[Fic MHA] You can become a hero [KatsuDeku] 58

 

 

58

ใต้ร่มสีเหลืองในฤดูใบไม้ร่วง

 

 

หลังจากมิโดริยะ อิงโกะขึ้นไปตามลูกชายของเธอบนห้องให้ลงมากินข้าว เธอและเขาก็ใช้เวลากินข้าวพูดคุยสัพเพเหระกันไป โดยที่ฮีโร่ผู้คอยดูแลขอเลือกที่จะออกไปนั่งทางด้านนอกระเบียงสวนของบ้านเพื่อให้ความเป็นส่วนตัวกับคนทั้งคู่ และอิงโกะก็เลือกที่จะไม่ปฏิเสธน้ำใจของเขา แน่นอนว่าชายหนุ่มก็ได้รับการดูแลเรื่องอาหารการกิน ขนมและน้ำอย่างดีแม้จะเลือกออกไปนั่งด้านนอกก็ตาม

 

เขาคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว บางทีการที่ผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าแม่ของคนที่เขาเคยแกล้งทำแบบนี้ก็คงเหมือนกับว่าเธอยอมรับเขาในระดับหนึ่ง เพราะถ้าเป็นแขกคนอื่นเธอคงไม่อาจเสียมารยาทให้แขกที่ควรจะต้องต้อนรับมานั่งนอกบ้านในตอนเย็นขณะที่เจ้าตัวกำลังกินข้าวกับลูกชายอยู่ด้านในเป็นแน่ แต่เธอที่ยอมรับข้อเสนอนี้ของเขาก็คงจะยังมองตัวเขาเช่นเด็กแถวบ้านคนหนึ่งอยู่

 

คัตสึกิมองนาฬิกาข้อมือเชื่อมต่อกับอิซึกุ ปลายนิ้วเลื่อนเปลี่ยนไปยังฟังก์ชั่นการตรวจจับชีพจรและสภาวะของผู้สวมใส่ พอเห็นค่าที่ขึ้นมาแล้วเขาก็สบายใจที่ความเครียดของอีกฝ่ายดูจะน้อยลงกว่าก่อนหน้านี้มาก สภาพการเต้นของหัวใจก็อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่ได้มีเรื่องให้ตกใจอะไร พอเห็นแบบนั้นแล้วเขาก็ไว้ใจนั่งรอต่อจนกระทั่งฟ้าเริ่มมืดประตูกระจกที่เชื่อมกับห้องนั่งเล่นก็เปิดออก

 

“ขอบคุณมากนะ คัตสึกิคุง ขอโทษที่ทำให้ลำบากด้วยนะจ๊ะ” หญิงวัยกลางคนที่เริ่มมีริ้วรอยแห่งวัยพูดอย่างสุภาพ

 

“ไม่เป็นไรครับ แล้วเป็นยังไงบ้างครับ มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้นหรือว่าเขาจำอะไรได้บ้างรึเปล่า”

 

เขาเอ่ยพลางยืนขึ้นเต็มความสูง ส่วนหญิงวัยกลางคนก็ทำหน้าครุ่นคิดคล้ายไม่แน่ใจ

 

“ฉันคิดว่าเขาน่าจะได้ความทรงจำตอนอายุ 16 ปีที่เขาเจอดอกเตอร์กลับมาแล้วล่ะจ้ะ แต่ว่าฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะอิซึกุก็อธิบายออกมาไม่ต่อเนื่อง อาจจะ…อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อย”

 

เธอมองเขาอย่างลำบากใจ รู้อยู่ว่าคนตรงหน้ามาเพราะเรื่องนี้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองจะช่วยได้มากแค่ไหน

 

แต่คัตสึกิที่ได้ฟังว่าอิซึกุได้ความทรงจำหลังจากตกจากดาดฟ้าสมัยม.ปลายมาแล้วจนถึงช่วงเข้าศูนย์บำบัดอัตลักษณ์ก็ตาโตขึ้นมา เขาคิดว่าได้ขนาดนี้ก็น่าจะดีมากแล้ว

 

“คงจะต้องใช้เวลาอีกนิด แต่คิดว่าคงจะไม่นานมากเท่าไหร่”

 

เขาว่าพลางจะเดินผ่านเธอไปในห้องนั่งเล่น

 

“คัตสึกิคุง”

 

แต่ก็ถูกเสียงนั้นเรียกให้หันกลับมาเสียก่อน

 

“ขอบคุณนะ ที่ทำเพื่อเขา”

 

“…”

 

“น้ารู้ว่าบางอย่างมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แต่ก็มีอีกหลายอย่างที่สร้างขึ้นใหม่และดีกว่าเดิมได้นะ”

 

อดีตไม่อาจแก้ไข

 

อนาคตที่เปลี่ยนแปลงไป

 

และปัจจุบันที่ไม่อาจมองข้าม

 

เธออาจโกรธเรื่องอดีตที่เขาแกล้งลูกชายตัวเองและพูดจาไม่ดีจนเขารู้สึกแย่ แต่เธอไม่อาจมองข้ามสิ่งที่เขาพยายามทำให้ลูกชายตัวเองได้ เพื่ออนาคตของอิซึกุที่น่าจะดีขึ้น หากเขาได้ก้าวพ้นความรู้สึกไร้ค่านั้นไปได้เสียที

 

มีค่า…แบบที่แค่เกิดมาและมีชีวิตอยู่ก็มีค่าแล้ว ไม่ต้องสรรหาเรื่องเสี่ยงมากมายมาแบกรับและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อให้รู้สึกว่าตัวเองมีค่าพอที่จะอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าชายตรงหน้าทำให้เขารู้สึกแบบนั้นได้ เธอก็คงจะไร้ห่วงใดๆ ในโลกใบนี้

 

“ฝากเขาด้วยนะ”

 

เธอว่าออกมาก่อนจะปล่อยให้เขาเดินออกไปและพบกับลูกตัวเองที่รออยู่หน้าประตูบ้านนานแล้ว แน่นอนว่าเธอก็เดินออกไปส่งพวกเขาก่อนจะออกจากบ้านด้วย

 

“ไปก่อนนะครับคุณแม่”

 

“ดูแลตัวเองดีๆ นะอิซึกุ” มิโดริยะ อิงโกะจับมือลูกชายตัวเองแน่นราวกับจะส่งเขาไปเข้าสนามรบ ทั้งสองร่ำลากันไม่นานเธอก็หันมาเอ่ยลากับเขาอีกที

 

“ขอบคุณที่คอยดูแลเขานะ”

 

คัตสึกิไม่รู้จะพูดอะไรตอบไปจึงได้แต่พยักหน้าและเอ่ยลาเบาๆ แต่พอเขากำลังจะออกจากบ้านเจ้าตัวก็ตัดสินใจหันหลังกลับไปพูดประโยคนั้นออกมา

 

“ช่วย…เชื่อใจผมอีกสักครั้งนะครับ”

 

.

.

 

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นถึงพูดไปเช่นนั้น แต่มันคงดีกว่าบอกออกไปว่าจะปกป้องให้ได้ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง

 

คัตสึกิเรียนรู้มามากมายและสูญเสียไปหลายครั้งกับการไม่อาจปกป้องคนได้ เขาได้รู้ว่าชัยชนะไม่ใช่ทุกอย่าง แต่หน้าที่ของฮีโร่ยังมีการช่วยเหลือคนพ่วงท้ายอยู่หลังคำว่าชัยชนะนั้นด้วย และอิซึกุก็ทำให้เขาเห็นภาพของการช่วยเหลือคนที่เด่นชัดมากขึ้นว่ามันไม่ง่ายเหมือนคำพูดเลยสักนิด

 

หลังกลับมาจากไปเยี่ยมมิโดริยะ อิงโกะฟ้าก็มืดลงอย่างผิดหูผิดตา กลิ่นลมฝนอบอวลอยู่ในอากาศ คัตสึกิเพิ่งจะรู้ตอนนั้นเองว่าพายุกำลังจะมา และทางสำนักงานที่ได้รู้ข่าวเรื่องพายุที่พัดผ่านเข้ามาเร็วกว่ากำหนดก็บอกให้เขากลับบ้านไปก่อนโดยไม่ต้องพาอิซึกุกลับมาในเวลาใกล้ค่ำแบบนี้ โชคดีที่ความทรงจำของคนความจำเสื่อมดูจะกลับมาอยู่ในสมัยที่หลายอย่างบรรเทาเบาไปบ้าง ช่วงอายุ 16 ปีขึ้นไปที่ได้พบกับดอกเตอร์ A คงมอบความหวังในการมีชีวิตอยู่ให้กับอีกฝ่ายได้ไม่น้อย

 

เขาก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างที่สองแม่ลูกคุยกัน แต่เดกุดูจะนิ่งขึ้นเท่านั้นเอง ไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจเวลาเขาเดินไปเดินมาเหมือนลูกกระต่ายแต่ก็ยังเว้นระยะห่างเช่นเดิม คล้ายๆ กับอิซึกุในสมัยปัจจุบัน แต่การที่คอยจับตากันอยู่ตลอดนั่นแหละที่ทำให้เขาคิดว่าเจ้านั่นน่าจะยังได้ความทรงจำมาไม่หมด

 

“จำอะไรได้บ้างแล้วล่ะ” เขาถามออกไปขณะยื่นโกโก้ร้อนให้คนตรงหน้า คิดว่าอีกฝ่ายอาจจะชอบมันขึ้นมาบ้างแล้วในสมัยนี้ และก็เป็นไปตามคาด มือของอีกฝ่ายรับมันไปอย่างง่ายดาย เขาจึงวางใจและนั่งอยู่ข้างๆ บนโซฟา

 

“หลังจาก…ตอนที่เจอดอกเตอร์ครับ”

 

“เจาะจงลายละเอียดไม่ได้สินะ”

 

“ขอโทษครับ”

 

คัตสึกิหันไปหาคนข้างตัว จะพูดไปก็เหมือนอีกฝ่ายจะต่อประโยคของเขามากขึ้นด้วย

 

ความสบายใจสายหนึ่งแล่นเข้ามาในอกของเจ้าของบ้านพร้อมกับคำว่า ‘ดีแล้ว’ ที่ตามมาติดๆ พอคิดว่าตัวตนของมิโดริยะ อิซึกุกำลังจะก้าวผ่านเรื่องเจ็บปวดนี้ไป

 

ระหว่างล้างจานหลังส่งคนที่ได้ความทรงจำเข้านอนแล้ว ชายหนุ่มก็หันไปเห็นแก้วแตกๆ ที่เขายังไม่ได้ทิ้งไปเพราะยังไม่ถึงวันทิ้งของประเภทนี้ กอปรกับสายตาเหลือบไปเห็นดอกทานตะวันของตัวเองที่ได้มา เขาจึงลองตัดก้านของมันให้สั้นกำลังพอดีกับแก้วก่อนจะลองใส่มันลงไปในแก้วแตกๆ นั้นดู

 

แม้จะแตกบิ่นไปบ้างแต่แก้วใบนี้ก็ยังใช้งานได้

 

เขาเติมน้ำลงไปแล้วเอามันไปวางไว้ตรงกลางโต๊ะอาหาร หวังว่าพรุ่งนี้มันจะทำให้ใครบางคนรู้สึกถึงความเป็นชีวิตชีวาขึ้นมา

 

.

.

 

ฤดูใบไม้ร่วงเอาแน่เอานอนไม่ได้ บางวันท้องฟ้าก็กระจ่างปลอดโปร่ง บางวันก็มีมรสุมเข้า รายงานข่าวเช้านี้บอกว่าพายุฝนกำลังใกล้เข้ามาแล้ว ดูจากลมเมื่อวานนี้ก็คงจะอีกไม่นานแล้ว คัตสึกิเองก็เข้าใจว่าเขาควรจะรีบพาอิซึกุกลับทาร์ทารัสก่อนจะพากลับไปไม่ได้ตามสัญญา แต่วันนี้โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นระหว่างนั่งกินข้าว เป็นสายของคนจากแผนกวิเคราะห์ที่โทรมาถามถึงอาการของอิซึกุรวมทั้งรายละเอียดการกลับของเขาที่น่าจะเป็นวันนี้ตอนบ่ายๆ คัตสึกินัดแนะเวลากับทางนั้นเป็นมั่นเป็นเหมาะ แต่ในใจกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับสิ่งที่กำลังทำ

 

เขารู้สึกเหมือนเด็กที่โดนบอกว่าได้เวลากลับบ้านแล้วขณะกำลังเล่นกับเพื่อน มันปล่อยมือยากกว่าที่คิดแม้จะรู้ว่าพรุ่งนี้เราก็ยังเจอกันได้

 

“ฉันจะพาแกกลับตอนบ่ายวันนี้”

 

อีกฝ่ายนั่งฟังอย่างตั้งใจ

 

“ตอนนี้ยังอยากกลับอยู่หรือเปล่า”

 

แต่พอถามไปแบบนั้นร่างเล็กก็เอียงคออย่างงุนงง

 

คัตสึกิก็งงเหมือนกันว่าเขาจะถามทำไมในเมื่อกำหนดการณ์มันออกมาแล้ว

 

“เปล่า ไม่มีอะไร เดี๋ยวฉันพากลับเอง”

 

เขาตัดบทด้วยความเคยชินจากอิซึกุสมัยก่อนที่ไม่ชอบพูดอะไรมาก พวกเขานั่งดูรายการทีวีด้วยกันเงียบๆ ไปสักพัก แต่คัตสึกิที่ยังทำใจไม่ได้กับการที่อีกฝ่ายต้องกลับไปอยู่ในห้องใต้ดินในสภาพความทรงจำยังไม่ครบก็เครียดจนต้องหลบไปล้างหน้าล้างตาให้ตาสว่าง

 

 

 

ในห้องนั่งเล่นที่เพียงแค่ยืนก็พอมองเห็นเคาท์เตอร์ในครัวได้นั้น อิซึกุกำลังมองตรงเข้าไปยังแจกันที่ทำจากแก้วน้ำที่มีดอกไม้สีเหลืองทองอย่างดอกทานตะวันปักอยู่ เขาเห็นมันตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว และถ้าหากเจ้าบ้านไม่นั่งอยู่ด้วยเขาก็คงจะยิ้มออกไปให้กับความคิดของเจ้าของบ้าน…เช่นตอนนี้

 

ผ่านไปไม่นานแท้ๆ แต่อ่อนโยนขึ้นแล้วนะ…คัตจัง

 

.

.

 

คัตสึกิออกมาจากห้องน้ำหลังจากทำใจได้กับทุกอย่าง แต่พอออกมาเขาก็ไม่เห็นอิซึกุอยู่ที่ห้องนั่งเล่นเหมือนเดิม คนที่กะจะพาอีกฝ่ายไปส่งจึงเดินหาเจ้าของร่างไปทั่วบ้าน…แต่ก็ไม่พบ

 

คัตสึกิชะงักค้างเมื่อเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนของอีกฝ่ายแล้วพบกับนาฬิกาข้อมือส่งสัญญาณสีขาวเหมือนกับของเขาทับซ้อนอยู่บนกระดาษข้อความสั้นๆ

 

‘ขอบคุณที่ดูแลกันมาตลอดนะ คัตจัง’

 

ถ้อยคำ การเรียกชื่อ การเขียน แม้แต่การรู้ว่าเขาจะติดตามไปได้ถ้าตัวเองยังพกนาฬิกาส่งสัญญาณอยู่นั้น ทั้งหมดนั่น…ทำให้คัตสึกิรู้ได้ในทันทีว่าอิซึกุที่เขียนข้อความนี้ขึ้นมาคือใคร

 

เจ้านั่นความทรงจำกลับมาแล้ว!

 

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ด้วยว่ามิโดริยะ อิงโกะรู้มั้ย แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการตามหาตัวมิโดริยะ อิซึกุในตอนนี้ เขาไม่รู้ว่าเจ้านั่นจะรู้มั้ยว่ามีวิลเลินอยากได้ตัวมันมากขนาดตั้งค่าหัว แต่คิดว่าคนแบบนั้นคงพอจะรู้อยู่บ้าง แล้วทั้งที่รู้อย่างงั้นก็ยัง…!

 

เสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกลปลุกให้ชายหนุ่มรู้ว่าไม่ใช่แค่วิลเลินที่จะทำให้เขาลำบากหากปล่อยเจ้านั่นออกไปในยามนี้ คัตสึกิเดินออกไปหยิบฮู้ดตัวใหญ่ในห้องมาสวมขณะที่ถือสายรอคนที่อยู่ปลายสายไปด้วย แน่นอนว่ามันต้องรออยู่นานจนเขาลงมายังชั้นล่างแล้วก็ยังไม่ติด

 

“โธ่เว้ย!”

 

ทำไมชอบทำตัวให้คนอื่นเป็นห่วงวะ!

 

“เห็นผู้ชายผมฟูๆ สะพายกระเป๋าสีเหลืองเดินลงมาบ้างรึเปล่า” เขาถามกับผู้ดูแลหอพักที่อยู่ด้านล่างแถวๆ นั้น แต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้า เพราะจำรูปลักษณ์นั้นไม่ได้เลย รู้แต่เหมือนมีคนเดินเลี้ยวไปทางถนนใหญ่ ซึ่งบาคุโกก็ไม่อาจจะโทษอีกฝ่ายที่ไม่รู้ตัวได้เพราะพวกเขากำลังใช้อัตลักษณ์ลบตัวตนอยู่

 

แม้จะรู้ว่ามีบางคนออกไปทางถนนใหญ่คัตสึกิก็ยังไม่ปักใจเชื่อเต็มร้อยว่าจะเป็นเดกุ ชายหนุ่มจึงยังไม่ละเลิกความพยายามที่จะต่อสายไปถึงคนปลายสายที่ตอนนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย สองขาหาทางพาตัวเองขึ้นไปยังตึกสูงเผื่อจะช่วยให้เห็นคนด้านล่างได้ง่ายขึ้น แต่ด้วยเวลาที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงเที่ยง แม้ว่าฟ้าจะมืดครึ้มมาแต่ไกลแต่ก็ยังมีพนักงานบริษัทที่ออกมาซื้อของกินช่วงนี้กันอย่างเนืองแน่น ถนนเส้นใหญ่จึงคลาคล่ำไปด้วยคนที่เดินสวนกันไปมา มีรถสวนออกมาบ้างแต่ก็ไม่มากนักด้วยเป็นถนนเส้นในที่เหมาะแก่การเดินมาหาร้านอาหารกินเองมากกว่านั่งรถ ทำให้คนยิ่งหนาแน่นยั้วเยี้ยจนบอกไม่ถูกเลยว่าใครเป็นใคร

 

และมันก็ยิ่งแย่ไปอีกเมื่อฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมา ทำให้มนุษย์บางส่วนยกร่มขึ้นเหนือหัวปกปิดทัศนียภาพของคนที่อยู่ด้านบนไปด้วย

 

คัตสึกิร้อนใจแบบที่ลมหนาวของฤดูใบไม้ร่วงผสมลมฝนชื้นๆ ก็ไม่ช่วยให้ใจเขาหายหยุดร้อนรุ่มได้ เขาคิดอยากจะตะโกนลงไปใส่พวกที่อยู่ข้างล่างด้วยเครื่องกระจายเสียงให้แหวกทางออกไปไกลๆ แต่ก็รู้ว่าถ้าทำแบบนั้นพวกวิลเลินก็จะต้องรู้ว่าเขากำลังตามหาคนที่พวกมันล่าหัวอยู่ และถ้าเขาคิดให้ดีอีกนิด เขาไม่มีสิทธิจะทำแบบนั้นเลยเพียงเพื่อต้องการหาคนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชนเลย

 

“โธ่เว้ย! รับสายสิวะ!!!”

 

รับสายฉันที

 

ทั้งคำสั่ง ทั้งคำอ้อนวอน ไม่ว่าจะต้องใช้อะไรเขาก็จะใช้มันทั้งหมดเช่นคนจนมุม เมื่อในตอนนี้คัตสึกิรู้ซึ้งแก่ใจว่าเขาไม่อาจเสียอิซึกุไปได้อีก ไม่ใช่เพื่ออีโก้ของฮีโร่ผู้ไม่แพ้และช่วยชีวิตคนไว้ได้ แต่มันมากกว่านั้น มากจนทำให้เขาเริ่มถามตัวเองว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องจากเขาไปแบบเงียบๆ อย่างนี้ด้วย

 

ชายหนุ่มสิ้นหวังได้เพียงชั่วครู่ก่อนจะรวบรวมสติคิดว่าอีกฝ่ายจะไปที่ไหนได้บ้างจากที่นี่ แล้วตัวเลือกที่ผุดขึ้นมาก็มีบ้านมิโดริยะที่ไปมาเมื่อวาน อพาร์ตเมนท์เก่า สำนักงานดูแลด้านอัตลักษณ์ และทาร์ทารัส แต่เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้เขาก็ตัดทาร์ทารัสที่อยู่ไกลกับอพาร์ตเมนท์เก่าที่เจ้านั่นย้ายออกมาแล้วออก สุดท้ายจึงเหลือแค่ที่สำนักงานกับบ้านของมิโดริยะ อิงโกะที่น่าจะเป็นตัวเลือกได้ดี

 

เจ้านั่นไม่ค่อยมีเพื่อนที่ไม่ใช่เพื่อนร่วมงานด้วย เท่าที่เขารู้ก็จำกัดได้สองอย่างนี้ แต่โชคร้ายก็คือทั้งสองทางสามารถเดินทางได้จากคนละฝั่งของถนน นั่นก็คือถ้าอีกฝ่ายจะเดินทางไปที่ใดที่หนึ่งโดยระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ที่ใกล้ที่สุดก็จะต้องขึ้นจากถนนฝั่งใดฝั่งหนึ่งในสองด้านของปลายถนน

 

คัตสึกิมองหาอยู่เช่นนั้นก่อนจะไม่ทันตั้งตัวเสียงรับสายโทรศัพท์ก็ดังขึ้น

 

.

.

 

ที่อีกด้าน อิซึกุกำลังเดินอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนเดินสวนทางไปมาในยามเที่ยงที่มืดครึ้ม เหนือหัวของเขาคือร่มสีเหลืองที่เพิ่งยกมันขึ้นมากันละอองฝน ส่วนในมือก็มีโทรศัพท์ที่ดังมาตั้งแต่เมื่อครู่ เขาคิดว่าจะไม่รับ แต่เมื่อเดินมาถึงจุดหนึ่งแรงสั่นสะเทือนนั้นก็ทำให้เขาทนไม่ไหวและกดรับมันไปในที่สุด

 

แต่ถึงพูดอะไรไปก็คงไม่ทันแล้วล่ะนะ

 

“คัตจัง”

 

เขากรอกเสียงลงไป ส่วนปลายสายก็เงียบนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะกรอกเสียงที่ดูนิ่งผิดปกติถามกลับมา

 

[นั่นแกใช่มั้ย]

 

“อืม ผมเอง”

 

ดูเหมือนอีกฝ่ายก็คงรู้แล้วเหมือนกันว่าความทรงจำของตัวเขากลับมาเป็นปกติแล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรปิดบังอะไร

 

อิซึกุนิ่งฟังคนปลายสายโดยคิดว่าอีกฝ่ายคงจะก่นด่าตัวเองสักหน่อยเรื่องที่ออกไปโดยไม่บอก ซึ่งเขาก็คิดไว้แล้วว่าจะบอกไปตามตรงว่าไม่อยากรบกวนอีกฝ่ายอีก เพราะตลอดหลายวัน…เป็นเดือนแล้วที่เขารบกวนคัตจังให้มาอยู่เป็นเพื่อนในสภาพที่ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้สึกขอบคุณในความทุ่มเทของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่อาจจะรบกวนอีกฝ่ายไปได้ตลอดอยู่ดี ในเมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วเขาก็ควรจะทำให้ทุกอย่างถูกต้อง

 

ยิ่งคัตจังแสดงท่าทีอ่อนโยนแบบนั้นต่อกันมากๆ ถ้าหากกลับตัวไม่ทันมันจะแย่เอาทีหลัง

 

[ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน!]

 

แต่อีกฝ่ายกลับถามคำถามที่ผิดคาดไปมาก ทั้งที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงจะด่าไปแล้ว

 

“ขอโทษที่ออกมาอย่างกะทันหันนะคัตจัง…” แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ทุกอย่างคงยากและคลุมเครือต่อไปเช่นเดิม “…ผมขอโทษเรื่องที่ฐานทัพวิลเลินด้วยนะที่ทำร้ายคัตจังแล้วยังเก็บเรื่องที่ทำไว้โดยไม่ยอมบอกนายอีก มันเป็นสิ่งที่ผมเลือกจะให้มันเป็นอย่างนั้นเองน่ะ ไม่ได้มีใครบังคับทำเพราะเห็นผมเป็นคนไร้อัตลักษณ์เลยดูเหมาะสมที่จะเสี่ยงหรอกนะ”

 

[ถ้าแกอยากจะขอโทษก็มาพูดกับฉันตรงๆ สิวะ]

 

แต่เสียงเข้มก็ยังส่งมากดดัน

 

“คัตจัง…”

 

[อิซึกุ…]

 

ชื่อที่ไม่เคยนึกว่าอีกฝ่ายจะใช้เรียกตนมาก่อนดังขึ้นจากปลายสาย ทำเอาคนฟังต้องหยุดเท้าที่กำลังจะก้าวต่อ

 

[…อย่าทำแบบนี้ บอกฉันมาว่าแกจะไปไหน]

 

ร่างเล็กกำด้านร่มแน่น หายใจเข้าออกลึกๆ อย่างพยายามหักห้ามใจ แต่ครั้งนี้มันกลับยากเย็นยิ่งกว่าตอนที่ต้องทำร้ายอีกฝ่ายในฐานลับของวิลเลินเสียอีก ยากกว่าครั้งไหนๆ โดยเฉพาะหลังจากที่เพิ่งจะได้รับความอ่อนโยนจากอีกฝ่ายมาหมาดๆ น้ำเสียง วิธีการเรียกชื่อ ความรู้สึก ทุกอย่าง เขาคิดไม่ออกเลยว่าจะก้าวเดินต่อไปยังไงถ้าหากอีกฝ่ายมาพูดแบบนี้ต่อหน้า

 

ดีแล้วที่ออกมาก่อน

 

“ขอบคุณที่ดูแลผมมาตลอดจริงๆ นะ ผมไม่คิดเลยว่านายจะตามผมไปจนถึงทาร์ทารัส…”

 

จากใครคนหนึ่งที่หายไปก็ไม่มีใครรู้สึกตัว แต่วันนึงก็มีคนที่ตามไปจนถึงสถานที่ซ่อนตัว นั่นคือเรื่องที่ไม่อยู่ในความเป็นไปได้ในหัวของอิซึกุมาก่อน เพราะเขาคิดเสมอว่าทุกคนจะลืมเลือนตัวเองไปในเวลาไม่ถึงเดือน

 

แต่เขาก็เพิ่งรู้ตอนนี้นี่แหละว่านอกจากคนในครอบครัวและเพื่อนร่วมงานที่สนิทกัน ยังมีใครอีกคนที่ไม่เชื่อในการตายของเขา และออกตามหาไปจนสุดทาร์ทารัส

 

“ผมจำได้แล้วล่ะครับคุณแม่ ขอบคุณนะครับที่ขอให้คัตจังมาช่วยดูแลผมจนกลับเป็นปกติ”

 

            เขาสารภาพกับแม่เป็นคนแรกในตอนที่เรากำลังกินข้าวอยู่ในบ้านเมื่อวันก่อน

 

            “อิซึกุ…ลูกเข้าใจผิดแล้ว”

 

            “ครับ?”

 

            “แม่ไม่รู้หรอกนะว่าพวกลูกจะสนิทกันจนขอให้มาดูแลกันได้ แต่เขาตามหาลูก หาจนเพื่อนร่วมงานของลูกกลัวว่าวันนึงเขาจะรู้ความลับที่เราตกลงกันไว้ เขาทำแบบนั้นตลอด 3 เดือน…เพราะแบบนั้นต่างหากพวกเราถึงยอมให้เขาได้เจอลูกอีกครั้ง ไม่มีใครไปบังคับในสิ่งที่เขาเลือกทำเลย…”

 

ถ้าจะมีสิ่งที่มิโดริยะ อิซึกุคาดการณ์ผิดพลาดในงานนี้ ก็คงจะเป็นการที่บาคุโก คัตสึกิยังคงจดจำเขาได้

 

“…ไว้ผมจะตอบแทนที่คัตจังคอยดูแลผมมาตลอดในตอนที่พร้อมนะครับ”

 

[ฉันไม่ได้อยากให้แกตอบแทนอะไรทั้งนั้น! แกแค่บอกฉันมาว่าแกกำลังจะไปไหน จะทำอะไรกันแน่!]

 

“ผมจะกลับไปอยู่ในที่ของผมครับ”

 

กลับไปก่อนที่อะไรๆ จะเลยเถิด

 

“เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีกในงานสักงานเหมือนเดิม”

 

[…]

 

อีกฝ่ายเงียบไป ทำให้อิซึกุคิดว่านี่เป็นโอกาสสำคัญที่จะพูดอะไรที่คั่งค้างอยู่

 

“ผมรู้ว่าคัตจังรู้สึกผิดตอนที่เห็นอดีตของผม คัตจังคงไม่คิดว่ามันจะเลยเถิดไปขนาดนั้นสินะครับ ผมก็ไม่คิดเหมือนกัน แต่ถามว่ามันเป็นความผิดของคัตจังทั้งหมดไหม ผมคิดว่ามันก็ไม่ใช่ทั้งหมด แน่นอนว่าตอนเด็กผมโกรธนาย ไม่ชอบที่นายเรียกผมด้วยชื่อนั้นเลย แล้วก็อยากตำหนินายที่ไล่ผมไปตายด้วย แต่นายก็ยังเป็นเพื่อนที่ผมอยากจะเทียบเคียงในเส้นทางฮีโร่แม้ว่าสุดท้ายมันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม”

 

[…]

 

“ตอนนั้นเราเด็กกันมาก เราไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เราพูดหรือทำจะส่งผลอะไรในอนาคต แต่พอตอนนี้นายและผมโตขึ้นเราก็รู้ใช้ไหมว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมเองก็เหมือนจะได้เรียนรู้ตัวนายมากขึ้น แล้วก็เหมือนจะพอเข้าใจความรู้สึกที่ทำให้นายทำเรื่องแบบนั้น แน่นอนล่ะว่านายก็ยังไม่ควรทำแบบนั้นอยู่ดี ซึ่งเรื่องในอดีตมันคงแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ดีใจมากที่คัตจังเข้าใจและพยายามแก้ไขและทำอะไรสักอย่างเพื่อชดเชยกับเรื่องที่ผ่านมา เพราะงั้นคำขอโทษของคัตจังน่ะ…ผมจะรับไว้นะครับ”

 

เขาหยุดไปพักหนึ่ง

 

“เพราะงั้นไม่ต้องกังวลเรื่องผมแล้วนะ จริงๆ ผมดีใจอยู่เหมือนกันที่คัตจังยอมรับว่าผมเป็นคู่หูและบอกว่าผมเป็นฮีโร่ด้วย เรามาไกลกว่าเมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมามาก”

 

อิซึกุว่าพลางคิดถึงคำขอโทษ แววตา ความรู้สึกที่ส่งมาทางการกระทำที่อีกฝ่ายส่งมอบให้ เขารู้ว่าตัวเองมีสิทธิที่จะไม่ยกโทษ ‘ให้’ กับคำ ‘ขอ’ โทษ นั้น แต่เขาอยากจะก้าวผ่านเรื่องนี้เสียที ไม่ใช่การลืมเพื่อจบหรือทำเหมือนมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแต่ก่อน แต่เขาแค่อยากยอมรับและเข้มแข็งพอที่จะเผชิญกับอดีตของตัวเอง เหมือนกับเด็กในห้องบำบัดที่ยอมออกมาจากห้องเพื่อเผชิญกับโลกความจริงอีกครั้ง

 

ส่วนคัตจังนั้นเขาได้รับความอ่อนโยนของอีกฝ่ายมาจนแน่ใจแล้วว่าเราคงจะไปต่อกันได้ แต่ถ้ายังต้องรับความรู้สึกนั้นอยู่เรื่อยๆ เขากลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะตีความความรู้สึกที่ได้นั้นไปไกลจากแบบเพื่อนขึ้นมาสักวัน

 

เขาไม่อยากคิดไปเองเข้าใจไปเองเหมือนตอนม.ปลายอีกแล้ว

 

หลังเอ่ยความในใจไปจนหมดอย่างไม่ต้องปิดบังเหมือนตอนแกล้งเป็นวิลเลิน อิซึกุก็รู้สึกว่าบางอย่างเบาขึ้น เขาจึงก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้าอีกครั้ง

 

แต่ไม่ใช่กับคนปลายสาย

 

[แกคิดว่าที่ฉันทำไปทั้งหมดมันเป็นเพราะรู้สึกผิดงั้นเหรอ]

 

“คัตจัง…”

 

[แกกล้าพูดมั้ยว่ามันไม่มีความรู้สึกอะไรในนั้นเลยน่ะ หรือยืนยันสิว่าฉันจะทำแบบนั้นกับทุกคน แกคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นกับทุกคนที่ความจำเสื่อมรึไง!]

 

“แล้วความรู้สึกนั้นมันคืออะไรล่ะครับ?”

 

เขาไม่รู้หรอก ไม่มั่นใจในความคิดตัวเองด้วย ไม่ไว้ใจ ไม่กล้า กลัว…ถ้าไม่พูดออกมาก็ไม่มีทางรู้ ถึงจะมีคนบอกว่าการกระทำดังกว่าคำพูด แต่บางครั้งเขาก็อยากได้คำพูดให้ตัวเองมั่นใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็รู้ว่าคัตจังคงจะไม่พูดมันออกมาง่ายๆ แน่

 

นายเป็นแบบนั้นมาตลอด

 

และในอีกแง่นึง เขาก็ไม่แน่ใจด้วยว่าความรู้สึกที่ว่านั่นมันคืออะไร ถ้าเขาคิดไปเองแล้วประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกรอบนี้คงไม่ได้จบที่เจ็บตัว แต่อาจจะเสียความรู้สึกกันไปเลยก็ได้

 

อิซึกุไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะตอบเขาจึงคิดจะวางสาย แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็อยากให้อีกฝ่ายได้ทบทวนตัวเองจริงๆ อีกครั้ง

 

“คัตจัง…ความสงสารกับความรักมันไม่เหมือนกันหรอกนะครับ”

 

 

 

 

เพราะถ้าเขาจะรัก มันก็ไม่จำเป็นต้องมีโศกนาฏกรรมในอดีตมาเกี่ยวข้องก็ได้

 

แต่ที่เราได้คุยกันดีๆ อีกครั้งมันเริ่มตั้งแต่ตอนที่คัตจังได้รู้เรื่องอดีตของเขาไม่ใช่หรือ

 

แล้ว…ตอนนี้นายน่ะกำลังรู้สึกแบบไหนอยู่กันแน่

 

 

 

 

อยากรับผิดชอบหรือเป็นความรู้สึกที่มากกว่านั้น

 

ถ้าเป็นแบบแรก…ความรู้สึกนี้จะดำเนินไปได้นานเท่าไหร่กันเชียว ถ้าเขาจะเป็นผู้รับตลอดและนายก็ต้องเป็นผู้ให้ตลอดไป

 

ปลายสายเงียบไปอยู่นานจนอิซึกุคิดว่าอีกฝ่ายคงได้เวลาทบทวนความรู้สึกตัวเองแล้ว เขาเองก็เดินใกล้จะถึงปลายทางที่เป็นป้ายรถเมล์ของตัวเองแล้วเช่นกัน

 

“ไว้ค่อยเจอกันนะ คัตจัง ผมต้องไปแล้วล่ะ”

 

เขากดวางสายเองเสร็จสรรพก็เก็บเครื่องมือสื่อสารเข้ากระเป๋ากางเกง คิดว่าเจ้าของเบอร์เมื่อครู่คงจะไม่โทรเข้ามาอีกแล้ว ส่วนเจ้าของโทรศัพท์ก็คิดว่ามันดีแล้ว เพราะทุกอย่างคงจะชัดเจนขึ้น ทั้งเรื่องในอดีต เรื่องของตัวเขากับคัตจังที่จะเป็นไปในอนาคต แม้แต่เรื่องความฝันที่ไม่รู้ทำไมทั้งที่ไม่ใช่ฮีโร่แท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเข้าใกล้มันอย่างประหลาด

 

จบแบบนี้คงจะดีแล้วล่ะนะ

 

ท่ามกลางสายฝนที่หล่นโปรยปรายเบาบางคล้ายละอองน้ำที่ไม่รู้ว่าจะตกหนักลงมาเมื่อไหร่ อิซึกุเดินไปจนสุดปลายถนนที่มุ่งหน้าไปยังบ้านของเขา คิดไว้ว่าจะไปจัดการของส่วนตัวของตัวเองที่เก็บไว้ที่บ้านสักหน่อย แต่ในใจก็รู้ว่าตัวเองไม่กล้าจะเดินไปทางที่มุ่งไปสู่สำนักงานเพราะอาจจะมีใครบางคนคิดว่าเขาจะไปที่นั่นเป็นที่แรกตามที่นัดแนะไว้เมื่อเช้าก็ได้

 

ถึงจะบอกว่าทำใจได้ แต่ก็คงต้องใช้เวลากว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับฮีโร่คนนั้นอยู่สักหน่อย ก็เล่นมาทำแบบนั้นใครมันจะไปทำใจได้ง่ายๆ

 

อิซึกุคิดแล้วก็สะบัดหัวไล่ภาพของคัตจังที่ดูแลเขา โอบกอดเขา ทำอาหารให้เขากิน และจินตนาการที่ว่าคัตจังตามหาเขาออกจากหัวให้หมด

 

พอเดินมาจนสุดถนนคนก็เริ่มเบาบางเพราะกระแสฝน เขายังคงกางร่มสีเหลืองโทนเดียวกับสีกระเป๋าอยู่ในขณะที่เดินเลี้ยวไปยังป้ายรถเมล์ที่มีเพียงเขายืนรออยู่เพียงลำพัง ดูจากตารางเวลาแล้วอีกไม่กี่นาทีรถเมล์ก็จะมา อิซึกุจึงยืนขึ้นเมื่อรถเมล์ที่เขาเฝ้าคอยกำลังจะมาในไม่กี่นาทีนั้นแล้ว

 

เขากระชับกระเป๋าเป้แล้วเดินไปยืนรอที่ริมฟุตบาธเมื่อรถเมล์กำลังจะมา แต่ยังไม่ทันจะได้ดึงตัวร่มให้หุบลงร่างของคนที่ยืนอยู่ก็ถูกใครบางคนดึงให้หันกลับและเซไปด้านหลัง ตอนแรกอิซึกุคิดว่าอาจจะเป็นวิลเลินที่ตามมาล่าหัวเขา แต่พอเห็นร่างที่คุ้นตาในชุดฮู้ดสีเทาดวงตาสีเขียวคู่นั้นก็เบิกกว้าง

 

คนทั้งสองมองกันด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ แล้วในตอนนั้นเองที่ร่างสูงยกมืออีกข้างขึ้นจับใบหน้ากลมนั้นอย่างทะนุถนอม

 

“อย่าไป”

 

สิ้นสุดคำนั้นริมฝีปากของคนตัวสูงกว่าก็ประทับลงบนริมฝีปากของคนที่ยังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม สายฝนโปรยปรายลงมาดั่งม่านน้ำที่แยกคนทั้งสองออกจากโลกภายนอก ร่มสีเหลืองที่ถืออยู่ในมือค่อยๆ ร่วงหล่นลงสู่พื้นพร้อมๆ กับรถเมล์ที่วิ่งผ่านไปโดยไร้คนขึ้นลง

 

 


// จริงๆ เราคิดว่ารถเมล์ญี่ปุ่นน่าจะจอดนะคะ ไม่ได้ขับผ่านไปเลย แต่เพื่ออรรถรสก็ตัดๆ รวบๆ ไปเลยค่ะ เพราะสุดท้ายน้องก็ไม่ได้ขึ้นไปอยู่ดี UwU เราชอบรถเมล์ญี่ปุ่นมากเลยค่ะตรงที่มีป้ายบอกเวลารถเมล์มา ไม่ต้องไปรอเก้อโดยไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไหร่ เราคิดว่าถ้าประเทศไทยมีแบบนี้ก็ดีนะ ทุกคนจะได้ไม่ต้องนั่งดมควันรถอย่างเปลืองเวลากันนานๆ เพราะงั้นก็ร่วมกันติดแฮชแท็กในโซเชี่ยลและกระจายข่าวเรื่อง #เยาวชนปลดแอก เพื่อให้ในวันนึงเราจะได้มีรถเมล์ดีๆ ใช้แบบน้องเด หรือมีรัฐบาลที่พอเกิดเรื่องก็เทคแอคชั่นแบบในตอนที่ดอกเตอร์ A เล่าเรื่องอดีตห้องบำบัดกันนะ (ถึงแม้ก็ดูจะเทคแอคชั่นช้าไปหน่อยๆ และอาจจะยังไม่ดีที่สุดก็ตาม)

 

เอาล่ะ ตรงนี้ขอประชาสัมพันธ์เรื่องตัวเล่มนะคะว่าเราคิดจะตีพิมพ์เล่มนี้ค่าา ต้องขอบคุณทุกความคิดเห็นและกำลังใจที่ส่งมาให้อย่างล้นหลามเลยนะคะ พอไปลองจัดเล่มดูแล้วคาดว่าน่าจะได้เขียนตอนพิเศษพอตัวอยู่ค่ะ (อยากเขียนหลายๆ ตอนเลย) และแง้มกันนิดๆ ว่าถ้าหากยอดสั่งจองพอๆ กับยอดความสนใจตอนนี้ในเล่มก็จะมีอะไรพิเศษๆ (ที่ไม่ใช่ของแถมแยก แต่เป็นอะไรที่พิเศษสำหรับเราเพราะไม่เคยทำในฟิคตัวเองเล่มไหนมาก่อน) ใส่เพิ่มลงไปให้คนอ่านด้วยค่าา แต่แน่นอนว่าถ้ายอดพรีพอๆ กับยอดความสนใจเล่มนะคะ UwU

ช่วงเปิด Pre-Order คงหลังลงอีก 2 ตอนค่ะ (เห็นมั้ยว่าใกล้จบจริงๆ ไม่จ้อจี้แล้ว แต่อีก 2 ตอนก็ยังไม่จบหรอกนะ (อ้าว)) ตอนนี้ใครที่สนใจเล่มก็เริ่มหยอดกระปุกกันได้เลยนะคะ

 

สำหรับคนสนใจเล่ม #คัตเดโอเมก้าเวิร์ส Hot & Sweet ที่พูดถึงกันเยอะพอตัวก็รอดูกันได้นะคะ เราอาจจะ (ย้ำอีกครั้งว่า อาจจะ) เอามาเปิดแบบฟอร์มสอบถามอีกครั้ง

 

อ้าว ลืมหวีด เขาจูบกันอีกแล้วจ้าาาาา คัตจังโว้ยยยยยยยยย (ใครไม่หวีดคนแต่งหวีดเองแล้วนะ) แหม่ เรื่องอื่นเขาไปถึงไหนกันแล้ว เรื่องนี้นี่กว่าจะจูบกันทีอ่ะเนอะ แต่ก็ไม่แปลกหรอก เขียนดราม่ามาตั้งนาน เกือบลืมไปแล้วว่ามันมีความโรแมนซ์ด้วย 5555555

Leave a comment