ 22 กันยายน 2563 

เป็นการขาย 2 เล่มจบ (1 ชุด) ไม่แยกเล่ม เพื่อน้องๆ หนังสือจะได้ไปคู่กันค่ะ

 

ตัวอย่างชื่อเรื่องตอนพิเศษ (ทั้งหมด 4 ตอน)

(ลงแค่นี้นะคะ ที่เหลือไปลุ้นเองน้า)

 

ชื่อเรื่อง: New Year Gift 

ชื่อเรื่องแบบสปอย: คนรักกันมันต้องมีสองคนที่ว่า…ดูเหมือนจะมีประโยชน์เอาตอนนี้เอง

ชื่อเรื่อง: Winter (2 พาร์ทย่อย)

ชื่อเรื่องแบบสปอย: กระจกห้องน้ำไม่ควรติดไว้แบบนี้ฉันใด เดกุวิลเลิน (ปลอม) ก็ไม่ควรจะออกมาเล่นสนุกเวลานี้ฉันนั้น

**Warning เพิ่ม : บางตอนจะมีการบรรยายฉากมีเพศสัมพันธ์**

เราดราม่ากันมามากแล้ว เพราะงั้นจะพยายามคืนทุนให้ในตอนพิเศษนะคะ =w= อะไรที่ดีต่อใจก็จะเอามาลงในนั้นค่ะ รีบมาจองน้องๆ หนังสือกันนะ

+ ในกรณีที่ยอดจอง+โอนเกิน 30 เล่มแล้วจะมีภาพประกอบขาวดำ 2 ภาพด้วยค่ะ +

 

เป็นการเปิดจองแบบ Pre-Order

กำหนดการส่งหนังสือคือหลังจากปิดจอง 4-6 สัปดาห์ค่ะ 

[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 62

 

 

62

ถ้าเรียกว่ารักก็รัก

 

 

หลังจากนั้นก็เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ที่อิซึกุไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านใหม่ของตน ไม่ใช่เพราะเขาติดงานจนกลับไม่ได้ แต่เพราะใจของเขามันยังไม่กล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเพื่อนบ้านคนใหม่

 

เขาลองพิจารณาตนเองแล้วว่าอะไรทำให้เขาไม่กล้าเผชิญหน้าอีกครั้งทั้งที่ตนกับคัตจังก็มีพัฒนาการที่ดีต่อกันมากกว่าแต่ก่อน แล้วก็พบว่าที่มีมันไม่ใช่ความกลัวแบบแต่ก่อน แต่มันคือความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเริ่มจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น ตัวตนของเขาถูกเปิดเผยให้คัตจังเข้าใจมากกว่าวันแรกที่เจอกัน และพอแสดงท่าทีขัดเขินออกไป…มันก็ถูกจับไต๋ได้ง่ายขึ้น

 

ไม่ไหว…

 

แต่สุดท้ายเมื่อของใช้กำลังจะมาส่งถึงบ้านใหม่อีกรอบเขาก็ต้องกลับไปจัดการมันอยู่ดี

 

มันเป็นเช้าวันเสาร์ที่อากาศกำลังเย็นสบาย เข้ากับช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วงที่มรสุมได้จางหาย ท้องฟ้ามีแสงนวลตาปกคลุมให้บรรยากาศนุ่มนวลขึ้นอีกส่วน ใบไม้ที่เริ่มเปลี่ยนสีทำให้เขตที่อยู่อาศัยเป็นสถานที่ที่น่าพักผ่อน และแม้ว่าอิซึกุจะกังวลอยู่แต่เขาก็ถูกบรรยากาศตรงหน้าดึงดูดให้รู้สึกดีขึ้นอย่างไม่อาจห้ามได้

 

ในห้องเต็มไปด้วยกล่องมากมายที่ยังไม่ได้แกะออก มันเหมือนอยู่ในเขาวงกตกล่องเตี้ยๆ แต่เขาก็ปล่อยมันไว้แล้วเลือกจะไปจัดการธุระส่วนตัวของตน ก่อนจะหยิบขนมปังกับนมออกมากินในยามเช้าขณะรอรับพัสดุที่จะมาส่ง

 

มันเป็นวันพักผ่อนที่ดำเนินไปอย่างเรียบง่าย

 

เสียงออดหน้าห้องดังขึ้นเรียกให้เจ้าของบ้านออกไปรับพัสดุที่เพิ่งจะมาถึง ตอนนั้นเองที่สายตาของอิซึกุเหลือบไปเห็นคนข้างห้องที่กำลังเดินเอาขยะไปทิ้ง แม้จะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่แต่ก็ย้ำเตือนให้อิซึกุรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้

 

เขารับกล่องของหลายอย่างที่มาส่งแล้วก็ปิดประตูห้องพักของตน ทำใจว่ามันก็เป็นเรื่องปกติของคนเป็นเพื่อนบ้าน หลังจากนี้พวกเขาก็ยังต้องเจอกันอีกเรื่อยๆ

 

อิซึกุหันมามองกล่องที่ได้รับซึ่งกำลังเข้าไปสมทบกับกล่องเก่าอีกหลายใบจนกลายเป็นเขาวงกตกล่องที่ซับซ้อนกว่าเดิม เขามองมันอย่างมุ่งมั่นและจัดวางกล่องมากมายให้เข้าที่ หลังจากนั้นก็ตัดสินใจเริ่มแกะของจำพวกชั้นวางของแบบประกอบเองและพวกเฟอร์นิเจอร์เล็กๆ ในลำดับต่อมา

 

ปัง ครืน…

 

แต่ถึงจะตั้งมั่นเอาไว้อย่างดิบดีแต่พอถึงเวลาจริงการทำนั้นกลับไม่ง่าย ชั้นวางของแบบต่อเองนี่ไม่เอื้อต่อการต่อประกอบเอาเสียเลย อิซึกุที่ไม่มีประสบการณ์มาก่อนจึงทำตัวไม้ตกประทบพื้นบ้าง ประกอบแล้วหลุดบ้างจนผ่านไปเกือบชั่วโมงเขาก็กลับมานั่งจ้องมองมันอย่างจนใจ

 

บางทีถ้ามีแรงเหมือนก่อนที่จะบาดเจ็บเขาคงจะเหนื่อยช้ากว่านี้ แต่ร่างกายที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังมานานนี้ดูจะอ่อนปวกเปียกลงซะแล้ว

 

ปิ๊งป่อง~

 

เสียงกริ่งดังขึ้นท่ามกลางการมองจ้องชั้นไม้อย่างตัดพ้อของอิซึกุ เจ้าของบ้านที่คิดว่าอาจจะมีของมาส่งอีกจึงออกไปเปิดประตูโดยไม่ได้เช็คภาพจากกล้องวงจรปิดหน้าประตู และทันทีที่เปิดออกเขาก็พบว่าคนที่ยืนอยู่หน้าห้องคือเพื่อนบ้านคนใหม่ของเขาเอง

 

“อะ…อรุณสวัสดิ์คัตจัง”

 

“ทำอะไรเสียงดังเป็นบ้า”

 

“อ่า…” เสียงเมื่อกี้สินะ “…ขอโทษนะ ฉันจะระวัง”

 

แต่ถึงจะขอโทษจบอีกฝ่ายก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ดวงตาสีแดงมองเลยเข้าไปในห้องแวบหนึ่งก่อนจะยกถุงอะไรบางอย่างในมือส่งมาให้

 

“เอาไป”

 

“เอ๊ะ?”

 

เจ้าของห้องก้มหน้ามองของในถุง ก่อนจะพบว่าข้างในมีพวกไขควง คัตเตอร์ กรรไกร เทป และอุปกรณ์การช่างที่เห็นได้ทั่วไปบรรจุอยู่ อิซึกุงุนงงอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายเดินผ่านตัวเขาเข้าไปในบ้านเสียแล้ว แถมยังเดินไปที่ชั้นไม้ที่เขาต่อค้างไว้อีกด้วย

 

“เอ่อ…คัตจัง…”

 

“อันนี้แกต่อผิด”

 

“เอ๊ะ แต่ว่าฉันก็ดูตามคู่มือ…”

 

“ไหนคู่มือแก”

 

พอถูกถามหาหลักฐานอิซึกุก็ลืมเรื่องที่อีกฝ่ายเข้ามาในบ้านแล้วรีบกลับเข้ามาหยิบคู่มือที่ว่ามาให้อีกฝ่าย

 

“แกต่อผิดด้าน เอาออกเดี๋ยวนี้เลย”

 

“อะ โอเค”

 

แล้วหลังจากนั้นคนสองคนก็ร่วมด้วยช่วยกันต่อชั้นวางของที่อิซึกุนั่งงมมานานกว่า 1 ชั่วโมงจนเสร็จ เจ้าของบ้านที่กำลังจะได้เห็นชั้นวางของเป็นรูปเป็นร่างเองก็ลืมเรื่องที่อีกฝ่ายเข้ามาในห้องตัวเองไปซะสนิท

 

“เหมือนในรูปภาพเป๊ะเลยคัตจัง แถมยังใช้เวลาแค่แปบเดียวอีก”

 

“หึ ถ้าแกเรียกฉันก็เสร็จไปนานและ ไอ้เนิร์ดเอ๊ย”

 

“แต่ว่าวันนี้เป้นวันพักไม่ใช่หรอ”

 

“ก็ถามสิวะ ชิ บอกแต่ฉันชอบไม่พูด แกเองก็ไม่ชอบถามเหมือนกันนั่นแหละ”

 

จบประโยคนั้นเจ้าของบ้านก็เริ่มจะรู้สึกตัวว่าตัวเองกับอีกฝ่ายอยู่ใกล้กันมากขนาดไหน รวมถึงจำเรื่องที่เคยพูดไว้ก่อนจะเดินออกมาจากบ้านของอีกฝ่ายได้อีกครั้ง

 

“อ๊ะ อันนี้ลืมเก็บไปเลย เดี๋ยวฉันมานะ”

 

ร่างเล็กชี้ไปยังกล่องเปล่าที่ถูกแกะก่อนจะรีบเอามันไปวางรวมตรงมุมหนึ่งของห้อง ขณะที่ใบหน้าที่มีกระระบายอยู่บนนั้นเริ่มขึ้นสีจางๆ

 

ดูเหมือนพอเป็นเรื่องหัวใจตัวเองคนที่เคยโกหกหลอกลวงใครต่อใครจนแนบเนียนจะไม่เนียนเอาเสียเลย แต่ร่างสูงก็ปล่อยให้อีกฝ่ายทำอย่างที่ใจต้องการ เพราะเจ้าตัวเองก็ไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปกดดันจนเป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนีหายเข้ากลีบเมฆอีก และเขาก็รู้ว่าถ้าตัวเองเลือกที่จะทำเหมือนไม่รู้อะไรซะ เจ้าสัตว์เล็กบาดเจ็บขี้กลัวนั่นก็คงจะกล้าขยับเข้ามาหากันแทน

 

คัตสึกิเอื้อมไปหยิบกล่องราวตากผ้าแบบต่อเองที่ถูกเปิดฝาทิ้งไว้เพื่อต่อมันต่อจากเจ้าของคนเก่า ชายหนุ่มนั่งอ่านคู่มือไม่นานก็รู้สึกถึงใครบางคนที่เดินกลับมานั่งที่เดิม

 

“ขอโทษนะ คัตจัง”

 

“เป็นอะไรของแกอีกหา”

 

คนพูดว่าโดยที่ยังไม่ละมือจากการต่อโครงที่ตากผ้า

 

“เรื่องที่ฐานทัพวิลเลินที่คัตจังบอกให้มาขอโทษต่อหน้าน่ะ…ขอโทษนะ”

 

พอได้ฟังแบบนั้นคนรอคำตอบก็ถอนหายใจออกมา

 

“เออ”

 

“แค่นี้…?”

 

อิซึกุอุทานกับตัวเอง แต่เขาคงลืมไปว่าบ้านนี้เงียบมากพอที่จะให้ใครอีกคนได้ยินคำอุทานนั้น

 

“ก็แค่นี้แหละ แกจะเอายังไง จะให้ฉันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้วแกหนีไปอีกรึไงห๊ะ!”

 

“ปะ เปล่าสักหน่อย! ก็ฉันคิดว่าคัตจังจะโกรธกว่านี้ซะอีก” คนพูดเสียงอ่อนในท่อนหลัง

 

“ฉันโกรธแกแน่อยู่แล้ว หลายเรื่องด้วยตั้งแต่ใช้ฉันเป็นเครื่องมือไปเนียนเข้ากลุ่มยัยนั่นจนเรื่องที่ฐานลับ แล้วก็เรื่องที่อยากจะหายก็หายตัวไปแบบไม่บอกกล่าวนั่นด้วย”

 

คนพูดว่าพลางลงมือต่อชั้นวางของต่อ แต่อิซึกุไม่รู้ว่าตัวเองคิดไปเองไหมว่าเสียงการกระทำมันดังขึ้นกว่าตอนแรก

 

“…แต่ถ้าฉันไม่แสดงท่าทางแบบนั้นให้พวกวิลเลินเข้าใจว่าแกเป็นพวกเดียวกันแกก็จะเป็นอันตรายเข้าไปอีก แล้วจะให้ฉันพูดอะไร”

 

“……”

 

อิซึกุคิดว่าหลังจบเรื่องทั้งหมด คัตจังคงจะได้รู้แล้วว่าคนที่ถูกทดลองส่วนใหญ่เป็นภาพลวงตาผสมกับคนจริงที่ยังไม่ถูกทดลอง แต่เขาก็ยังอยากขอโทษที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจอีกฝ่าย เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่ให้อภัยกันด้วยซ้ำ

 

แค่ให้อภัยกันก็ดีแล้ว

 

“ถ้าแกไม่กลับมาต่างหาก ถึงตอนนั้นฉันจะไม่ให้อภัยแกแน่”

 

แต่พอได้ยินคำพูดถัดมาดวงตาสีเขียวก็จำต้องมองกลับไปยังคนพูดราวกับจะถามให้แน่ใจว่านั่นคือความจริงหรือความฝัน แต่เพียงแค่มองเห็นดวงตาคู่นั้น เขาก็รู้ว่ามันไม่มีสิ่งอื่นเจือปนนอกจากความรู้สึกที่ออกมาตามคำพูด

 

“อย่าตาย เพราะชีวิตแกตอนนี้ก็พ่วงฉันไปด้วยแล้ว”

 

“ผม…ไม่ทำแล้วล่ะ”

 

“ให้จริงเถอะ”

 

“แต่ว่าคัตจังจะถอนตัวเรื่องเป็นคู่หูกับผมเมื่อไหร่ก็ได้นะครับ”

 

“ถอนตัวไม่ทันแล้วเจ้าโง่”

 

อิซึกุเอียงคอไม่เข้าใจว่าถอนตัวไม่ทันแล้วได้อย่างไร ในเมื่อแค่ถอนกำไลส่งสัญญาณนี่สัญญาของพวกเขาก็จบลงแล้ว ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าที่ยากกว่าถอนตัวก็คือถอนใจ

 

“แต่ต้องมาดูแลผมแบบนี้ไปเรื่อยๆ คัตจังคงเบื่อแย่เลยสินะครับ แถมยังต้องมาอยู่ข้างบ้านกันอีก” อิซึกุเปรยเปิดประเด็นขึ้นมา เพราะอย่างน้อยเขาก็ไม่อยากรั้งคัตจังไว้ถ้าอีกฝ่ายต้องมาคอยลำบากกับตน

 

“ไม่เบื่อ” แต่คำตอบนั้นกลับไม่ใช่แบบที่เขาคาดไว้ “แล้วต่อให้ฉันไม่ทำต่อ แกก็หนีฉันไปไม่ได้ไกลอยู่ดี เดกุ”

 

รอยยิ้มแสดงออกถึงความมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าคม ไม่รู้ว่ากำลังพูดเรื่องงานหรือเรื่องความอะไรกันแน่ แต่อิซึกุที่เป็นคนฟังยามนี้กลับรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมีผลกับใจตัวเองมากเหลือเกิน

 

“คะ ครับ เข้าใจแล้ว”

 

เจ้าของคำพูดขานรับพลางหลบสายตา ก่อนจะยกเรื่องอื่นมาตัดเรื่องที่กำลังพูดกันอยู่

 

“อ๊ะ กล่องตรงนั้นเดี๋ยวผมยกไปเก็บนะครับ”

 

วิธีการเดิม เจ้าของร่างพูดจบก็หันไปหยิบกล่องที่เขียนว่าของส่วนตัวเอาเข้าไปในห้อง ทิ้งคนที่กำลังแกะกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้าเอาไว้ในห้อง แต่เพียงแค่เดินเข้าไปไม่นานบาคุโกก็ได้ยินเสียงดังโครมใหญ่ขึ้นในห้องทำให้คนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกอย่างเขาต้องรีบตามต้นเสียงเข้าไป แล้วบาคุโกก็เห็นเจ้าของห้องที่น่าจะสะดุดกล่องอื่นในห้องจนล้มไปกองอยู่บนพื้น รอบข้างมีสิ่งของมากมายที่ปะปนกัน แต่ที่เด่นชัดที่สุดก็คือสมุดวิเคราะห์ฮีโร่ที่เขาไม่ได้เห็นมานานแล้วกับสินค้าฮีโร่มากมายที่มีทั้งออลไมท์…และของเขาด้วย

 

“เดินให้ดีสิวะ”

 

แม้จะพูดแบบนั้นแต่เจ้าตัวก็ย่อตัวลงและกำลังจะเอื้อมมือไปพยุ่งอีกฝ่าย แต่อิซึกุก็ลุกขึ้นมาก่อน มือนั้นจึงเลื่อนไปเก็บของที่ตกเกลื่อนพื้นแทน

 

เขาหยิบสมุดวิเคราะห์ฮีโร่ที่กางเปิดอยู่ขึ้นมา แต่แค่หยิบเท่านั้นมือหนึ่งก็มาดึงมันออกไปจากคัตสึกิ เขาหันไปมองคนข้างๆ ที่ดูรีบผิดปกติแล้วตอนนั้นเองที่ได้เห็นเจ้าของห้องใช้ท่อนแขนรวบกวาดของเข้ามากองรวมกันแล้วจับยัดใส่ลังที่ล้มอยู่แถวๆ นั้นอย่างเร่งรีบ ท่าทางเช่นนั้นทำให้บาคุโกรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับคนตรงหน้าเขา

 

“เฮ้…”

 

“มันไม่น่าดูหรอก”

 

เจ้าของห้องเอ่ยตัดบทพลางเก็บของลงกล่องอย่างเร่งรีบ อิซึกุไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายเพราะหลายๆ ครั้งเวลาที่มีคนเห็นสมุดพวกนี้เขามักจะถูกล้อเรื่องอยากเป็นฮีโร่ บางคนก็มองด้วยสายตาแปลกๆ เพราะรู้สึกว่ามันบ้า และเขาก็ไม่คิดว่าฮีโร่จะชอบใจเวลาที่ได้เห็นคนมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียและสิ่งที่ต้องปรับปรุงของตนเอง

 

พวกสินค้าฮีโร่นั่นก็อีก ของออลไมท์ที่เก็บมาตั้งแต่เด็กแล้วยังไม่ยอมทิ้งก็มีเต็มไปหมดเหมือนเด็กๆ ที่ไม่ยอมโต ไหนจะมีของบาคุชินจิที่ออกมาก่อนหน้านี้ที่เหมือนจะบอกทางอ้อมว่าเขาเองก็ติดตามและมองดูอีกฝ่ายมาตลอด

 

อิซึกุรีบเก็บของใส่ลงลังอย่างเร่งรีบ ดวงตาที่สั่นไหวนั้นอยู่ในสายตาของคัตสึกิเช่นกัน เขามองไปในตาคู่นั้นแล้วก็พบกับความหวาดกลัวที่คล้ายกับตอนที่เดกุเพิ่งได้ความทรงจำที่เลวร้ายคืนมา ตอนนั้นอีกฝ่ายก็มีดวงตาที่สั่นไหวแบบนั้น ดวงตาที่พยายามตัดขาดจากทุกสิ่งรอบข้าง เหมือนนักกีฬาที่ขอเวลานอกออกไปก่อนโดยทิ้งคนที่อยู่รอบข้างไว้บนสนามเช่นเดิม แล้วหลังจากนั้นเจ้านั่นก็จะกลับมาลงสนามได้เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

แต่คัตสึกิรู้ว่ามันมี…มีบางอย่างที่อีกฝ่ายกลัว อาจจะเป็นภาพของอดีต อาจจะเป็นสิ่งที่ตัวเขาทำไว้ หรือเป็นเพราะคนอื่นก็ได้ แล้วเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยในตอนนี้

 

เขาจำตอนที่บีบคั้นเรื่องคามิโนะที่รู้ว่าอีกฝ่ายไปช่วยได้ดี ตอนนั้นเจ้านั่นเตลิดหนีไปเพราะถูกตัวเขากดดัน แล้วหลังจากนั้นถ้าไม่นับเรื่องที่ต้องปลอมตัวไปทำงานด้วยกัน เจ้านั่นก็แทบจะหลบหน้าเขาตลอด เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นอีก เพราะหลังจากนั้นเดกุก็ตัดขาดทุกอย่าง หายไปเหมือนไม่มีตัวตนในเวลาที่เขาชะล่าใจ

 

บาคุโก คัตสึกิเรียนรู้ว่าบางครั้งชีวิตก็ไม่มีโอกาสครั้งที่ 2 ให้ตนองได้พูด

 

และเขาก็ไม่ชอบที่มันเป็นแบบนั้นเลย

 

“ฉันจะไปรอข้างนอก มีอะไรก็เรียกแล้วกัน”

 

อีกฝ่ายพยักหน้าตอบกลับมา ขณะที่หันไปจัดการกับกล่องใบอื่นที่ล้มลงมาเช่นกัน ส่วนบาคุโกก็ขยับออกมานอกห้อง เขากลับมานั่งแกะกล่องเครื่องใช้ไฟฟ้าเหมือนเดิม เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยากได้คำถามหรือการช่วยเหลือในยามนี้

 

มิโดริยะ อิซึกุเหมือนกระต่ายที่เคยถูกสัตว์ใหญ่ทำให้บาดเจ็บ แม้จะพยายามบอกว่าจะไม่ทำร้ายแต่ก็ยังไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ทำได้เพียงแค่ให้เวลาเป็นตัวพิสูจน์และบาคุโก คัตสึกิก็หวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้ากระต่ายตัวนั้นจะยอมเปิดพื้นที่ให้เขาเข้าใกล้อีกสักครั้ง

 

คัตสึกิเดินไปเดินมาจัดของอยู่ในห้องครัวเพื่อลดความฟุ้งซ่าน เขาแกะพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวแต่ละชิ้นและจัดวางมันก่อนที่ไม่นานอิซึกุจะเดินมาหาเขา คนที่เดินเข้ามาใหม่เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ดูอึมครึมก็รู้ว่าเป็นเพราะตนเอง

 

“ขอโทษนะคัตจังที่ดึงสมุดมาแบบนั้น”

 

คนถูกทักหันไปตามเสียงเรียก ใบหน้าที่ยังมองไปที่คนฟังอย่างไม่เข้าใจนั้นทำให้คนพูดต้องอธิบายออกไปอีก

 

“คือ… แต่ฉันคิดว่ามันคงไม่ทำให้ฮีโร่รู้สึกดีสักเท่าไหร่ เพราะในนั้นฉันวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียและจุดที่ต้องแก้ไว้ของอัตลักษณ์แต่ละแบบและก็วิเคราะห์นิสัยส่วนตัวของฮีโร่เอาไว้ด้วย บางคนก็อาจจะไม่ชอบก็ได้ อ่า…มันมีของคัตจังด้วยนั่นแหละ แต่มันจำเป็นต้องใช้ในงานล่าสุด…ขอโทษนะ”

 

อิซึกุรัวคำพูดออกมาในคราวเดียวเพราะยิ่งพูดเรื่องที่ปิดไว้ก็ทยอยเปิดออกมาทีละส่วน ไปๆ มาๆ ก็เหมือนสารภาพไปโดยปริยาย ใบหน้าที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเครียดกับสิ่งที่ได้บอกออกไปจึงก้มลงนิดๆ อย่างกังวลใจ

 

เพราะอิซึกุมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนักจากการที่มีคนมาเห็นสมุดจดนั่น ทำให้เขารู้สึกว่ามันคือสิ่งผิดปกติของตนที่ควรจะเก็บไว้ให้มิด และคิดว่ามันคือสิ่งที่ไม่ควรเปิดเผยให้ใครรู้นอกจากคนในแผนกที่ทำงานแบบเดียวกัน

 

ส่วนอีกฟาก คนฟังอย่างบาคุโกก็ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายสักครู่ก่อนจะรู้ว่าที่อิซึกุไม่อยากให้เห็นสมุดเล่มนั้นมันเพราะอะไร

 

บางทีเหตุผลนั้นคงมีเรื่องที่เขาทำกับอีกฝ่ายส่งผลไปด้วย

 

ร่างสูงขยับเข้าไปมองอีกฝ่ายตรงๆ เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรถึงจะสามารถปลดปล่อยคนตรงหน้าจากความหวาดกลัวในแววตานั้นได้ แต่อย่างน้อยเขาก็อยากจะพูดเรื่องที่เขาได้ค้นพบและรู้สึกด้วยตนเองออกไป

 

“เรื่องอาวุธชีวภาพที่เพิ่งจบไป ถ้าไม่มีคนทำหน้าที่วิเคราะห์อัตลักษณ์ฉันคงไม่ได้เจอแกอีก”

 

คำตอบนั้นต่างจากที่อิซึกุคิดไว้มาก เขาคิดว่าคัตจังอาจจะบ่นหรือพูดปัดเหมือนที่แล้วๆ มาให้เขาหยุดกังวล หรือถ้าจะให้กำลังใจก็อาจจะพูดเหมือนคนอื่นว่านี่เป็นเรื่องปกติของงานเขา แต่สิ่งที่อีกฝ่ายยกมาพูดกลับเป็นเรื่องของเขาเอง

 

“แกรู้อยู่แล้วว่ามันมีประโยชน์กับฮีโร่และคนมีอัตลักษณ์ยังไง แต่ฉันเพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานนี้เองว่ามันทำอะไรได้บ้าง…มันให้โอกาสฉันได้เจอแกอีกครั้ง เดกุ”

 

“คัตจัง…”

 

ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆ เอื้อมช้าๆ ไปหาคนตรงหน้า เขาหวังใจว่าในเวลาที่บอบบางนี้มือที่เต็มไปด้วยกลิ่นไหม้ข้างนี้จะสามารถเอื้อมไปถึงอีกฝ่ายได้บ้าง

 

ฝ่ามือนั้นค่อยๆ เอื้อมไปใกล้ใบหน้านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ในที่สุดมันจะแตะลงบนแก้มอย่างแผ่วเบา ท่ามกลางดวงตาสีเขียวของเจ้าของที่มองมันอย่างสับสนเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลับตาลงรับสัมผัสอบอุ่นที่ตัวเองเคยจับกุมไว้ในยามที่ไม่รู้อะไรเลย

 

มันยังอุ่นเหมือนเดิม

 

เหมือนตอนที่นั่งอยู่ในรถแล้วเกาะกุมมือนั้นไว้

 

อิซึกุเอียงหน้าเข้าหาฝ่ามือนั้นอย่างไม่รู้ตัว เหมือนสัตว์เล็กที่ยอมให้เข้าใกล้เมื่อรู้ว่าไม่มีอันตรายอยู่ตรงหน้า ส่วนคัตสึกิก็รู้ว่าตัวเองกำลังก้าวเข้าใกล้อีกฝ่ายไปอีกขั้น และได้รู้ว่าอิซึกุที่กุมมือของเขาไว้ในวันนั้นไม่ได้หายไปไหน เพียงแค่เติบโตขึ้นจนกลายเป็นคนตรงหน้าที่เข้มแข็งและมีเกราะป้องกันมากกว่าเดิมก็เท่านั้น

 

 

คนทั้งสองยืนอยู่ตรงนั้นได้ไม่นานต่างฝ่ายที่รู้สึกตัวว่าตัวเองทำอะไรลงไปก็ขยับถอยห่างออกมาราวกับจะตั้งหลัก ในเวลานั้นเองเสียงท้องของอิซึกุก็ดังขึ้เตือนว่าอาหารเช้าที่มีเพียงขนมปังกับนมนั้นถูกใช้พลังงานไปจนหมดแล้ว เมื่อได้ยินแบบนั้นเจ้าตัวก็นึกขึ้นได้พอดีว่าตัวเองอยู่ในครัว และครั้งนี้ยังเตรียมอุปกรณ์ทำครัวมาพร้อมอีกด้วย อิซึกุจึงใช้เรื่องข้าวเที่ยงเบี่ยงประเด็นแทน

 

“ทะ เที่ยงแล้วนี่เนอะ ลืมไปเลย คัตจังหิวรึยัง”

 

“พูดเหมือนแกจะทำอะไรให้ฉันกินอย่างนั้นแหละ ทั้งที่ไม่ได้ซื้อวัตถุดิบมาแท้ๆ”

 

“เอ๊ะ….”

 

คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมากลางความทรงจำของอิซึกุ คนที่ไม่เคยทำอาหารกินเองซักเท่าไหร่และไม่ได้ซื้อของสดติดบ้านมานานแล้วเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาลืมสิ่งที่สำคัญกว่าอุปกรณ์ทำอาหารไป

 

นั่นก็คือวัตถุดิบทำอาหารนั่นเอง

 

เพียงแค่คัตสึกิเห็นดวงตาโตที่เบิกกว้างกับปากที่อ้าค้างแล้วเขาก็รู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายก็เพิ่งจะรู้ตัวเหมือนกัน ส่วนเขาที่ได้รู้เรื่องนี้ตอนเปิดตู้เย็นแล้วเจอแต่ขนมปังกับนมและน้ำเปล่าก็คิดไว้แล้วว่าเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้าต้องลืมแน่ๆ

 

ชายหนุ่มถอนหายใจก่อนจะสั่ง “ปิ้งขนมปังรอซะ เดี๋ยวฉันมา”

 

“อะ โอ้”

 

แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจะทำอะไรแต่อิซึกุก็เลือกจะทำตามเพราะกะเพาะที่กำลังประท้วงของเขา เขาจัดการปิ้งขนมปังสำหรับ 2 ที่โดยไม่ลืมส่วนของคัตจัง ก่อนจะหันไปจัดโต๊ะรอเวลาสุก ส่วนคัตจังที่กลับมาไม่นานหลังจากนั้นก็มาพร้อมกล่องเครื่องปรุง ไข่ไก่ และเบคอน

 

ทุกอย่างถูกอีกฝ่ายจัดลงเตาโดยใช้กระทะใหม่เอี่ยมของเขา เป็นครั้งแรกเลยที่อิซึกุได้ทำอาหารในบ้านใหม่ กลิ่นหอมอ่อนๆ และอาหารตาจากน้ำมันเบค่อนทำให้เขารู้สึกว่าบ้านนี้กำลังกลายเป็นบ้านจริงๆ ที่มีร่องรอยของผู้อยู่อาศัย โดยที่ภาพดวงตากลมโตจับจ้องไปในกระทะของอิซึกุนั้นได้อยู่ในสายตาของคัตสึกิทั้งหมด ปกตินั้นเขาจะไม่ชอบให้คนเข้ามาป้วนเปี้ยนตอนทำอาหารสักเท่าไหร่ แต่พอเห็นคนข้างๆ ยืนมองเตาเหมือนกลับไปเป็นเด็กที่เฝ้ารอกินคัตสึด้งของเขาแล้วความรู้สึกอยากไล่ก็จางหายไป มันแทนที่ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าตอนแรกที่เข้ามาเสียอีก

 

จนกระทั่งได้กลิ่นไหม้…

 

“เดกุ ขนมปังแกไหม้รึเปล่า”

 

“อ๊ะ ขนมปัง ขนมปังจะไหม้แล้วคัตจัง!”

 

“ก็รีบเอาออกมาเซ่!”

 

“โอ้ย! ร้อน”

 

“ถ้ามือพองฉันฆ่าแกแน่”

 

“ไหงงั้นล่ะ!”

 

เสียงบ่นดังไปดังมาจากคนสองฝั่งที่ต้องทำงานไปด้วยกัน จนสุดท้ายขนมปังปิ้งแบบเกือบเกรียมกับไข่ดาวและเบคอนก็ถูกแบ่งใส่จาน 2 ใบตามจำนวนคน 2 ที่ ทั้งสองฝ่ายนั่งอยู่คนละฟากของโต๊ะเช่นวันเก่าๆ โดยมีดวงตากลมโตสีเขียวของเดกุที่บอกอารมณ์ดีของเจ้าตัวได้อย่างดี เดกุมองภาพไข่ดาวที่เกือบสุกสีเหลืองตัดขาวกับเบค่อนกลิ่นหอมฉุยพร้อมกับรอยยิ้ม

 

“คัตจังนี่ทำอาหารเก่งจังเลยนะ” พูดจบคนพูดก็หั่นเบคอนเข้าปากไปคำหนึ่ง

 

“ถ้าอร่อยก็กินเข้าไปเยอะๆ แล้วรับความรู้สึกของฉันไปด้วยล่ะไอ้เนิร์ดไม่ได้เรื่อง”

 

พอได้ยินแบบนั้นคนที่กำลังกินอยู่ก็เกือบจะสำลัก ร่างเล็กกว่ากลืนอาหารที่รสชาติดีกว่าที่คิดนั้นเข้าไปคำหนึ่งก่อนจะพูดออกมาเสียงอ่อย

 

“ความรู้สึกอะไรกันเล่า”

 

“แกก็รู้อยู่แก่ใจเดกุ เลิกหนีฉันได้แล้ว”

 

“ผมไม่ได้จะหนีนะ แต่แค่…ผมยังไม่รู้เลยว่าคัตจังคิดแบบไหน”

 

ดวงตาสีเขียวก้มหลบ เขาไม่ได้จะบังคับให้คัตจังบอกแต่แรกอยู่แล้วเลยไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาระหว่างที่อยู่ด้วยกัน เพราะถ้าอีกฝ่ายค้นพบว่าที่ทำไปเป็นเพียงความรู้สึกเสียใจชั่วครู่เราก็จะได้ปล่อยความสัมพันธ์นั้นให้จางหายไปเหมือนหมอกควัน เขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาชอบตัวเองอยู่แล้ว เพราะงั้นมันก็แค่กลับไปเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าจะต้องเจ็บปวดสักหน่อย แต่ก็ยังถือว่าจบกันด้วยดี

 

อิซึกุกำลังจะเริ่มรับประทานอาหารต่อ แต่ก่อนหน้านั้นเสียงจากอีกฟากหนึ่งก็ดังขึ้น

 

“เวลาที่ฉันคิดถึงเรื่องในอนาคต…มันมักจะมีที่ของแกอยู่ในนั้น”

 

เขาเงยหน้ามองคนที่เปิดบทสนทนาขึ้น โดยไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางของบทสนทนานี้จะนำไปสู่สิ่งใด

 

“พอมองไปในห้องฉันก็คิดถึงตอนที่แกอยู่ด้วยกันในบ้าน แล้วก็คิดว่าจะเป็นยังไงถ้าแกได้อยู่ที่ห้องของฉันเหมือนตอนที่ความจำเสื่อม พอคิดว่าจะทำอาหารมันก็มักจะเกินมาอีกที่ เวลาที่ฉันนอนบนเตียงก็คิดว่ามันกว้างพอจะให้แกนอนด้วยกันรึเปล่า ฉันเห็นแกอยู่ในช่วงเวลาต่างๆ ของชีวิตฉันต่อจากนี้ แล้วฉันก็รู้ดีว่าตัวเองกำลังพาตัวเข้ามาอยู่ในชีวิตแกแบบไม่รู้ตัว ถ้าแบบนี้เรียกว่าความรัก…ฉันก็รักแก”

 

ดวงตาสีมรกตมองกลับไปที่คนพูดอย่างไม่คาดคิด อิซึกุไม่ทันได้เตรียมใจตั้งรับกับสิ่งที่จะได้ยินตรงหน้า ประโยคบอกเล่าที่กล่าวถึงชีวิตประจำวันนำทางไปสู่คำสารภาพที่เขาไม่ได้คาดคิด แต่เมื่อลองได้คิดตามสักครั้งเขากลับพบว่ามันมีน้ำหนักยิงกว่าคำสารภาพแบบไหนที่เคยฟัง

 

“ฉันก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอดไหม แต่ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้แกคิดเหมือนกันมั้ย”

 

มีเพียงความเงียบระหว่างคนทั้งสอง ในชั่วขณะนั้น แม้คนฟังจะไม่ได้มองลึกเข้าไปในดวงตาคู่นั้นหรือวิเคราะห์ความหมายของคำพูดอย่างลึกซึ้ง แต่ภาพที่ถูกบรรยายออกมาอย่างละเอียดนั้นก็ทำให้ใจคนฟังรู้สึกว่ามันเกินกว่าจะเป็นเรื่องแต่ง

 

“ถึงเวลาที่แกต้องตอบฉันบ้างแล้ว เดกุ”

 

 


 

//ฉันยิ้มลำพังหัวเราะลำพูน นี่นายรักน้องขนาดนี้เลยหรอคัตสึกิ~ UwU แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองมั้ยว่าโมเม้นนี้มันได้ เอาเป็นว่าคนอ่านรู้สึกกับคำสารภาพรักของนายคัตสึกิยังไงก็ส่งคอมเมนต์มาบอกกันบ้างนะคะ บางทีเราก็กลัวว่าเราจะหวีดไปเองคนเดียว 55555

 

ใกล้จบจริงๆ แล้วค่ะ วันอาทิตย์นี้ไม่แน่ใจว่าจะได้ลงมั้ยเพราะต้องจัดการกับช่วงจบที่ยังไม่ค่อยชิน หน้าปก และแบบฟอร์ม Pre-Order ขออภัยถ้าหากลงช้าไปสัปดาห์หน้านะคะ สำหรับคนที่รอเล่ม ก็เตรียมสั่งจองได้เลยค่ะ สัปดาห์หน้าเรามาแน่

 

ขอให้เป็นวันที่ดีของทุกคนนะคะ (_ _)/

[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 61

 

 

61

โปรดอ่านรายละเอียดก่อนทำสัญญา

 

 

หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างสงบลง ตำรวจที่รออยู่ก็เข้าจับกุมวิลเลินร่วมกับฮีโร่บาคุชินจิ ในที่สุดสาธารณชนก็ได้รู้ถึงเรื่องที่อายะวางแผนเอาไว้รวมถึงแรงจูงใจ เป็นอีกครั้งที่เรื่องของอัตลักษณ์กลายเป็นที่ถกเถียงกันในสังคม อาจจะเพราะมันครอบคลุมถึงความปลอดภัยในชีวิตจึงมีการแลกเปลี่ยนความคิดกันในสังคมทั้งในโลกอินเตอร์เน็ตและโลกแห่งความเป็นจริงอย่างกว้างขวาง แม้จะยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้โดยเด็ดขาดได้อย่างไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดผู้คนก็ได้รับรู้ว่ามีกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากอัตลักษณ์อยู่บนโลก

 

ส่วนเรื่องของเขาที่เคยมีชื่ออยู่ช่วงนึงว่าเป็นคนตายในเหตุการณ์ก็ค่อยๆ จางหายไปภายใต้เรื่องที่ใหญ่กว่า อิซึกุจึงเริ่มกลับมาทำงานได้เหมือนเดิมอีกครั้ง…ท่ามกลางท่าทางงอนๆ ของใครหลายคนที่ถูกหลอก

 

“ขอโทษนะครับที่ทำให้เดือดร้อน ยังไงให้ผลเลี้ยงขอโทษและขอบคุณเถอะนะครับมื้อนี้”

 

อิซึกุกล่าวท่ามกลางเพื่อนร่วมงานแผนกวิเคราะห์ที่นั่งอยู่ในร้านเนื้อย่างเจ้าประจำ มีมิสโรสเป็นหัวโจกในการงอน (?) ตามมาด้วยซากิที่ถูกย้ายมาทำงานแผนกเก่านี้แทนที่ตัวเขาตามแผนที่วางไว้ และประชากรเหล่าซอมบี้ที่ถูกทิ้งไว้ท่ามกลางงานมากมาย ซึ่งถ้ารวมการซ่อมแซมห้องที่ถูกทำลายเพราะการบุกของบาคุชินจิด้วยแล้วตัวเขาก็ใช้พื้นที่ไปเยอะในการปิดเรื่องนี้เลยทีเดียว

 

“เฮ้อ วันหลังน่ะจะทำอะไรก้บอกกันบ้างนะ อิซึกุคุง พี่น่ะใจหายใจคว่ำหมดเลย”

 

“ใช่ๆ รู้อีกทีก็ต้องไปงานศพรุ่นน้องนี่มันโหดร้ายไปมั้ย”

 

เสียงตัดพ้อดังระงม มีเพียงมิสโรสที่นั่งยิ้มๆ คอยผสมโรงเพราะตัวเธอเองพอจะเดาความผิดปกติของเขากับดอกเตอร์ได้อยู่แล้ว

 

“มิสโรสช่วยผมด้วยสิครับ”

 

“อะไรกัน นี่พี่ก็เป็นผู้เสียหายนะ” ว่าจบก็หันไปสั่งเบียร์มาเพิ่มหน้าตาเฉย

 

“แต่บาคุชินจิก็จริงๆ เลยนะ ห้องพังไปทั้งแถบเลย”

 

ในเวลานั้นพนักงานกลุ่มนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองจะบังเอิญเลือกมากินเลี้ยงร้านเดียวกับฮีโร่ที่ถูกตนพูดถึง โดยที่ฮีโร่ที่ว่าเพิ่งจะเดินผ่านโต๊ะของพวกเขาไปนั่งที่โต๊ะข้างๆ นั้นเอง แต่หลายๆ คนคงจะไม่สังเกตเพราะเจ้าตัวและกลุ่มคนบนโต๊ะนั้นต่างก็อยู่ในชุดลำลองกันทั้งสิ้น จะมีก็แต่เจ้ามือโต๊ะนี้อย่างอิซึกุที่ร้อนๆ หนาวๆ กับดวงตาสีแดงที่ตวัดมามองทางนี้นั่นแหละ โดยเฉพาะตอนที่เห็นว่าเจ้าของชื่อฮีโร่บาคุชินจิกำลังถูกเพื่อนร่วมโต๊ะหัวเราะและส่งสายตาล้อเลียนมาให้ด้วย

 

แล้วไหงมาเลือกร้านเดียวกันได้ละเนี่ย

 

อิซึกุได้แต่ถามตัวเองอยู่ในใจ เพราะตั้งแต่วันที่ภารกิจจบลงเขาก็ไม่ค่อยได้เจอคัตจังอีกจึงไม่คิดว่าจะได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ แต่ก็คงไม่แปลกอะไรที่พวกเขาจะเพิ่งมามีเวลาให้กับชีวิตของตัวเองกัน เพราะก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็ต้องทำรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนอิซึกุนั้นยิ่งแล้วใหญ่ นอกจากรายงานเขายังต้องไปตรวจเช็คสภาพร่างกาย รวมถึงไปขอบคุณคนหลากหลายฝ่ายที่ให้ความช่วยเหลือทั้งด้านอัตลักษณ์ ประสานงาน และรักษาจนภารกิจทุกอย่างจบลงโดยมีผู้เสียหายและบาดเจ็บไม่มากอย่างที่คิด

 

เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นโดยคนคนเดียว

 

แต่เมื่อมันจบลงแล้วก็ถึงเวลาที่ต้องตอบแทนกับความเหนื่อยยากของตัวเองแล้วล่ะนะ

 

กลุ่มพนักงานแผนกวิเคราะห์ฯ กินเลี้ยงสังสรรค์กันในร้านอยู่พักหนึ่งก่อนจะมีบางคนไปต่อที่ร้านสอง ส่วนอิซึกุที่อยากจะกลับไปพักแล้วก็ขอแยกตัวกลับบ้าน แต่ระหว่างที่เดินอยู่เขาก็รู้สึกถึงคนที่เดินตามตนมาอีกครั้งเหมือนในวันวาน

 

แค่หันไปด้านข้างก็จะเห็นไหล่หนาและใบหน้าด้านข้างนั้นอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกล

 

“คัตจัง ผมหายเป็นปกติแล้วนะครับ”

 

ร่างสูงนิ่งไป ทำให้อิซึกุต้องทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้งว่าเมื่อครู่ที่เขาพูดไปมันเป้นประโยคบอกเล่าสารทุกข์สุขดิบเท่านั้น

 

“ไม่ต้องตามมาดูแลเหมือนแต่ก่อนก็ได้”

 

อิซึกุเอ่ยเสียงเบา ด้วยเจ้าตัวรู้สึกว่าพอพูดแบบนั้นไปแล้วก็แอบรู้สึกว่าตัวเองจะสำคัญตัวไปหน่อยมั้ยนะที่อีกฝ่ายจะตามมาดูแลเนี่ย

 

บางทีอาจจะแค่ตามมาบ่นเรื่องที่ร้านเนื้อย่าง หรือในอีกแง่ก้อาจจะบังเอิญเดินมาทางเดียวกันเฉยๆ ก็ได้

 

“พูดอะไรของแก ฉันจะเดินกลับบ้านต่างหาก”

 

นั่นไงล่ะ

 

“อ่ะ งะ งั้นเหรอ ฮะๆ”

 

อิซึกุหัวเราะแก้เก้อพลางยกมือลูบหัวแก้เก้อ ใบหน้าแต้มกระแอบขึ้นสีนิดๆ กับความคิดเข้าข้างตัวเองของตน เขาก้มหน้าลงต่ำคล้ายว่าหากแทรกตัวลงไปในทางเท้านั้นได้ก็คงจะทำไปแล้ว

 

สุดท้ายเขาจึงได้แต่เดินไปเรื่อยๆ โดยหวังว่าจะมีสักแยกนึงที่ตนกับคัตจังจะแยกกันไปโดยที่คัตจังไม่พูดขึ้นมาเหน็บเขาซะก่อน แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่าคัตจังไม่มีทีท่าจะเดินแยกจากเขาไปเลย อิซึกุที่เริ่มฉงนกับเหตุการณ์นี้จึงหยุดที่ข้างทางก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดภาพทางเดินไปยังอพาร์ตเมนต์ใหม่ของตนขึ้นมา

 

เขาจำได้อยู่ว่าคัตจังพักอยู่แถวนี้ แต่ถ้าเดินมาถึงนี่แล้วมันก็ไม่มีเขตที่อยู่อาศัยอื่นแล้ว อิซึกุไม่อยากจะคิดว่าการย้ายที่อยู่ใหม่ของเขาจะเป็นที่อยู่ที่ใกล้คัตจังขนาดนี้

 

จริงๆ เขาไม่คิดว่าตนจะต้องย้ายที่อยู่เลยเพราะอพาร์ตเมนต์เดิมก็ไม่ได้สร้างความลำบากอะไรให้ แต่หลังจากเขาแกล้งย้ายไปอยู่ฝั่งวิลเลินแล้วย้ายออกจริงๆ โดยไม่เหลือสิ่งใดไว้ให้ใครตามได้อีกก็กลายเป็นว่ามีคนมาเช่าห้องต่อจากเขาไปเป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเขาก็ไม่โทษเจ้าของอพาร์ตเมนต์เลยเพราะตัวเองก็หายตัวไปตั้ง 4 เดือนกว่าโดยไม่ได้บอกว่าจะกลับมาอีกหรือไม่ เขาทำเรื่องย้ายออกจริงๆ เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องปล่อยห้องนั้นให้คนที่ต้องการต่อไปเช่นกัน

 

ด้วยเหตุนั้น หลังออกจากทาร์ทารัสเขาก็ต้องอยู่ที่ห้องพักในสำนักงานไปก่อน จนได้รับห้องที่ทางรัฐช่วยหาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน ห้องนั้นเป็นห้องที่ได้รับการสรรหาโดยอ้างอิงจากฐานเงินเดือน ความเหมาะสม และความปลอดภัยที่เขาควรได้รับ อิซึกุตกลงทันทีหลังจากได้เห็นห้องใหม่ที่มีพื้นที่กำลังพอดีและเงินเดือนของเขาสามารถรับได้ ของของเขาก้ถูกส่งไปที่นั่นเรียบร้อยพร้อมกับแม่บ้านที่มาทำความสะอาดห้องให้จนพร้อมอยู่ในระดับหนึ่ง อิซึกุจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะลองไปพักที่นั่นดูแทนห้องของสำนักงานที่รบกวนมาหลายสัปดาห์แล้ว

 

ร่างเล็กกว่าก้มดูแผนที่ในหน้าจอมือถือที่ส่งแสงจ้าออกมาท่ามกลางยามค่ำคืน ทำใหคนที่อยู่ข้างๆ ต้องชะโงกตัวแอบเข้าไปดูด้วยพร้อมดวงตาที่ซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ แต่อิซึกุก็ไม่มีโอกาสได้เห็นมันเพราะเขากำลังจดจ่ออยู่กับการนับซอยบ้านของตน

 

“แกต้องเดินไปอีกสองซอย”

 

“เหวอ คัตจัง!” อิซึกุสะดุ้งด้วยนึกว่าอีกฝ่ายจะเดินเลยตนไปแล้ว เพราะเขาหยุดอยู่ตรงนั้นนานสักพักแล้ว แน่นอนว่าอิซึกุอยากจะถามด้วยคำถามเดิมอีกครั้ง แต่พอคิดว่าคงได้อายเพราะเข้าข้างตัวเองร่างเล็กก็เลือกจะปัดคำถามนั้นออกแล้วถามเรื่องอื่นแทน

 

“คัตจังก็อยู่แถวนี้เหรอครับ”

 

“เออ รีบตามมาได้แล้วถ้าไม่อยากหลง”

 

“เอ่อ อ่า ครับ”

 

พอได้ยินว่าอีกฝ่ายอาศัยอยู่แถวนี้เขาก็ใจชื้นขึ้น อิซึกุเดินไปอีกสองซอยก่อนจะเลี้ยวเข้าไปตามที่อีกฝ่ายบอก ที่แถวนี้มีย่านที่อยู่อาศัยมากมายเขาเองก็ไม่คิดอะไรในตอนที่คัตจังเดินเลี้ยวเข้ามาในซอยเดียวกัน

 

แต่ก็เริ่มข้องใจนิดหน่อยตอนที่อีกฝ่ายเดินตามเขาเข้ารั้วอพาร์ตเมนต์ใหม่

 

แล้วก็ข้องใจมากกว่าเดิมเมื่อตนเองขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกัน

 

และเขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะว่าอีกฝ่ายตามมาเมื่อเจ้าตัวเดินออกจากลิฟต์ชั้นเดียวกับเขา

 

พวกเราเดินไปทางเดียวกันก่อนจะหยุดอยู่กับที่ อิซึกุมั่นใจว่าตัวเองหยุดอยู่หน้าห้องของตน แต่กับคัตจังนั้น…อีกฝ่ายอยู่ข้างๆ ห้องของเขาเอง

 

“คัตจัง…” เขาหันไปมองอีกฝ่าย

 

“อะไร”

 

“ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไงครับ”

 

ในตอนนั้นเองที่รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมค่อยๆ วาดผ่านใบหน้าคมเหมือนรอให้เขาถามคำถามนี้อยู่แล้ว

 

“ก็นี่แหละบ้านฉัน”

 

“…..”

 

อิซึกุอ้าปากและทำหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ แต่เมื่อลองชะโงกหน้าไปยังหน้าประตูห้องข้างๆ ที่ปกติจะมีป้ายชื่อเจ้าของติดไว้เขาก็ไม่เห็นอะไร คิ้วมุ่นขมวดกันเป็นปมเหมือนจะมีคำว่า ‘ไม่เห้นจะมีชื่อปิดไว้เลย ใช่จริงเหรอ?’ ติดไว้ตรงหน้า ทำให้เจ้าของห้องที่เห็นแบบนั้นพลิกป้ายหน้าห้องเอาด้านชื่อออกมาแทนด้านขาว

 

“ก็แล้วทำไมฉันต้องบอกชื่อด้วยล่ะว่าตัวเองอยู่ที่นี่”

 

พูดจบปุ๊บก็ไขกุญแจห้องจนเกิดเสียงปลดล็อกตอกย้ำคนฟังเข้าไปอีก

 

“ทำไมคัตจังถึง…”

 

อิซึกุไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมาอยู่ห้องข้างๆ ของตัวเองเลยสักนิด

 

“ฉันอยู่ที่นี่มานานแล้ว แกต่างหากที่ย้ายมาทีหลังน่ะ”

 

“แล้วบ้านนั้นล่ะ”

 

“แกคิดว่าฉันต้องนั่งรถกี่ชั่วโมงจากที่นั่นมาทำงานที่นี่กันห๊ะ นั่นมันก็แค่บ้านเอาไว้พักผ่อนกับครอบครัว”

 

“ครอบ…” ครอบครัว

 

ไม่รู้ทำไมพอได้ฟังแบบนั้นแล้วอิซึกุก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นผิดจังหวะ ใจนึงก็กำลังนึกถึงความหมายที่อีกฝ่ายพาตัวเองไปที่บ้านนั้น แต่อีกใจก็ปฏิเสธในเวลาเดียวกันว่ามันไม่ได้มีความหมายแฝงอะไรแบบนั้นหรอก

 

ที่สำคัญในตอนนี้คือนี่เขาย้ายมาอยู่ข้างห้องของคัตจังจริงๆ งั้นเหรอ

 

ปกติก็แทบไม่กล้าสู้หน้าตั้งแต่สร้างเรื่องไว้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่นี่เราต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกันงั้นเหรอ…อิซึกุทำหน้าไม่อยากจะเชื่อในขณะที่คนบ้านใกล้เรือนเคียงส่งยิ้มมุมปากมาก่อนจะเดินเข้าบ้านไปต่อหน้าต่อตาเขา

 

 

 

Photo by Luis Quintero from Pexels

 

 

 

“มิสโรสรู้รึเปล่าครับว่าทำไมผมถึงได้อยู่อพาร์ตเมนต์เดียวกับคัตจัง”

 

“เปล๊า ไม่นะ”

 

อิซึกุเงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงสูงผิดปกติของคนที่อยู่อีกฝั่ง เขาส่งเสียงเรียกชื่อไปอีกครั้งอยากจริงจังก่อนหญิงสาวจะตอบกลับ

 

“ไม่รู้จริงๆ แต่ว่าก็พอเดาได้น่ะ ก็เธอสองคนเป็นคู่หูกันอยู่นี่นาก็น่าจะต้องได้อยู่ใกล้ๆ กันเหมือนฉันกับมิดไนท์ไง”

 

อิซึกุขมวดคิ้วมุ่น ก็จริงว่าเขายังไม่ได้ปลดกำไลข้อมือส่งสัญญาณที่ว่านั่นเลย แต่…

 

“แต่มันจะไม่ใกล้กันเกินไปหน่อยหรอครับ”

 

“ยิ่งใกล้ฮีโร่ก้ยิ่งดูแลสะดวกนะอิซึกุ”

 

“แล้วถ้าผมยกเลิกการเป็นคู่หูล่ะครับจะเป็นยังไง”

 

“ถ้าตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะเพราะเธอเซ็นสัญญาเช่าอยู่ไปแล้ว แล้วก็อีกอย่างอพาร์ตเมนต์อื่นที่เราไปดูๆ มาก็ไม่สะดวกเท่าที่นี่ไม่ใช่เหรอ”

 

จะพูดไปแล้วมันก็ใช่ ก่อนหน้านี้ที่เขาเลือกที่นี่เพราะเมื่อเทียบกับที่อื่นแล้วอพาร์ตเมนต์นี้ถือว่าดีที่สุดในราคาที่เขารับไหว แถมสภาพแวดล้อมยังปลอดภัยมากกว่าที่เก่าของเขาทำให้อิซึกุเลือกที่จะอยู่ที่นี่ แต่…

 

“ผมไม่รู้เลยว่าคัตจังก็อยู่ที่นั่นด้วย”

 

“อะไรกัน พี่นึกว่าเรามีความสัมพันธ์อันดีกันแล้วซะอีกนะ”

 

“ก็ดีแหละครับ แต่ว่าช่วงนี้คัตจังดูแปลกๆ ไป ผมไม่ค่อยชินเลย”

 

“เขาชอบเราแล้วรึเปล่า”

 

คราวนี้อิซึกุที่กำลังจะดื่มโกโก้ถึงกับสำลัก เปิดช่องให้คนที่นั่งอยู่อีกฟากของห้องได้พูดต่อ

 

“พี่รู้นะว่าเราก็ชอบเขา ไม่งั้นคงไม่กันเขาออกจากภารกิจโดยให้อยู่ในสถานะคนตายชั่วคราวหรอก”

 

คราวนี้คนฟังไม่พูดอะไร เขาได้แต่ให้หน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าบังใบหน้าที่ขึ้นสีของตัวเองเอาไว้

 

“แล้ว…” อิซึกุเคลียร์ลำคอและปรับเสียงที่ไม่นิ่งสงบของตัวเองให้เข้ารูปเข้ารอย “…แล้วมันยังไงล่ะครับ เรื่องนี้ถึงผมจะรู้สึกแต่เขาอาจจะไม่ได้รู้สึกอะไรหรือแค่สงสารกันเพราะเรื่องในอดีตที่ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องก็ได้”

 

เขายังคงสงสัยจนถึงทุกวันนี้ว่าถ้าหากคัตจังไม่ได้เห็นแผ่นหลังของเขา ไม่รู้ว่าเขาถูกทำอะไรบ้างอีกฝ่ายจะยังเป็นแบบทุกวันนี้ไหม แน่นอนว่าเขามีความตอบของตัวเองอยู่ในใจไว้แล้วว่ามันไม่น่าจะมาถึงขั้นนี้ได้ แต่มันก็ไม่ได้ผิดที่คัตจังจะรู้สึกแบบนี้ แค่เพียงเขาไม่มั่นใจ…ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกอะไรต่อกันกันแน่ ความสัมพันธ์ของเราตอนนี้เลยดูแปลกๆ แบบที่เขาไม่รู้ว่ามันจะไปในทิศทางไหน

 

“เธอไม่มั่นใจว่าเขารู้สึกแบบไหนงั้นเหรอ”

 

“…..”

 

อิซึกุไม่ได้ตอบออกไป แต่นั่นก็มากพอจะทำให้เธอรู้ว่าคำตอบนั้นคืออะไร

 

“แล้วเขาเคยพูดอะไรรึเปล่า”

 

“เขาแค่บอกว่า…อย่าไป…”

 

คนทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง

 

“ช่างมันเถอะครับ ผมก็คิดอยู่แล้วว่าคัตจังคงไม่พูดอะไรแบบนั้น ผมก็ไม่ได้อยากบังคับเขาด้วยเพราะส่วนหนึ่งก็เพราะตัวผมเองที่ขี้กลัว”

 

หญิงสาวหยุดมือก่อนจะเริ่มเข้าใจว่าอะไรที่เป็นกำแพงขวางกั้นคนทั้งสองไว้จากกันและกัน

 

ต้องบอกว่าคนทั้งสองนั้นเปลี่ยนไปมากแต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะละทิ้งนิสัยเดิม อิซึกุที่ไม่เคยไว้ใจใคร แม้แต่เรื่องงานก็สบายใจที่จะแบกรับไว้คนเดียว เมื่อต้องมาทำงานเป็นทีมและเจอฮีโร่ที่พึ่งพาได้เขาก็ค่อยๆ ปล่อยวางและไว้ใจคนอื่นมากขึ้น และตอนนี้ก็ยังได้พบคนที่จะรองรับตัวเขาไว้ในเวลาที่ร่วงหล่น แต่กับเรื่องความรักนั้นมันเป็นเรื่องใหญ่…เขาไม่อยากจะเข้าใจผิดไปคนเดียวอีก

 

ส่วนบาคุชินจิที่ไม่ค่อยใส่ใจคนอื่น พอรู้ว่ามีคนที่ได้รับผลกระทบจากคำพูดและการกระทำของตัวเองอยู่เขาก็พยายามปรับตัวมากขึ้น ใส่ใจมากขึ้น พอมาจับคู่ดูแลอิซึกุเขาก็ต้องเรียนรู้เรื่องการปกป้องมากขึ้น ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่แค่เรื่องทางกายภาพแต่รวมไปถึงความรู้สึกด้วย เพราะในสถานการณ์ฉุกเฉินการใช้คำพูดก็มีผลกับผู้ประสบภัยเช่นกัน…แต่จะให้คนที่ไม่เคยมาก่อนมาพูดหรือทำให้คนขี้กังวลอย่างอิซึกุเชื่อมั่นนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมทำถึงขนาดนั้นไหม

 

เธอเคยได้ยินมิดไนท์เล่าให้ฟังว่าตอนที่บาคุชินจิถูกช่วยไว้ในเหตุการณ์คามิโนะ เขาก็ยื่นเงินค่ากล้องส่องทางไกลให้กับเพื่อนตัวเองที่เอาเงินไปซื้อมาเพื่อความสะดวกในการหาตัวของเขา เขาไม่ได้พูดอะไรมากกว่าเอาไปซะ ในสถานการณ์นั้นเธอคิดว่ามันก็แปลได้หลายแบบทั้งอยากจะขอโทษ ขอบคุณ หรือตอบแทนค่ากล้องเฉยๆ ซึ่งถ้ามาทำอะไรคลุมเครือแบบนั้นกับอิซึกุของพวกเธอล่ะก็ เธอคิดว่าอิซึกุอาจจะไม่ตีความเป็นสองอย่างแรกแน่ๆ

 

อิซึกุกำลังต้องการความเชื่อมั่น

 

ในขณะที่บาคุโกก็ต้องเรียนรู้ที่จะมอบความรู้สึกนั้นให้อีกฝ่าย

 

ถ้าความต้องการมาบรรจบกันจนถึงระดับที่พอดีมันก็คงจะพัฒนาไปต่อได้ แต่กับคนของฝั่งเธอที่ขี้กลัวนี้อาจจะทำให้ฮีโร่คนนั้นต้องทุ่มเทให้สักหน่อย ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเขาจะเหนื่อยและยอมแพ้ไปก่อนหรือไม่

 

“ถ้ามีอัตลักษณ์แบบพี่อายะก็คงดีนะครับ ผมจะได้รู้ว่าเขากำลังรู้สึกแบบเดียวกันอยู่รึเปล่า หรือว่าแค่รู้สึกผิดและอยากชดใช้ให้กันแค่นั้น”

 

ความรักก็เป็นแบบนั้น มันมีความเสี่ยงไม่ว่าจะเกิดกับใครก็ตาม แต่กับคนขี้กังวลแล้วมันเหมือนเสี่ยงเป็นสองเท่า เธอเข้าใจดีว่าเขามีสิทธิที่จะกังวลว่ามันจะไม่ใช่ความรู้สึกแบบเดียวกัน แต่ว่า…

 

 

‘ฉันรับรู้ความรู้สึกของคนได้ก็จริง แต่รู้มั้ยเรย์ความรู้สึกรักน่ะไม่เคยเหมือนกันเลยสักคน แต่ความรู้สึกนี้น่ะมันไม่ใช่ความคลุมเครือ…’

 

 

“มันจะไม่คลุมเครือหรอกนะถ้าพวกเธอจริงจังกันจริงๆ”

 

อิซึกุชะงัก ในตอนนั้นเองที่คนนอนฟุบอยู่บนโต๊ะกลางห้องพูดขึ้นมากลางความเงียบของเธอและอิซึกุ

 

“เพราะเขาจะทำให้เธอเชื่อมั่นในความรู้สึกนั้นจนได้นั่นแหละ”

 

นั่นสินะ

 

แต่เดี๋ยวก่อน…

 

“ถ้าตื่นแล้วก็มาช่วยกันทำงานต่อได้แล้วค่ะ ดอกเตอร์”

 

ไม่มีสัญญาณตอบรับจากดอกเตอร์ที่ท่านเรียก เหลือเพียงเสียงถอนหายใจของมิสโรสและความประหลาดใจของอิซึกุ นั่นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาไม่มั่นใจในคำพูดของดอกเตอร์

 

 


 

// โปรดอ่านรายละเอียดก่อนทำสัญญาเช่าซื้อบ้าน เพราะคุณอาจจะได้คนที่แอบชอบมาอยู่ข้างบ้านแบบไม่ได้เตรียมใจ UwU

บางคนอ่านแล้วอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ย มันหวานไปรึเปล่า ซึ่งเราก็อยากจะบอกว่า…เราอยากเขียนคัตเดฟีลกู้ดมานานแล้วค่า~ 555 และเรื่องนี้ก็รวมหลายๆ อารมณ์เอาไว้ ทุกคนอาจจะไม่ชินที่จู่ๆ ดราม่าสุดแล้วก็มาแบบนี้ แต่ก้อยากจะให้เปิดใจลองอ่านดูนะคะ

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์ให้กำลังใจและการโดเนททาง ReadAWrite นะคะ บางคนอาจจะเปิดเรียนกันแล้วก็สู้ๆ นะคะ ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีนะ

Photo by Luis Quintero from Pexels

[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 60

 

 

60

ดอกทานตะวันในฤดูใบไม้ร่วง (2)

 

 

ท้องฟ้าสีครามสุดลุกหูลูกตาทอดยาวออกไป แสงแดดในเวลากลางวันส่องตรงลงมายังพื้นโลก ดอกทานตะวันชูช่อออกดอกและหันไปในทิศทางเดียวกันราวกับสวนสวรรค์ หากแต่คนมองนั้นรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงภาพโฮโลแกรมเท่านั้น

 

               ท้องฟ้าเปิดกว้างที่ไร้สายลมกับพื้นนุ่มที่เหมาะกับเด็กๆ ถ้าเดาดูก็พอจะรู้ว่าอยู่ที่ไหน

 

               แกร็ก

 

               เสียงปืนดังขึ้นจากด้านหลังก่อนเสียงเรียบๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่คุ้นเคยจะสั่งให้เขาหันหลังกลับมา

 

               อิซึกุทำตามที่เธอว่าก่อนจะไม่แปลกใจที่ได้เห็นเจ้าของเสียงนั้น

 

               “พี่อายะ”

 

               “ยังดีที่จำได้”

 

               ไม่รู้ว่าคำนั้นหมายความตามจริงหรือตั้งใจจะประชดแต่อิซึกุก็ไมได้ว่าอะไรออกไป เขาแค่มองดูเธอที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา เพราะระยะเวลาที่จากกันแม้จะดูสั้นแต่ก็นานในความรู้สึก หญิงสาววัยกลางคนผู้นี้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ยามนี้เธอดูอิดโรย ดวงตามีแววของความเจ็บปวด ชุดแจ็กเก็ตเพื่อความคล่องตัวทำให้รู้ว่าเธอคงเตรียมตัวมาอย่างดี  รอบกายคล้ายปกคลุมด้วยความมืดมน เป็นพลังงานแง่ลบที่ยิ่งเด่นชัดมากขึ้นไปอีกเมื่อเธอกำลังยืนอยู่ในห้องนี้

 

               ห้องที่มีทุ่งทานตะวันมาบบรรจบกับแสงอาทิตย์ และยังมีร่องรอยการเว้นที่ไว้เพื่อก่อสร้างสนามเด็กเล่นอีกฝั่งหนึ่ง

 

               เธอยืนอยู่ในที่เดิมของตัวเอง แต่ไม่ใช่ตัวเองในวันวานอีกต่อไป

 

               “เป็นยังไงบ้างล่ะกับชีวิตที่ได้รับ ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอใช้เคียวมาช่วยแล้วหลอกฉันด้วยภาพโฮโลแกรมว่ามีคนตายไปมากมาย คงจะเหนื่อยไม่น้อยเลยสินะ”

 

               หัวใจดวงน้อยสั่นไหวกับคำพูดของคนตรงหน้า ทั้งที่ไม่เคยคิดจะจริงจังกับคำพูดของคนทำผิดที่เข้ามาด้วยความสงสาร ดูถูก หรือยั่วให้โกรธ แต่กับคำพูดของคนที่ทำให้ตนหยัดยืนได้อีกครั้ง เขากลับไม่อาจฟังมันโดยตัดความรู้สึกทิ้งได้เลย

 

               “มอบตัวเถอะครับ ผมรู้ว่าคุณพยายามตามผมอยู่ แต่อีกไม่นานฮีโร่ก็จะตามมาที่นี่แล้ว” เขาว่าพลางพยายามจะยกกำไลส่งสัญญาณให้ดู แต่พอจับที่ข้อมือตนก็พบว่ามันหายไปแล้ว

 

               “ขอโทษด้วยนะที่ฉันปิดมันไปตั้งแต่ที่มันร้องครั้งแรกแล้ว แล้วก็ถอดมันทิ้งไว้ระหว่างที่พาเธออ้อมไปมาก่อนจะมาถึงที่นี่ด้วย”

 

               เธอว่าพลางยกยิ้ม อิซึกุอ้าปากจะถามเธอว่าเธอทำได้อย่างไร แต่เมื่อคิดถึงสถานะของตน เขาควรคิดซะก่อนว่าทำไมเธอถึงเลือกพาเขามาที่นี่ ที่ใต้จมูกและมีความสลับซับซ้อนแบบนี้เธอย่อมคุ้นเคยเป็นอย่างดี แล้วมันก็คงเป็นสถานที่สำหรับใช้เวลาต่อรองได้ดีด้วย รวมถึงคงไม่มีฮีโร่คนไหนเข้ามาถึงส่วนนี้และคงไม่มีคนในแผนกคนใดที่ไม่มีงานให้ทำจนว่างมาเดินเที่ยวเล่น

 

               ที่นี่คือแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์ในส่วนห้องที่กำลังถูกสร้างขึ้นใหม่

 

               “แต่ทุกอย่างมันก็จบไปแล้ว”

 

               พออิซึกุพูดแบบนั้น ปืนที่อยู่ไม่ไกลก็ขยับเข้ามาใกล้

 

               “มันจะไม่จบถ้าเธอไปกับฉัน เราจะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าครั้งนี้เธอเลือกที่จะอยู่ข้างฉันจริงๆ แม้แต่คนที่อยู่ในจุดที่ควบคุมระบบฉันก็จะจัดการให้เธอได้”

 

               เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เธอไม่เคยยอมแพ้

 

               “เธอรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้เหรอ? แล้วเรื่องภาพนั่นล่ะ …อ้อ โกหกสินะ…”

 

               คนตรงหน้ากำลังพูดเองตอบเอง แต่เขารู้ว่าเธอใช้อัตลักษณ์รับรู้ความรู้สึกของเขาแทนคำตอบแล้ว

 

               ใช่ ภาพแบล็กเมล์นั่นมันก็แค่ภาพปลอมที่เขาตัดต่อขึ้นเพื่อเพิ่มหลักฐานสนับสนุนความรู้สึกคับแค้นใจของตนเอง จริงๆ มันก็มีภาพที่ถูกถ่ายไว้จริงแต่ไม่ใช่ในมุมที่เห็นหน้าซึ่งถูกลบทิ้งไปหมดแล้ว แต่เขาก็ขอให้คนที่มีความสามารถตัดต่อช่วยทำขึ้น แล้วมันก็ได้ใช้ทำให้คัตจังและหญิงสาวตรงหน้าเชื่อว่าผมถูกกระทำจนไร้หนทางหนีได้จริงๆ

 

               “เธอ…ทั้งที่เคยถูกหลอกให้เชื่อใจแต่ก็ยังทำแบบนั้นกับฉัน…”

 

               “….”

 

               ใช่ ถ้าหากพูดแบบนั้นมันก็ใช่

 

               เขากำลังหลอกใช้ความเชื่อใจของทั้งอายะและคัตจัง ใช้คัตจังเพื่อให้อายะเชื่อ ใช้อายะเพื่อแทรกแซงเข้าไปในองค์กร

 

               “แต่ก็ยังถูกเรียกว่าฮีโร่ได้อีก”

 

               “….”

 

               “นับวันเธอยิ่งเหมือนพวกฮีโร่ที่ทำเพื่อชื่อเสียงเงินตราพวกนั้นเข้าไปเรื่อยๆ เลยนะรู้มั้ย”

 

               ในเวลานั้นมีเพียงความเงียบ แต่ผมรู้ว่าเธอคงเข้าใจว่าหลังได้ยินคำนั้นแล้วตัวผมกำลังรู้สึกอย่างไร

 

               “แม้แต่เด็กที่มีอัตลักษณ์เลือดรักษาคนนั้น…เธอก็ช่วยเขามาเพื่อใช้เขาทำงานอีกที จะว่าไปแล้วเรานี่ก็เหมือนกันเลยนะ”

 

               อิซึกุหลับตาลง

 

               “ไม่มีใครสูญเสียแต่ว่าเธอก็ลงทุนไปเยอะ แล้วยังไง สุดท้ายฉันก็หนีไปได้พร้อมกับเครื่องมือทดลองยาอีกจำนวนหนึ่งอยู่ดี”

 

               “แล้วคุณคิดจะทำอะไรกันแน่” เขาถามด้วยความกังวล

 

               “หึ มันก็ขึ้นอยู่กับทางเลือกของเธอนั่นแหละว่าเธอจะละทิ้งชื่อเสียงในฐานะฮีโร่แล้วมาช่วยฉันแก้ไขระบบที่เน่าเฟะนี่ด้วยกันต่อไหม”

 

               “แล้วถ้าผมไม่ไป?”

 

               “….”

 

               “….”

 

               “เธอก็รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองดี”

 

               เธอว่าด้วยเสียงเบาลงเพียงน้อยนิดแบบที่แทบสัมผัสไม่ได้

 

               อิซึกุมองสบตากับอีกฝ่ายนิ่ง ในดวงตาสีเทาหม่นที่ดูสว่างคู่นั้นยามนี้เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ปืนแบบเก็บเสียงจ่ออยู่ตรงอกของเขา แม้จะมีระยะห่างระหว่างปืนกับอก แต่ก็ไม่พอให้วิ่งหนีโดยไม่โดนลูกหลง แม้จะมีต้นทานตะวันที่ไหวไปมาอยู่ในระดับต้นขา แต่ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นภาพที่ถูกสร้างขึ้น หากยิงโดนลูกปืนก็จะทะลุมายังตัวคนที่แอบอยู่ได้อยู่ดี

 

               แทบไม่มีทางเลือกอื่นเลย

 

               “เอาไงดีล่ะอิซึกุ พี่น่ะพร้อมจะรับเธอกลับไปร่วมทีมอยู่นะ…” ดวงตาคู่นั้นไหววูบ “…เพราะคาโอริก็คงจะอยากให้เธออยู่ต่อมากกว่าตายเหมือนกัน”

 

               อิซึกุสะอึก เขาไม่คิดว่าเธอจะหยิบยกชื่อของเด็กผู้หญิงที่นิ่งเงียบผู้นั้นขึ้นมาในยามนี้ ในใจจึงเหมือนมีก้อนตะกั่วถ่วงเอาไว้

 

               เป็นแบบนี้เสมอ เธอมักพูดอะไรออกมาโน้มน้าวใจเขา ให้กำลังใจได้สำเร็จ แล้วพอถูกใช้ในทางชักจูงมันก็เหมือนจะได้ผลเช่นเดียวกัน

 

               ทั้งถูกความรู้สึกผิดเข้ามาถาโถม ทั้งถูกปลอบประโลมว่ายังมีทางออก ทั้งเด็ดขาดแล้วใช้ความรู้สึกของผู้คนให้เป็นประโยชน์ เธอรู้อยู่เสมอว่าก้นหลุมของความรู้สึกอันมืดมิดของใจคนอยู่ตรงไหน เธอดึงมันขึ้นมาแล้วชี้ให้เขาเห็นความโหดร้ายของตัวเอง เปรียบเทียบตัวเขากับเรื่องเลวร้ายในอดีต แล้วก็ลูบปลอบด้วยคำพูดอันอ่อนโยนว่ามันจะไม่มีอะไรหากเชื่อเธอ

 

               มันคงจะดีมากถ้าเธอไม่กลายเป็นวิลเลินไปแล้ว

 

               “ผม…ไม่เหมือนกับอิชิอิ”

 

               “เธอคิดแบบนั้นแล้วบาคุชินจิล่ะ เขาคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า”

 

               “…..”

 

               “เธอบอกพี่เองนี่ว่าก่อนหน้านี้เขาเกลียดเธอ แล้วเธอมาหลอกใช้เขาแบบนี้…เธอจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะไม่ผูกใจเจ็บ”

 

               ราวกับคำพูดนั้นเป็นเสียงกระซิบของปีศาจ มันคืบคลานเข้ามาในจุดอ่อนของจิตใจ จุดที่หากแทงเข้าไปแล้วสามารถหวังผลได้ สามารถสั่นคลอนได้ และผลักให้เจ้าของความรู้สึกจมลงไปในความหวาดกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ในจิตใจ

 

               “สมมติว่าตอนนี้เขาหลอกเธออยู่โดยที่ไม่รู้ตัวล่ะ แล้วพอวันที่เธอให้ใจเขาเขาก็จะบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องล้อกันเล่น เธออาจจะได้ไปอยู่ในหัวข้อข่าวกับเขาสักช่วงหนึ่ง แต่พอเขาได้ทุกอย่างที่พอใจ ทั้งชื่อเสียง ความสามารถ แม้แต่ร่างกายของเธอเขาก็อาจจะเบื่อและจากไป เธอไม่มีทางรู้ได้ เธอไม่มีวันรู้ถ้ามันไม่เกิดขึ้นก่อน และถ้าเธอกันเขาออกไปมากๆ ในวันหนึ่งเขาก็จะเบื่อหน่ายและรำคาญ เขาจะไปหาอะไรที่มอบความสุขได้มากกว่าคนขี้กังวลเกินเหตอย่างเธอ…”

 

               “พอสักที!”

 

               “เธอต่างหากที่กำลังคิดแบบนั้น!”

 

               “เลิกเข้ามาในความรู้สึกของผมได้แล้ว!”

 

               “แล้วเมื่อไหร่เธอจะเลิกฝันลมๆ แล้งๆ แล้วเลือกที่จะมีชีวิตสงบสุขแบบที่เคยบอกกับพี่ไว้ล่ะ! เมื่อไหร่กัน…ทั้งที่เธอเคยมั่งคงในตัวเองมากกว่านี้ ถ้าเชื่อพี่เธอก็ไม่ต้องหวาดกลัวแล้วไม่ใช่เหรอ!”

 

               ในดวงตาสีเขียวมีประกายน้ำที่กำลังเอ่อขึ้นทีละนิด แต่ก็ถูกเปลือกตาที่ปิดลงกลบหายไปในเวลาเพียงชั่วครู่

 

               หัวใจนั้นกำลังสั่นไหว

 

               มือเรียวยาวสีขาวกำเข้าหากันอย่างสับสน

 

               ใบหน้าของหญิงสาวเองก็กำลังปรากฏอารมณ์เช่นเดียวกับคนที่รู้สึก เธอเหมือนภาพสะท้อนที่กำลังยื่นมือมาให้คนที่อยากหลีกหนีจากความรู้สึกมากมายที่กลั่นกรองออกมาเป็นคำพูดเมื่อครู่

 

               “มาสิ มาอยู่กับพี่อีกครั้ง เราจะไม่ต้องผิดหวังและเจ็บปวด…”

 

               ดวงดาสีเขียวมองไปที่คนพูด แล้วทันทีที่เห็นหัวใจของเขาก็กระหวัดคิดถึงครั้งแรกที่เธอแอบออกไปร้องไห้นอกห้องพยาบาลตอนที่เจอเขาครั้งแรก เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่รู้ว่าเธอมีอัตลักษณ์แบบใด แต่พออยู่ไปๆ เขาก็เริ่มเข้าใจ แววตานั้นอ่อนโยนมาจากใจ มือที่ยื่นมาให้ก็เป็นมือเปล่า พอเห็นแล้วภาพในอดีตมันก็ทับซ้อนกัน ถ้าหากเป็นสมัยก่อนเขาก็คงจะยื่นมือออกไปหาเธอแล้ว…

 

               “พี่…”

 

               มือของชายหนุ่มกระตุก เขายกมือขึ้นคล้ายกับจะเอื้อมเข้าไปหาฝ่ายตรงข้าม

 

               หากเข้าไปในโลกนั้นก็จะไม่ต้องเผชิญกับสายตาแปลกประหลาดของผู้คน…

 

               หากเข้าไปรับมือนั้นไว้ก็ไม่ต้องเจ็บปวดซ้ำๆ กับความเชื่อใจอีก เพราะเขาทำลายมันไปหมดแล้ว…

 

               …จริงๆ งั้นเหรอ?

 

               อิซึกุดึงมือตัวเองเก็บกลับไปไว้ที่เดิม ในดวงตามีแววเสียใจที่ไม่อาจจะตอบรับคำพูดนั้นได้

 

               “อิซึกุ…” เสียงหวานเอ่ยเรียกคล้ายอ้อนวอน

 

               “พี่…ผมไม่สามารถกลับไปได้อีกแล้ว”

 

               “แต่เธอยัง…”

 

               “ผมอยากลองก้าวไปข้างหน้า…ไม่ใช่กลับไป”

 

               ดวงตานั้นมีแววประหลาดใจอยู่ในที

 

               “แล้วผมก็อยากช่วยคนมากกว่าฆ่า”

 

               “แต่โลกใบนี้ก็จะไม่ยอมรับว่าเธอเป็นฮีโร่อยู่ดี”

 

               แม้ในช่วงเวลาหนึ่งจะถูกจดจำว่าเป็นผู้เสียสละ แต่หากไม่ใช่ผู้เสียสละหรือได้รับความสนใจมากพอเขาก็จะเป็นได้เพียงเงาที่อยู่ด้านหลังเท่านั้น ในช่วงเวลาหนึ่งจะมีบางคนที่จดจำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะถูกชื่อของฮีโร่คนอื่นที่ตายไปทับถมจนหายไปอย่างเงียบงัน

 

               “แต่แบบนั้นก็เหมาะกับผมดีไม่ใช่เหรอ”

 

“ไม่ได้อยู่ท่ามกลางแสงที่สว่างเกินไป พึ่งพากันและกันเพื่อผลลัพธ์ที่วางแผนไว้ สมกับเป็นคนของแผนกวิเคราะห์และบำบัดอัตลักษณ์”

 

               ในตอนที่พูดชื่อแผนกออกมาเจ้าของคำพูดก็พูดมันออกมาด้วยรอยยิ้ม มันราวกับในก้นหลุมความรู้สึกเจ็บปวดของตัวเองมีแสงเล็กๆ ส่องลงมาถึง เหมือนห้องแห่งนี้ที่ปกคลุมด้วยฟ้ากระจ่าง เมื่อรวมกับความรู้สึกว่าตนคือคนของที่นี่ สถานที่ที่เขาจะได้ใช้ความสามารถของตนและเป็นตัวเองได้ ไม่ว่าจะถูกมองเป็นข้าราชการ ซอมบี้ หรือฮีโร่ สิ่งนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยน เป็นสถานที่ที่ผลักดันให้เขาเป็นในหลายๆ อย่างที่เป็นอยู่ แม้จะไม่ใช่แบบที่คาดหวังไว้แต่ต้น แต่ก็เป็นสถานที่ที่…ใช่

 

               “การเป็นฮีโร่มันคงหอมหวานมากสินะ”

 

               “มันก็ดีไม่ใช่เหรอครับเวลาที่เราช่วยคนไว้ได้ทัน และผมจะไม่เป็นเหมือนคุณ ไม่ใช่การฉกชิงให้ได้มา ไม่ใช่การยื่นมือมามือหนึ่งแล้วถือกระบอกปืนไว้อีกมือแบบนี้”

 

               ความรู้สึกที่เอื้อมมือไปถึงนั้นเธอต้องรู้จักมันแน่ เพราะเธอก็คือคนที่เอื้อมมือมาหาเขา

 

               อิซึกุกอบกู้ความรู้สึกตัวเองขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะตอบเธอออกไป

 

               “ผมมีหลายอย่างที่อยากลองทำในชีวิตนี้ อยากจะยอมรับตัวเองในแบบที่ตัวผมเป็น คุณไม่รู้สึกถึงน้ำหนักที่ผมแบกไว้ในการพยายามไม่เชื่อใจใครเลยเหรอ ผมน่ะ…ตอนที่ความจำเสื่อมก็รู้ว่ามันเบาแค่ไหนที่ได้วางมันลงไป ตอนนี้ถึงอยากจะลองวางมันลงบ้างแล้วยอมรับความเสี่ยงจากความเชื่อใจที่อาจจะเกิดขึ้น และถ้าวันหนึ่งจะมีคนผูกใจเจ็บและทำร้ายผมอีกครั้งผมก็จะพยายามทำความเข้าใจว่านั่นคืออารมณ์หนึ่งของมนุษย์ที่ผมอาจจะมีส่วนสร้างขึ้น และผมเองก็จะยอมรับความรู้สึกของตัวเองที่มันเป็นไปด้วยเหมือนกัน”

 

               ไม่ใช่การแบกรับความรู้สึกของคนอื่นไว้ พยายามรักษาความรู้สึกของอีกฝ่ายตามมารยาท จัดวางความสัมพันธ์ไว้ในส่วนที่ควรจะเป็น ถ้าเขาอยากตัดรอนก็ต้องทำใจ ถ้าเขาเข้ามาใกล้ก็ขยับห่าง แต่เป็นการเรียนรู้ที่จะยอมรับความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ปล่อยมันให้เป็นไปไม่ใช่ขีดเส้นแบ่งตั้งแต่แรกพบ

 

               อยากจะเชื่อใจดูอีกสักครั้ง

 

               โดยเฉพาะในเวลาที่ได้รับความรู้สึกมากมายจากคนรอบกายแบบนี้ แต่เขากลับขีดเส้นมันและตอบกลับเป็นสิ่งของ มันก็สมควรแล้วที่คัตจังจะอยากบ่นว่า

 

               “เหอะ มั่นใจในตัวเองซะละเกินนะ”

 

               “คุณเป็นคนบอกผมเองนี่ครับว่าให้เชื่อมั่นในตัวเอง”

 

               “….”

               อิซึกุกำลังสงสัยว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ จนกระทั่งในตอนนั้นที่เธอยกปืนขึ้นพลางก้าวขาเข้ามาใกล้  อีกเพียงไม่ถึง 3 ฝ่ามือกระบอกปืนนั้นก็จะจ่อเข้ากับผิวเนื้อของเขาโดยตรงแล้ว เป็นระยะยิงที่หวังผลได้อย่างไม่ต้องสงสัย

               “งั้นเธอก็ตัดสินใจแล้วสินะ”

 

               ความเงียบคือคำตอบ ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของเธอจึงหยักขึ้น ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยวออกมา

 

               “ทั้งที่พูดจาอวดดีแบบนั้นแท้ๆ แต่ก็ยังกลัวอยู่เลยนี่”

 

               เธอว่าพลางเดินเข้ามาใกล้อีกก้าว

 

               “คงต้องฝากไปขอโทษคาโอริด้วยแล้วล่ะนะ อิซึกุ”

 

               จนปากกระบอกปืนมาจ่ออยู่ที่กลางอก

 

               “ถ้าเธอเลือกพี่ มันคงไม่กลายเป็นแบบนี้…”

               เพล้ง!

               เสียงกระจกแตกดังขึ้นพร้อมเสียงระเบิด สายลมแรงจากฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกพัดเข้ามาภายในจนรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ ในเวลานั้นหญิงสาวที่เตรียมตัวมาอย่างดีก็ไม่เปิดช่องว่าง เอ่ยสั่งการออกไปในความโกลาหล

 

“จัดการซะ!!!”

 

               เธอว่าก่อนที่ห้องซึ่งเต็มไปด้วยฝุ่นควันจะปรากฏเงาของวิลเลินกลุ่มหนึ่งกระโจนเข้าไปต่อสู้กับฮีโร่ที่บุกเข้ามาทางหน้าต่าง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยทั้งสองฝ่ายต่างก็วางแผนมาแล้ว

 

               เดกุคิดไว้แล้วว่าคนที่เป็นเหตุให้เขายังต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และคนที่ต้องการเขามากที่สุดนั้นคือใคร ตั้งแต่ที่คุยกับคัตจังครั้งแรกแล้ว

 

               “เพราะงั้นแกคิดว่าที่ถูกตามอยู่…มีแค่เจ้าพวกนั้นสินะ”

 

            “…ใช่ ผมก็เลยคิดว่าอาจจะไม่เป็นอะไรมากเพราะเราต่างก็รู้จุดอ่อนกันดี…”

 

 

            เพราะงั้นก่อนที่เขาจะออกมาจากบ้านและระหว่างนั่งรถมาโรงพยาบาลก็คิดไว้แล้วว่าเวลาที่อีกฝ่ายสะดวกแก่การจู่โจมน่าจะมาถึงแล้ว เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เขาอยู่นอกทาร์ทารัสและยังอยู่ไกลหูไกลตาจากคนคุ้มกัน รวมถึงที่โรงพยาบาลเองก็มีบางจุดที่มีคนพลุกพล่าน เวลาที่อ่อนไหวเช่นนี้เหมาะแก่การลักพาตัวตัวเขาที่สุด แต่ที่ผิดคาดคงจะเป็นการที่อายะยังมีคนที่ยอมช่วยเหลือเธอมากถึงขนาดนี้

 

               แต่นั่นก็ไม่คณามือของฮีโร่สายต่อสู้อย่างบาคุชินจิอย่างที่เดกุคิด เพราะไม่นานเขาก็จัดการวิลเลินให้ลงไปหมอบกับพื้นและพร้อมจะช่วยอีกฝ่ายแล้ว เพียงแต่…

 

               “อย่าเข้ามา!”

 

               อายะที่ไปไหนได้ไม่ไกลยกปืนขึ้นจ่อขมับของอิซึกุแทนตัวประกัน มือข้างหนึ่งของเธอล็อกคอของเขาไว้พร้อมกับปุ่มอะไรบางอย่างในมือที่น่าอันตราย

 

               “ถ้าเข้ามาฉันจะระเบิดมันให้หมดนี่แหละ!”

 

               อิซึกุที่ยืนอยู่ถึงกับนิ่งงัน ดูเหมือนนี่จะเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่คาดเอาไว้ ดูเหมือนในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านเธอคนนี้คงจะพบเจออะไรมามากมายจนตัดสินใจแบบนี้ไปเสียแล้ว

 

               “ชิ นี่แก…!”

 

               คัตจังเองก็พูดลำบาก ในแววตาของเขามีความโกรธเกรี้ยวและประกายสับสนที่อิซึกุไม่คิดจะได้เห็น มันคือความลำบากใจของเขาที่ตระหนักถึงการช่วยคน และอะไรอีกอย่างที่ทำให้คนใจร้อนสงบจนบรรยากาศเย็นเยียบผิดจากปกติที่เคยเจอมา

 

ในวินาทีนั้นคล้ายสลักในใจบางอย่างถูกกระทบ

 

               …ความสงสารกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอก…ทั้งที่พูดไปแบบนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจเสียแล้วว่านั่นคือความรู้สึกสงสารอย่างที่มั่นใจหรือไม่

 

               “หึ รักกันมากสินะ งั้นก็เลือกมาสิ เธอสองคนเลือกมาเลยว่าจะให้ใครตาย ถ้าเลือกได้ฉันก็จะยอมมอบตัว!”

 

               “ห๊ะ!”

 

               คนทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกันและกันอุทานขึ้นมาอย่างตกใจ ดวงตาสีเขียวและสีแดงเบิกกว้างอย่างพร้อมเพรียงกันในทันทีที่ได้ฟังข้อเสนอนั้น

 

               ถ้าหากบอกว่าไม่รักตัวกลัวตายก็คงจะเป็นไปไม่ได้ ในตัวมนุษย์นั้นสมองมักจะพยายามหาทางยื้อให้เรามีชีวิตอยู่จนถึงที่สุดที่มันจะทำได้ ทำให้ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกนี้มันยาก และในขณะเดียวกันมันก็จะเผยสัญชาตญาณในตัวออกมา

 

อายะอยากเห็นมัน เธออยากเห็นวิธีเอาตัวรอดในแบบของฮีโร่บาคุชินจิและเด็กชายที่อยากจะก้าวไปข้างหน้าอย่างอิซึกุ อยากรู้ว่าพวกเขาจะทำร้ายกันแบบไหน และสุดท้ายในหัวใจของอีกฝ่ายที่ถูกกระทำจะกลายเป็นรูโบ๋อย่างไร ความหวังของพวกเขาที่ถูกทำลายลงเพราะความเชื่อจะเป็นเช่นเดียวกับเธอในตอนที่คิดว่าทุกอย่างกำลังเป็นดั่งหวัง…

 

               …แต่สุดท้ายมันก็พังทลายในน้ำมือคนที่เธอเชื่อมั่น

 

               “ถ้ากล้าก็เอาสิ”

 

               “คัตจัง!”

 

               เธอมองไปที่ฮีโร่ที่เอ่ยปากก่อนด้วยความรู้สึกสมเพช

 

               “ถึงปากจะพูดแบบนั้นแต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้อยู่ดี แน่ใจเหรอว่าพร้อมจะเอาชีวิตมาทิ้งจริงๆ”

 

               ทำไมถึงไม่เดินออกไปแล้วทิ้งเด็กคนนี้ไปซะล่ะ เท่านั้นก็จบแล้ว

 

               “ไม่ได้นะครับ คุณจะทำแบบนั้นไม่ได้!”

 

               “แล้วจะให้ฉันทิ้งแกหรือไงวะ!”

 

               หญิงสาวอยากจะขบขันกับบทโศกที่น่าอ้วกตรงหน้า เธออยากจะให้พวกเขาถอดหน้ากากออกเสียที

 

               “ไม่เป็นไร…”

 

               เสียงทุ้มดังจากคนที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ ในเวลานั้นเสียงหัวใจที่เต้นตุบอยู่ในอกคนตรงหน้าราวกับเชื่อมเข้ามาถึงหัวใจของเธอ เธอรับรู้ว่าอะไรบางอย่างกำลังค่อยๆ คลายผนึกของจิตใจตัวเองอย่างช้าๆ มันคือความรู้สึกของมิโดริยะ อิซึกุ

 

               “ที่ผมมีชีวิตอยู่มาถึงตอนนี้ได้ก็เป็นเพราะพี่ช่วยเอาไว้ มีชีวิตที่เริ่มเข้ารูปเข้ารอยได้ก็เพราะการปลอบประโลมที่ได้รับมา…”

 

               เธอรู้สึก…ว่าอะไรบางอย่างกำลังค่อยๆ หายไปจากจิตใจ บางอย่างที่เคยถ่วงลึกในนั้น

               ไม่ ฉัน…ช่วยเธอไว้ไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เธอเป็นหลาน เป็นญาติเพียงคนเดียวของฉัน

               “พี่ช่วยผมไว้ได้สำเร็จจนกลายเป็นผมที่ช่วยคนไว้ได้มากมายเหมือนกับพี่”

               ไม่ ไม่ ไม่! ฉันช่วยใครไว้ไม่ได้เลย!

               “หยุดพูดได้แล้ว!”

               “แต่ผมทำร้ายความเชื่อใจของพี่ใช่ไหม ขอโทษนะครับที่ผมเลือกจะทำแบบนั้นเพื่อจุดประสงค์ที่ตรงกันข้าม”

               ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกอบอุ่นสายหนึ่งโอบล้อมในใจ มันมาจากคำขอโทษที่ไม่จำเป็นนั้น และมาพร้อมกับความรู้สึกที่ราวกับจะโอบกอดใจของเธอเอาไว้ ไม่ใช่ นั่นคือความรู้สึกอยากจะปกป้องใครสักคนต่างหาก

 

เขาเติบโตขึ้นมาก

 

ในขณะที่เธอเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับอดีต

 

               บางครั้งเธอเคยคิดว่าเขาจะเลือกความตายไหมหลังจากที่เสียคาโอริที่เป็นเพื่อนสนิทในห้องบำบัด เธอไม่กล้าตั้งความหวังว่าเขาจะไม่เลือกจบชีวิตตัวเองลง บางครั้งก็แอบกังวลว่าที่เขายังคงอยู่คือการทนอยู่หรือไม่และวันไหนเขาจะสิ้นหวังและเลือกจบชีวิตที่ไม่สวยงามดั่งดอกกุหลาบลง แต่ยิ่งนานวันเขาก็กลับเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเธอเองก็ประหลาดใจกับพลังชีวิตและความเข้มแข็งของเด็กคนนี้

 

บางทีอาจเข้มแข็งมากกว่าเธอที่ผิดหวังกับการจากไปของคาโอริจนไม่อาจจะก้าวเดินไปในทางเดิมได้อีกก็ได้

               “ผมคิดว่าโลกที่ผมอยากเห็นและพี่อยากเห็นมีบางอย่างที่คล้ายกัน แต่วิธีการของพี่ไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่โลกที่ต้องกลับไปไร้อัตลักษณ์แต่เราก็แค่อยู่ด้วยกันโดยเข้าใจคนที่ต่าง แต่วิธีของผมมันคงไม่ทำให้โลกเป็นแบบที่พี่คาดหวังไว้ในพริบตา แต่มันน่าจะ…ไม่โหดร้ายแบบในอดีต ผมก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมาได้ถึงขนาดนี้ แต่ถึงชีวิตผมจะจบลงตรงนี้ในวันหน้าก็จะมีคนแบบผมขึ้นมาอีก”

               “อย่า…”

               “พี่…จะฆ่าผมจริงๆ หรือเปล่า”

               เพราะอยู่ใกล้กันมากและเธอก็เปิดใช้อัตลักษณ์ตลอดเวลาเพื่อจับความรู้สึกของคนที่อยู่ในห้องว่ามีใครกำลังต่อต้านเธอหรือมีใครเข้ามาเพิ่มหรือไม่ แต่เพราะแบบนั้นมันจึงเหมือนดาบสองคมที่นอกจากจะให้ค่าแก่คนใช้แล้วยังถ่ายทอดความรู้สึกของคนใกล้ตัวเข้าไปในใจเธออีกด้วย

 

               บางครั้งเธอก็เกลียดอัตลักษณ์ของตัวเอง มันทำให้เธอได้รับรู้และรับผลกระทบจากความรู้สึกของผู้อื่นไปพร้อมๆ กันด้วย

               แกร็ก

               “แล้วถ้าฉันเลือกเขาเล่า”

               ในมือของเธอมีปืนที่ยื่นออกไปยังฮีโร่ที่ยืนคุมเชิงอยู่ฝั่งตรงข้าม เขาในยามนี้เงียบมาตลอดจนเธอแอบคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะคิดหาทางเอาตัวรอดอยู่ก็ได้

 

               แต่เธอคิดผิด

 

               “เอาเลยสิ”

 

               “คัตจัง!”

 

               “เงียบไปซะเดกุ!!”

 

               “คัตจังนั่นแหละที่เงียบไปเลย!!”

 

               แต่ถึงจะถูกห้ามไว้ฮีโร่ตรงหน้าก็ยังเดินเข้ามาหามือของเธอจนปากกระบอกปืนประทับอยู่ตรงอกของเขา มือของบาคุชินจิจับมือของเธอไว้ มันสั่นไหว ไม่ มือของเธอต่างหากที่กำลังสั่นไหวในความรู้สึกที่ของเขาที่ตรงตามคำที่พูดออกมาว่าจะยอม…

 

               แล้วในตอนนั้นเองที่เหมือนกับความรู้สึกสองสายจากคนสองคนที่จับตัวเธอไว้แทรกเข้ามาในใจของตัวเอง มันคือความรู้สึกเดียวกัน มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เธอสับสน

 

               ความรู้สึกที่ไม่อยากให้มีใครต้องเป็นอะไรไป ความเป็นห่วง ความรู้สึกที่อยากจะปกป้องเอาไว้ และเธอคิดว่ามันอาจจะ…เป็นความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง

               ยังมีอีกความรู้สึก…ความรู้สึกที่ไม่เชื่อว่าเธอจะสามารถฆ่าได้ ความรู้สึกที่ยังเชื่อในตัวของเธอ คนที่เธอโอบกอดเอาไว้กำลัง…คาดหวังในคนที่ล้มเหลวเช่นเธอ

               มือนั้นสั่นไหวมากขึ้นจากความรู้สึกที่ไหลผ่านอัตลักษณ์เข้ามาสู่ใจ มันไม่ได้แข็งกร้าวกดดันให้เธอต้องยอมศิโรราบ แต่มันมีอำนาจปลุกความรู้สึกเก่าๆ ที่เธอฝังมันไว้หลังก้าวเข้าสู่เส้นทางของวิลเลินให้กลับคืนมา

 

               จะทำร้ายเขาไม่ได้

 

               “หยุดนะ!!”

 

               ปัง!!!

 

               เธอไม่อาจจะยอมให้ความรู้สึกนั้นเข้ามามีผลกับตนเองได้ ด้วยความทนไม่ได้นั้นเองเธอจึงต้องหยุดการใช้อัตลักษณ์ของตัวเองลง แล้วก็ยิงสิ่งที่อยู่ในมือออกไปตามความรู้สึกที่สับสน แล้วในวินาทีที่ลืมตาขึ้นเธอก็พบว่าไม่มีใครอยู่ตรงข้ามกับเธอแล้ว

 

               เกิดอะไรขึ้น!?

 

               คำตอบมาพร้อมแรงกระแทกที่มาจากทางด้านหลังหัว ความมึนงงทำให้ตั้งตัวไม่ติด ร่างที่เคยอยู่ในฝ่ามือกำลังจะหลุดออกไปจากอ้อมแขน แต่ตอนนี้ที่ในมือมีแต่อาวุธทำให้เธอไม่สามารถจะคว้าตัวเขากลับมาได้อีกต่อไปแล้ว ร่างของเธอถูกกดให้คว่ำลงด้วยฝ่ามือใหญ่ก่อนจะถูกชิงเอาระเบิดปลอมนั้นไปจากตัว เช่นเดียวกับปืนที่ถูกปลดออกในเวลาต่อมาเช่นกันด้วยฝีมือของเด็กที่เธอเคยบอกว่าให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้

 

               ในยามนั้นเมื่อสิ้นหนทางและจิตใจเองก็อ่อนไหว แม้จะถูกจับให้นั่งลงโดยไม่มีมือของฮีโร่จับอยู่เธอก็ไม่คิดสู้อีก เพราะขนาดความรู้สึกของตัวเธอ มันยังเหมือนไม่ใช่ของเธอเลย

 

               อิซึกุหันไปมองร่างที่ยังก้มหน้าอยู่บนพื้นคล้ายเข้าสู่ห้วงแห่งความคิดคำนึง

 

               “ทำไม…ถึงคิดว่าฉันฆ่าเธอไม่ได้”

 

               เธอก้มมองไปที่สองมือของตัวเอง ก่อนจะรู้สึกถึงร่างของเด็กในวันวานที่ยามนี้แม้จะย่อตัวลงจนอยู่ในระดับสายตาแต่ก็เติบโตสูงใหญ่ไม่เหลือเค้าความมืดมนที่ปกคลุมดั่งวันวาน

 

               มือของร่างนั้นจับที่มือทั้งสองของเธอ

 

               “เพราะผมเชื่อว่าถ้าเป็นคุณในอดีตจะต้องไม่ทำร้ายผมแน่ๆ”

 

               เพราะแม้แต่ในตอนที่เธอทิ้งเขาไว้ในฐานลับ ระเบิดนั่นก็ยังถูกตั้งเวลาไว้ให้ระเบิดช้าที่สุด มันเหมือนกับว่านั่นคือความปราณีที่ไม่อยากเห็นเขาต้องตายไปต่อหน้า หรือแม้แต่ในตอนนี้เองก็เช่นกัน เพราะเขาเชื่อว่าอายะที่ตัวเองรู้จักจะไม่ทำ ในเวลาเหล่านั้นที่เธอใช้อัตลักษณ์มันจึงส่งต่อความรู้สึกนั้นไปยังผู้ใช้และความรู้สึกนั้นก็คงไปปลุกช่วงเวลาที่เธอยังคง ‘อยากให้เขามีชีวิตที่ดี’ ที่เคยมีในอดีตให้กลับมาอีก แม้คนตรงหน้าจะเปลี่ยนไปแต่อดีตของเธอจะไม่เปลี่ยน

 

               ที่เธอทำทุกอย่างนี้ไปก็เริ่มจากความรักและความรู้สึก เธออุทิศทุกอย่างเพื่อเด็กๆ ในห้องบำบัด แต่สุดท้ายมันก็จบลงด้วยโศกนาฏกรรม และหนึ่งในนั้นก็คือเด็กหญิงคาโอริที่เป็นหลานและญาตเพียงคนเดียวที่เธอคิดว่าตัวเองใส่ใจมากพอแล้ว แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ ความรับผิดชอบ การโหยหาหนทางที่จะแก้ไขความผิดพลาดนั้นให้ได้ 100% พาเธอไปยังเส้นทางสีหม่น เขาไม่รู้ว่าในนั้นมีความโกรธตัวเอง โกรธโลกใบนี้ และสิ้นหวังอยู่มากแค่ไหน แต่มันก็คงจะมากพอที่จะทำให้คนคนหนึ่งยอมเดินทางผิดเพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างที่อำนาจของคนธรรมดาไม่สามารถทำได้

 

               ที่เธอเว้นช่องว่างของเวลาเพื่อทำยาขึ้นมาก็เพราะอยากให้มันมีทางเลือก ทางเลือกที่จะเป็นคนะรรมดา ทางเลือกที่ทำให้คนในสังคมคิดว่าเป็นคนธรรมดาดีและปลอดภัยกว่า เธอสร้างทางเลือกเพราะถ้าเธอเลือกได้ก็คงไม่อยากให้มีใครตาย แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง

 

               “อิซึ…กุ”

 

“พักเถอะนะครับพี่ หลังจากนี้ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันทำความเข้าใจนะ”

 

หลังจากที่ได้ฟังคำนั้นร่างที่เคยห่มคลุมด้วยความรู้สึกผิด ความรับผิดชอบ ความปรารถนาอันแรงกล้าก็ราวกับได้รับการปลดปล่อย เธอหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมกับจับมือของเขาไว้แน่นท่ามกลางทุ่งดอกทานตะวันที่ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง และภาพท้องฟ้าฤดูใบไม้ร่วงด้านนอกที่กำลังสว่างขึ้นหลังฝนผ่านไป

 

 


 

 

// ไม่รู้ว่าทุกคนจะเข้าใจผู้หญิงคนนี้ไหมว่าทำไมเธอถึงเดินมาถึงจุดนี้ได้ คำใบ้คงเป็นอัตลักษณ์ของเธอและความรู้สึก เราว่าความรู้สึกเป็นอีกตัวผกผันในชีวิตคนเราเลยนะคะ ถ้าให้เห็นชัดก็คงเป็นความรัก ในหนังเวลาพระเอกเย็นชารักนางเอกบางทีเขาก็จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เราไม่คิดว่าเขาจะเป้นใช่มั้ยล่ะคะ เราคิดว่าความรู้สึกอื่นก็คงพาเราไปได้ไกลในหลายๆ ทางเช่นกัน

 

เรียกได้ว่าจากคดีลักพาตัวคุณทาคาฮาชิก็มาบรรจบลงที่ตรงนี้เอง หลังจากนี้ก็จะเป็นเรื่องของความรักของใครบางคนสองคน? ที่ต้องไปเคลียร์กันแล้วล่ะ เย่! หลังจากนี้พูดได้เลยว่าคนเขียนก็ไม่แน่ใจว่ามันจะไปในทางไหนกันแน่ ก็ตอนเขียนตอนแรกน่ะไม่คิดเลยว่านาย K (นามสมมติ) จะดูคลั่งรัก (ในบางมุม) ขนาดนี้ ‘^’

 

ขอให้พบกับวันที่ดีและมีความสุขนะคะ UwU

 

ปล.ขี้เกียจรวมเล่มจังทุกคน ต้องรีไรท์ตรวจอักษรตั้ง 60+ ตอนแน่ะ //ซื้อแผ่นแปะแก้ปวดรอ/// แต่เราจะพยายามนะ

[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 59

Warning: มีการสปอยเนื้อหามายฮีโร่ตอนล่าสุด (ตอนที่ 278)

เนื้อหาในเรื่องเป็นจินตนาการของผู้แต่งร่วมด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน


 

 

59

ดอกทานตะวันในฤดูใบไม้ร่วง

 

 

ช่วงเวลานั้นผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที แต่เสียงหัวใจที่เต้นถี่และหนักทุ้มทำให้มันเหมือนกับจะผ่านไปนานกว่าที่คาดคิด เสียงสายฝนรอบด้านพากันเงียบงันดั่งไร้ตัวตน บนโลกนี้ทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป ยกเว้นแต่คนทั้งคู่ที่ยืนอยู่ห่างกันเพียงหนึ่งลมหายใจ

 

ดวงตาสีเขียวยังคงเบิกกว้างเมื่อถูกความรู้สึกอ่อนโยนแสนวูบไหวเล่นงานในเวลานั้น ในหัวสมองว่างเปล่าราวกับไม่อาจประมวลผลสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ได้ รู้แต่เพียงว่าควรจะออกห่างก่อนเพื่อไม่ให้อะไรๆ บานปลาย แต่เมื่อลองขยับตัวจะถอยหนีเขาก็รู้ว่าไม่อาจจะสู้แรงอีกฝ่ายได้

 

หรือในอีกแง่…เขาไม่อาจต้านทานและขยับห่างได้อย่างเต็มแรง

 

ในใจนั้นอ่อนยวบให้กับสัมผัสแผ่วเบาที่หนักแน่น แม้จะเป็นเพียงการแตะริมฝีปากกันและกัน ไม่ได้ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว แต่ก็เพราะไม่ได้ล่วงล้ำเช่นนั้นมันจึงไปเรียกคืนความรู้สึกโหยหาในกันและกันให้กลับมา

 

ดวงตาสีแดงค่อยๆ เปิดขึ้นและมองตรงมายังนัยน์ตาของเขา ยามนี้ในหัวของอิซึกุมีเรื่องมากมายให้คิดหาคำตอบ คำตอบของความรู้สึกดีๆ ที่เขาคิดว่าอีกฝ่ายควรจะเป็นฝ่ายต้องกลับไปคิดทบทวนว่ามันคืออะไร เขาเคยได้คำตอบมาและตั้งใจจะตัดความรู้สึกนั้นทิ้ง แต่ยามนี้ พอถูกมองด้วยนัยน์ตาคู่นั้นและสัมผัสในระยะประชิด คำตอบในใจนั้นก็เริ่มสั่นคลอนและเต็มไปด้วยคำถาม

 

คัตจัง…จะทำอะไรกันแน่

 

ในเวลาที่อิซึกุยังอยู่ในความสับสน ภาพตรงหน้าก็ดำเนินไปคล้ายภาพในแผ่นหนังฉากฝนตก ไม่ทันได้รู้ตัวร่มที่เคยหล่นก็ถูกเก็บกลับมาใส่มือ ร่างกายถูกปล่อยให้เป็นไปตามฝ่ามืออุ่นที่กำลังจับจูงกลับไปในทางเดิม

 

เมื่อมองไปรอบข้างอิซึกุเหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เขาเห็นร้านรวงของถนนที่เคยเดินผ่านกำลังฉายซ้ำในทางตรงกันข้ามกับที่เดินมาในคราแรก พอรู้ว่าตัวเองเผลอคิดอะไรมากมายและปล่อยตัวปล่อยใจให้กับท่าทางเช่นนั้นเขาก็ต้องรีบสะบัดมือออกในเวลาต่อมา

 

แต่พอทำแบบนั้นอีกฝ่ายก็หันกลับมามอง ร่างในชุดฮู้ดเทาเอื้อมมือมาจับมือเขาไว้อีกครั้งพลางเอ่ยด้วยถ้อยคำง่ายๆ

 

“กลับบ้านกัน”

 

ในดวงตาสีแดงฉายแววเว้าวอนจนคนที่ควรจะหันหลังกลับไม่อาจตัดใจทำได้อย่างเด็ดขาด อิซึกุกำลังสั่นคลอน เขาไม่อาจจะเด็ดขาดกับการตัดสินใจของตัวเองได้เลยเมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย

 

ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายเหมือนความรู้สึกที่กำลังท่วมท้นอยู่ในใจคน เหตุผลมากมายก็ถูกพับเก็บ และปล่อยให้ความรู้สึกในใจออกมาโลดแล่น

 

สายฝนเริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ จนได้ยินเสียงเม็ดฝนหล่นกระทบพื้นถนน ภาพรอบด้านมอมัวด้วยม่านน้ำ สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นเฉียบพัดผ่าน แต่ในฝ่ามือนั้นกลับอบอุ่น มันอบอุ่น ไม่เร่งเร้า ไม่ได้เอาแต่ใจ นำทางไปด้วยจังหวะที่ไม่ยอมผ่อนปรนแม้เพียงนิดเพื่อให้ไปถึงสถานที่ที่ถูกเรียกว่า ‘บ้าน’

 

 

 

ระหว่างเดินกลับไปนั้น นั่นเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่อิซึกุหยุดคิดและปล่อยให้มันเป็นไปตามความรู้สึก เพราะเขาเองก็เชื่อมั่นว่าหนทางที่อีกฝ่ายพาไปจะไม่ใช่ทางที่นำพาไปสู่ความเจ็บปวดและหลอกลวง

 

 

 

เสียงประตูห้องเปิดขึ้นอีกครั้ง พวกเขามาหยุดที่หน้าห้องเดิมที่อยู่มาไม่ถึงสัปดาห์แต่กลับเต็มไปด้วยเรื่องราวของช่วงเวลาต่างๆ พอประตูเปิดและร่างกายปะทะกับความอบอุ่นจากฮีทเตอร์ อิซึกุก็ได้รู้ว่าตัวเองกลับมายังที่เดิมที่อุตส่าห์หาทางออกมาอย่างเงียบเชียบแล้ว

 

เขาปลดมือออกอีกครั้งในตอนที่เจ้าของบ้านถอดรองเท้าเข้าไปในบ้าน แต่อิซึกุไม่ได้ทำอะไรกับตัวเองทั้งนั้น เขายังกังขา มันคงเป็นความรู้สึกไม่ไว้วางใจและต้องการเหตุผลที่ถูกสลักลึกลงในใจ แม้จะมีคนยื่นมือเข้ามาให้และยอมปล่อยตัวปล่อยใจในระยะหนึ่ง แต่พอผ่านไปถึงจุดหนึ่งเขาก็พร้อมจะสั่นคลอนและไม่มั่นใจได้อีกเช่นเคย

 

“ทำไมถึงต้องทำแบบนี้”

 

เขาถามออกไปด้วยเสียงที่เย็นเยียบ

 

ดวงตาสีแดงหันกลับมามองคนที่ยังไม่เข้ามาในบ้านด้วยเช่นกัน

 

“แกบอกให้ฉันหาคำตอบไม่ใช่หรอ แล้วทำไมแกถึงไม่อยู่ฟังมันล่ะ”

 

“ผม…”

 

“ไม่เชื่อสินะ”

 

ทั้งที่คิดว่าหยุดปากไว้ได้แล้ว แต่อีกฝ่ายก็พูดมันออกมา แถมยังพูดออกมาได้ตรงราวกับมานั่งอยู่ในใจคนพูด

 

“จะไม่เชื่อก็เรื่องของแก แต่เข้ามาก่อน ข้างนอกนั่นสภาพเป็นยังไงแกก็เห็น”

 

“ผมจะไปเปลี่ยนชุดที่บ้าน ไม่ต้องรบกวนคัตจังหรอก”

 

“แต่แกก็ยังเชื่อมต่อกับฉันอยู่ดี อย่าคิดว่าถอดนาฬิกาแล้วสัญญามันจะจบนะโว้ย”

 

นั่นเป็นครั้งแรกที่ดวงตาสองคู่มองกันและกันอย่างแข็งกร้าว ทั้งคู่ต่างก็ยอมกันในบางด้านบางคราวมาตลอด แต่เมื่อมาเผชิญหน้ากันจริงๆ แล้วก็ไม่ต่างกับคนหัวแข็งสองคนที่มีความเชื่อในแบบของตัวเอง

 

“ไปอาบน้ำซะก่อนจะเป็นหวัด เดี๋ยวฉันพาไปส่งเอง”

 

“คัตจังนั่นแหละไปอาบก่อน” อิซึกุว่าพลางมองคนที่เปียกซ่กเพราะเดินกลับมาโดยที่ไม่มีทั้งร่มและเสื้อกันฝน

 

“แกนั่นแหละไปอาบก่อน เดี่ยวก็หาเรื่องหนีอีก”

 

“แต่…”

 

“อย่าดื้อดิ้ หรือถ้าแกไม่อาบฉันก็ไม่อาบ”

 

แต่ชัยชนะจะตกอยู่แก่ผู้ที่กำจุดอ่อนของอีกฝ่ายและนำมาใช้ได้ในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น

 

อิซึกุมองอีกฝ่ายอย่างขัดใจ รู้ดีว่าตัวเองไม่ต้องเห็นใจอีกฝ่ายเลย ถ้าอีกฝ่ายจะตัวเย็นจนเป็นหวัดเขาก็จะได้ไม่ต้องมาเจอกันอีกสักระยะด้วยซ้ำ แต่พอเห็นเส้นผมที่เปียกลู่และเสื้อที่แฉะชื้นเขาก็ต้องถอนหายใจและยอมเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำแต่โดยดี

 

เขาใช้เวลาไม่นานก่อนจะออกมาจากห้องน้ำเพื่อให้คนที่เปียกฝนยิ่งกว่าเข้าต่อ กะว่าจะหาทางออกไปแต่ประตูก็ล็อกโดยคีย์การ์ดอย่างรู้ทันซะจนต้องมานั่งอยู่ที่เดิม เขาเช็ดหัวพลางมองดูสภาพอากาศด้านนอกที่ยังเป็นเช่นเดิม สายตาเหลือบไปมองกระถางต้นทานตะวันที่ไม่ได้เอากลับไปด้วยเพราะอากาศที่ไม่เอื้อในตอนแรกก่อนจะย้ายตัวเองไปนั่งมองมันตรงหน้ากระจกระเบียงที่ถูกปิดอยู่

 

หลังจากนี้พวกเราจะเป็นยังไงนะ

 

เขาคิดไม่ออกเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคัตจังจะเป็นเช่นไรต่อไป

 

ไม่ทันรู้ตัวก็มีบางอย่างตกลงตรงตัก อิซึกุสะดุ้งนิดๆ ก่อนจะเห็นว่ามันเป็นผ้าขนหนูอุ่นๆ ผืนหนึ่ง เขาหยิบมันขึ้นมาก่อนจะมองไปทางด้านหลัง แล้วก็พบกับคัตจังที่ออกมาจากห้องน้ำเร็วกว่าที่คาดไว้

 

“เช็ดหัวให้แห้งซะ เดี๋ยวเป็นหวัดขึ้นมาเจ้าพวกนั้นได้มาว่าฉันดูแลแกไม่ดีอีก”

 

เขาก้มหัวนิดๆ เป้นเชิงขอบคุณ ส่วนอีกฝ่ายก็เดินออกไปก่อนจะเดินกลับมาพร้อมโกโก้ร้อน อิซึกุจึงรับมันมาด้วยความเต็มใจ เจ้าของบ้านนั่งลงข้างๆ กระถางดอกทานตะวันของเขาที่วางอยู่ริมชั้นหนังสือติดกำแพง พวกเขานั่งอยู่บนพื้นห้องเช่นวันแรกที่มาถึง แต่บรรยากาศกลับแปลกประหลาดเกินจะบรรยาย

 

มันดูอบอุ่นกว่าวันเก่าๆ แต่ก็กระอักกระอ่วน ดูเหมือนเราพร้อมจะกลับไปทะเลาะกันได้ทุกเมื่อเช่นวันเก่า แต่ก็…สบายใจกว่าเดิม

 

“แกโทรไปบอกเจ้าพวกนั้นเรื่องความทรงจำกลับมารึยัง”

 

อิซึกุส่ายหัว หลังจากนั้นเขาก็เงียบอย่างไม่รู้จะพูดว่าอะไร เรื่องที่ตัวเองเพิ่งพูดกับอีกฝ่ายตอนเดินกลับไปยังจำได้ดี พอมาอยู่ต่อหน้าในเวลาให้หลังจากนั้นไม่กี่นาทีเขาจึงทำตัวไม่ถูก

 

ในตอนนั้นเองเจ้าของบ้านก็เป็นฝ่ายเปิดบทขึ้นก่อน

 

“แกจำได้ตั้งแต่เมื่อไหร่”

 

“ก็…ตั้งแต่ที่บ้านคุณแม่”

 

“ผ่านมาวันนึงแต่ก็ไม่คิดจะบอกกันเลยสินะ” อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงประชดประชัน แต่ในใจนั้นคล้ายรู้สึกตัดพ้อมากกว่า

 

“เรื่องนั้น ก็ฉันไม่คิดว่าคัตจังจะ…”

 

“จะสนใจ หึ แกก็แบบนี้ทุกที ชอบทำให้ฉันเครียดกว่าเดิมอยู่เรื่อย”

 

คนโดนชิงบทพูดหน้าหงอย ไม่คิดเลยว่าแค่เวลาไม่กี่เดือนอีกฝ่ายจะรู้ทันความคิดเขาได้

 

“แล้วแม่แกไม่ได้บอกรึไงว่าแกอยู่ในความดูแลของฉันเพราะมีพวกวิลเลินจ้องจะเอาความรู้ในหัวแกน่ะ” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป

 

“ระ..รู้ แต่ว่านะคัตจัง…ฉันไม่คิดว่าวิลเลินพวกนั้นจะเป็นกลุ่มใหญ่อย่างพวกกลุ่มเสรีหรอก”

 

อิซึกุว่าออกไปอย่างจริงจัง

 

“แกหมายความว่าไง”

 

“ก็ตอนนี้หมอการาคิไม่อยู่แล้ว ออลฟอร์วันก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ในทาร์ทารัส ในตอนนี้พวกวิลเลินเองก็คงหวาดกลัวยานี่พอๆ กับฮีโร่นั่นแหละ”

 

ในกรณีของวิลเลินถ้าหากโดนฤทธิ์ยาเล่นงานเข้า จากคนมีอัตลักษณ์ก็จะต้องใช้ยาลบอัตลักษณ์เพื่อรักษาชีวิต หรือไม่ก็อาจจะต้องเข้าปล้นชิงยารักษาจากในโรงพยาบาล แต่สำหรับวิลเลินการเข้าถึงยานั้นยากกว่าฝั่งฮีโร่มาก

 

หากเป็นสมัยก่อนที่ออลฟอร์วัน หมอการาคิ คิวได และชิการากิ โทมุระยังอยู่รวมกัน มันก็คงจะน่าสนใจสำหรับพวกนั้นที่จะเอายานี้มาใช้ลบอัตลักษณ์คนที่แข็งแกร่งหรือควบคุมวิลเลิน แต่ในยามนี้ที่น่าจะมียารักษาและวัคซีนผลิตออกมาแล้ว พวกเขาจะเอามันไปใช้ก็คงได้แค่กับคนนอกกฏหมายที่ยังไม่เข้าถึงยาเท่านั้น และเผลอๆ ถ้าตัวเองโดนลูกหลงจากผลของโรคก็อาจจะกลายเป็นช่องโหว่วให้วิลเลินกลุ่มอื่นเข้าจู่โจมแทน

 

ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อน หลังจากวิลเลินที่สร้างความกลัวให้กับคนในเหตุการณ์คามิโนะถูกจับพร้อมกับการเกษียณของออลไมท์ หมอการาคิ คิวไดก็ถูกกลุ่มฮีโร่เข้าบุกจับในโรงพยาบาลจาคุและเสียชีวิตในระหว่างหลบหนี ชิการากิได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังถูกออลฟอร์วันใช้เป็นเครื่องมือก็ชิงตัดขาดตัวเองจากการควบคุมของออลฟอร์วันก่อน ทำให้อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไร้ตัวช่วยอื่นข้างนอกคุกไปโดยปริยาย ถ้าจะคาดหวังให้ศิษย์อาจารย์คู่นี้เชื่อมโยงกันอีก ก็คงจะต้องเป็นสถานการณ์ที่ชิการากิจวนตัวจริงๆ อย่างการสูญเสียอัตลักษณ์ ซึ่งปัจจุบันเมื่อมียารักษาที่จะไม่ส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์แล้ว เขาก็คงจะเลือกบุกโรงพยาบาลมากกว่าบุกคุกที่แข็งแกร่งที่สุดเพื่อช่วยอาจารย์ที่ตัวเองเคยหักหลังเป็นแน่

 

ตอนนี้ในมือชิการากิมีอัตลักษณ์ที่สามารถขโมยและมอบให้กับผู้อื่นได้เช่นเดียวกับออลฟอร์วันอาจารย์ผู้ถูกเขาหักหลัง มีกลุ่มเสรีที่ถึงจะอ่อนกำลังไปกว่าครึ่งและแตกออกเป็นก๊กเล็กๆ ก็ยังพอจะใช้โจมตีได้ และยังมียาลบอัตลักษณ์จากกลุ่มศีลแปดอีก ถ้าหากอยากลบอัตลักษณ์ฮีโร่จริงๆ ล่ะก็ เขาไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเชื้อโรคที่ควบคุมยากนั่นเลยสักนิด นั่นเป็นวิธีที่อ้อมค้อมเกินไป

 

เพราะเขาไม่ได้คิดแบบอายะ อายะให้ตัวเลือกกับคนที่ป่วยว่าจะทิ้งอัตลักษณ์ไปหรือทิ้งชีวิต แต่สำหรับกลุ่มเสรีที่นำโดยโทมุระนั้น เขาต้องการทำลายสังคมฮีโร่ในปัจจุบัน และต้องการให้คนในสังคมใช้อัตลักษณ์ได้ตามใจชอบ การใช้ยารักษาที่มีผลกับยีนส์อัตลักษณ์นั้นจึงเป็นการเล่นนอกเกมไปโดยปริยาย

 

สิ่งที่อายะสร้างขึ้น ทั้งฝั่งฮีโร่และวิลเลินไม่มีใครอยากให้เกิด อย่างน้อยก็ไม่ใช่กับพวกตัวเอง

 

ในตอนนี้ถ้าหากชิการากิป่วยก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนที่อยากให้เขาเสียอัตลักษณ์หรือตายไป ส่วนออลฟอร์วันและหมอการาคิก็ไม่อยู่แล้ว การนำยานี้ออกมาใช้เป็นอาวุธโดยที่ตัวเองเข้าถึงยาได้ยากกว่าฝั่งฮีโร่จึงเป็นเรื่องที่สร้างความลำบากมากกว่าความพอใจจากการทำลายอย่างที่แล้วๆ มา

 

เขาไม่ควรทำให้ตัวเองเสี่ยงเพราะเชื้อโรคนั่น เพราะต่อให้พาออลฟอร์วันออกมา เขาก็อาจจะไม่ได้ความช่วยเหลืออะไรจากออลฟอร์วันเลย นอกจากการหักหลังศิษย์เก่าและไปหาศิษย์ใหม่ที่จะพาเขาไปสู่ความต้องการของตัวเองได้

 

คัตสึกิเองก็คิดเช่นเดียวกับอิซึกุ เขารู้ว่ามีคนที่ต้องการหัวเจ้านี่ไปใช้พัฒนายานั่น แต่นั่นก็แค่พวกวิลเลินที่ฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น ส่วนพวกตัวใหญ่นั่นตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาก็ดูจะไม่มายุ่งกับการกำจัดยาพิษนั่นหรือการรักษามากอย่างที่คิดจริงๆ

 

“แกกำลังคิดว่าเจ้าพวกนั้นจะไม่ยุ่งกับตัวเอง?”

 

“อื้ม เพราะฮีโร่ต้องช่วยเหลือคน ผมที่ขึ้นชื่อว่าตายในฐานะคนของฝั่งฮีโร่คงไม่ยอมทำงานให้วิลเลินหรอก แถมของแบบนั้นถ้ารู้วิธีทำสักหน่อยจะรู้ว่ามันไม่ได้ทำขึ้นมาในเวลาไม่กี่เดือน”

 

อายะเริ่มมันมานานแล้ว นานกว่าที่เขากับดอกเตอร์จะตระหนักเสียอีก

 

“แล้วต่อให้ร้านขายข่าวจะเอาข่าวของแกไปขาย จากประวัติความปลิ้นปล้อนที่เคยทำมา พวกนั้นก็จะระแวงมากกว่าวางใจ เพราะกลัวว่าแกจะกลายเป็นนกต่อให้ฮีโร่อีกรึเปล่า”

 

“ปะ…ปลิ้นปล้อนงั้นเหรอ…” อิซึกุแทบจะสำลักโกโก้ร้อน แต่เขาก็ไม่ทันได้แย้ง

 

“เพราะงั้นแกคิดว่าที่ถูกตามอยู่…มีแค่เจ้าพวกนั้นสินะ”

 

“…ใช่ ผมก็เลยคิดว่าอาจจะไม่เป็นอะไรมากเพราะเราต่างก็รู้จุดอ่อนกันดี เพราะงั้นคัตจังก็ไม่ต้-”

 

“หยุดความคิดโง่ๆ ของแกซะ หมาจนตรอกน่ะมันทำได้ทุกอย่างนะโว้ย!!”

 

“อ๊ะ คัตจัง ทะ…ทำไมอยู่ดีๆ ก็…” ก็โมโหขึ้นมาซะงั้น

 

“แกก็บอกว่าไม่เป็นไรๆ ทุกทีแล้วมันทำให้คนอื่นเคยหายห่วงได้สักครั้งมั้ย!”

 

“หวา…ขะ…ขอโทษครับ”

 

เขาว่าพลางก้มหน้าลงยอมรับผิด เพราะที่ทำไว้กับอีกฝ่ายก็ไม่น้อย

 

“ถ้าแกจะใช้ฉันก็ใช้ฉันให้สุด”

 

“เอ๊ะ?” เขาเงยหน้าขึ้นในฉับพลันอย่างไม่เข้าใจในความหมายที่อีกฝ่ายบอก

 

“แกชอบวางแผนไว้อย่างงั้นไม่ใช่หรือไง งั้นแกก็ใช้ฉันซะ ในแบบที่แกคิดว่าฉันจะทำ”

 

ดวงตาทั้งสองคู่มองกันอย่างไม่อาจละออกไปได้

 

ใช้คัตจัง…ในแบบที่คัตจังจะทำงั้นเหรอ

 

“แกไม่ต้องเชื่อใจฉันก็ได้ ส่วนฉันก็จะทำไปในแบบของฉัน แกก็ใช้สมองของแกคิดว่าจะทำให้ฉันไปอยู่ในจุดที่แกต้องการแบบที่แล้วๆ มาได้ยังไงก็พอ แกทำได้อยู่แล้วนี่”

 

อิซึกุนิ่งอึ้งกับคำพูดนั้นของอีกฝ่าย เขาไม่คิดว่าสิ่งนี้จะออกจากคัตจังที่ทำตามใจตัวเองโดยไร้กรอบเกณฑ์อย่างในอดีตเลยสักนิด เพราะนี่มันเหมือนยอมให้เขาจัดวางตัวเองเป็นหมาก แต่เดี๋ยวก่อน ถ้าคิดดีๆ ในอีกมุมหนึ่งคัตจังก็จะทำตามใจตัวเองเช่นกัน โดยให้เขาใช้สมองของตัวเองพาอีกฝ่ายไปอยู่ในจุดที่คัตจังต้องไป

 

นี่มัน…ออกจะแปลกประหลาด มันเหมือนกับเรากำลังใช้กันและกัน เขาต้องวางแผนใช้คัตจัง และคัตจังก็จะทำตามใจตัวเองโดยไม่สนใจเขาที่เป็นคนคิดเลยก็ได้

 

แต่ว่า…

 

“นะ…นี่มันออกจะประหลาดอยู่นะ ผมจะเอาอะไรไปทำให้คัตจังทำตามแผนได้ล่ะ”

 

“ตัวแกไง”

 

“…หา?”

 

คราวนี้อีกฝ่ายนิ่งไป ก่อนจะก้มหน้าจนสายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน ดวงตาคู่นั้นมองสบตรงมาอย่างมั่นใจ แล้วพออีกฝ่ายขยับหน้าเข้ามาใกล้ภาพสายฝนโปรยปรายหน้าป้ายรถเมล์ก็ผุดขึ้นมาในหัว

 

“แกบอกฉันเองนี่ว่าความสงสารกับความรักมันไม่เหมือนกัน แกไม่อยากรู้เหรอว่าความรู้สึกนั้นที่แกถามมันคืออะไร”

 

อิซึกุหน้าขึ้นสีระเรื่อในยามที่อีกฝ่ายทวนคำถามนั้นพลางเผยรอยยิ้มชั่วร้ายต่อจิตใจของเขาออกมา เขารู้สึกว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นเร็วแบบแปลกๆ อีกหน และมันก็ทำให้เขาไม่อาจสบสายตากับคนที่มองอยู่ได้ ดวงตาจึงเสมองไปที่ต้นทานตะวันราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจที่สุดในห้องแห่งนี้

 

ไหงย้อนกลับมาเรื่องนี้ได้ล่ะเนี่ย

 

“กะ…เก็บไปคิดก่อนเถอะครับ แล้วเรื่องแผนการล่ะ”

 

เจ้าของเสียงพูดตะกุกตะกักพลางไม่ยอมสบตา จะดูอย่างไรคนมองก็รู้ว่าอยู่ในอาการไหน ส่วนบาคุโกที่มีเรื่องให้ต้องใส่ใจมากกว่าก็หันไปหยิบนาฬิกาส่งสัญญาณสีขาวของอิซึกุขึ้นมา ก่อนจะยื่นมือออกไปข้างหน้าเหมือนเมื่อไม่กี่วันก่อน

 

“แล้วแกจะให้ฉันทำหน้าที่นี้ต่อมั้ยล่ะ”

 

อิซึกุมองมือที่ยื่นมาตรงหน้า มันเป็นมือเดียวกับที่เขาหวาดกลัวจนไม่กล้าให้ทำแผลเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่ตอนนี้มันกำลังยื่นมาข้างหน้าเช่นเดิมและขอความยินยอมจากเขา ไม่ใช่ด้วยการขู่เข็ญหรือสั่งการ แต่ยอมรับในการตัดสินใจของเขา ตรงกันข้ามกับครั้งแรกที่เขาต้องเป็นฝ่ายขออีกฝ่าย (ผ่านมิสโรส) ให้มาร่วมงานด้วย

 

อิซึกุไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะถามเขาแบบนี้เลยสักนิด เขาจึงหยุดชะงักและใช้ความคิดทบทวนเรื่องราวอยู่กับตัวเองสักครู่ ซึ่งดูเหมือนท้ายที่สุดมือนั่นก็ยังคงรอคอยการตัดสินใจของเขาจนถึงวินาทีที่ตัวเองวางมือซ้ายลงไปบนมือนั้นอย่างแผ่วเบาโดยไร้ความกลัว

 

ในตอนนั้น…เขาพบว่าตัวเองไม่ได้มองอีกฝ่ายเหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนอีกต่อไป

 

เพราะในระหว่างที่คิดนั้นเขาไม่มีความกลัวว่าจะถูกมือนั้นทำร้ายดังเช่นตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อนอีกเลย มันมีเพียงเขาจะทำยังไงให้เรารอดไปด้วยกัน ให้ไม่บาดเจ็บให้ได้มากที่สุด ให้อยู่ไปถึงตอนที่เรื่องนี้จบลงอย่างแท้จริง

 

แล้วก็มีที่ใจเต้นตอนถูกมือใหญ่กุมมือตัวเองไว้อีกนิดหน่อย

 

“เสร็จแล้ว หลังจากนี้แกก็ห้ามไปโดยไม่บอกฉันอีก”

 

“อะ…อื้อ”

 

แล้วคนทั้งคู่ก็เงียบไป แต่อิซึกุก็รู้สึกถึงสายตาพิฆาตจากอีกฝ่ายได้ลางๆ จึงลองเลียบๆ เคียงๆ ถามออกไป

 

“มีอะไรงั้นเหรอคัตจัง”

 

“อยากด่าคน”

 

“อะ…โอ้…”

 

ไม่ต้องบอกเลยว่าผู้โชคดีคนนั้นจะเป็นใคร

 

“ที่แกพูดมาในโทรศัพท์มันคือเรื่องจริงแล้วใช่มั้ย”

 

คนฟังนิ่งไปเมื่อดวงตาคมเปลี่ยนไปจมจ่อมอยู่กับความคิด เขามองเห็นคัตจังมองตรงมาคล้ายจะค้นหาความจริงแบบนั้นแล้วก็คิดว่าคงจะต้องพูดออกไปตรงๆ บ้าง

 

“เป็นความจริงแน่นอน”

 

ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกัน ฝั่งหนึ่งไร้แววหลุกหลิกหลบเลี่ยงอย่างที่เคยเป็นมา ส่วนอีกคนก็มองอีกฝ่ายอย่างตั้งใจ ไม่ใช่แค่เพียงมองผ่านอย่างที่ทำมาตลอด

 

จากคนที่เจอหน้ากันเป็นไม่ได้ วันนี้จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปมากมายขนาดนี้ ถ้าให้ตัวเองเมื่อประมาณ 7 เดือนก่อนมาเจอเข้าคงต้องไม่เชื่อสายตาเป็นแน่

 

แต่ว่านี่คือความจริง

 

“ขอโทษ…สำหรับสิ่งที่ฉันเคยทำมา”

 

“อื้อ ผมไม่เป็นไรแล้ว คัตจัง”

 

“เออ…อิซึกุ”

 

 

.

.

 

“แต่จริงๆ ถ้าเรียกเดกุเหมือนเดิมจะได้มั้ยนะ”

 

ผู้โดยสารเพียงคนเดียวในรถเอ่ยขึ้นพลางเกาแก้มอย่างเขินๆ ขณะที่คัตสึกิกำลังขับรถมายังโรงพยาบาลแห่งหนึ่งซึ่งถูกสำนักงานวิเคราะห์ฯ ติดต่อหมอไว้ให้

 

“หา? ก็ชื่อนั้นมันทำให้แกไปเจอกับเรื่องไม่ดีไม่ใช่หรือไง” ร่างสูงเอ่ยพลางขับรถไปพลาง

 

“ก็…ใช่ แต่ว่า…มันไม่ค่อยชินเท่าไหร่”

 

ทั้งรถเงียบไปเพราะคัตสึกิที่กำลังใช้สมาธิในการขับรถอยู่ แต่ผู้โดยสารที่ดูร้อนรนนั้นกลับรู้สึกว่าต้องพูดอะไรออกมาสักอย่าง

 

“คือ…ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกนะ แต่ว่าเวลาถูกคัตจังเรียกด้วยเสียงแบบนั้นมันรู้สึกแปลกๆ ผมไม่ชินน่ะ แล้วที่สำคัญผมก็พยายามจะยอมรับมันและก้าวต่อไปแล้วด้วย แล้วเวลาถูกเรียกด้วยชื่อนั้นมันก็ทำให้ผมรู้สึกด้วยว่าตัวเองมาไกลกว่าที่คิดไว้มาก…”

 

เอี๊ยด!

 

“หวา!”

 

บาคุโกเบรครถกะทันหันเมื่อติดไฟแดง ที่มันกะทันหันอาจจะเพราะเขาเองก็ฟังคำพูดอิซึกุไปด้วย ทำให้ความคิดในหัวเรื่องของคนข้างๆ กับเส้นทางขับรถตีกันไปมาจนไม่ทันตั้งตัวกับไฟแดงที่อยู่ไกลออกไป

 

“ปะ…เป็นอะไรรึเปล่า คัตจัง ผมขอโทษนะที่พูดมากจนเสียสมาธิ”

 

ร่างสูงหันมา “งั้นต่อจากนี้แกก็จะให้นิยามมันต่างออกไปสินะ”

 

“เอ๊ะ อะ อ้อ”

 

อิซึกุยังไม่ทันคิด แต่ตอนนั้นเองร่างสูงก็พูดคำนั้นออกมา

 

“เป็นเดกุที่พยายามอย่างไม่ยอมแพ้แบบที่พวกเด็กนั่นตั้งให้”

 

“เด็กนั่น?”

 

“ใช่ เจ้านั่นที่แกดูแลเรียกแบบนั้นแต่ใช้ชื่อจริง”

 

เดกุเริ่มเข้าใจ

 

เดกุที่แปลว่าพยายามเข้าอย่างไม่ยอมแพ้งั้นเหรอ

 

พอได้ยินแบบนั้นก็เผลอยิ้มออกมาเลยแฮะ

 

“เป็นแบบนั้นได้ก็ดีนะ”

 

คัตสึกิเหลือบไปมองคนข้างๆ พอเห็นใบหน้ายิ้มปริ่มนั่นแล้วก็ออกจะพอใจตามไปด้วย ไม่ทันรู้ตัวอีกว่าไฟตรงหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้วจนกระทั่งโดนแตรรถบีบให้จากด้านหลังนั่นแหละ

 

“เหวอ ไฟเขียวแล้วนะคัตจัง”

 

“เออ รู้แล้วน่าเดกุ!”

 

 

.

.

 

 

หลังจากนั้นอิซึกุก็เข้าไปตรวจกับหมอในโรงพยาบาลที่ถูกนัดไว้อย่างดี เรียกได้ว่าทางภาครัฐประสานงานไว้ให้เขาอย่างเสร็จสรรพ และทุกอย่างถูกปิดเป้นความลับโดยได้ความช่วยเหลือจากเจ้าของโรงพยาบาลไปจนถึงหมอ พยาบาล และผุ้ที่ทำงานส่วนต่างๆ อย่างดี

 

อิซึกุมองไปรอบตัวอย่างรู้สึกแปลกๆ เพราะมันเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เขาออกมาข้างนอกด้วยตัวเองโดยที่มีความจำครบถ้วน เขาเดินผ่านโซนด้านข้างโรงพยาบาลเข้าไปผ่านทางพิเศษที่ไม่ค่อยมีคนใช้พร้อมกับคัตจังในชุดลำลอง ตอนที่ผ่านเข้ามาก็ดูเหมือนจะปกติ แต่ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมว่าคุณทีมที่ตรวจร่างกายให้เขาดูจะใจดีและเป็นกันเองกว่าปกติ

 

“ขอบคุณสำหรับความเหนื่อยยากนะคะ”

 

“อ่า ครับ?”

 

เขาออกจะเกรงใจนิดหน่อยเมื่อมีนางพยาบาลคนหนึ่งเอ่ยเช่นนั้น หรือว่านี่จะเป็นนโยบายของโรงพยาบาลนี้กันนะ

 

อิซึกุไม่รู้ตัวว่าระหว่างที่เขาป่วยอยู่นั้น ข่าวในหน้าทีวีที่เสนอออกมาพร้อมชื่อกับหน้าตาของเขาในฐานะของคนที่เสียชีวิตเพื่อช่วยผู้คนสร้างความซาบซึ้งลงไปในใจผู้คนขนาดไหน แม้จะผ่านมานานแล้วแต่ถ้าพูดถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็จะมีคนจำเขาได้ แน่นอนว่าบางคนคิดว่าเขาตายไปแล้วจึงไม่ทันได้สังเกต แต่กับบุคลากรทางการแพทย์และผู้บริหารระดับสูงที่รู้นั้นต่างก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เขากลับมาเป็นปกติได้

 

แต่สำหรับอิซึกุที่ไม่รู้ว่ามีคนพูดถึงเขาและวีรกรรมเรื่องต่างๆ ของเขาเท่าที่เปิดเผยได้มากมายขนาดไหนนั้นเขาก็รู้เพียงแค่ว่าทุกคนในโรงพยาบาลนี้มีนโยบายต้อนรับคนอย่างอบอุ่นก็เพียงเท่านั้น

 

“โอ๊ะ เธอ…คนนั้น”

 

เสียงแหบๆ ของหญิงชราในรถเข็นที่กำลังถูกเข็นผ่านมาดังขึ้นขณะสวนทางกับอิซึกุที่กำลังเดินอยู่บนทางเดิน เขาไม่รู้ตัวว่าถูกเรียกไว้และคนที่เข็นรถเข็นเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าหญิงชราหมายถึงใคร

 

“เมื่อกี้คุณย่าเรียกใครหรอครับ เป็นคนรู้จักหรอ”

 

“อืม เป็นคน…” หญิงชราพูดอย่างเชื่องช้า “…ที่ช่วย…เราไว้”

 

“เอ๋?”

 

ดูเหมือนหลานของเอจะไม่เข้าใจ เขาหันมองไปด้านหลังอย่างงุนงง แต่ก็ไม่เห้นใครอยู่ตรงนั้นแล้ว

 

“ดีแล้ว…ที่ไม่เป็นอะไร…”

 

มีเพียงคำพูดสั้นๆ ของหญิงชราที่ความจำดีผู้นั้นที่ดังขึ้นและทำให้ผู้เป็นหลานหันกลับมาเพื่อพาเธอไปต่อตามนัดหมอเท่านั้น

 

 

.

.

 

 

บาคุโกกำลังรออิซึกุอยู่ทางส่วนที่นัดแนะกันไว้ เนื่องจากวันนี้มีคนมาโรงพยาบาลเยอะมาก และการเข้าไปเกะกะก็จะยังไงอยู่ รวมถึงอิซึกุเองก็อยู่ห่างจากเขาไม่มาก หลังตรวจเสร็จพวกเขาจะใช้ประตูฝั่งที่จอดรถที่ไม่ค่อยมีคนใช้ออกไปเช่นเดียวกับตอนเข้ามา แต่ในตอนนั้นเองที่บาคุโกได้ยินเสียงที่ไม่พึงประสงค์

 

มันคือเสียงนาฬิกาส่งสัญญาณ และสถานที่ที่ชี้ไปนั้นก็กำลังเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่เขาไม่อาจคาดเดาได้

 

เดกุ!

 

 

.

.

 

 

ในตอนที่อิซึกุรู้สึกตัว เขามองเห็นท้องฟ้าสีครามกับดอกทานตะวันกลางแสงแดดจ้า เมื่อยืนขึ้นเต็มความสูงก็เห็นทิวเขาไกลลิบลิ่วที่ไม่รู้จักพร้อมกับใครอีกคนหนึ่งที่กำลังยกปืนจ่อที่หลังหัว

 


 

// มาแล้วค่ะ ช้าหน่อยเพราะมีเรื่องเครียดหลายเรื่อง ใจไม่สงบเลยเขียนไม่ค่อยได้ วันนี้มีเรื่อง E-Book มาบอกด้วยค่ะ แต่ก่อนอื่นก็ขอพาไปรับชมภาพวาดที่คุณอัน (AUN) วันให้กันก่อนนะคะ

ภาพสวยๆ จากฝีมือคุณอัน (AunYart) ค่าา มี 2 ภาพ เป็นรูปสีน้องเดกับดอกทานตะวันละมุนๆ กับภาพคัตจังคนซึน มาจากตอนอย่าเอาความเกรี้ยวกราดมาลงที่ฉันนั่นเอง

Cap

Cap2

 

พอเขาถามว่าทำอะไรก็บอกว่าเปล่าทันทีเลยน้า 555

ขอบคุณคุณอันที่อนุญาตให้นำภาพมาลงด้วยนะคะ ดีใจมากเลย เพิ่งจะมีเรื่องนี้แหละที่คนวาดภาพประกอบให้งามขนาดนี้ UWU

 

 

ขอต่อกันด้วยเรื่อง E-Book ที่หลายคนถามมา เราตัดสินใจว่าจะทำ E-Book ขายใน MEB ด้วยค่ะ แต่ว่า E-Book จะเปิดขายหลังจากจัดส่งแบบเล่มเสร็จสิ้นประมาณ 3 สัปดาห์ขึ้นไปค่ะ เพราะต้องผ่านการตรวจสอบจากเว็บเกือบครึ่งเดือน และเราก็ต้องจัดการไฟล์ด้วย ไม่ค่อยสันทัดเท่าไหร่ และราคาของ E-book อาจจะไม่ค่อยต่างจากของแบบเล่มมากนะคะ อันนี้อาจจะขอให้ทำใจจริงๆ ค่ะ

 

 

สำหรับใครที่สนใจตัวเล่มแล้วยังไม่ได้ทำแบบสอบถาม ยังสามารถไปทำแบบสอบถามได้อยู่นะคะ คือเราเปิดไว้เพราะช่วงนี้มีคนทยอยเข้ามาอ่านกันน่ะค่ะ แต่ตอนหน้าก็ว่าจะปิดแล้ว > แบบสอบถามความสนใจเล่ม <

 

 

มาแง้มๆ หน่อยว่าหลังจากผ่านตอนหน้าไป เราจะพิจารณาเปิด Pre-Order เล่มแล้วนะคะ หลังจากเขียนเรื่องนี้จบ ก็จะเอาตอนพิเศษเล็กๆ (ที่ไม่เกี่ยวกับตอนพิเศษในเล่ม) มาลงแก้เหงากันไประหว่างรอเล่ม+ปก หน้าปกจะเป็นแนวทิวทัศน์มักเกิ้ลๆ แต่ ‘ภาพประกอบเรื่องในเล่ม’ ที่เป็นของแถมจะมีโมเมนท์ชัดเจนแน่นอนค่ะ

 

 

มาติดตามกันต่อตอนหน้านะคะ ขอให้อ่านอย่างมีความสุขค่าา

[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 58

 

 

58

ใต้ร่มสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง

 

 

หลังจากมิโดริยะ อิงโกะขึ้นไปตามลูกชายของเธอบนห้องให้ลงมากินข้าว เธอและเขาก็ใช้เวลากินข้าวพูดคุยสัพเพเหระกันไป โดยที่ฮีโร่ผู้คอยดูแลขอเลือกที่จะออกไปนั่งทางด้านนอกระเบียงสวนของบ้านเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนทั้งคู่ และอิงโกะก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขา แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกิน ขนมและน้ำอย่างดีแม้จะเลือกออกไปนั่งด้านนอกก็ตาม

 

เขาคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว บางทีการที่ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแม่ของคนที่เขาเคยแกล้งทำแบบนี้ก็คงเหมือนกับว่าเธอยอมรับเขาในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเป็นแขกคนอื่นเธอคงไม่อาจเสียมารยาทให้แขกที่ควรจะต้องต้อนรับมานั่งนอกบ้านในตอนเย็นขณะที่เจ้าตัวกำลังกินข้าวกับลูกชายอยู่ด้านในเป็นแน่ แต่เธอที่ยอมรับข้อเสนอนี้ของเขาก็คงจะยังมองตัวเขาเช่นเด็กแถวบ้านคนหนึ่งอยู่

 

คัตสึกิมองนาฬิกาข้อมือเชื่อมต่อกับอิซึกุ ปลายนิ้วเลื่อนเปลี่ยนไปยังฟังก์ชั่นการตรวจจับชีพจรและสภาวะของผู้สวมใส่ พอเห็นค่าที่ขึ้นมาแล้วเขาก็สบายใจที่ความเครียดของอีกฝ่ายดูจะน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มาก สภาพการเต้นของหัวใจก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ได้มีเรื่องให้ตกใจอะไร พอเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ไว้ใจนั่งรอต่อจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดประตูกระจกที่เชื่อมกับห้องนั่งเล่นก็เปิดออก

 

“ขอบคุณมากนะ คัตสึกิคุง ขอโทษที่ทำให้ลำบากด้วยนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัยพูดอย่างสุภาพ

 

“ไม่เป็นไรครับ แล้วเป็นยังไงบ้างครับ มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นหรือว่าเขาจำอะไรได้บ้างรึเปล่า”

 

เขาเอ่ยพลางยืนขึ้นเต็มความสูง ส่วนหญิงวัยกลางคนก็ทำหน้าครุ่นคิดคล้ายไม่แน่ใจ

 

“ฉันคิดว่าเขาน่าจะได้ความทรงจำตอนอายุ 16 ปีที่เขาเจอดอกเตอร์กลับมาแล้วล่ะจ้ะ แต่ว่าฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะอิซึกุก็อธิบายออกมาไม่ต่อเนื่อง อาจจะ…อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”

 

เธอมองเขาอย่างลำบากใจ รู้อยู่ว่าคนตรงหน้ามาเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยได้มากแค่ไหน

 

แต่คัตสึกิที่ได้ฟังว่าอิซึกุได้ความทรงจำหลังจากตกจากดาดฟ้าสมัยม.ปลายมาแล้วจนถึงช่วงเข้าศูนย์บำบัดอัตลักษณ์ก็ตาโตขึ้นมา เขาคิดว่าได้ขนาดนี้ก็น่าจะดีมากแล้ว

 

“คงจะต้องใช้เวลาอีกนิด แต่คิดว่าคงจะไม่นานมากเท่าไหร่”

 

เขาว่าพลางจะเดินผ่านเธอไปในห้องนั่งเล่น

 

“คัตสึกิคุง”

 

แต่ก็ถูกเสียงนั้นเรียกให้หันกลับมาเสียก่อน

 

“ขอบคุณนะ ที่ทำเพื่อเขา”

 

“…”

 

“น้ารู้ว่าบางอย่างมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่สร้างขึ้นใหม่และดีกว่าเดิมได้นะ”

 

อดีตไม่อาจแก้ไข

 

อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป

 

และปัจจุบันที่ไม่อาจมองข้าม

 

เธออาจโกรธเรื่องอดีตที่เขาแกล้งลูกชายตัวเองและพูดจาไม่ดีจนเขารู้สึกแย่ แต่เธอไม่อาจมองข้ามสิ่งที่เขาพยายามทำให้ลูกชายตัวเองได้ เพื่ออนาคตของอิซึกุที่น่าจะดีขึ้น หากเขาได้ก้าวพ้นความรู้สึกไร้ค่านั้นไปได้เสียที

 

มีค่า…แบบที่แค่เกิดมาและมีชีวิตอยู่ก็มีค่าแล้ว ไม่ต้องสรรหาเรื่องเสี่ยงมากมายมาแบกรับและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอที่จะอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าชายตรงหน้าทำให้เขารู้สึกแบบนั้นได้ เธอก็คงจะไร้ห่วงใดๆ ในโลกใบนี้

 

“ฝากเขาด้วยนะ”

 

เธอว่าออกมาก่อนจะปล่อยให้เขาเดินออกไปและพบกับลูกตัวเองที่รออยู่หน้าประตูบ้านนานแล้ว แน่นอนว่าเธอก็เดินออกไปส่งพวกเขาก่อนจะออกจากบ้านด้วย

 

“ไปก่อนนะครับคุณแม่”

 

“ดูแลตัวเองดีๆ นะอิซึกุ” มิโดริยะ อิงโกะจับมือลูกชายตัวเองแน่นราวกับจะส่งเขาไปเข้าสนามรบ ทั้งสองร่ำลากันไม่นานเธอก็หันมาเอ่ยลากับเขาอีกที

 

“ขอบคุณที่คอยดูแลเขานะ”

 

คัตสึกิไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปจึงได้แต่พยักหน้าและเอ่ยลาเบาๆ แต่พอเขากำลังจะออกจากบ้านเจ้าตัวก็ตัดสินใจหันหลังกลับไปพูดประโยคนั้นออกมา

 

“ช่วย…เชื่อใจผมอีกสักครั้งนะครับ”

 

.

.

 

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงพูดไปเช่นนั้น แต่มันคงดีกว่าบอกออกไปว่าจะปกป้องให้ได้ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง

 

คัตสึกิเรียนรู้มามากมายและสูญเสียไปหลายครั้งกับการไม่อาจปกป้องคนได้ เขาได้รู้ว่าชัยชนะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่หน้าที่ของฮีโร่ยังมีการช่วยเหลือคนพ่วงท้ายอยู่หลังคำว่าชัยชนะนั้นด้วย และอิซึกุก็ทำให้เขาเห็นภาพของการช่วยเหลือคนที่เด่นชัดมากขึ้นว่ามันไม่ง่ายเหมือนคำพูดเลยสักนิด

 

หลังกลับมาจากไปเยี่ยมมิโดริยะ อิงโกะฟ้าก็มืดลงอย่างผิดหูผิดตา กลิ่นลมฝนอบอวลอยู่ในอากาศ คัตสึกิเพิ่งจะรู้ตอนนั้นเองว่าพายุกำลังจะมา และทางสำนักงานที่ได้รู้ข่าวเรื่องพายุที่พัดผ่านเข้ามาเร็วกว่ากำหนดก็บอกให้เขากลับบ้านไปก่อนโดยไม่ต้องพาอิซึกุกลับมาในเวลาใกล้ค่ำแบบนี้ โชคดีที่ความทรงจำของคนความจำเสื่อมดูจะกลับมาอยู่ในสมัยที่หลายอย่างบรรเทาเบาไปบ้าง ช่วงอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ได้พบกับดอกเตอร์ A คงมอบความหวังในการมีชีวิตอยู่ให้กับอีกฝ่ายได้ไม่น้อย

 

เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่สองแม่ลูกคุยกัน แต่เดกุดูจะนิ่งขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจเวลาเขาเดินไปเดินมาเหมือนลูกกระต่ายแต่ก็ยังเว้นระยะห่างเช่นเดิม คล้ายๆ กับอิซึกุในสมัยปัจจุบัน แต่การที่คอยจับตากันอยู่ตลอดนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดว่าเจ้านั่นน่าจะยังได้ความทรงจำมาไม่หมด

 

“จำอะไรได้บ้างแล้วล่ะ” เขาถามออกไปขณะยื่นโกโก้ร้อนให้คนตรงหน้า คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบมันขึ้นมาบ้างแล้วในสมัยนี้ และก็เป็นไปตามคาด มือของอีกฝ่ายรับมันไปอย่างง่ายดาย เขาจึงวางใจและนั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟา

 

“หลังจาก…ตอนที่เจอดอกเตอร์ครับ”

 

“เจาะจงลายละเอียดไม่ได้สินะ”

 

“ขอโทษครับ”

 

คัตสึกิหันไปหาคนข้างตัว จะพูดไปก็เหมือนอีกฝ่ายจะต่อประโยคของเขามากขึ้นด้วย

 

ความสบายใจสายหนึ่งแล่นเข้ามาในอกของเจ้าของบ้านพร้อมกับคำว่า ‘ดีแล้ว’ ที่ตามมาติดๆ พอคิดว่าตัวตนของมิโดริยะ อิซึกุกำลังจะก้าวผ่านเรื่องเจ็บปวดนี้ไป

 

ระหว่างล้างจานหลังส่งคนที่ได้ความทรงจำเข้านอนแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปเห็นแก้วแตกๆ ที่เขายังไม่ได้ทิ้งไปเพราะยังไม่ถึงวันทิ้งของประเภทนี้ กอปรกับสายตาเหลือบไปเห็นดอกทานตะวันของตัวเองที่ได้มา เขาจึงลองตัดก้านของมันให้สั้นกำลังพอดีกับแก้วก่อนจะลองใส่มันลงไปในแก้วแตกๆ นั้นดู

 

แม้จะแตกบิ่นไปบ้างแต่แก้วใบนี้ก็ยังใช้งานได้

 

เขาเติมน้ำลงไปแล้วเอามันไปวางไว้ตรงกลางโต๊ะอาหาร หวังว่าพรุ่งนี้มันจะทำให้ใครบางคนรู้สึกถึงความเป็นชีวิตชีวาขึ้นมา

 

.

.

 

ฤดูใบไม้ร่วงเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันท้องฟ้าก็กระจ่างปลอดโปร่ง บางวันก็มีมรสุมเข้า รายงานข่าวเช้านี้บอกว่าพายุฝนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ดูจากลมเมื่อวานนี้ก็คงจะอีกไม่นานแล้ว คัตสึกิเองก็เข้าใจว่าเขาควรจะรีบพาอิซึกุกลับทาร์ทารัสก่อนจะพากลับไปไม่ได้ตามสัญญา แต่วันนี้โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นระหว่างนั่งกินข้าว เป็นสายของคนจากแผนกวิเคราะห์ที่โทรมาถามถึงอาการของอิซึกุรวมทั้งรายละเอียดการกลับของเขาที่น่าจะเป็นวันนี้ตอนบ่ายๆ คัตสึกินัดแนะเวลากับทางนั้นเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ในใจกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังทำ

 

เขารู้สึกเหมือนเด็กที่โดนบอกว่าได้เวลากลับบ้านแล้วขณะกำลังเล่นกับเพื่อน มันปล่อยมือยากกว่าที่คิดแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้เราก็ยังเจอกันได้

 

“ฉันจะพาแกกลับตอนบ่ายวันนี้”

 

อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างตั้งใจ

 

“ตอนนี้ยังอยากกลับอยู่หรือเปล่า”

 

แต่พอถามไปแบบนั้นร่างเล็กก็เอียงคออย่างงุนงง

 

คัตสึกิก็งงเหมือนกันว่าเขาจะถามทำไมในเมื่อกำหนดการณ์มันออกมาแล้ว

 

“เปล่า ไม่มีอะไร เดี๋ยวฉันพากลับเอง”

 

เขาตัดบทด้วยความเคยชินจากอิซึกุสมัยก่อนที่ไม่ชอบพูดอะไรมาก พวกเขานั่งดูรายการทีวีด้วยกันเงียบๆ ไปสักพัก แต่คัตสึกิที่ยังทำใจไม่ได้กับการที่อีกฝ่ายต้องกลับไปอยู่ในห้องใต้ดินในสภาพความทรงจำยังไม่ครบก็เครียดจนต้องหลบไปล้างหน้าล้างตาให้ตาสว่าง

 

 

 

ในห้องนั่งเล่นที่เพียงแค่ยืนก็พอมองเห็นเคาท์เตอร์ในครัวได้นั้น อิซึกุกำลังมองตรงเข้าไปยังแจกันที่ทำจากแก้วน้ำที่มีดอกไม้สีเหลืองทองอย่างดอกทานตะวันปักอยู่ เขาเห็นมันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว และถ้าหากเจ้าบ้านไม่นั่งอยู่ด้วยเขาก็คงจะยิ้มออกไปให้กับความคิดของเจ้าของบ้าน…เช่นตอนนี้

 

ผ่านไปไม่นานแท้ๆ แต่อ่อนโยนขึ้นแล้วนะ…คัตจัง

 

.

.

 

คัตสึกิออกมาจากห้องน้ำหลังจากทำใจได้กับทุกอย่าง แต่พอออกมาเขาก็ไม่เห็นอิซึกุอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม คนที่กะจะพาอีกฝ่ายไปส่งจึงเดินหาเจ้าของร่างไปทั่วบ้าน…แต่ก็ไม่พบ

 

คัตสึกิชะงักค้างเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของอีกฝ่ายแล้วพบกับนาฬิกาข้อมือส่งสัญญาณสีขาวเหมือนกับของเขาทับซ้อนอยู่บนกระดาษข้อความสั้นๆ

 

‘ขอบคุณที่ดูแลกันมาตลอดนะ คัตจัง’

 

ถ้อยคำ การเรียกชื่อ การเขียน แม้แต่การรู้ว่าเขาจะติดตามไปได้ถ้าตัวเองยังพกนาฬิกาส่งสัญญาณอยู่นั้น ทั้งหมดนั่น…ทำให้คัตสึกิรู้ได้ในทันทีว่าอิซึกุที่เขียนข้อความนี้ขึ้นมาคือใคร

 

เจ้านั่นความทรงจำกลับมาแล้ว!

 

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่ามิโดริยะ อิงโกะรู้มั้ย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการตามหาตัวมิโดริยะ อิซึกุในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะรู้มั้ยว่ามีวิลเลินอยากได้ตัวมันมากขนาดตั้งค่าหัว แต่คิดว่าคนแบบนั้นคงพอจะรู้อยู่บ้าง แล้วทั้งที่รู้อย่างงั้นก็ยัง…!

 

เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกลปลุกให้ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ใช่แค่วิลเลินที่จะทำให้เขาลำบากหากปล่อยเจ้านั่นออกไปในยามนี้ คัตสึกิเดินออกไปหยิบฮู้ดตัวใหญ่ในห้องมาสวมขณะที่ถือสายรอคนที่อยู่ปลายสายไปด้วย แน่นอนว่ามันต้องรออยู่นานจนเขาลงมายังชั้นล่างแล้วก็ยังไม่ติด

 

“โธ่เว้ย!”

 

ทำไมชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงวะ!

 

“เห็นผู้ชายผมฟูๆ สะพายกระเป๋าสีเหลืองเดินลงมาบ้างรึเปล่า” เขาถามกับผู้ดูแลหอพักที่อยู่ด้านล่างแถวๆ นั้น แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า เพราะจำรูปลักษณ์นั้นไม่ได้เลย รู้แต่เหมือนมีคนเดินเลี้ยวไปทางถนนใหญ่ ซึ่งบาคุโกก็ไม่อาจจะโทษอีกฝ่ายที่ไม่รู้ตัวได้เพราะพวกเขากำลังใช้อัตลักษณ์ลบตัวตนอยู่

 

แม้จะรู้ว่ามีบางคนออกไปทางถนนใหญ่คัตสึกิก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อยว่าจะเป็นเดกุ ชายหนุ่มจึงยังไม่ละเลิกความพยายามที่จะต่อสายไปถึงคนปลายสายที่ตอนนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สองขาหาทางพาตัวเองขึ้นไปยังตึกสูงเผื่อจะช่วยให้เห็นคนด้านล่างได้ง่ายขึ้น แต่ด้วยเวลาที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงเที่ยง แม้ว่าฟ้าจะมืดครึ้มมาแต่ไกลแต่ก็ยังมีพนักงานบริษัทที่ออกมาซื้อของกินช่วงนี้กันอย่างเนืองแน่น ถนนเส้นใหญ่จึงคลาคล่ำไปด้วยคนที่เดินสวนกันไปมา มีรถสวนออกมาบ้างแต่ก็ไม่มากนักด้วยเป็นถนนเส้นในที่เหมาะแก่การเดินมาหาร้านอาหารกินเองมากกว่านั่งรถ ทำให้คนยิ่งหนาแน่นยั้วเยี้ยจนบอกไม่ถูกเลยว่าใครเป็นใคร

 

และมันก็ยิ่งแย่ไปอีกเมื่อฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา ทำให้มนุษย์บางส่วนยกร่มขึ้นเหนือหัวปกปิดทัศนียภาพของคนที่อยู่ด้านบนไปด้วย

 

คัตสึกิร้อนใจแบบที่ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงผสมลมฝนชื้นๆ ก็ไม่ช่วยให้ใจเขาหายหยุดร้อนรุ่มได้ เขาคิดอยากจะตะโกนลงไปใส่พวกที่อยู่ข้างล่างด้วยเครื่องกระจายเสียงให้แหวกทางออกไปไกลๆ แต่ก็รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นพวกวิลเลินก็จะต้องรู้ว่าเขากำลังตามหาคนที่พวกมันล่าหัวอยู่ และถ้าเขาคิดให้ดีอีกนิด เขาไม่มีสิทธิจะทำแบบนั้นเลยเพียงเพื่อต้องการหาคนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนเลย

 

“โธ่เว้ย! รับสายสิวะ!!!”

 

รับสายฉันที

 

ทั้งคำสั่ง ทั้งคำอ้อนวอน ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรเขาก็จะใช้มันทั้งหมดเช่นคนจนมุม เมื่อในตอนนี้คัตสึกิรู้ซึ้งแก่ใจว่าเขาไม่อาจเสียอิซึกุไปได้อีก ไม่ใช่เพื่ออีโก้ของฮีโร่ผู้ไม่แพ้และช่วยชีวิตคนไว้ได้ แต่มันมากกว่านั้น มากจนทำให้เขาเริ่มถามตัวเองว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องจากเขาไปแบบเงียบๆ อย่างนี้ด้วย

 

ชายหนุ่มสิ้นหวังได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะรวบรวมสติคิดว่าอีกฝ่ายจะไปที่ไหนได้บ้างจากที่นี่ แล้วตัวเลือกที่ผุดขึ้นมาก็มีบ้านมิโดริยะที่ไปมาเมื่อวาน อพาร์ตเมนท์เก่า สำนักงานดูแลด้านอัตลักษณ์ และทาร์ทารัส แต่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เขาก็ตัดทาร์ทารัสที่อยู่ไกลกับอพาร์ตเมนท์เก่าที่เจ้านั่นย้ายออกมาแล้วออก สุดท้ายจึงเหลือแค่ที่สำนักงานกับบ้านของมิโดริยะ อิงโกะที่น่าจะเป็นตัวเลือกได้ดี

 

เจ้านั่นไม่ค่อยมีเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานด้วย เท่าที่เขารู้ก็จำกัดได้สองอย่างนี้ แต่โชคร้ายก็คือทั้งสองทางสามารถเดินทางได้จากคนละฝั่งของถนน นั่นก็คือถ้าอีกฝ่ายจะเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งโดยระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดก็จะต้องขึ้นจากถนนฝั่งใดฝั่งหนึ่งในสองด้านของปลายถนน

 

คัตสึกิมองหาอยู่เช่นนั้นก่อนจะไม่ทันตั้งตัวเสียงรับสายโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

.

.

 

ที่อีกด้าน อิซึกุกำลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนทางไปมาในยามเที่ยงที่มืดครึ้ม เหนือหัวของเขาคือร่มสีเหลืองที่เพิ่งยกมันขึ้นมากันละอองฝน ส่วนในมือก็มีโทรศัพท์ที่ดังมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาคิดว่าจะไม่รับ แต่เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งแรงสั่นสะเทือนนั้นก็ทำให้เขาทนไม่ไหวและกดรับมันไปในที่สุด

 

แต่ถึงพูดอะไรไปก็คงไม่ทันแล้วล่ะนะ

 

“คัตจัง”

 

เขากรอกเสียงลงไป ส่วนปลายสายก็เงียบนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกรอกเสียงที่ดูนิ่งผิดปกติถามกลับมา

 

[นั่นแกใช่มั้ย]

 

“อืม ผมเอง”

 

ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงรู้แล้วเหมือนกันว่าความทรงจำของตัวเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรปิดบังอะไร

 

อิซึกุนิ่งฟังคนปลายสายโดยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะก่นด่าตัวเองสักหน่อยเรื่องที่ออกไปโดยไม่บอก ซึ่งเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะบอกไปตามตรงว่าไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายอีก เพราะตลอดหลายวัน…เป็นเดือนแล้วที่เขารบกวนคัตจังให้มาอยู่เป็นเพื่อนในสภาพที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้สึกขอบคุณในความทุ่มเทของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อาจจะรบกวนอีกฝ่ายไปได้ตลอดอยู่ดี ในเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วเขาก็ควรจะทำให้ทุกอย่างถูกต้อง

 

ยิ่งคัตจังแสดงท่าทีอ่อนโยนแบบนั้นต่อกันมากๆ ถ้าหากกลับตัวไม่ทันมันจะแย่เอาทีหลัง

 

[ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน!]

 

แต่อีกฝ่ายกลับถามคำถามที่ผิดคาดไปมาก ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะด่าไปแล้ว

 

“ขอโทษที่ออกมาอย่างกะทันหันนะคัตจัง…” แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ทุกอย่างคงยากและคลุมเครือต่อไปเช่นเดิม “…ผมขอโทษเรื่องที่ฐานทัพวิลเลินด้วยนะที่ทำร้ายคัตจังแล้วยังเก็บเรื่องที่ทำไว้โดยไม่ยอมบอกนายอีก มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกจะให้มันเป็นอย่างนั้นเองน่ะ ไม่ได้มีใครบังคับทำเพราะเห็นผมเป็นคนไร้อัตลักษณ์เลยดูเหมาะสมที่จะเสี่ยงหรอกนะ”

 

[ถ้าแกอยากจะขอโทษก็มาพูดกับฉันตรงๆ สิวะ]

 

แต่เสียงเข้มก็ยังส่งมากดดัน

 

“คัตจัง…”

 

[อิซึกุ…]

 

ชื่อที่ไม่เคยนึกว่าอีกฝ่ายจะใช้เรียกตนมาก่อนดังขึ้นจากปลายสาย ทำเอาคนฟังต้องหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวต่อ

 

[…อย่าทำแบบนี้ บอกฉันมาว่าแกจะไปไหน]

 

ร่างเล็กกำด้านร่มแน่น หายใจเข้าออกลึกๆ อย่างพยายามหักห้ามใจ แต่ครั้งนี้มันกลับยากเย็นยิ่งกว่าตอนที่ต้องทำร้ายอีกฝ่ายในฐานลับของวิลเลินเสียอีก ยากกว่าครั้งไหนๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งจะได้รับความอ่อนโยนจากอีกฝ่ายมาหมาดๆ น้ำเสียง วิธีการเรียกชื่อ ความรู้สึก ทุกอย่าง เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะก้าวเดินต่อไปยังไงถ้าหากอีกฝ่ายมาพูดแบบนี้ต่อหน้า

 

ดีแล้วที่ออกมาก่อน

 

“ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอดจริงๆ นะ ผมไม่คิดเลยว่านายจะตามผมไปจนถึงทาร์ทารัส…”

 

จากใครคนหนึ่งที่หายไปก็ไม่มีใครรู้สึกตัว แต่วันนึงก็มีคนที่ตามไปจนถึงสถานที่ซ่อนตัว นั่นคือเรื่องที่ไม่อยู่ในความเป็นไปได้ในหัวของอิซึกุมาก่อน เพราะเขาคิดเสมอว่าทุกคนจะลืมเลือนตัวเองไปในเวลาไม่ถึงเดือน

 

แต่เขาก็เพิ่งรู้ตอนนี้นี่แหละว่านอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานที่สนิทกัน ยังมีใครอีกคนที่ไม่เชื่อในการตายของเขา และออกตามหาไปจนสุดทาร์ทารัส

 

“ผมจำได้แล้วล่ะครับคุณแม่ ขอบคุณนะครับที่ขอให้คัตจังมาช่วยดูแลผมจนกลับเป็นปกติ”

 

            เขาสารภาพกับแม่เป็นคนแรกในตอนที่เรากำลังกินข้าวอยู่ในบ้านเมื่อวันก่อน

 

            “อิซึกุ…ลูกเข้าใจผิดแล้ว”

 

            “ครับ?”

 

            “แม่ไม่รู้หรอกนะว่าพวกลูกจะสนิทกันจนขอให้มาดูแลกันได้ แต่เขาตามหาลูก หาจนเพื่อนร่วมงานของลูกกลัวว่าวันนึงเขาจะรู้ความลับที่เราตกลงกันไว้ เขาทำแบบนั้นตลอด 3 เดือน…เพราะแบบนั้นต่างหากพวกเราถึงยอมให้เขาได้เจอลูกอีกครั้ง ไม่มีใครไปบังคับในสิ่งที่เขาเลือกทำเลย…”

 

ถ้าจะมีสิ่งที่มิโดริยะ อิซึกุคาดการณ์ผิดพลาดในงานนี้ ก็คงจะเป็นการที่บาคุโก คัตสึกิยังคงจดจำเขาได้

 

“…ไว้ผมจะตอบแทนที่คัตจังคอยดูแลผมมาตลอดในตอนที่พร้อมนะครับ”

 

[ฉันไม่ได้อยากให้แกตอบแทนอะไรทั้งนั้น! แกแค่บอกฉันมาว่าแกกำลังจะไปไหน จะทำอะไรกันแน่!]

 

“ผมจะกลับไปอยู่ในที่ของผมครับ”

 

กลับไปก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิด

 

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกในงานสักงานเหมือนเดิม”

 

[…]

 

อีกฝ่ายเงียบไป ทำให้อิซึกุคิดว่านี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะพูดอะไรที่คั่งค้างอยู่

 

“ผมรู้ว่าคัตจังรู้สึกผิดตอนที่เห็นอดีตของผม คัตจังคงไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดไปขนาดนั้นสินะครับ ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถามว่ามันเป็นความผิดของคัตจังทั้งหมดไหม ผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมด แน่นอนว่าตอนเด็กผมโกรธนาย ไม่ชอบที่นายเรียกผมด้วยชื่อนั้นเลย แล้วก็อยากตำหนินายที่ไล่ผมไปตายด้วย แต่นายก็ยังเป็นเพื่อนที่ผมอยากจะเทียบเคียงในเส้นทางฮีโร่แม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม”

 

[…]

 

“ตอนนั้นเราเด็กกันมาก เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราพูดหรือทำจะส่งผลอะไรในอนาคต แต่พอตอนนี้นายและผมโตขึ้นเราก็รู้ใช้ไหมว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเองก็เหมือนจะได้เรียนรู้ตัวนายมากขึ้น แล้วก็เหมือนจะพอเข้าใจความรู้สึกที่ทำให้นายทำเรื่องแบบนั้น แน่นอนล่ะว่านายก็ยังไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี ซึ่งเรื่องในอดีตมันคงแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ดีใจมากที่คัตจังเข้าใจและพยายามแก้ไขและทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยกับเรื่องที่ผ่านมา เพราะงั้นคำขอโทษของคัตจังน่ะ…ผมจะรับไว้นะครับ”

 

เขาหยุดไปพักหนึ่ง

 

“เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องผมแล้วนะ จริงๆ ผมดีใจอยู่เหมือนกันที่คัตจังยอมรับว่าผมเป็นคู่หูและบอกว่าผมเป็นฮีโร่ด้วย เรามาไกลกว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมามาก”

 

อิซึกุว่าพลางคิดถึงคำขอโทษ แววตา ความรู้สึกที่ส่งมาทางการกระทำที่อีกฝ่ายส่งมอบให้ เขารู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะไม่ยกโทษ ‘ให้’ กับคำ ‘ขอ’ โทษ นั้น แต่เขาอยากจะก้าวผ่านเรื่องนี้เสียที ไม่ใช่การลืมเพื่อจบหรือทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแต่ก่อน แต่เขาแค่อยากยอมรับและเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับอดีตของตัวเอง เหมือนกับเด็กในห้องบำบัดที่ยอมออกมาจากห้องเพื่อเผชิญกับโลกความจริงอีกครั้ง

 

ส่วนคัตจังนั้นเขาได้รับความอ่อนโยนของอีกฝ่ายมาจนแน่ใจแล้วว่าเราคงจะไปต่อกันได้ แต่ถ้ายังต้องรับความรู้สึกนั้นอยู่เรื่อยๆ เขากลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะตีความความรู้สึกที่ได้นั้นไปไกลจากแบบเพื่อนขึ้นมาสักวัน

 

เขาไม่อยากคิดไปเองเข้าใจไปเองเหมือนตอนม.ปลายอีกแล้ว

 

หลังเอ่ยความในใจไปจนหมดอย่างไม่ต้องปิดบังเหมือนตอนแกล้งเป็นวิลเลิน อิซึกุก็รู้สึกว่าบางอย่างเบาขึ้น เขาจึงก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

แต่ไม่ใช่กับคนปลายสาย

 

[แกคิดว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดมันเป็นเพราะรู้สึกผิดงั้นเหรอ]

 

“คัตจัง…”

 

[แกกล้าพูดมั้ยว่ามันไม่มีความรู้สึกอะไรในนั้นเลยน่ะ หรือยืนยันสิว่าฉันจะทำแบบนั้นกับทุกคน แกคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นกับทุกคนที่ความจำเสื่อมรึไง!]

 

“แล้วความรู้สึกนั้นมันคืออะไรล่ะครับ?”

 

เขาไม่รู้หรอก ไม่มั่นใจในความคิดตัวเองด้วย ไม่ไว้ใจ ไม่กล้า กลัว…ถ้าไม่พูดออกมาก็ไม่มีทางรู้ ถึงจะมีคนบอกว่าการกระทำดังกว่าคำพูด แต่บางครั้งเขาก็อยากได้คำพูดให้ตัวเองมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าคัตจังคงจะไม่พูดมันออกมาง่ายๆ แน่

 

นายเป็นแบบนั้นมาตลอด

 

และในอีกแง่นึง เขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าความรู้สึกที่ว่านั่นมันคืออะไร ถ้าเขาคิดไปเองแล้วประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกรอบนี้คงไม่ได้จบที่เจ็บตัว แต่อาจจะเสียความรู้สึกกันไปเลยก็ได้

 

อิซึกุไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาจึงคิดจะวางสาย แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็อยากให้อีกฝ่ายได้ทบทวนตัวเองจริงๆ อีกครั้ง

 

“คัตจัง…ความสงสารกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ”

 

 

 

 

เพราะถ้าเขาจะรัก มันก็ไม่จำเป็นต้องมีโศกนาฏกรรมในอดีตมาเกี่ยวข้องก็ได้

 

แต่ที่เราได้คุยกันดีๆ อีกครั้งมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่คัตจังได้รู้เรื่องอดีตของเขาไม่ใช่หรือ

 

แล้ว…ตอนนี้นายน่ะกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่กันแน่

 

 

 

 

อยากรับผิดชอบหรือเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น

 

ถ้าเป็นแบบแรก…ความรู้สึกนี้จะดำเนินไปได้นานเท่าไหร่กันเชียว ถ้าเขาจะเป็นผู้รับตลอดและนายก็ต้องเป็นผู้ให้ตลอดไป

 

ปลายสายเงียบไปอยู่นานจนอิซึกุคิดว่าอีกฝ่ายคงได้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองแล้ว เขาเองก็เดินใกล้จะถึงปลายทางที่เป็นป้ายรถเมล์ของตัวเองแล้วเช่นกัน

 

“ไว้ค่อยเจอกันนะ คัตจัง ผมต้องไปแล้วล่ะ”

 

เขากดวางสายเองเสร็จสรรพก็เก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋ากางเกง คิดว่าเจ้าของเบอร์เมื่อครู่คงจะไม่โทรเข้ามาอีกแล้ว ส่วนเจ้าของโทรศัพท์ก็คิดว่ามันดีแล้ว เพราะทุกอย่างคงจะชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องในอดีต เรื่องของตัวเขากับคัตจังที่จะเป็นไปในอนาคต แม้แต่เรื่องความฝันที่ไม่รู้ทำไมทั้งที่ไม่ใช่ฮีโร่แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าใกล้มันอย่างประหลาด

 

จบแบบนี้คงจะดีแล้วล่ะนะ

 

ท่ามกลางสายฝนที่หล่นโปรยปรายเบาบางคล้ายละอองน้ำที่ไม่รู้ว่าจะตกหนักลงมาเมื่อไหร่ อิซึกุเดินไปจนสุดปลายถนนที่มุ่งหน้าไปยังบ้านของเขา คิดไว้ว่าจะไปจัดการของส่วนตัวของตัวเองที่เก็บไว้ที่บ้านสักหน่อย แต่ในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่กล้าจะเดินไปทางที่มุ่งไปสู่สำนักงานเพราะอาจจะมีใครบางคนคิดว่าเขาจะไปที่นั่นเป็นที่แรกตามที่นัดแนะไว้เมื่อเช้าก็ได้

 

ถึงจะบอกว่าทำใจได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลากว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับฮีโร่คนนั้นอยู่สักหน่อย ก็เล่นมาทำแบบนั้นใครมันจะไปทำใจได้ง่ายๆ

 

อิซึกุคิดแล้วก็สะบัดหัวไล่ภาพของคัตจังที่ดูแลเขา โอบกอดเขา ทำอาหารให้เขากิน และจินตนาการที่ว่าคัตจังตามหาเขาออกจากหัวให้หมด

 

พอเดินมาจนสุดถนนคนก็เริ่มเบาบางเพราะกระแสฝน เขายังคงกางร่มสีเหลืองโทนเดียวกับสีกระเป๋าอยู่ในขณะที่เดินเลี้ยวไปยังป้ายรถเมล์ที่มีเพียงเขายืนรออยู่เพียงลำพัง ดูจากตารางเวลาแล้วอีกไม่กี่นาทีรถเมล์ก็จะมา อิซึกุจึงยืนขึ้นเมื่อรถเมล์ที่เขาเฝ้าคอยกำลังจะมาในไม่กี่นาทีนั้นแล้ว

 

เขากระชับกระเป๋าเป้แล้วเดินไปยืนรอที่ริมฟุตบาธเมื่อรถเมล์กำลังจะมา แต่ยังไม่ทันจะได้ดึงตัวร่มให้หุบลงร่างของคนที่ยืนอยู่ก็ถูกใครบางคนดึงให้หันกลับและเซไปด้านหลัง ตอนแรกอิซึกุคิดว่าอาจจะเป็นวิลเลินที่ตามมาล่าหัวเขา แต่พอเห็นร่างที่คุ้นตาในชุดฮู้ดสีเทาดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็เบิกกว้าง

 

คนทั้งสองมองกันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ แล้วในตอนนั้นเองที่ร่างสูงยกมืออีกข้างขึ้นจับใบหน้ากลมนั้นอย่างทะนุถนอม

 

“อย่าไป”

 

สิ้นสุดคำนั้นริมฝีปากของคนตัวสูงกว่าก็ประทับลงบนริมฝีปากของคนที่ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สายฝนโปรยปรายลงมาดั่งม่านน้ำที่แยกคนทั้งสองออกจากโลกภายนอก ร่มสีเหลืองที่ถืออยู่ในมือค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นพร้อมๆ กับรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปโดยไร้คนขึ้นลง

 

 


// จริงๆ เราคิดว่ารถเมล์ญี่ปุ่นน่าจะจอดนะคะ ไม่ได้ขับผ่านไปเลย แต่เพื่ออรรถรสก็ตัดๆ รวบๆ ไปเลยค่ะ เพราะสุดท้ายน้องก็ไม่ได้ขึ้นไปอยู่ดี UwU เราชอบรถเมล์ญี่ปุ่นมากเลยค่ะตรงที่มีป้ายบอกเวลารถเมล์มา ไม่ต้องไปรอเก้อโดยไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เราคิดว่าถ้าประเทศไทยมีแบบนี้ก็ดีนะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องนั่งดมควันรถอย่างเปลืองเวลากันนานๆ เพราะงั้นก็ร่วมกันติดแฮชแท็กในโซเชี่ยลและกระจายข่าวเรื่อง #เยาวชนปลดแอก เพื่อให้ในวันนึงเราจะได้มีรถเมล์ดีๆ ใช้แบบน้องเด หรือมีรัฐบาลที่พอเกิดเรื่องก็เทคแอคชั่นแบบในตอนที่ดอกเตอร์ A เล่าเรื่องอดีตห้องบำบัดกันนะ (ถึงแม้ก็ดูจะเทคแอคชั่นช้าไปหน่อยๆ และอาจจะยังไม่ดีที่สุดก็ตาม)

 

เอาล่ะ ตรงนี้ขอประชาสัมพันธ์เรื่องตัวเล่มนะคะว่าเราคิดจะตีพิมพ์เล่มนี้ค่าา ต้องขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจที่ส่งมาให้อย่างล้นหลามเลยนะคะ พอไปลองจัดเล่มดูแล้วคาดว่าน่าจะได้เขียนตอนพิเศษพอตัวอยู่ค่ะ (อยากเขียนหลายๆ ตอนเลย) และแง้มกันนิดๆ ว่าถ้าหากยอดสั่งจองพอๆ กับยอดความสนใจตอนนี้ในเล่มก็จะมีอะไรพิเศษๆ (ที่ไม่ใช่ของแถมแยก แต่เป็นอะไรที่พิเศษสำหรับเราเพราะไม่เคยทำในฟิคตัวเองเล่มไหนมาก่อน) ใส่เพิ่มลงไปให้คนอ่านด้วยค่าา แต่แน่นอนว่าถ้ายอดพรีพอๆ กับยอดความสนใจเล่มนะคะ UwU

ช่วงเปิด Pre-Order คงหลังลงอีก 2 ตอนค่ะ (เห็นมั้ยว่าใกล้จบจริงๆ ไม่จ้อจี้แล้ว แต่อีก 2 ตอนก็ยังไม่จบหรอกนะ (อ้าว)) ตอนนี้ใครที่สนใจเล่มก็เริ่มหยอดกระปุกกันได้เลยนะคะ

 

สำหรับคนสนใจเล่ม #คัตเดโอเมก้าเวิร์ส Hot & Sweet ที่พูดถึงกันเยอะพอตัวก็รอดูกันได้นะคะ เราอาจจะ (ย้ำอีกครั้งว่า อาจจะ) เอามาเปิดแบบฟอร์มสอบถามอีกครั้ง

 

อ้าว ลืมหวีด เขาจูบกันอีกแล้วจ้าาาาา คัตจังโว้ยยยยยยยยย (ใครไม่หวีดคนแต่งหวีดเองแล้วนะ) แหม่ เรื่องอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว เรื่องนี้นี่กว่าจะจูบกันทีอ่ะเนอะ แต่ก็ไม่แปลกหรอก เขียนดราม่ามาตั้งนาน เกือบลืมไปแล้วว่ามันมีความโรแมนซ์ด้วย 5555555

[Fic MHA] Nightmare in Wedding [KatsuDeku]

Title: Nightmare in Wedding

Pairing: Bakugou Katsuki x Midoriya Izuku

Rate: PG13

Note: ฟิคนี้เป็นฟิคที่เราเขียนคู่กับฟิครีเควสใน Secret วันเกิดเดกุปี 2020 ค่ะ แต่เนื้อเรื่องอาจจะออกมาไม่เข้าตีมวันเกิดสักหน่อย ก็…ถือว่าเปลี่ยนอารมณ์ละกันค่ะ 5555 สำหรับใครที่เป็นเจ้าของรีเควสของเรานะคะ จะบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องหลักค่ะ ยังมีอีกเรื่องสำหรับคุณนะคะ ^.<

Photo by freestocks.org from Pexels Edit on Canva


 

Sublime Collection

 

 

‘คัตจัง…’

 

          เสียงนั้นก้องอยู่ในหัวพร้อมกับภาพของเพื่อนสมัยเด็กในชุดกักคุรันที่กำลังล่วงหล่นจากดาดฟ้าในสภาพหันหลังตกลงไป ใบหน้าที่สิ้นซึ่งความดีใจหรือเสียใจ มีเพียงความว่างเปล่าในแววตานั้นกำลังมองมาทางตัวเขาในวาระสุดท้ายเหมือนจะจารึกภาพของกันและกันให้ตราตรึงไว้ในใจยันวินาทีสุดท้าย และนั่นก็ทำให้หัวใจของบาคุโกที่เพิ่งเห็นภาพตัวเองไล่ให้อีกฝ่ายไปตายรู้สึกเจ็บปวด สองขาพยายามพาเจ้าของร่างวิ่งเข้าไปหาร่างนั้น แต่ก็ราวกับมีเถาวัลย์มาถ่วงไว้ให้เขาก้าวไปได้ช้ากว่าที่เคยเป็น และกว่าจะไปถึงริมดาดฟ้า ร่างนั้นก็เอนตัวร่วงหล่นลงไปเสียแล้ว

 

          ‘เดกุ!!!’

 

          เขาก้มลงไปมองและในตอนนั้นเองที่ภาพของเดกุที่กำลังจะตกจากดาดฟ้าเปลี่ยนเป็นเดกุในชุดฮีโร่ที่โชกเลือด ฝ่ามือที่ไม่เคยยื่นมาให้บัดนี้ถูกยกขึ้นมาหาเขา พร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้มที่เต็มไปด้วยเลือดและแผลเป็น

 

          ‘คัต…จัง…’

 

          เดกุค่อยๆ ร่วงลงไปๆ พร้อมกับหัวใจของเขา

 

          ‘เดกุ!!!’

 

 

 

เฮือก

 

 

 

บาคุโกกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง เขาเพิ่งรู้ตัวว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คือฝันไป แต่ถึงจะรู้เช่นนั้นในหัวใจก็ยังสั่นไหวด้วยความกลัว ในหัวยังมีภาพของเดกุที่ตกลงจากดาดฟ้า และลมหายใจของเขาก็ยังสะท้อนไปมาในอกอย่างรัวเร็ว

 

ในตอนนั้นก็มีเสียงดังมาจากห้องข้างๆ

 

“คัตสึกิ ตื่นรึยังน่ะ วันนี้วันสำคัญของลูกนะ!”

 

เสียงของแม่ที่ไม่ได้ฟังมานานทำให้คนที่ได้ชื่อว่าเป็นโปรฮีโร่ถึงกับขมวดคิ้ว เขาจำได้ว่าตนเองอยู่คนเดียว แต่ก็ลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันสำคัญของตัวเองกับเดกุพ่อและแม่ของเขาจึงมาพักที่บ้านด้วยเพื่อความสะดวกในการเดินทาง

 

วันนี้คือวันแต่งงานของพวกเขา

 

ทั้งที่คิดว่ามันควรจะเป็นวันที่ดีแต่ดันฝันร้ายซะงั้น ด้วยเหตุนั้นชายหนุ่มจึงหัวเสียอย่างช่วยไม่ได้

 

ทั้งที่เป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้วแท้ๆ …

 

 

.

.

 

 

งานแต่งของพวกเขาจะจัดที่โบสถ์ในช่วงตอนเย็น ที่นั่นจะมีแค่เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน และครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเพียงเท่านั้นแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะกลายเป็นโปรฮีโร่อันดับต้นๆ กันแล้วก็ตามที แน่นอนว่าเวลาจัดงานและหลายๆ อย่างถูกปิดไว้และทุกฝ่ายต่างร่วมใจกันมอบความเป็นส่วนตัวให้กับคู่หูฮีโร่ทั้งคู่โดยไม่คิดจะให้นักข่าวเข้ามาวุ่นวายได้

 

ฮีโร่บาคุชินจิที่ตอนนี้ถอดคราบฮีโร่กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังเดินเข้าไปในห้องเตรียมตัวของเจ้าบ่าว ส่วนเจ้าบ่าวอีกคนของเขาก็กำลังเดินทางมาอยู่ แต่ถึงจะมาแล้วพวกเขาก็แยกกันแต่งตัวคนละห้องอยู่ดีเพื่อความสะดวก

 

บาคุโกนั่งมองโทรศัพท์มือือที่มีข้อความส่งมาว่ากำลังเดินทางของเจ้าของส่งมาให้ อีกฝ่ายตั้งใจจะแต่งตัวมาเลยเพราะออกได้ช้ากว่ากำหนดเขาจึงจะไม่ได้เจอกับเดกุก่อนจะเข้าพิธีกันในโบสถ์

 

ระหว่างที่นั่งว่างๆ หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้นชายหนุ่มก็คิดถึงเรื่องในความฝัน มันเป็นความผิดพลาดในวัยเด็กของเขา แน่นนอนว่าเขาคงย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้มาก สิ่งที่เขาทำได้คือการขอโทษให้กับอดีตและไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

 

หลังจากผ่านเรื่องที่กราวน์เบต้าในวันนั้นเขากับเจ้านั่นก็กลายเป้นคู่แข่งกัน แต่เพราะเจ้าเดกุชอบเอาตัวไปเสี่ยง ทำอะไรไม่ดูตัวเอง ไปๆ มาๆ เขาก็ไม่สามารถจะคลาดสายตาจากมันได้ และก็ไม่อยากจะคลาดสายตาด้วย พูดไปแล้วเรื่องมันก็ยาว แต่สุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นฮีโร่และด้วยหน้าที่การงานก็ทำให้ได้เจอกันบ่อยๆ ไม่รู้ตังแต่เมื่อไหร่ที่เขาอยากจะเป็นฝ่ายปกป้องเจ้านั่นบ้าง และสุดท้ายความรู้สึกนั้นก็มาบรรจบกัน และตอนนี้เส้นทางของเราทั้งคู่ก็มาเจอกันที่โบสถ์แห่งนี้

 

เขาคิดว่าทุกอย่างจะดีขึ้น

 

แต่ความฝันนั้นทำให้เขากลัว

 

กลัวว่าวันหนึ่งเจ้านั่นจะออกจากบ้านไปทำภารกิจ…แล้วไม่กลับมาอีก

 

บาคุโกลูบหน้า เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้คืออะไร แต่เขาอากพบเจ้านั่นเดี๋ยวนี้ อยากคุยด้วยปากเปล่า อยากดึงตัวเข้ามาในอ้อมแขน อยากจะพบให้แน่ใจว่าเจ้านั่นปลอดภัย

 

แต่ดูเหมือนความจริงจะไม่ปราณีเขาเลยเมื่อเจ้านั่นยังนั่งรถอยู่และยังมาไม่ถึง ชายหนุ่มจึงได้แต่ง่วนอยู่ในห้องเพียงลำพัง จนกระทั่งใกล้เข้าพิธีก็มีคนเปิดประตูเข้ามา ตอนแรกเขานึกว่าจะเป็นเดกุ แต่พอเห้นว่าเป็นแม่ของตัวเองใบหน้าที่บอกบุญไม่รับก็ปรากฎขึ้น

 

“คัตสึกิ แม่มีเรื่องจะพูดกับแก”

 

แต่ทั้งที่ควรจะบ่นลูกชายที่ทำหน้าไม่สมกับเป้นวันดีของตัวเอง บาคุโก มิตสึกิกลับเอ่ยด้วยเสียงจริงจังคล้ายกับว่าจะมีเรื่องที่สำคัญกว่างานแต่งนี้เกิดขึ้นแล้ว และคัตสึกิก็สัมผัสถึงสิ่งนั้นได้

 

“อะไร?”

 

“เมื่อกี้อิงโกะโทรมา บอกว่าระหว่างเดินทางมีวิลเลินปรากฎตัวขึ้นมา แล้วอิซึกุก็กำลังติดพันอยู่ที่นั่น แต่ตอนนี้เธอก็ยังหาเขาไม่เจอเหมือนกัน…เขาหายไป”

 

สิ้นเสียงนั้นชายหนุ่มก็กำโทรศัพท์ตัวเองแน่นก่อนจะวิ่งออกจากห้องไป

 

“นี่! จะไปไหนน่ะ! แล้วงานแต่งล่ะ!?”

 

“ช่างแม่งสิโว้ยย”

 

จะอะไรก็ช่างมันให้หมด ต่อให้ไม่มีงานแต่งบ้าบอนี่ก็ไม่เป็นไร เขาขอแค่อย่างเดียวเท่านั้นก็พอ…!

 

 

.

.

 

 

ชายหนุ่งวิ่งมาตามทางสู่สถานที่ที่เกิดเหตุซึ่งตอนนี้เป็นข่าวอยู่ในหน้าเว็บ และเพียงแค่ไปถึงเขาก็พบกับโนมุที่รออยู่ถึง 2 ตัว แน่นอนว่ามีฮีโร่รับมือพวกมันอยู่แล้ว เขาจึงมองหาคนที่เขาต้องการพบแทน ชายหนุ่มวิ่งฝ่าเศษซากที่ถูกทำลายมากกว่าปกติไปยังทางนั้นเพราะเชื่อมว่ามันคงเป้นซากี่เกิดจากพลังของคนคนนั้นแน่ๆ และเมื่อไปถึงเขาก็เห็นจริงๆ

 

ดวงตาสีแดงมองลงมาจากด้านบนตึกที่ยืนอยู่ ส่วนด้านล่างนั้นเขาก็เห้นร่าง 3 ร่างยืนอยู่กลางพื้นที่ราบที่ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ รอบด้านมีเศษฝุ่นและซากปรักหักพังมากมายจนดุออกว่ามีการต่อสู้ที่นี่ เมื่อมองไปยังตรงกลางพื้นที่ที่มีคนยืนอยู่เขาก็เห็นร่างสีดำ 2 ร่างกับร่างในชุดสูทขาดวิ่นสีครีมที่เริ่มกลายเป็นสีเทาไปเกินครึ่งแล้ว

 

ดวงตาสีแดงวาวโรจน์ด้วยความโกรธเมื่อมุมมองที่มองอยู่คล้ายกับมุมมองบนดาดฟ้าในความฝัน แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะโกรธพวกที่มาทำลายงานแต่งงานของตัวเองหรือคนรักของตนที่ชอบเอาตัวเข้าไปเสี่ยงดี

 

ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้นการต่อสู้ด้านล่างก็ดำเนินต่ออย่างยากจะมีคนเข้าไปร่วมได้ เพราะมันออกจะรุนแรงกว่าการต่อสู้ทั่วไปมาก แต่แน่นอนว่านั่นสำหรับคนอื่น…ไม่ใช่คัตสึกิ

 

ชายหนุ่มถอดเส้อสูทสีขาวออกพลางปลดกระดุมคอลงให้กระฉับกระเฉงขึ้น แล้วกระโจนเข้าไปร่วมวงในตอนที่ว่าที่สามีตัวเองกำลังจะพลาดท่า

 

ฟุ่บ!

 

เสื้อสีขาวถุกปาใส่หน้าโนมุอย่างไม่ให้ตั้งตัวก่อนเสียงระเบิดจะดังขึ้นและส่งต่อระเบิดเป็นทอดๆ ไปจนถึงเสื้อสูทที่ซับเหงื่อของเขามาตลอดทางให้มันระเบิดหัวโนมุน่าตายนั่นไปพร้อมกัน

 

“อ๊ะ คัตจัง!”

 

เสียงระเบิดเรียกเสียงของคนที่เพิ่งต่อโนมุสลบให้หันมามอง แล้วก็ไม่ผิดคาด ในช่วงเวลาที่พอหายใจได้นั้นทั้งคู่ต่างหันหน้ามาหากันกลางสนามรบ ชุดที่ต่างฝ่ายต่างสวมอยู่ไม่ใช่ชุดฮีโร่แต่เป็นชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงสีขาวสำหรับเข้าพิธีแต่งงานที่ตอนนี้เปรอะเปื้อนไปมากกว่าครึ่ง เครื่องหัวที่เคยเซ็ทกันไว้อย่างดีเองก็ถูกลมเฮลิคอเตอร์บนหัวกับเหงื่อทำให้มันชี้ฟูไม่เป็นทรงดังเก่า

 

คัตสึกิที่ได้เห็นคนรักของตัวเองยังมีชีวิตอยู่ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของคนตรงหน้า

 

“แกนี่มันน่าฆ่าจริงๆ” ชายหนุ่มพูดอย่างอารมณ์เสียก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้นเกลี่ยรอยดำที่ใบหน้าของอีกฝ่าย “แม้แต่วันอย่างนี้แกก็ทำให้คนอื่นเป็นห่วงจนได้สินะ”

 

อิซึกุยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะครับ ไว้เรามากำหนดวันกันใหม่นะ”

 

“ไม่จำเป็น”

 

“เอ๊ะ…” คำตอบนั้นทำให้คนฟังผิดคาดไป จนเสียงของคนพูดดังขึ้นอีกครั้งเขาจึงได้เข้าใจ

 

“แกจะรับฉันเป็นสามีมั้ย มิโดริยะ อิซึกุ”

 

“อ๊ะ…” อิซึกุชะงัก แล้วก็หลุดหัวเราะออกมากับวิธีการของอีกฝ่าย แต่ก่อนจะได้พูดอะไรวิลเลินที่กระเด็นไปไกลเมื่อครู่ก็กระโจนเข้าใส่พวกเขาอีกครั้ง ทำให้ฮีโร่ทั้งคู่ต้องแยกจากกันไปจัดการวิลเลินที่กำลังจะพุ่งใส่ด้านหลังของคนรักของตน

 

อิซึกุสแมชใส่โนมุตัวนั้นจนมันกระเด็นไปอีกฟากของพื้นที่โล่งอีกครั้งก่อนตอบ

 

“พวกเรานี่เป้นแบบนี้กันทุกทีเลยนะคัตจัง!” เขาตะโกนบอกในขณะที่คัตสึกิยังติดพันอยู่กับโนมิอีกตัว

 

“เออ! ทำไงได้ล่ะวะก็ดันมีแฟนเป็นฮีโร่หน้าโง่ชอบเอาตัวไปเสี่ยงนี่หว่า!”

 

อิซึกุหัวเราะออกมาขณะยกแขนขั้นรับหมัดของโนมุที่ตรงเข้ามายังใบหน้า

 

“ฮะๆ คัตจังก็ชอบเรื่องเสี่ยงๆ เหมือนกันนั่นแหละ!”

 

“แล้วไงล่ะ แล้วแกจะรับมั้ย!”

 

ชายหนุ่มผมบลอนด์ที่ตอนนี้ผมเสียทรงจนกลับเป็นทรงเดิมตะโกนจากอีกฟากหลังใช้ระเบิดเจาะเกราะส่งโนมุไปกระแทกกับโนมุอีกตัวที่เดกุกำลังจัดการอยู่

 

“รับ! แล้วคัตจังล่ะจะรับผมเป็นสามีมั้ย!?”

 

อิซึกุว่าพลางหันมาก่อนจะรู้ตัวว่าว่าที่สามีตัวเองเดินมาประชิดแล้วเรียบร้อย

 

“รับตั้งนานแล้วโว้ยยย!!”

 

บาคุโกเอ่ยตอบด้วยเสียงดังทานเสียงรถพยาบาล ผู้คน เฮลิคอปเตอร์ที่ส่งเสียงไปทั่วบริเวณ แล้วในตอนนั้นเองที่ริมฝีปากของเขาก้มลงมาบรรจบกับริมฝีปากของใครอีกคนเพียงช่วงวินาที

 

แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว

 

“ได้เวลาโยนช่อดอกไม้แล้วล่ะนะ”

 

ทั้งสองคนพูดก่อนจะพุ่งเข้าใส่โนมุที่สภาพยับเยินจนแทบทรงตัวไม่อยู่แล้วก่อนจะจัดการโยนขึ้นฟ้าแล้วใช้พลังกระแทกร่างของโนมุให้ลงไปสลบเหมือดบนพื้นกันทั้งคู่

 

เป็นอันว่าพิธีแต่งงานของคู่รักฮีโร่ก็จบลงด้วยประการนี้

 

 

END

 


 

[Fic MHA] Secrets [ShinsouDeku]

Title: Secrets

Pairing: Shinsou Hitoshi x Midoriya Izuku

Rate: PG13

Note: ฟิคนี้เป็นฟิคที่เราเขียนขึ้นในกิจกรรม #SecretHBDtoDeku2020 ที่จัดขึ้นโดยแอค @AllDekuWeeklyTH ในทวีตเตอร์ค่ะ เราได้ซีเคร็ทของคุณทัพพี ซึ่งตอนนั้นเราสนใจชินโซเดกุก่อนเลย แต่ก็ยังไม่เคยเขียนชินโซเดกุมาก่อนเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะโอเคมั้ย และก็ฟิคนี้เป็นฟิคกึ่งๆ ไดอารี่กับบรรยาย เป็นวิธีการเขียนที่เราไม่เคยเขียนมาก่อน แต่ก็อยากลองดูสักครั้ง ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ

Photo by Giftpundits.com from Pexels Edit on Canva


 

Cycling Etsy Banner 3

 

วันที่ 28 มิถุนายน 2020

 

จริงๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากแต่ถ้าจะให้เก็บไว้ก็คงไม่ไหว ผมไม่รู้ว่าจะเขียนลงในนี้ดีมั้ย แต่ถ้าไม่เขียนในนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเขียนในไหนดี ในเว็บเหรอ? ไม่ไหวหรอกถ้ามีคนรู้รหัสขึ้นมาต้องตายแน่ๆ ส่วนสมุดอื่นๆ ก็ดูจะไม่ตรงกับหมวดหมู่ที่กำลังจะเขียนสักเท่าไหร่ จะให้เปิดหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาใช้มันก็จะโดดเด่นไปด้วยสิ เพราะงั้นถึงจะรู้สึกว่าผิดจุดประสงค์ของสมุดวิเคราะห์ฮีโร่ไปหน่อยแต่เขียนในนี้ก็ดูจะเข้าท่าที่สุดแล้ว และผมก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเล่าให้ใครฟังได้ด้วย เล่าไม่ได้เด็ดขาด…เพราะนี่มันก็ไม่ใช่เรื่องของผม ไม่สิ จริงๆ มันก็เป็นเรื่องของผม…กับชินโซคุง

 

เอาล่ะนะ เรื่องของเรื่องก็คือช่วงก่อนหน้านี้ชินโซคุงดูแปลกๆ ไป และผมที่ไม่รู้อะไรเลยก็กังวลว่าเขาจะปรับตัวไม่ได้กับการย้ายมาห้องใหม่ (ชินโซคุงย้ายมาแล้วล่ะ ดีจังน้า) ผมก็เลยกังวลและแอบจับตาดู (นิดหน่อยเท่านั้น!) ในเวลาเรียนและตอนที่อยู่หอ ซึ่งอีกฝ่ายก็ดูจะไม่มีท่าทีอะไรเวลาที่ผมอยู่ด้วย แต่ผมก็ยังเห็นเขาดูเหม่อลอยและทำหน้ากังวลเหมือนคิดเรื่องอะไรอยู่ แล้วโชคชะตา (ที่ผมคิดตอนนั้นว่าเข้าข้างผมแล้ว) ก็มาถึงเมื่อช่วงวันหยุดที่ผ่านมาผมบังเอิญเจอชินโซคุงที่ห้างสรรพสินค้าเดียวกัน มันเป็นวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งด้วยใกล้เข้าช่วงฤดูร้อนของปีแล้ว

 

ผมบังเอิญเจอชินโซคุงที่ร้านขายเสื้อที่ช่วงนี้มีเสื้อรุ่นลิมิเต็ดลายออลไมท์ออกวางจำหน่าย ตอนแรกผมคิดว่าเขามาซื้อเสื้อออลไมท์เพราะเขายืนอยู่ตรงโซนนั้นอยู่นานจนผมไปเห็น แต่ชินโซคุงมองไม่เห็นผมเพราะเหมือนเขาจะกำลังคุยกับใครบางคนอยู่ ผมจึงยืนอยู่ที่อีกด้านของชั้นวางเสื้อ เลือกดูเสื้อลายลิมิเต็ดไปโดยกะว่าถ้ามีโอกาสคงจะเข้าไปคุยเรื่องเสื้อยืดลายลิมิเต็ดสักหน่อยเผื่อว่าจะได้คุยเรื่องออลไมท์กันต่อ แต่ระหว่างที่ยืนอยู่ผมก็ดันไปได้ยินประโยคนั้นเข้า

 

‘นายจะซื้อเสื้อนี้ไปให้คนอื่นสินะ ชินโซคุง~’

 

เสียงผู้หญิงจากด้านหลังดังขึ้นเรียกสติที่กำลังล่องลอยท่ามกลางกองเสื้อออลไมท์ลายลิมิเต็ดอิดิชั่นเต็มชั้นสูงท่วมหัวให้หันไปสนใจ ผมไม่ทันได้ยินว่าชินโซคุงตอนกลับไปว่าอะไร แต่เสียงแหลมๆ รับคำของผู้หญิงคนนั้นกลับชัดเจนเข้ามาในหัวผม

 

‘แบบนี้นี่เอง ที่แท้นายก็จะซื้อของขวัญให้เด็กห้องเอที่สู้ด้วยกันในงานกีฬาสีสินะ’

 

ประมาณนี้ ผมคิดว่าประโยคมันประมาณนี้แหละ แล้วนั่นแหละ นั่นแหละครับ…

 

‘ใช่ กำลังจะถึงวันเกิดของมิโดริยะพอดี’

 

เรื่องมันก็เริ่มจากตรงนั้น…

 

ผมไม่รู้ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ถือเสื้อออลไมท์ไซส์ M อยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็น่าจะนานพอที่พนักงานคนหนึ่งจะเดินเข้ามาถามว่าผมเป็นอะไรมั้ย แล้วผมก็รู้สึกตัวตอนนั้นเองว่าหัวใจของผมกำลังพองโตและเต้นผิดจังหวะ มัน…จะว่ายังไงดีนะ อยู่ดีๆ คุณก็รู้ว่ามีคนจะซื้อของขวัญให้คุณน่ะครับ (เป็นของลิมิเต็ดออลไมท์ด้วยนะ!) แต่เหนือกว่านั้นก็คือชินโซคุงจำวันเกิดผมได้ด้วย อา จะว่าไงดีล่ะ มันดีใจจนไม่รู้จะอธิบายออกมายังไง มันเหมือนกับไม่ใช่ความจริงยังไงยังงั้นเลย เพราะตั้งแต่เด็กผมมักจะถูกลืมไว้ข้างหลังอยู่ตลอดเลยนี่นา แต่ว่าพอรู้แบบนี้แล้วมันก็ห้ามตัวเองไม่ให้ทำเป็นไม่รู้ไม่ได้เลยจริงๆ ผมพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรแล้ว แต่ก็ทนไม่ได้ จะให้ไปพูดกับเพื่อนคนอื่นก็ไม่ได้เด็ดขาด ก็เลยเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องมาเขียนระบายใส่สมุดแบบนี้นี่แหละ หวังว่าคุณจะรับฟังมันไว้แทนคำพูดที่ผมไม่สามารถพูดออกไปได้ทีนะ เพราะผมเองก็จะพยายามไม่ให้มีพิรุธเหมือนกัน

 

ผมจะพยายาม จะพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและรอวันนั้น

 

ก็คิดแบบนั้นแหละนะ แต่ว่าในความจริงนี่มันอัดอั้นตันใจสุดๆ เลย

 

ยังไงคุณก็ช่วยเก็บความลับระหว่างผมกับชินโซคุงไว้จนกว่าจะถึงวันนั้นทีนะครับ

 

.

.

.

 

วันที่ 29 มิถุนายน 2020

 

ไม่ไหว

 

ผมว่าตัวเองก็ดูไม่มีพิรุธแล้วนะครับ

 

แต่ทำไมอุราระกะ คัตจัง โทโดโรกิ อิดะคุง แล้วยังชินโซคุงถึงได้ทยอยกันมาถามผมล่ะว่าผมเป็นอะไรหรือเปล่า

 

ผมว่าผมก็เนียนแล้วนะ!

 

วันนี้ผมก็ไปโรงเรียนแต่เช้าเหมือนเดิม (อาจจะเช้าไปหน่อยเพราะตื่นเต้น แต่ก็ไปเร็วกว่าคัตจังแปบเดียวเอง) ตอนเช้าผมก็ทักทายทุกคนเหมือนปกติ กับชินโซคุงก็เหมือนกัน ผมว่าผมก็ทำตัวเป็นปกติแล้วนะทำไมทุกคนถึงคิดว่าผมกำลังปิดบังอะไรอยู่กันล่ะ แถมตอนเที่ยงยังมานั่งกินข้าวด้วยแล้วเปิดช่องให้ผมพูดเหมือนจะรอฟังอย่างนั้นแหละ ตอนนั้นผมเกือบหลุดพูดเรื่องของขวัญวันเกิดไปแล้วด้วย

 

อ่ะ แต่ผมเนียนจริงๆ นะ ถ้าไม่มีใครมาถามกันอย่างเป็นห่วงแบบนั้นล่ะก็…

 

พอพูดถึงเรื่องวันเกิดแล้วก็เหมือนจะลืมไปซะสนิทเลย ไม่คุ้นเลยจริงๆ เวลาที่มีคนจำได้แบบนี้ถึงจะแค่ชินโซคุงก็ตาม ก็ตั้งแต่ตอนเด็กแล้วแค่ตัวตนของผมก็มักจะไม่ถูกจดจำเท่าไหร่ (ถ้าไม่ใช่ตอนต้องเอาของไปส่งที่ห้องพักครู) อย่าว่าแต่คนที่จะมาจำวันเกิดเลย แม้แต่เพื่อนก็ยังดูจะห่างกันเหมือนมีอะไรมากั้น พอนานๆ เข้าก็เลิกคิดไปแล้วว่าจะมีเพื่อนมาเซอร์ไพรส์วันเกิดให้กัน จะพูดไปแล้วก็ตื่นเต้นจริงๆ นะ มันเหมือนกับ…ได้รับความใส่ใจ ได้รับอ้อมกอดอุ่นๆ เลยยังไงก็ไม่รู้สิ

 

มันอธิบายเป็นคำพูดยากจริงๆ นะ

 

ถ้าจะให้พูดก็คงเป็น ขอบคุณนะครับ ที่คุณจดจำวันเกิดของผมเอาไว้และทำให้มันกลายเป็นวันที่น่ารอคอยขึ้นมาได้ 🙂

 

.

.

.

 

วันนี้มิโดริยะคุงมาโรงเรียนเร็วกว่าปกติ ความรู้สึกนี้แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องแผนการวันเกิดของพวกเธอก็รู้สึกได้ ทุกคนต่างรู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศที่คนผมสีเขียวปล่อยออกมา ท่าทางยิ้มน้อยๆ กับใบหน้าเหม่อคิดนิดๆ ทำให้พวกเขารู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเจ้าตัวเป็นพวกชอบพาตัวเองไปเสี่ยงและเพื่อนๆ ก็เริ่มจะชินกับนิสัยแบบนั้น จึงกลายเป็นว่าท่าทางนั้นทำให้เพื่อนร่วมห้องอยากรู้เข้าไปใหญ่ แต่เมื่อเข้าไปถามตรงๆ ก็ดูจะปฏิเสธคล้ายปิดบัง พวกเขาจึงสนใจกลุ่มเพื่อนรอบข้างที่ช่วงนี้ดูมีลับลมคมในแปลกๆ แทนซะนี่

 

และโอชาโกะ อิดะ โทโดโรกิ และสึยุจังก็ต้องบอกแผนการของพวกเขาที่จะจัดวันเกิดให้มิโดริยะออกไปให้เพื่อนๆ ที่สนใจฟัง และนั่นก็นำมาซึ่งผู้สมรู้ร่วมคิด (?) ที่มากขึ้นๆ จนในที่สุดก็แทบจะรู้กันไปทั้งห้องแล้ว (ยกเว้นเจ้าของงาน)

 

แต่ดูจากท่าทางพวกเขาก็กังวลอยู่เหมือนกันว่าเจ้าตัวจะเริ่มระแคะระคายเรื่องนี้แล้วหรือเปล่าจึงมีท่าทีดูแปลกๆ

 

“แบบนี้ก็ไม่เซอร์ไพรส์น่ะสิ!” คามินาริที่ชอบเรื่องสนุกๆ โพล่งขึ้นแทนความในใจของเพื่อนๆ ที่ฟังอยู่

 

“ผมว่าคงไม่ถึงขั้นนั้นหรอกมั้งครับ พวกเราก็ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรเลย แค่กำลังวางแผนกันอยู่เท่านั้นเอง” อิดะพูดตามความเป็นจริง

 

“แต่ก็ไม่แน่หรอกนะ ท่าทีของพวกนายดูแปลกๆ ด้วยนี่ บางทีอาจจะรู้แล้วก็ได้” จิโร่ที่ร่วมวงด้วยเสนออีกแง่หนึ่ง

 

“งั้นจะทำยังไงดีล่ะ แบบนี้ก็ไม่เซอร์ไพรส์เลย”

 

“นี่นายจะร่วมกับพวกเราด้วยหรอ”

 

“แน่สิ งานนี้น่าสนุกดีออก”

 

“ฉันด้วยๆ”

 

“ฉันว่ามันก็น่าสนใจดีนะ”

 

ผู้สมรู้ร่วมคิด (?) ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นจนกลายเป็นเกือบทุกคนในห้องตอนนั้น ยกเว้นก็แต่บาคุโก คัตสึกิที่ยังนิ่งไม่ออกความเห็น แต่ก็มีคนจับได้ว่าเจ้าตัวแอบฟังอยู่ไม่ยอมไปไหน ส่วนอีกคนที่หายไปก็คือชินโซที่ตอนนี้ไม่อยู่ในห้อง

 

แน่นอนว่าไม่มีใครห้ามใครเพราะทุกคนก็มีเรื่องราวดีๆ ที่ได้รับจากเจ้าของวันเกิดที่จะมาถึง บางคนก็ได้รับความช่วยเหลือ บางคนก็มีความรู้สึกดีๆ ให้กัน และบางคนก็รู้สึกว่าสนุกดีที่จะได้ปาร์ตี้ก่อนหยุดปิดเทอมภาคฤดูร้อน พวกเขาจึงเข้าร่วมงานครั้งนี้อย่างกระตือรือร้น การแบ่งฝ่ายเรื่องอาหาร ของตกแต่ง เวลา สถานที่ ฯลฯ เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว จนกระทั่งมีคนถามคำถามที่ยังไม่มีคำตอบขึ้นมาอีกรอบ

 

“ว่าแต่มิโดริยะยังไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ใช่มั้ย?”

 

คำถามนั้นทำเอาชาวห้อง 1-A นิ่งกันไปเหมือนเพิ่งนึกออก

 

“ให้ฉันไปถามให้มั้ยล่ะ เคโระ” ในเวลานั้นเองสึยุจังที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาก็เอ่ยเสนอขึ้น

 

“มันจะไม่โจ่งแจ้งไปเหรอ”

 

“ถ้าเราถามอ้อมๆ ล่ะ” เธอแนะนำ พร้อมกับเลือกคำถามที่ดูอ้อมค้อมแต่คิดว่ามิโดริยะน่าจะตอบออกมาใกล้เคียงกับเรื่องที่เธอคิดอยู่ออกมา แล้วทุกคนก็ดูจะพร้อมใจกันสนับสนุนความคิดนี้ให้เกิดขึ้นโดยที่ไม่ได้รู้เลยว่ากำลังมีใครบางคนฟังอยู่จากมุมหนึ่งของสวนอันร่มรื่น

 

ก็คงได้แต่หวังว่าความลับนี้จะเป็นความลับต่อไปล่ะนะ

 

.

.

.

 

วันที่ 1 กรกฎาคม 2020

 

ผมรู้แล้วครับว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว่าผมแปลกๆ

 

เมื่อวานนี้ผมไปฝึกพิเศษกับออลไมท์และคัตจังมา ตอนที่ฝึกก็ไม่รู้สึกอะไรแค่รู้สึกว่าวันนี้คัตจังดูหัวเสียมากกว่าปกติก็เท่านั้น แม้แต่ในตอนที่คัตจังชนะผมในการต่อสู้เจ้าตัวก็ยังมีสีหน้าหงุดหงิดและบ่นผมออกมาอย่างไม่พอใจ พอคัตจังเดินออกไป ผมถึงเข้าใจจากออลไมท์ว่าตัวเองยิ้มอยู่ตลอดการแข่งเลย และนั่นก็คงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คัตจังหัวร้อนมากกว่าปกตินั่นเอง

 

นี่ผมยิ้มอยู่ตลอดเลยหรอครับ ผมถามออกไปแบบนั้น แล้วออลไมท์ก็ตอบว่าใช่ ซึ่งเจ้าตัวเองก็แปลกใจเหมือนกันว่าผมไปอารมณ์ดีมาจากไหน โดยที่ไม่รู้ว่าผมก็แปลกใจเช่นกันที่ทำปฏิกิริยาแบบนั้นออกไป

 

นี่มัน…พิรุธสุดๆ เลยไม่ใช่เหรอ

 

ผมคิดในใจแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป เพราะจะให้ออลไมท์รู้ไม่ได้หรอก ถึงจะเป็นออลไมท์ก็เถอะ (ขอโทษนะครับ)

 

และก็ดูเหมือนข้อสันนิษฐานของผมจะถูกอยู่เมื่อวันถัดมาผมไปถามสึยุจังว่าทำไมคนอื่นถึงคิดว่าผมแปลกๆ แล้วเธอก็ตอบมาว่าผมดูเหม่อๆ ยิ้มๆ ตลอด… เธอตอบอย่างเก้ๆ กังๆ เหมือนกำลังปิดบังอะไรอยู่ แต่ผมเข้าใจครับว่ามันคงแปลกมากเธอเลยตอบอย่างลำบากใจแบบนั้น แต่ในที่สุดผมก็เข้าใจแล้วล่ะ หลังจากนี้แหละนะชินโซคุง ผมจะทำให้นายไม่รู้ให้ได้เลย !!

 

แล้วก็อีกอย่าง หวังว่าหลังจากนี้ทุกคนจะเลิกสงสัยอาการของผมแล้วถามคำถามแปลกๆ กันให้น้อยลงบ้างล่ะนะ

 

.

.

.

 

อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะวันเกิดของมิโดริยะแล้ว ชินโซรู้มาจากเพื่อนร่วมห้องที่เพิ่งจะได้ย้ายเข้ามาไม่นานว่าวันนั้นคือวันที่ 15 กรกฎาคม เขาเพิ่งรู้เมื่อไม่นานมานี้เองตอนที่แอบไปได้ยินอิดะกับอุราระกะคุยกันตามลำพัง เขาก็ได้แต่แอบฟังอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่มั่นใจว่าจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนวันเกิดตอนนั้นดีไหม และสุดท้ายก็เลือกที่จะไม่เข้าไปขัดเพื่อนๆ ในที่สุด

 

แต่นั่นไม่ได้แปลว่าเขาไม่สนใจเรื่องที่ได้ยินอย่างท่าทีที่แสดงออก เพราะจริงๆ มันตรงกันข้ามเลยต่างหาก

 

วันเกิดของมิโดริยะ…คนที่นำพาให้เขาเข้าสู่เส้นทางของฮีโร่อีกก้าวหนึ่ง และเป็นคนที่มอบคำพูดวิเศษนั้นให้เขามีความกล้าอีกครั้ง

 

“อัตลักษณ์ของนายน่ะสุดยอดมากเลยนะ เป็นประโยชน์และเหมาะกับการเป็นฮีโร่มากเลยล่ะ”

 

อีกฝ่ายพูดในตอนที่เรากำลังจับคู่แข่งในชั่วโมงปฏิบัติการ เจ้าของคำพูดพูดมันออกมาได้เหมือนเป็นเรื่องปกติ เหมือนว่าคิดมาดีแล้ว และมั่นใจในคำพูดนั้นยิ่งกว่าตัวเขาซะอีก แถมยังหันหน้ามายิ้มให้ในตอนที่ฝากฝังหน้าที่ให้กับเขาอีกต่างหาก

 

นายนี่มันเหมือนฮีโร่จริงๆ เลยนะ

 

ทั้งสดใสและพยุงความรู้สึกให้กับคนอื่นๆ ได้

 

ทั้งที่คิดว่านั่นเป็นคำพูดที่อีกฝ่ายพร้อมจะมอบให้กับทุกๆ คนไม่ว่าใครก็ตาม แต่แย่ชะมัดที่เขาดันชอบไปทั้งคำพูดและเจ้าของคำพูดนั่นซะแล้ว

 

ชอบ…มากกว่าที่คิดว่าจะชอบ

 

เพราะฉะนั้นถ้าจะให้อะไรสักอย่างในเวลาที่ยังไม่พร้อมจะบอกความรู้สึกนี้กับอีกฝ่าย การให้ของขวัญในวันเกิดก็น่าจะเป็นก้าวแรกที่ดีและแนบเนียนในระดับหนึ่ง

 

แต่ว่าจะให้อะไรดี? เขาทำไม่ได้เหมือนพวกอุราระกะกับอะซึยที่คอยหลอกถามเจ้าตัวด้วยสิ

 

เท่าที่ได้ฟังมาจากสองคนนั้นเมื่อวันแรกก็ดูเหมือนจะพูดว่ามิโดริยะชอบกินคัตสึด้งและชอบฮีโร่โดยเฉพาะออลไมท์เอามากๆ แต่เขาจะเริ่มจากอะไรดี…อะไรที่ไม่มากไม่น้อยเกินไปสำหรับวันเกิดของมิโดริยะ อิซึกุที่เป็นที่ตอนนี้กลายเป็นที่รักของคนอื่นๆ ในห้องไปซะแล้ว

 

ว่าแล้วเขาก็เปิดเน็ตหาข่าวสินค้าฮีโร่ที่ออกขายในช่วงนี้อีกรอบ คราวที่แล้วจำได้ว่าจะไปดูเสื้อแต่ก็ไม่แน่ใจเรื่องขนาดตัวกับรูปแบบที่ชอบซะเท่าไหร่ แถมยังมีคนมาขัดจังหวะจนต้องพูดออกไปให้จบๆ อีก ตอนนี้ก็เลยต้องมานั่งวุ่นใจหาอย่างอื่นที่เหมาะสมแทน

 

เขากวาดตามองของเกี่ยวกับออลไมท์ที่ยังทยอยออกวางจำหน่ายแม้ว่าเจ้าตัวจะเกษียณมาได้สักพักแล้วอย่างใช้ความคิด บางอย่างก็วางขายหน้าร้าน บางอย่างก็ยังไม่มีออกวางจำหน่าย แต่ที่วางจำหน่ายก็เยอะจนไม่รู้จะเริ่มดูจากอันไหนดีอีก แล้วพอเลือกได้ก็ยังมีราคาที่แพงระยับพ่วงท้ายมาด้วย ชินโซเริ่มคิดหนัก และก็ยิ่งกังวลด้วยว่าของพวกนี้จะไม่ไปซ้ำกับที่มิโดริยะมีอยู่หรือเปล่า

 

ชินโซนั่งคิดไปเรื่อยเปื่อย มือเองก็กดนั่นนี่ตามความสนใจบ้างไม่สนใจบ้างไปเรื่อยๆ จนไปหยุดอยู่ที่หมวดหมู่รองเท้า ในตอนที่มองไปเห็นรองเท้าสีแดงไม่สะดุดตาคู่หนึ่ง เขาก็เหมือนจะนึกขึ้นมาได้

 

จะว่าไปแล้ว…ก่อนหน้านี้มิโดริยะก็เปลี่ยนมาใช้ท่าเตะมากขึ้นสินะ

 

ดวงตาสีม่วงอเมทิสต์มองไปยังรองเท้าคู่นั้นนิ่ง เขามองมันแต่เหมือนกำลังมองลึกเข้าไปในความทรงจำของตนซะมากกว่า…

 

.

.

.

 

วันที่ 6 กรกฎาคม 2020

 

สวัสดีไดอารี่ (ขีดฆ่า) ไม่สิ ก็ไม่เชิงว่าจะเป็นไดอารี่สักหน่อย จริงๆ ผมก็แค่อยากจะระบายบางอย่างออกมาแต่ไม่รู้จะบอกใครก็เลยต้องใช้คุณน่ะ คุณก็ยังคงเป็นสมุดวิเคราะห์ฮีโร่ของผมเหมือนเดิมล่ะนะ

 

พูดถึงเรื่องวิเคราะห์แล้ว ช่วงนี้เหมือนทุกคนรอบตัวผมจะไม่ค่อยว่างกันสักเท่าไหร่เลย ถ้าไม่ไปซื้อของก็มักจะติดซ้อมส่วนตัวหรือเตรียมของกลับบ้านบ้างล่ะ ทุกคนดูยุ่งกันไปหมดเลย บางทีผมเองก็คงต้องเริ่มฝึกหนักบ้างดีไหมนะ เพราะก่อนหน้านี้บาดเจ็บที่ขาไปช่วงนึงด้วย ก็คงถึงเวลาฝึกเพื่อชดเชยช่วงเวลานั้นแล้วล่ะ

 

เขียนมาถึงตรงนี้ถ้าบอกว่าแค่เขียนบันทึกเรื่องทั่วไปก็คงจะไม่ใช่ เพราะถ้าผมหยิบคุณขึ้นมาก็มีเหตุผลเดียวคือมีเรื่องที่อยากพูดแต่ผมไม่อาจพูดกับใครได้ ครั้งนี้มันเป็นเรื่องของผมเอง เพราะฉะนั้นถ้ารู้ไว้ก็ช่วยเก็บไว้ทีนะ

 

คือจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ผมคิดว่าจะพยายามปิดกั้นเรื่องที่ชินโซคุงพยายามจะซื้อของขวัญวันเกิดมาให้ใช่ไหมล่ะ แต่ว่ายิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไปๆ มาๆ ผมก็เกิดอยากรู้ขึ้นมาว่ามันจะเป็นอะไร แย่จังเลยนะผมเนี่ย เป็นเจ้าของงานวันเกิดที่น่าอายจริงๆ

 

พอรู้สึกผิดที่อยากรู้ผมก็เลยมาสารภาพกับคุณเนี่ยแหละ แต่หลังจากนี้ผมจะตั้งใจปิดหูปิดตาให้มากขึ้น จะไม่ให้อารมณ์ชั่ววูบเกิดขึ้นอีก เพราะว่าคุณแม่เคยพูดไว้น่ะว่าการไปรู้ในเรื่องที่ไม่ควรรู้ก่อนเวลามันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็ได้ โดยเฉพาะความลับที่ยังไม่ถึงเวลาบอกน่ะนะ

 

จะพูดไปแล้วอีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะได้ปิดเทอมฤดูร้อนแล้วล่ะนะ ถึงเวลานั้นผมก็จะฝึกซ้อมให้หนักขึ้นเพื่อปกป้องทุกคนให้ได้เยอะๆ อีกล่ะนะ พลัสอัลตร้า!

 

.

.

.

 

หลังฝึกซ้อมปฏิบัติการกู้ภัยในเมืองจำลอง USJ เหล่าเด็กนักเรียนห้อง 1-A ต่างก็ทยอยพากันเปลี่ยนชุดกลับหอพัก บ้างก็มีนัดจะออกไปข้างนอกบ้าง บางคนก็จับกลุ่มคุยอยู่หน้าโรงเรียน แต่สำหรับมิโดริยะ อิซึกุแล้วดูเหมือนวันนี้เขาจะได้อะไรดีๆ จากการฝึก เจ้าตัวจึงตรงรี่ไปยังห้องพัฒนาอุปกรณ์ของอาจารย์พาวเวอร์โหลดเดอร์ในทันทีที่เปลี่ยนชุดเสร็จ

 

ครืด~

 

เสียงประตูห้องเปิดออกก่อนที่เจ้าของโค้ดเนมฮีโร่เดกุจะเดินเข้าไปในห้องของฝ่ายสนับสนุน เขาได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงเจื้อยแจ้วมาตั้งแต่ก้าวขาเข้าไปก้าวแรก อิซึกุคิดอยู่ในใจว่าคงจะเป็นคุณฮัทสึเมะที่กำลังสาธยายความเก่งกาจของอุปกรณ์สนับสนุนฮีโร่ชิ้นใหม่ของเธออยู่แน่ๆ และก็ดูเหมือนจะจริงเมื่อเขาเห็นเธอถือรองเท้าคู่หนึ่งพร้อมกับคำพูดที่พอจับได้ความสั้นๆ ว่ามันช่วยซัพพอร์ทการเดินของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บได้ดี

 

“…แล้วมันสามารถเอาไปปรับใช้กับรองเท้าทั่วไปได้รึเปล่า”

 

อิซึกุชะงัก เมื่อได้ยินเสียงของคนที่ตนเองจำได้ดี

 

“แน่นอนค่ะ! ถ้ารูปทรงคล้ายที่บอกก็ไม่มีปัญหา!!”

 

เธอพูดด้วยใบหน้าที่ภูมิใจในอุปกรณ์ของตน แล้วในจังหวะนั้นก็บังเอิญหันไปเห็นคนที่เข้ามาใหม่ที่กำลังยืนงงอยู่แถวหน้าห้องพอดิบพอดี

 

“อ๊ะ! คุณมิโดริยะสินะคะ วันนี้มีอะไรให้ฉันช่วยรึเปล่า! สนใจดูเบบี๋คนใหม่ของฉันมั้ยคะ!!?”

 

เธอตรงรี่เข้ามาถามรัวๆ จนอิซึกุต้องขยับถอยหลังกับความเร่าร้อนของเจ้าหล่อน แต่ก็โชคดีที่อาจารย์พาวเวอร์โหลดเดอร์มาหยุดเธอไว้ได้ทัน ไม่นานหลังจากนั้นเขาจึงได้เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับของที่อยากให้ช่วยปรับแต่ง และมานั่งรออยู่มุมห้องมุมเดียวกับชินโซคุงที่ก็น่าจะมาปรับแต่งอุปกรณ์เสริมเหมือนกัน

 

“งะ ไง ชินโซคุงก็มาปรับแต่งอุปกรณ์เสริมของตัวเองเหมือนกันเหรอครับ” เขาพูดเมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์มันเงียบไปหน่อย และถ้าปล่อยไว้คงจะรู้สึกแปลกกว่าเก่า แต่พอพูดไปแล้วอิซึกุก็มาคิดได้ทีหลังว่ามันเป็นประโยคที่ไม่น่าถามเอาเสียเลย

 

ก็ที่เขาอยู่มันเป็นห้องปรับแต่งแก้ไขอุปกรณ์นี่ ถ้าไม่มาปรับแต่งหรือขอให้สร้างอุปกรณ์เสริมของตัวเองแล้วจะมาทำอะไรได้เล่า!

 

อิซึกุได้ยินอีกฝ่ายพยักหน้าแล้วตอบ ‘อืม’ กลับมาทีหนึ่งก็รู้สึกอยากจะทึ้งหัวตัวเองจริงๆ ที่ทำให้บทสนทนาดูกร่อยกว่าเก่าเข้าไปอีก

 

แย่จริง ไม่รู้ทำไมพอรู้ความลับของอีกฝ่ายแล้วเขาถึงไม่กล้าสู้หน้า แถมยังทำตัวไม่สมกับเป็นตัวเองแบบนี้ออกไปได้อีก!

 

นี่มันดูไม่เนียนไปหน่อยแล้วนะ

 

“ไม่ใช่ของฉันหรอก”

 

“เอ๊ะ?”

 

เสียงนั้นดังขึ้นก่อนที่อิซึกุจะคิดหาประโยคอื่นมาแก้ความกระโตกกระตากตื่นตูมที่ดูไม่เนียนเอาซะเลยของตัวเองได้ เขาหันไปมองคนข้างๆ ด้วยใบหน้าที่แปลว่ายังไม่เข้าใจ ชายหนุ่มคนข้างๆ จึงเอ่ยขึ้นอีกครั้งเพื่ออธิบายให้เข้าใจ

 

“มันไม่ใช่อุปกรณ์ของฉันหรอก แต่มันเป็นของที่ฉันอยากทำให้…เป็นของขวัญให้คนคนนึง”

 

“อ๋อ…เอ๊ะ?”

 

อิซึกุชะงักไปเหมือนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประมวลผลไม่ทัน

 

ส่วนชินโซที่เห็นอีกฝ่ายชะงักไปก็หันมาถามอย่างแปลกใจ

 

“มีอะไรงั้นเหรอ มิโดริยะ”

 

“อะ เอ่อ…”

 

เขาไม่รู้ว่าจะตอบหรือถามอะไรออกไปดี ตอนนี้ความอยากรู้อยากเห็นที่ปิดไว้ในกล่องแพนโดร่าก็กำลังทำท่าจะเปิดฝาพาตัวเองออกมา แต่ผู้กล้าในใจก็คอยตะโกนกู่ร้องบอกว่าอย่าถลำลึกไปมากกว่านี้เลย! แล้วความตื่นเต้นที่คอยบีบหัวใจก็เพิ่มพูนขึ้นเมื่อต้องพยายามทำตัวเหมือนไม่เคยรู้อะไรเลยกับคนตรงหน้า

 

คงไม่ใช่ว่า…รองเท้านั่น…

 

มะ..ไม่ใช่หรอกมั้ง ต้องคิดไปเองแน่ๆ!

 

“หรือว่ามันจะดูแปลกนะที่ให้ของแบบนี้”

 

อีกฝ่ายเอ่ยพร้อมรอยยิ้มขำแก้เขินกับความคิดแปลกๆ ที่ตัวเองกำลังทำ แต่อิซึกุกลับไม่รู้สึกแบบนั้นเลย

 

“ไม่นะ! นั่นมันสุดยอดมากเลยไม่ใช่เหรอครับชินโซคุง!! ทั้งมีประโยชน์แล้วรูปทรงก็ดูดี ผมน่ะ…เอ้ย ถ้าผมเป็นคนรับล่ะก็จะต้องชอบมันแน่ๆ! ”

 

เขาละล่ำละลักตอบออกไป แถมยังทำท่าทางกำมือแน่นเหมือนจะยืนยันด้วยท่าทางนั่นอีกต่างหาก ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าทำให้คนฟังหน้าแดงไปจนต้องก้มหน้าหลบสายตาแล้ว

 

“อะ เอ่อ ชะ ชินโซคุง?” อิซึกุเรียกอีกฝ่ายเมื่อเห็นเจ้าตัวหันหน้าไปอีกทางเหมือนพยายามจะปกปิดบางอย่างไว้ ตอนแรกอิซึกุคิดว่าหรือตัวเองจะพูดอะไรแปลกๆ ออกไปกันนะ แต่เมื่อได้ยินเสียงหลุดหัวเราะเบาๆ กับใบหน้าที่หันมาพร้อมกับรอยยิ้ม เขาก็ทำตัวไม่ถูก

 

พอชินโซคุงยิ้มแล้ว…มันดูดีจังเลยนะ

 

ในชั่วเวลานั้นเขาคิดเช่นนั้นก่อนจะถูกปลุกด้วยเสียงและภาพรอยยิ้มจากอีกฝ่าย

 

“นายนี่ทำให้ฉันแปลกใจอีกแล้วนะ มิโดริยะ”

 

“เอ๊ะ เอ่อ…ครับ…?”

 

เขาตอบรับด้วยคำพูดที่เหมือนถามคำถามซะมากกว่า ในตอนนั้นเองที่ชินโซคุงพูดพลางยกรองเท้าข้างหนึ่งที่คุณฮัตสึเมะทำไว้ขึ้นมาหยิบจับดูอย่างพินิจพิจารณาพลางเอ่ยถึงมันให้เขาฟังอย่างละเอียดและดูใส่ใจ

 

“เคยมีคนบอกว่ารองเท้าที่ดีจะพาคนใส่ไปในที่ดีๆ แต่ว่านอกจากจะเป็นที่ดีๆ แล้วมันควรจะพาเขาไปให้ถึงทุกที่ที่เจ้าของอยากไปไม่ว่ามันจะเป็นหนทางที่ยากลำบากและเต็มไปด้วยอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตาม”

 

“….”

 

“ฉันอยากให้มันคอยดูแลฝ่าเท้าที่ย่ำไปในทุกทางที่เขาเลือก และก็อยากให้เขาใส่มันอย่างสบายใจแม้จะมีบาดแผลที่เท้—”

 

ดูเหมือนว่าคนพูดจะเพิ่งรู้สึกตัวตอนนั้นเองว่าเขากำลังเอ่ยความในใจของตนกับคนตรงหน้าไปมากกว่าที่เขาตั้งใจจะพูด ในยามที่อเมทิสสีม่วงเงยมองอีกฝ่ายเขาจึงเห็นว่านัยน์ตากระจ่างใสสีเขียวคู่นั้นมองเขาอยู่ก่อนตั้งนานแล้ว ในช่วงเวลานั้นต่างคนต่างสบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ และถึงจะเป็นเวลาเพียงชั่วครู่แต่มันกลับให้ความรู้สึกยาวนานเหมือนผ่านไปหลายนาที จนเมื่อมองไปเห็นเงาของตัวเองในตาของอีกฝ่าย ต่างคนจึงรู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ตอนนี้ ใบหน้าที่สองจึงหันออกจากกันไปคนละทิศ

 

อิซึกุที่ได้รับฟังคำพูดที่อบอุ่นและละเอียดอ่อนอย่างที่สุดของคนข้างกายถึงกับต้องตั้งสติหลังละสายตาจากกันอยู่นานให้ไม่เผลอพูดขอบคุณออกไปก่อนเวลาอันควร หัวใจของเขาเต้นแรงจนน่ากลัวว่ามันจะทำให้คนข้างๆ รู้สึกได้ เจ้าตัวจึงตั้งใจจะเอ่ยอะไรขึ้นมาสักอย่าง

 

“เอ่อ…/เอ่อ…”

 

แต่ดันพูดขึ้นมาพร้อมกันซะนี่

 

“นายก่อนเลย” ชินโซเอ่ย

 

“เอ่อ เปล่า ฉันแค่…”

 

ขอบคุณนะครับ

 

อิซึกุพยายามสะกดกลั้นคำนั้นเอาไว้

 

“ฉัน…ฉันไปก่อนนะ”

 

“อือ กลับบ้านดีๆ นะ”

 

“นายก็เหมือนกันนะครับ ชินโซคุง”

 

.

.

.

.

.

 

วันที่ 8 กรกฎาคม 2020

 

นี่ ผมน่ะ ได้รับความรักและใส่ใจจากคนรอบข้างขนาดนี้เลยหรอ?

 

.

.

.

 

วันที่ 14 กรกฎาคม 2020

 

อา…หลังจากนี้อาจจะไม่ได้เขียนอีกแล้วก็ได้ แต่ว่าผมก็ยังไม่รู้เลยนะว่าจะตอบชินโซคุงไปยังไงดี จะบอกว่ารู้อยู่แล้วหรือทำเป็นไม่รู้ต่อไปดีล่ะ พอคิดแบบนี้ก็เกิดกลัวพรุ่งนี้ที่จะมาถึงขึ้นมา

 

ถ้าหากบอกไปว่ารู้แล้วเพราะบังเอิญได้ยินเข้า ชินโซคุงจะหน้าเสียและรู้สึกไม่ดีที่ผมทำเป็นไม่รู้มั้ยนะ

 

แต่ถ้าไม่บอกมันก็อึดอัดเกินไป

 

ทั้งที่เฝ้ารอแต่ก็แอบกังวล ผมหวังว่าพรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีนะครับ

 

 

 

นี่ก็เลยเที่ยงคืนแล้ว เข้าสู่วันที่ 15 กรกฎาคม 2020 แล้วด้วย งั้นผมก็จะขอเป็นคนที่อวยพรวันเกิดและขอพรวันเกิดของตัวเองคนแรกล่ะนะ

 

สุขสันต์วันเกิดปีที่ 17 ขอให้ปีนี้เป็นปีที่ดีของผม ขอให้ไม่มีเหตุการณ์ร้ายๆ เกิดขึ้น และขอให้ทุกคนได้พบกับวันที่สงบสุขเหมือนกันนะครับ

 

.

.

.

.

.

 

บนโลกนี้ไม่ได้มีความลับเพียงหนึ่งเดียว

 

มิโดริยะ อิซึกุเพิ่งรู้ว่าตัวเองช่างไม่รู้อะไรเลยในตอนที่มองเห็นทุกคนในห้อง 1 – A ยืนเรียงกันเอ่ยถ้อยคำว่า ‘สุขสันต์วันเกิด’ พร้อมจุดปะทัดกระดาษจนเกลื่อนไปทั่วห้องนั่งเล่น

 

เขาเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองคนเดียวที่มีความลับ

 

“ทุกคน…”

 

“สุขสันต์วันเกิดนะมิโดริยะคุง”

 

“สุขสันต์วันเกิดมิโดริยะ”

 

“สุขสันต์วันเกิดน้าา เดกุคุง”

 

“ชิ เลิกทำหน้าเด๋อด๋าได้แล้วไอ้เนิร์ดนี่ ลืมวันลืมคืนไปแล้วรึไงหา!?”

 

เปล่า ไม่ใช่เลย

 

“เปล่า…ผมแค่…”

 

ไม่คิด ไม่คาดคิดด้วย

 

“แค่อะไร”

 

เสียงหัวเสียของเพื่อนสมัยเด็กเร่งถามคล้ายรำคาญใจ

 

“…ดีใจน่ะ ขอบคุณนะทุกคน”

 

พอพูดออกไปแบบนั้นคนที่อยู่รอบข้างก็ส่งรอยยิ้มมาให้พร้อมคำพูดที่อ่อนโยน บางคนก็ตีกรอบล้อมเข้ามาขยี้ผมของเจ้าของวันเกิดด้วยใบหน้าที่เหมือนจะร้องไห้อยู่รอมร่อ บางคนก็เอาขนมกับของขวัญมาให้ บางคนก็แนะนำให้ดูว่าตัวเองเป็นคนจัดของประดับในวันนี้เลย อิซึกุที่ไม่เคยคิดว่าจะได้รับความรู้สึกเช่นนี้พลันในใจก็รู้สึกอบอุ่นจนไปไม่ถูก เพราะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อน พอได้รับมามันจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ โดยที่เจ้าตัวนั้นไม่รู้เลยว่าตัวเองได้มอบความหวัง ความฝัน และปกป้องหลายๆ คนเอาไว้ให้มุ่งหน้าต่อไปได้ไม่ต่างกัน

 

 

 

ที่มุมหนึ่งเขาหลบมาฟังเสียงของแม่ที่โทรมาสุขสันต์วันเกิดที่มุมกำแพงที่นั่งได้ ในตอนที่นั่งมองเพื่อนๆ ในห้องที่กำลังคุยนั่นนี่และกินอาหารในปาร์ตี้กันอย่างเอร็ดอร่อย ในตอนนั้นเองที่มีร่างหนึ่งทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

 

“มิโดริยะ”

 

“ชินโซคุง”

 

เขามองอีกฝ่ายที่ยื่นกล่องของขวัญมาให้พลางเอ่ย

 

“ถ้าไม่ได้นายฉันคงจะไม่เป็นตัวเองแบบทุกวันนี้ ขอบคุณนะ”

 

“ชินโซคุง…” มิโดริยะรับกล่องนั้นมาก่อนจะเปิดออกและเห็นว่ามันเป็นรองเท้ารุ่นใหม่ล่าสุดที่ได้รับการปรับแต่งอะไรบางอย่างตรงพื้นรองเท้าและด้านใน

 

“คราวที่แล้วฉันเห็นนายบาดเจ็บที่ขาจนเดินลำบาก คิดว่าถ้าติดอุปกรณ์ช่วยลงไปน่าจะทำให้ใช้ในชีวิตประจำวันได้สะดวกขึ้น”

 

พอได้ยินแบบนั้นคนฟังก็ถึงกับนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่าจะได้รับความรู้สึกที่มากมายถึงขนาดนี้ ในตอนนั้นเองริมหางตาของอิซึกุก็มีน้ำตาจากความยินดีและอัดอั้นไหลมาบรรจบกัน

 

“ขอโทษนะชินโซคุง จริงๆ ผมรู้มาตลอดว่านายจะให้ของขวัญผมแต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไปได้”

 

เขาก้มหน้าหงอย แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากอีกฝ่ายก็จำต้องเงยขึ้นไป ซึ่งคนมองอยู่ก็ดูจะไม่ได้ตกใจอะไร แถมยังค่อยๆ ยิ้มออกมาอีก

 

“ฉันนึกว่า…นายอาจจะรู้เรื่องของขวัญมาบ้างตั้งแต่พวกนั้นพยายามจะจัดงานวันเกิดให้นายแล้วซะอีกนะ”

 

“เอ๊ะ ตะ แต่เรื่องงานวันนี้ผมไม่รู้เลยนะครับ” อิซึกุตอบพลางปาดน้ำตา

 

“จริง? นี่นายดูพวกนั้นไม่ออกแต่นายรู้เรื่องฉันได้ยังไงน่ะ”

 

ชินโซอยากจะบอกว่าเจ้าพวกนั้นดูมีพิรุธกันยิ่งกว่าเขาซะอีก แต่ความรู้สึกพิเศษอย่างการถูกจับได้เพียงคนเดียวในบรรดาคนมากมายก็ทำให้ใจคนฟังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมากับคำตอบที่จะได้รับ

 

“ก่อนหน้านั้นผมก็คิดว่านายดูแปลกๆ ไปเลยกลัวว่าจะปรับตัวได้หรือเปล่า แล้วตอนที่ไปซื้อเสื้อออลไมท์ลายลิมิเต็ดผมก็เผลอได้ยินนายพูดเข้า…”

 

อิซึกุเอ่ยอย่างขัดๆ เขินๆ ส่วนคนฟังที่ได้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วงตัวเองก็ให้รู้สึกดีขึ้นมาในใจ

 

“ละ…แล้วก็ไม่คิดด้วยว่าทุกคนจะจัดงานวันเกิดให้แบบนี้ คือผม…ไม่คิดว่าจะทำเลย”

 

ชินโซมองอีกฝ่ายก็รู้ว่าไม่ได้แกล้งไม่รู้ แต่คงจะไม่คาดคิดจริงๆ

 

“มิโดริยะ”

 

ชายหนุ่มย่อตัวลงจนพอจะมองเห็นใบหน้าที่ก้มอยู่ของคนตรงหน้า ใบหน้าที่มีหยดน้ำปริ่มอยู่นิดๆ และก็ดูเขินอายไม่เหมือนกับเจ้าของวันเกิดคนไหนๆ ที่เคยเจอทำให้ฝ่ามือของชายหนุ่มยื่นออกไปโดยที่ตนก็ไม่รู้ตัวแล้วเอ่ยถ้อยคำที่คิดมานานแล้วออกไป

 

“ขอบคุณที่เกิดมานะ”

 

เมื่อได้ฟังคำนั้นจากปากอีกฝ่ายและใบหน้าแต้มยิ้มละมุนที่ส่งมาแบบที่เขาเพิ่งเคยจะเห็น อิซึกุก็ยกมือขึ้นประคองฝ่ามือที่จับใบหน้าของเขาไว้อย่างทะนุถนอมพลางเอ่ยออกไปจากใจจริง

 

“ขอบคุณนะครับ ชินโซคุง”

 

.

.

 

วันที่ 15 กรกฎาคม 2020

 

วันนี้เป็นวันที่ดีจังนะ

 

ทุกคนที่จดจำและอวยพรวันเกิดให้กับผมในวันนี้ ขอบคุณนะครับ ผมจะจดจำไว้และจะไม่มีวันลืมเลย

 

 

 

ปล. ดูเหมือนเรื่องที่ผมรู้ความลับของชินโซคุงแต่ไม่รู้เรื่องว่าทุกคนพยายามจัดงานปาร์ตี้วันเกิดจะกลายเป็นเรื่องตลกของชินโซคุงไปแล้วล่ะครับ เอาไว้ครั้งหน้าผมจะเซอร์ไพรส์ชินโซคุงบ้างดีกว่า

 

ยังไงคุณก็ช่วยเก็บเป็นความลับให้ผมด้วยนะครับ 🙂

 

 

END